กระบี่จงมา! Sword of Coming - ทที่ 1030.2 เขียนอย่างใจเย็น
ช่วงอายุสามช่วงที่แตกต่างกัน เฉินผิงอันก็จะสอนบทเรียนใน ระดับที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่นสอนหนังสือไปเมื่อวาน เช ้าวันนี้ก็ท่องเนื้อหาของ เมื่อวาน เด็กๆ คิดว่าตัวเองท่องได้คล่องแล้วก็สามารถยกมือบอก เฉินผิงอันจะให้เขาเดินมาอยู่ข้างกาย ตรวจสอบรอบหนึ่งว่าเนื้อหาที่ ท่องถูกต้องไม่ผิดพลาด ผ่านแล้วก็ให้เด็กนักเรียนอธิบาย ความหมายคร่าวๆ ของเนื้อหาที่ตัวเองท่องไปรอบหนึ่ง นาทีนั้นก็ราว กับว่าสถานะของอาจารย์กับนักเรียนสลับกันแล้ว
หากท่องได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนใหญ่ไม่มีข้อผิดพลาด เฉินผิง อันก็จะพยักหน้า ให้เด็กกลับไปนั่งที่ หากเด็กนักเรียนเพียงแค่ท่องได้ ถูกต้อง แต่ยังอธิบายเนื้อหาได้ไม่แม่นยามากพอหรือเนื้อหาตกหล่น เฉินผิงอันก็จะช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ตรวจสอบชดเชยช่องโหว่แล้ว ค่อยให้เด็กน้อยกลับไปท่องหนังสือต่อ
หลายวันมานี้ลู่เฉินที่ไม่ค่อยรบกวนการมองภาพแห่งกาลเวลา ของหนิงจี๋ ในที่สุดก็เปิ ด ปากเอ่ยเตือนว่า “หนิงจี๋ อย่าได้ดูแคลน ขั้นตอนของการที่ให้เด็กน้อยอธิบายซ้านี่เด็ดขาด นี่ต่างหากจึงจะ เป็ นแก่นแท้ของฝ่ ายที่ถ่ายทอดวิชาความรู ้และฝ่ายที่มาขอความรู ้ ใน อนาคตเมื่อพวกนักเรียนออกไปจากโรงเรียน จะสอบเป็ นข้าราชการ
ได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งที่ว่าจะสามารถบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ เกิด ความคิดริเริ่มสร ้างสรรค์ใหม่ที่ไม่ซ้าใคร สร ้างคมวาทะแทนเหล่า อริยะปราชญ์ได้หรือไม่ก็อยู่ที่การกระทาในครั้งนี้แล้ว”
อาจารย์สอนหนังสือจนไปถึงนักเรียนท่องต ารา แล้วค่อยเป็ นการ อธิบายซ้าโดยสลับสถานะกัน นักเรียนเป็ นคนอธิบาย อาจารย์เป็ น
คนฟัง
ในนี้มีลาดับขั้นตอนก่อนหลังซ่อนอยู่ นี่ก็คือคากล่าวที่ว่าไม่ เพียงแต่รู ้ว่าเป็ นอะไร ยังรู ้เหตุเบื้องหลังของมันด้วย เมื่อเข้าใจลาดับ ก่อนหลังก็จะเข้าใกล้มรรคามากขึ้น
หนิงจี๋ถาม “เจ้าลัทธิลู่ก็สอนหนังสืออยู่ที่ป๋ ายอวี้จิงด้วยเหมือนกัน
ใช่ไหม?”
ลู่เฉินหัวเราะ “ขี้เกียจเกินไป แค่บางครั้งเท่านั้น ห้านครสิบสอง หอเรือนของป๋ ายอวี้จิงมีคนฉลาดเยอะมาก แทบไม่มีใครที่เป็ นคนโง่ และนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าไม่อยากจะไปสอนใคร”
หากจะพูดถึงคนที่มีความรู ้กว้างขวางและลึกซึ้ง หมื่นปีที่ผ่านมา ในโลกมนุษย์นอกจากคนจานวนน้อยนิดที่สองมือนับได้แล้ว ความ ห่างชั้นระหว่างทุกคนที่เหลือกับลู่เฉินก็คือมีลู่เฉินอีกคนหนึ่งกั้นกลาง
หนิงจี๋ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเจ้าลัทธิลู่รู ้สึกว่า “เทพเซียน” แห่งป๋ ายอวี้จึงฉลาดจนไม่จ าเป็ นต้องเรียนกันแล้ว
แต่ในความเป็ นจริงกลับตรงกันข้ามพอดี ก็เหมือนอย่างที่ลู่เฉิน เคยเอ่ยสัพยอกเฉินผิงอัน ชายแขนเสื้อของซุยตงชานที่มีชื่อว่า “จุด ซ ้อมคนโง่” นั้น ถือเป็ น “จุดซ ้อมคนฉลาดทั่วโลกมนุษย์
รอกระทั่งการท่องหนังสือตอนเช ้าสิ้นสุด ต่อจากนี้ก็คือคาบเรียน อย่างเป็ นทางการของทุกวันแล้ว
เฉินผิงอันจะนาพาเด็กนักเรียนประถมอ่าน “ตาราที่ไม่เคยอ่าน” ก่อน จากนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่า นักเรียนสามช่วงอายุก็จะได้ อ่านเนื้อหาของตาราที่ไม่เหมือนกัน โดยเริ่มจากอายุน้อยไปอายุมาก เฉินผิงอันจะสอนเป็ นระดับไปทีละขั้นตอน
เด็กนักเรียนที่เหลืออีกสองช่วงอายุสามารถเปิดอ่านตาราด้วย ตัวเอง หรือจะอ่านตาราที่ไม่เคยอ่านมาก่อนก็ได้ แต่ห้ามทาเสียงดัง อ่านออกเสียงร ้อยครั้ง อ่านหนังสือร ้อยรอบ จะเข้าใจความหมายได้ เอง
แน่นอนว่าก็สามารถฟังอาจารย์สอนได้ ยกตัวอย่างเช่นเด็กอายุ หกเจ็ดขวบ ขอแค่พวกเขาสนใจก็สามารถฟังเนื้อหาที่อาจารย์สอน ให้กับเด็กอายุสิบขวบขึ้นไปได้
โดยทั่วไปแล้วหมู่บ้านในชนบท แต่ละครอบครัวที่ให้เด็กมาเรียน มักจะไม่ได้ฝากความหวังไว้สูงมากนัก แค่หวังให้ลูกหลานของตัวเอง อ่านออกเขียนได้ สามารถท าบัญชีได้ พอถึงวันปี ใหม่ก็สามารถ เขียนกลอนคู่ได้ เท่านี้ก็พอ ดังนั้นอาจารย์ในโรงเรียนทั่วไปส่วนใหญ่
จึงจะทาไปตามลาดับขั้นตอน ให้พวกเด็กๆ อ่านหนังสือท่องตารา ฝึก เขียนตัวอักษร พวกอาจารย์จะทยอยอธิบายตัวอักษรและประโยคไปที ละอย่าง โรงเรียนที่เงื่อนไขดีหน่อย แรกเริ่มอาจารย์ก็จะสอนกฎของ การถือพู่กัน การตั้งข้อมือ ช่วยจับข้อมือเขียนตัวอักษร มีทั้งการฝึก คัดลายมือและเขียนเทียบอักษร นานวันเข้า นักเรียนก็สามารถเขียน ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้อาจารย์ช่วยจับ จากนั้นอาจารย์ก็จะสอน การเขียนพู่กันจีน นอกจากคัมภีร ์ลัทธิขงจื๊อที่ทางศาลบุ๋นและราช สานักให้การยอมรับแล้ว ก็ยังควบด้วยการอ่านตาราโบราณ เมื่อ มาถึงเวลานี้ก็จะสามารถเรียนเขียนบทความได้แล้ว ในชนบทเงื่อนไข มักจะเรียบง่าย แค่เรียนรู ้ตัวอักษรก็สามารถกล้อมแกล้มถูไถไปได้ แล้ว ส่วนใหญ่จะใช ้ถ่านในการเขียน หรือไม่ก็ใช ้หินที่เนื้อคล้ายดิน เหนียว เขียนตัวอักษรลงบนกระดาษหินเขียวบางๆ ที่ขนาดใหญ่เล็ก มีความเหมาะสม สะดวกให้ลบแล้วเอามาใช ้ซ้าได้อีกครั้ง หรือไม่ก็จะ ใช ้เม็ดทรายละเอียดที่ไปเอามาจากลาธารมาใส่ลงในถาดทรายที่ทา ด้วยไม้ ใช ้กิ่งไม้หรือไม่ก็กิ่งไม้ไผ่ต่างพู่กัน
ก็เหมือนอย่างที่นี่ บนโต๊ะทุกตัวจะมีกระบอกไม้ไผ่หนึ่งใบ ด้านใน ปักพู่กันไม้ไผ่อันเล็กบางไว้จนเต็ม ในลิ้นชักของโต๊ะหนังสือใส่ถาด ทรายที่เป็ นกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสเอาไว้ใบหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีหนังสือเล่มหนาขนาดเท่าฝ่ ามือเล่มหนึ่ง ชื่อ หนังสือประหลาดยิ่ง “ตาราไม่มีสอง” เฉินผิงอันคัดเลือกและสรุปรวม มาจากหนังสือส าหรับเด็กประถมอย่างคัมภีร ์สามอักษร เลือกเอา
ตัวอักษรออกมาสามพันกว่าตัว ตัวอักษรทุกตัวมีเนื้อหาหลาย หัวข้อ ตัวอักษรเขียนเป็ นแบบหนา และยังเขียนตัวอักษรขนาดเล็กก ากับ การออกเสียงและความหมาย รวมไปถึงวิธีการนาไปประสมเป็ นคาที่ พบเจอได้บ่อย
หนิงจี๋รู ้สึกอยากได้ “ตาราไม่มีสอง” เจ้าลัทธิลู่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เป็ นอย่างดี ดังนั้นนอกจากนาฬิกาแดดขนาดจิ๋วชิ้นนั้นแล้ว ในมือ ของเด็กหนุ่มจึงมีหนังสือเพิ่มมาอีกเล่มหนึ่ง
เด็กหนุ่มถาม “ตัวอักษรมากมายขนาดนี้ ก่อนจะออกจาก โรงเรียนล้วนต้องรู ้จักทั้งหมดหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “แน่นอน ขอแค่รู ้จักตัวอักษรสามสี่พันตัว วัน หน้ายังจะมีหนังสืออะไรอ่านไม่ออกอีกเล่า?”
เด็กหนุ่มถามอีก “จะท าได้หรือ?”
ลู่เฉินกล่าว “เจ้าต้องทาได้แน่นอน ส่วนในโรงเรียนแห่งนี้ เด็ก คนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนหนังสือ สมมติว่าเรียนชั้นประถมตอนหกขวบ เรียนนานห้าหกปีก็รู ้จักตัวอักษรทั้งหมดแล้วส่วนตัวเขาเองจะยินดี อ่านตาราหรือไม่ หรือควรจะพูดว่าเกิดมาก็เป็ นเด็กที่ไม่เหมาะกับการ เรียนหนังสือหรือไม่ ก็บอกได้ยากแล้ว”
เด็กหนุ่มท าท่าจะพูด แต่ก็หยุดชะงักไป
หลังจากเลิกเรียนใน “วันนี้” อาจารย์เฉินกินข้าวร่วมโต๊ะกับคน หนุ่มที่ชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย จ้าวซู่เซี่ยได้ช่วยถามคาถามข้อหนึ่งที่หนิงจี๋ สงสัยอยู่พอดี
พวกเด็กนักเรียนที่ไม่มีหัวด้านการเรียน จะทาอย่างไร?
อาจารย์เฉินยิ้มให้คาตอบบอกว่า การเรียนหนังสือลาบากมาก การแสวงหาความรู ้ก็ยากมาก แต่ต่อให้จะยากมากแค่ไหนก็ยังไม่ ล าบากและไม่ยากเท่าความ ‘พยายาม’
ตอนเป็ นเด็กได้เล่าเรียนเขียนอ่าน ขอแค่มีความมานะพยายามก็ จะมีความสามารถที่แท้จริง วันหน้าไม่ว่าทาอาชีพอะไรก็เท่ากับว่ามี ทักษะอย่างหนึ่งติดตัวแล้ว แต่ถ้าหากในช่วงเวลาที่เป็ นนักเรียน ประถมซึ่งคนวัยเดียวกันต่างก็ทนกับความยากลาบากได้ แต่ตัวเอง โยนความมานะพยายามทิ้งไปแต่เนิ่นๆ วันหน้าเดินออกไปจาก โรงเรียน มีอะไรบ้างที่ทาแล้วไม่ยาก? ไม่ได้บอกว่าจะเป็ นแบบนี้ทุก คน แต่ก็ง่ายที่คนส่วนใหญ่จะกลายเป็ นว่าพอเจอกับเรื่องยากลาบาก ก็ชอบบอกกับตัวอย่างเป็ นนัย ในใจเกิดความเกียจคร ้าน ไม่ยืนหยัด ที่จะทาเรื่องอะไร ล้มเลิกไปเสียแต่เนิ่นๆ นี่ก็จะเป็ นดั่งคาว่าทุกเรื่อง ยากที่การเริ่มต้นอย่างแท้จริงแล้ว
บนโต๊ะอาหาร เฉินผิงอันพลันถามว่า “จ้าวซู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนผู้ หนึ่งจะมานะพยายามหรือไม่ ก็ถือว่าเป็ นพรสวรรค์อย่างหนึ่งด้วยใช่ ไหม?”
จ้าวซู่เซี่ยตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่ง แต่เหมือนว่าจะยังมิอาจให้คาตอบ ได้ จึงได้แต่พูดว่า“ธรรมชาติของมนุษย์นั้นคล้ายกัน แต่แตกต่างกัน เพราะสภาพแวดล้อม?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้า “อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวด ถือเป็ น ความเกียจคร ้านของครูนับแต่วันพรุ่งนี้ไปต้องโดนตีหนักขึ้นอีก
หน่อย
จ้าวซู่เซี่ยอดกลั้นอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “เด็กนักเรียนผู้หญิงของ โรงเรียน บางครั้งก็ลืมท าการบ้าน ท าไมไม่เห็นอาจารย์พ่อจะลงโทษ บ้างเลย ดูเหมือนว่าไม่เคยโดนตีมือกันเลยด้วยซ้า
พวกนางแค่ถูกลงโทษให้ไปยืนอยู่หลังห้อง น้าตาคลอทาตา ปริบๆ อาจารย์พ่อเห็นเข้าก็ใจอ่อนทันที ต้องรีบหาวิธีที่พบกันครึ่ง ทาง ให้พวกนางท่องเนื้อหาไม่กี่ย่อหน้า ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นการบ้านที่ มีระดับความยากน้อยมาก ตรวจผ่านแล้วก็ให้พวกนางกลับไปนั่งที่ แล้วเรียนกันต่อ
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็ นเด็กผู้หญิง แล้ว นับประสาอะไรกับที่เจ้าก็พูดเองแล้วว่ามีแค่บางครั้งที่ลืมทาการบ้าน จะไปเหมือนกับเด็กผู้ชายที่เกเรซุกซนได้หรือ?”
จ้าวซู่เซี่ยเงียบไม่ตอบ เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไฉนอาจารย์ พ่อท่านถึงได้ร ้อนรนเพียงนี้กันเล่า
หลังจากอ่าน “หนังสือที่ไม่เคยอ่าน” ทุกวัน ต่อจากนั้นก็คือการ ทบทวน “หนังสือที่อ่านแล้ว”
เนื่องจากต้องสอนหนังสือให้กับเด็กประถมที่แบ่งออกเป็ นสาม ช่วงอายุ จึงต้องใช ้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม
เนื่องจากเป็ นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู ้ของเด็กเล็ก นอกจากเฉิน ผิงอันจะสอนสี่ตาราห้าคัมภีร ์ซึ่งค่อนข้างเป็ นการทาตามกฎระเบียบ อย่างเข้มงวด ถ่ายทอดเนื้อหาตามลาดับอย่างเคร่งครัดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังได้ตั้งใจเลือกเนื้อหาบางส่วนในคัมภีร ์หรือในตาราที่ เขารู ้สึกว่ามีเหตุผลมาด้วย จุดมุ่งหมายในการสอนแน่นอนว่าต้อง เลือกตาราที่ถูกต้องดั้งเดิมที่สุดของปราชญ์ผู้ล่วงลับ พิจารณาอย่าง ครอบคลุมและเลือกมาแต่สิ่งที่ดี ดังนั้นประโยคหรือย่อหน้าพวกนี้จึง ไม่ต้องเป็ นไปตามลาดับขั้นตอนมากนัก แค่ค่อนข้างตื้นเขินเข้าใจ ง่ายเป็ นพอ
นอกจากนี้ยังมี “คัมภีร ์แห่งความกตัญญู” อีกเล่มหนึ่ง
ระหว่างที่ทบทวนตาราเล่มเก่า เฉินผิงอันจะถือโอกาสขยาย ความบางประโยคแต่พอดี เน้นย้าในเรื่องหน้าที่การเป็ นบุตรและ มารยาทพื้นฐานในการปฏิบัติต่อผู้อื่น
“อักษรหลี่ (หลักการเหตุผล) จับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนอักษรหลี่ (มารยาทพิธีการ)”
ลู่เฉินนั่งลงบนโต๊ะตัวที่อยู่ด้านหลัง สองมือสอดรองไว้ใต้ท้าย ทอย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความกตัญญูคือที่สุดแห่งความดีงาม หนิงจี๋ เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าพวกอันธพาลหลายคน เวลาอยู่ข้างนอกไม่ ว่าจะตีรันฟันแทงกับคนอื่นอย่างไร พอกลับมาถึงบ้าน หากไม่เห็น บิดาแล้วเหมือนหนูกลัวแมว ก็ต้องเป็ นว่าไม่ว่าจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่แค่ ไหนก็ไม่กล้าท าตัวให้ถูกคนด่าว่าเป็ นลูกทรพี? และก็มีเด็กบางคนที่ ตอนเรียนหนังสือเกเรมาก แต่พอโตเป็ นผู้ใหญ่ เจอกับอาจารย์สอน หนังสือในอดีตระหว่างทางก็จะยังเคารพนอบน้อม ไม่แน่ว่าอาจจะ ยินดียอมอดทนข่มกลั้นฟังคาสั่งสอนของอีกฝ่ายก็เป็ นได้”
หนิงจี๋นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างสารวม เหมือนเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ที่มาขอเข้าเรียนด้วยตั้งใจฟังอาจารย์เฉินสอนหนังสือ
หนิงจี๋ถามอย่างสงสัย “เจ้าลัทธิลู่ นี่ต่างจากคาบเรียนที่อาจารย์ เฉินจัดเตรียมไว้ตอนแรกสุดมากเลยใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้เจ้าลัทธิลู่ให้เขาดูกระดาษแผ่นหนึ่งที่บันทึกการจัด คาบเรียนไว้อย่างละเอียด ในหลายๆ จุดล้วนถือเป็ นแผนการเรียนที่ นามาปฏิบัติจริงในตอนนี้
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ถูกตัวเขาเองโค่นล้มไปแล้ว พูดให้ถูกก็คือ เฉินผิง อันคิดจะชะลอเอาไว้ก่อน น่าจะรู ้สึกว่าสอนหนังสือแบบนี้ตั้งแต่ แรกเริ่มจะยากเกินไป พวกเด็กนักเรียนจะตามไม่ทัน หากไม่ระวังก็ ง่ายที่จะทาให้พวกเขาสูญเสียความสนใจในการเรียนหนังสือ แม้จะ บอกว่าการเรียนหนังสือ เดิมทีก็เป็ นเรื่องที่ยากลาบากมากอยู่แล้ว แต่
หากอาจารย์ผู้สอนสามารถทาให้ช่วงแรกๆ ที่เด็กเรียนหนังสือไม่รู ้สึก ว่ามันน่าเบื่อไร ้รสชาติ แน่นอนว่าก็ต้องดียิ่งกว่า”
ลู่เฉินบิดหมุนข้อมือหนึ่งทีก็เอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใน ลิ้นชักโต๊ะที่เฉินผิงอันนั่งอยู่ได้ ยื่นส่งให้หนิงจี๋ “ดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่ เหมือนกัน”
หนิงจี๋เปิดตาราเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ก็พบว่าพื้นที่ว่างด้านบน นั้นมีตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันมากมายเขียนอธิบายไว้ด้านข้าง เนื้อหาของตัวอักษรพวกนี้มากกว่าตัวอักษรในต าราเป็ นเท่าตัว
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “นี่ก็คือต้นฉบับที่เฉินผิงอันใช ้ในการสอนหนังสือ ความทุ่มเทและความคิดจิตใจเหล่านี้ของอาจารย์ผู้สอน เด็กนักเรียน
ไม่มีทางรู ้ได้”
หนิงจี๋ถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์สอนหนังสือในใต้หล้าล้วน เป็ นแบบนี้กันหมดหรือ?”
ลู่เฉินกล่าว “ความคิดและจิตใจน่าจะไม่ต่างกันเท่าไร เพียงแต่ว่า เวลาที่ใช ้สั้นยาวต่างกัน การทุ่มเทก็มากน้อยต่างกัน”
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ กระดาษปึกหนึ่งก็หล่นออกมา เขามอบ มันให้กับเด็กหนุ่ม “นี่ก็คือการอธิบายตัวอักษรของอาจารย์สวี่ จื้อเซิ่ง แห่งเส้าหลินที่ไม่ใช่อริยะปราชญ์แต่เป็ นยิ่งกว่าอริยะปราชญ์ของ ศาลบุ๋น หน้ากระดาษกระจัดกระจายพวกนี้ยังไม่ถูกนามารวมเป็ น รูปเล่ม คือสาเนาเขียนด้วยมือตามความหมายที่แท้จริงแล้ว ไม่ถือ
เป็ นต้นฉบับที่เอามาจัดพิมพ์ในภายหลังด้วยซ้า เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ ไม่ต้องคืน ในอนาคตจะจัดการเช่นไรก็ไม่ต้องถามความเห็นของผิน เต้า เจ้าจัดการเองได้ตามสบาย จะเก็บไว้หรือมอบให้ใครก็ตามแต่ใจ ไม่ต้องเล่นตัวว่าไม่มีความดีความชอบมิอาจรับค่าตอบแทน ผินเต้า พบเจอกับเจ้าโดยบังเอิญแต่เชื่อว่าในอนาคตจะต้องได้พบเจอกันอีก
แน่นอน”
นอกจากอ่านต าราเล่มใหม่และทบทวนต าราเล่มเก่าแล้วก็ไม่มี ความต่างอะไรมากนักแค่เปลี่ยนรายชื่อหนังสือไม่กี่เล่มเท่านั้น ทว่า หัวข้อ “สรุปเนื้อหา” ที่เขียนไว้บนหน้ากระดาษช่วงหลังกลับถูก อาจารย์เฉินตัดทิ้งไปโดยตรง แล้วใช ้สีชาดเขียนกากับไว้ว่า “ละไว้ ก่อน
ส่วนการ “ดูหนังสือ” ต่อจากนั้น ยกตัวอย่างเช่นว่าคาบเรียนที่ อาจารย์เฉินก าหนดไว้ตอนแรกสุดคือดูตาราเรื่องการพิจารณาความ แตกต่างในเรื่องกระจกสะท้อนการปกครองของผู้ปกครองแต่ละท่าน อ่านวิชาการบันทึกและตรวจสอบ ตัวอย่างวิธีปลูกฝังความ
ชื่อสัตย์ผ่านการแสดงออกทางวรรณกรรม หนังสือพวกนี้ทุก สัปดาห์จะต้องอ่านอย่างละสามหน้า อ่านตาราเสี่ยวเซวี๋ยของจูจื่อวัน ละหนึ่งหน้า เป็ นต้น อีกทั้งในหัวข้อนี้ยังมีร่องรอยที่อาจารย์เฉินใช ้ พู่กันสีแดงเปลี่ยนรายการอยู่หลายครั้ง ขีดฆ่าตัวอักษรที่เขียนกากับ อยู่ด้านข้างไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ผลคือสุดท้ายก็ยังถูกอาจารย์เฉิน เปลี่ยนมาเลือกตาราที่เรียบง่ายและตื้นเขินกว่า เพิ่มสมุดวาดภาพมา
เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเป็ นการเขียนขึ้นด้วยมือของอาจารย์เฉินเอง วาด ภาพขุนเขาสายน้าต่างๆ ทักษะของร ้อยสานัก ฯลฯ เสริมคาอธิบาย ด้วยตัวหนังสือ มีครบทั้งภาพวาดทั้งตัวอักษร
พูดถึงแค่ตาราเล่มนี้ หน้าแรกๆ ส่วนใหญ่ก็เป็ นเนื้อหาที่มีความ เกี่ยวข้องกับการใช ้ชีวิตในหมู่บ้านชนบท ยกตัวอย่างเช่นการเตรียม ดินส าหรับเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูท าเกษตร ห้าธัญพืชและ ต้นไม้และปลาชนิดต่างๆ
ขณะเดียวกันคาบฝึกเขียนตัวอักษรซึ่งเป็ นหัวข้อสุดท้ายของทุก คาบเรียนช่วงเช ้าก็มีการปรับเปลี่ยนเยอะมากเช่นกัน แผนเดิมของ เขาก็คือนักเรียนที่อายุต่างกันจะต้อง “เขียนตัวอักษรบนป้ ายศิลา จารึกสิบตัวทุกวัน” “บทอธิบายตัวอักษรจะต้องอธิบายค าสามถึงห้า ค า แต่ระหว่างที่สอนตัวอักษรก็จะต้องอธิบายเรื่องเสียงสัมผัสและการ ให้อรรถาธิบายความหมาย ของค าศัพท์โบราณคร่าวๆ ด้วย” “คัมภีร ์ กตัญญูหรือคัมภีร ์หวงถิง เขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจง ตัวอักษร ใหญ่เขียนแบบหยาบ ฝึกเขียนสองหน้า