กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1000.2 ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งดุจเปลวเพลิง
กลุ่มของซ่งซวี่ก็ยิ่งรู ้สึกตกตะลึงกันมากยิ่งกว่า ทาไมถึงเป็ นหลี่ซี เซิ่งแห่งสกุลหลี่ของถนนฝูลู่ถ้าสวรรค์หลีจูได้ล่ะ?
อันที่จริงการที่หลี่ซีเซิ่งได้รับเชิญให้เข้าร่วมการโต้วาทีสามลัทธิ ก่อนหน้านี้ตอนที่รู ้เรื่องก็ทาให้พวกเขาประหลาดใจกันมากพอแล้ว
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของถ้าสวรรค์หลีจู หลีซีเซิ่งคือคนที่ไม่ สะดุดตาที่สุด เกี่ยวกับคนผู้นี้ ในเอกสารของกรมอาญาต้าหลีมีแค่ เนื้อหาที่เรียบง่ายอย่างมาก ในนั้นมีอยู่สองข้อที่บอกว่าเคยต่อสู้กับ เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นในตรอกหนีผิง และหลี่ซีเซิ่งยังเคยวาด ยันต์ไว้บนเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว แต่การต่อสู้ครั้งนั้นผลแพ้ชนะ เป็ นอย่างไร รวมไปถึงประสิทธิผลของยันต์บนเรือนไม้ไผ่เป็ นอย่างไร ล้วนไม่มีบันทึกเอาไว้
“ยังดีที่มาทันเวลา”
แต่ละฝ่ ายคุมเชิงกันอยู่ในสามมุม หลี่ซีเซิ่งมองไปยังคนสองกลุ่ม ที่มาถึงก่อนตนนานแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ของชิ้นนี้มีความเกี่ยวข้อง กับมหามรรคาของน้องสาวข้า ไม่ว่าผู้อาวุโสจะอาศัยเวทกระบี่ที่เลิศ ล้า ฝืนเปิดกล่องเหล็กก็ดี หรือพวกเจ้าจะใช ้ขวดโบราณที่อาจารย์ หยวนแห่งกองโหราศาสตร ์สร ้างขึ้นเองกับมือบรรจุตะวันใหญ่ดวงนี้ก็
ช่าง ข้ารู ้สึกว่ายังคงไม่มั่นคงทั้งสองวิธี ซึ่งก่อนจะทาเช่นนั้น เกรงว่า คงต้องมีการตกลงแบ่งกันให้ดีก่อน”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “ฟังจากน้าเสียงคือหากเจ้าเป็ นคนทาแล้ว จะต้องมั่นคงอย่างนั้นหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้า “ข้าพอจะเป็ นวิชายันต์อยู่สองสามบทที่
สามารถเอามาใช ้งานได้พอดี”
เซี่ยโก่วหัวเราะอย่างไม่รู ้สึกสนุก จับประคองหมวกขนเดียว ครั้ง นี้นางเริ่มจะรู ้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
นางทนเห็นคนอื่นโอ้อวดต่อหน้าตัวเองไม่ได้ที่สุด จะมาแข่งเรื่อง พรสวรรค์ด้านการฝึกตนกับนางอย่างนั้นรึ?
หลี่ซีเซิ่งยิ้มอธิบายว่า “ผู้อาวุโสอย่าได้เข้าใจผิด ข้าก็แค่มา รับรองให้เท่านั้น ไม่มีใจละโมบอยากได้ของสิ่งนี้ รอให้ข้าเปิดกล่อง แล้วค่อยการาบจินอูตัวนั้น ไม่ให้มันวิ่งพล่านไปทั่วจนชักนาให้เกิด แผ่นดินไหวทั้งทวีป พวกเจ้าสามารถนั่งลงปรึกษากัน ตัดสินใจก่อน ได้ว่าของชิ้นนี้จะตกเป็ นของใคร”
ซ่งซวี่เป็ นฝ่ายแสดงความเป็ นมิตรกับหลี่ซีเซิ่งก่อน “ซ่งซวี่คารวะ อาจารย์หลี่”
เด็กสาวยิ้มกว้าง แนะนาตัวเองตามไปด้วย “สกุลอวี๋หม่าเฟิ่ น อวี๋อวี๋”
“เก๋อหลิ่ง คนของสกุลจวี้หรง รับหน้าที่เป็ นเต้าสู่ของเมืองหลวง ชั่วคราว”
“ลูกศิษย์ของชานหยาเก่า ลู่ฮุย”
“หันโจ้วจิ่นแห่งพื้นที่มงคลชิงถาน”
หลวงจีนน้อยพนมสองมือ เอ่ยอย่างเหนียมอายว่า “โฮ่วแจว๋แห่ง หน่วยแปลคัมภีร ์เมืองหลวง ยังไม่ได้อุปสมบท”
หลี่ซีเชิงประสานมือคารวะทุกคน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลี่ซีเซิ่งแห่ง เขตการปกครองหลงเฉวียน พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง”
เซี่ยโก่วถามหยั่งเชิง “เจ้ากลับมาจากดินแดนพุทธะสุขาวดีนาน แค่ไหนแล้ว? หนึ่งเดือน หรือว่าแค่ไม่กี่วัน?”
หลี่ซีเซิ่งใช ้เสียงในใจเอ่ย “เพิ่งมาจากวัดฮว่อเสียแห่งภูเขาเซ่อ ซาน”
หากไม่เป็ นเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่นี่ หลี่ซีเซิ่งก็ไม่ มีทางหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลเร็วขนาดนี้ อีกทั้งเรื่องแรกที่ทา หลังกลับมาถึงใต้หล้าไพศาลก็คือต้องไปที่นครจักรพรรดิขาว แน่นอน
เซี่ยโก่วกึ่งเชื่อกึ่งกังขา เจ้าคิดว่าตัวเองคือขอบเขตสิบสี่หรืออย่างไร? …….
หลังจากหลินโส่วอีออกมาจากต าหนักฉางชุนก็ติดตามพวก หยวนฮว่าจิ้งไปเมืองหลวงก่อนรอบหนึ่ง อันที่จริงเรื่องที่เขาฝ่ าทะลุ ขอบเขตเป็ นหยกดิบไม่จ าเป็ นต้องให้เขาไปรายงานตัวที่กรมอาญา ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหลินโส่วอีมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับราช ส านักต้าหลีมาโดยตลอด หาไม่แล้วปีนั้นเขาก็คงไม่ตอบตกลงเป็ น คนเฝ้ าศาลลาน้าฉีตู้ และหลินโส่วอีก็เป็ นคนที่รักษากฎกับทุกเรื่อง วางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างรัดกุมไร ้ช่องโหว่ คือวิญญูชน ผู้ถ่อมตัวที่ทุกคนให้การยอมรับ และนี่ก็ทาให้เขามีคาประเมินที่ดีมาก ในสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมอาญาของต้าหลี ตอนที่ไป “ขานชื่อ” ที่กรมอาญาจึงมีแต่เสียงแสดงความยินดี
หลังจากนั้นหลินโส่วอีก็ทะยานลมไปที่ศูนย์ตัดต้นไม้แห่งหงโจว
ทุกวันนี้ศูนย์ตัดต้นไม้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทา หลินเจิ้งเฉิงนั่งอยู่ใน ห้องทางานที่เงียบสงบระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ขุนนางห้ามดื่มเหล้า บน โต๊ะจึงมีกับแกล้มสุราจาพวกถั่วลิสงโรยเกลืออยู่สองสามจาน พอเห็น หลินโส่วอี บุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่โยนถั่วลิสงใส่ปากเคี้ยว ช ้าๆ
หลินโส่วอีหยิบเหล้าหมักของต าหนักฉางชุนหลายกาออกมา จากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ บอกว่าซ่งอวี๋ผู้อาวุโสไท่ซ่างเป็ นผู้ มอบให้ วันหน้าหากท่านพ่ออยากดื่มเหล้าชนิดนี้ก็แค่บอกกล่าวกับ ตาหนักฉางชุนสักคา พวกเขาจะส่งมาให้ที่ศูนย์ตัดต้นไม้โดยตรง เงินค่าสุราคิดลงบัญชีของเขาหลินโส่วอี
หลินเจิ้งเฉิงเหลือบมองเหล้าหมักเซียนที่ล้าค่าของบนภูเขา แจกันสมบัติทวีปซึ่งยากจะได้มาครองสักกา เอ่ยอย่างไม่ค่อยรับน้าใจ นักว่า “ดื่มเองก็รังเกียจว่าแพงไป แล้วยังไม่มีใครให้เอาไปมอบให้ ด้วย เอากลับไปเถอะ”
หลินโส่วอียิ้มกล่าว “ได้ยินว่าฟู่ หูหัวหน้าของท่านพ่อตอนอยู่ ส านักรายงานข่าวของเมืองหลวง ทุกวันนี้ไปเป็ นนายอาเภออยู่ที่ อ าเภออผิงหนัน เอาไปมอบให้เขาได้”
หลินเจิ้งเฉิงคิดแล้วก็ไม่ปฏิเสธอีก ฟู่ หูไปรับหน้าที่เป็ นขุนนาง นอกเมืองหลวง เป็ นขุนนางหลักของอาเภอเบื้องบน แน่นอนว่าเป็ น เพราะเขาได้บอกกล่าวกับหลางจงสองคนในกองคัดเลือกขุนนางบู๊ กรมกลาโหมและกองชิงลี่กรมพิธีการไว้ก่อน ไม่ได้ขอตาแหน่งขุน นางให้อีกฝ่ ายโดยตรง ก็แค่ช่วยพูดดีๆ ถึงฟู่ หูไปหลายประโยค ราช สานักต้าหลีที่ได้ยินก็รู ้ทันทีว่าต้องท าเช่นไร จึงผลักเรือตาม กระแสน้ามอบตาแหน่งงานที่ว่างอยู่ให้ฟู่ หู ถือเป็ นการไว้วางใจให้เขา ทางานสาคัญในการโยกย้ายไปรับตาแหน่งที่เท่าเดิมแล้ว
หากจะพูดถึงศาสตร ์ในการมองคน หลินเจิ้งเฉิงย่อมต้องมีฝีมือ มาก หาไม่แล้วจะเป็ นหุนเจ่ออยู่ในแจกันสมบัติทวีปได้อย่างไร
หลินเจิ้งเฉิงผงกปลายคางไปทางหน้าประตู หลินโส่วอีรู ้ใจ บิดา อยากจะจิบเหล้าสักสองสามจอก เขาจึงโบกชายแขนเสื้อปิดประตู ห้องให้
หลินเจิ้งเฉิงขมวดคิ้วน้อยๆ หลินโส่วอีมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทันใด
หลินเจิ้งเฉิงไม่ได้ร่ายเหตุผลในการวางตัวอะไรให้อีกฝ่ ายฟัง ใช ้ นิ้วหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆหลินโส่วอีก็เริ่มหยิบจอกเหล้าออกมา ลุกขึ้น แล้วรินเหล้าให้อีกฝ่าย
หลินเจิ้งเฉิงจิบเหล้าหนึ่งอีก ลิ้มรสอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เป็ น ขอบเขตหยกดิบแล้วก็เท่ากับว่าก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่บาน หนึ่งไปได้แล้ว ปีนี้เจ้าอายุสี่สิบกว่าปี อายุก็ไม่น้อยแล้ว หากเป็ นคน ในเมืองล่างภูเขาแล้วแต่งงานเร็วหน่อย ไม่แน่ว่าอาจมีหลานแล้วก็ได้ เรื่องบางอย่างข้าก็ควรจะพูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว”
หลินโส่วอีดื่มเหล้าปลุกความกล้า ยิ้มเอ่ย “ท่านพ่อ อย่าพูดว่า อายุสี่สิบกว่าปีอย่างคลุมเครือสิ สรุปว่าท่านรู ้อายุที่แท้จริงของข้า หรือไม่?”
หลินเจิ้งเฉิงครุ่นคิด ถามว่า “เจ้าแก่กว่าเฉินผิงอันกี่ปี?”
หลินโส่วอีรู ้สึกอัดอั้นยิ่งกว่าเดิมเป็ นเท่าตัว นี่บิดาอย่างท่านจาได้ แต่อายุของเฉินผิงอัน จ าอายุของบุตรชายแท้ๆ ตัวเองไม่ได้หรือไร สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าใช่ลูกชายแท้ๆ ของท่าน ไหม?!”
หลินเจิ้งเฉิงพูดด้วยน้าเสียงเรียบเฉย “เรื่องแบบนี้ต้องไปถามแม่ เจ้า ข้าบอกไม่ได้หรอก”
หลินโส่วอีสะอึกอึ้งไปทันใด ยื่นมือมาหยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยน เข้าปากแล้วก็เริ่มดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น
หลินเจิ้งเฉิงผลักหน่อไม้แห้งจานหนึ่งที่อยู่ฝั่งตัวเองไปทางหลิน โส่วอี เอ่ยว่า “เมื่อปลายปีที่แล้วลู่เฉินเคยมาหาข้าที่นี่รอบหนึ่ง พูดคุย เรื่องเก่าแก่ปีมะโว้กับข้า เขารู ้สึกว่าข้าท าร ้ายให้เจ้าต้องสูญเสียโชค วาสนาใหญ่เทียมฟ้ าครั้งหนึ่งไป เป็ นเหตุให้ผลประโยชน์หลายอย่าง ที่เดิมทีควรเป็ นของเจ้าตกไปอยู่กับเฉินผิงอันอย่างที่มองไม่เห็น ถ้อยคาดุจผายลมของลู่เฉินมิอาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ สามารถฟังสักครึ่งหนึ่งได้อยู่กระมัง”
หลินโส่วอีถาม “ท่านพ่อ ช่วยเล่าอย่างละเอียดได้ไหม?”
หลินเจิ้งเฉิงกรอกเหล้าเข้าปาก โบกมือบอกเป็ นนัยว่าตนจะริน เหล้าเอง จากนั้นก็เล่าเรื่องปฏิทินเหลืองและเรื่องวงในบางอย่างให้ หลินโส่วอีฟังคร่าวๆ
หลินโส่วอีขบคิดอย่างละเอียด “ต่อให้ข้ารู ้ว่ามี…โต๊ะเดิมพันที่ เดิมพันฟ้ าเดิมพันดินตัวนี้มานานแล้ว ข้าก็ไม่มีทางเอาชนะเฉินผิง อันได้อยู่ดี เพราะการรู ้จักยืดหยุ่นของข้าไม่มากพอ นอกจากอ่าน ตาราเองและฝึกตนด้วยตัวเองแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดข้าก็ล้วนเกียจคร ้าน ไม่มีใจอยากพัฒนาเท่าใดนัก อีกอย่างหากรู ้เรื่องพวกนี้แต่แรก เว้น เสียจากว่าตัวข้าเองเดาได้หาไม่แล้วไม่ว่าใครที่แพร่งพรายความลับ สวรรค์นี้กับข้า ก็เท่ากับว่าสูญเสียคุณสมบัตินั้นไปโดยตรง จะต้อง
ออกไปจากโต๊ะเดิมพันด้วยตัวเอง ดังนั้นท่านพ่อไม่ต้องคิดมาก ยิ่งไม่ ต้องมีปมในใจเพราะเรื่องนี้ ชีวิตในทุกวันนี้ ข้ารู ้สึกว่าดีที่สุดแล้ว”
“แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องของโชควาสนาชะตาชีวิตซับซ ้อน เกินจะคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราย่างเท้าลงบนเส้นทาง การฝึกตน แม่น้าแห่งกาลเวลาสายหนึ่งการไหลทวนกระแส การหวน กลับไปสู่ต้นกาเนิด เส้นสายที่ไหลแยกออกไปก็มีมากมายจนนับไม่ ถ้วน ความผิดในวันวานความถูกต้องในวันนี้ ความผิดในวันนี้พรุ่งนี้ ถูกต้องแต่พอมะรืนก็ผิดอีก เรื่องแบบนี้มีถมเถไป”
“สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว การแย่งชิงกันข้ามฝั่งที่พวกเราถูกปิดหู ปิดตาทั้งชีวิตก็ต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน แพ้หรือชนะ ก็ล้วนต้องยอมรับเอาไว้”
“นอกจากใจแล้วก็อย่าได้แสวงหาอะไรดีที่สุด”
มองสายตาใสกระจ่างและสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้านของหลิน โส่วอี หลินเจิ้งเฉิงก็มีสีหน้าอ่อนโยนให้บุตรชายเห็นอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ไม่นานก็เก็บสีหน้านั้นกลับมา ถามว่า “เจ้าพูดกับเฉินผิงอัน อย่างไร?”
หลินโส่วอีกล่าว “ข้าบอกให้เขามาสวัสดีปีใหม่ที่นี่นะ”
เจ้าขุนเขาเฉินเจ้าขุดหลุมดักคนไม่ตื้นเลยนะ!
หลินเจิ้งเฉิงเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วแน่น
แค่มองสีหน้าอัดอั้นนี้ของบิดา หลินโส่วอีก็หวาดกลัวขึ้นมาตาม จิตใต้สานึก นี่แสดงให้เห็นถึงบารมีที่สะสมมาอย่างลึกล้าของหลินเจิ้ง เฉิงผู้เป็ นบิดา หลินโส่วอีคิดแล้วก็แข็งใจเอ่ยว่า “ข้าบอกกับเฉินผิง อันไปในจดหมายแล้วว่าสามารถมาสวัสดีปีใหม่ที่นี่ได้ ข้ารู ้สึกว่าด้วย สติปัญญาที่มากเกินคนอื่นของเฉินผิงอัน แค่ประโยคนี้ก็อธิบายให้
เห็นอย่างชัดเจนแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ใช่คาว่า “สามารถ” ไม่ใช่คาว่า ‘จ าเป็ นต้อง? บัณฑิตอย่างเจ้าเลือกใช ้ถ้อยค าได้ดี จับค ามารวม ประโยคได้เก่งมากเลยนะ”
ดังนั้นหลินเจิ้งเฉิงจึงเป็ นฝ่ ายยกจอกเหล้าขึ้นก่อน “ข้าไม่ควร ต้องดื่มคารวะเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอย่างเจ้าสักหน่อยหรือ? วันหน้าเข้า ร่วมการสอบเคอจวี่ สอบเป็ นจ้วงหยวนกลับบ้านข้าจะไปจุดประทัดที่ บ้านให้เองเลยล่ะ”
หลินโส่วอียกจอกเหล้าขึ้น ขยับลงต่าแล้วต่าอีก ชนจอกกับอีก ฝ่ ายเบาๆ ก่อนจะดื่มเหล้าได้เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่าใจว่า “ท่านพ่อ วัน หน้าอย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
หลินเจิ้งเฉิงจิบเหล้า “นี่คือจะเป็ นบิดาที่สอนให้ลูกชายรู ้จักพูดจา กับคนอื่นอย่างไรงั้นหรือ?”
หลินเจิ้งเฉิงกล่าว “เรื่องเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ของต้าหลี ข้า ไม่ได้ล้อเจ้าเล่น จ้วงหยวนอายุสี่สิบกว่าปี ไม่ถือว่าอายุเยอะ ต่อให้
สอบไม่ติดจ้วงหยวนก็ควรสอบติดสามอันดับแรก หรือไม่ก็เป็ นฉวน หลูของระดับสองก็ได้”
หลินโส่วอีเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ ท่านเองก็ไม่ใช่คนที่ เสพติดในการเป็ นขุนนางเสียหน่อย ท าไมพอเป็ นข้าถึงอยากแขวน กรอบป้ ายจิ้นซื่อจี๋ตี้ไว้ในศาลบรรพชนขนาดนี้เล่า?”
“ในบ้านมีธัญญาหารเหลือเฟื อ ขนาดหมูก็ยังได้กินอิ่ม ใน ตระกูลมีหนังสือมากลูกหลานเฉลียวฉลาด ย่อมสร้างความผาสุก โชคดี”
หลินเจิ้งเฉิงกล่าว “ยินดีให้ลูกหลานโง่เขลา ขอแค่มีชีวิตสงบสุข ปลอดภัยจนได้เป็ นขุนนาง ทั้งร่ารวยทั้งอายุยืนก็พอ”
อากาศเริ่มค่อยๆ อบอุ่น
ดอกกล้วยไม้หยกในลานบ้านด้านนอกเบ่งบานแล้ว
……
ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่แต่ละแคว้นพากันกอบกู้แคว้น และก่อตั้งแคว้น บนอาณาเขตของราชวงศ์ต้าซวงเก่าที่ผืนแผ่นดิน แตกแยกออกเป็ นเสี่ยงๆ ได้มีราชวงศ์อวิ๋นเซียวใหม่แห่งหนึ่งลุกผงาด ขึ้นมา ได้ครอบครองอาณาเขตของภูเขาสายน้าเก่าไปเกือบครึ่ง กลายเป็ นหนึ่งในแคว้นที่แข็งแกร่งซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดทางทิศใต้ ของแจกันสมบัติทวีปความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์
แบบก็คือสกุลหงอวิ๋นเซียวมิอาจดึงอารามหลิงเฟยของเซียนจวินเฉา หรงมาเป็ นพวกได้
เจ้าอารามคนปัจจุบันมีฉายาว่า “ต้งถิง” ได้บุกเบิกซากปรัก สนามรบแห่งหนึ่งไว้ริมชายแดนของสองแคว้นนอกอารามเป็ นพื้นที่ ประกอบพิธีกรรม เล่าลือกันว่าเงินจวินลัทธิเต๋าท่านนี้เชี่ยวชาญด้าน การเขียนคาอวยพร ฝึ กตบะมาหกรอบเจี่ยจื่อ ในมือถือยันต์หยก เขียวสามารถสั่งกองทัพหยินเพื่อให้คอยขับไล่บงการมัลละได้