กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1000.3 ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งดุจเปลวเพลิง
ชายแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์อวิ๋นเซียวมีภูเขา สูงตระหง่านแห่งหนึ่งที่ไร ้เงาผู้คน นับแต่โบราณมาก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตน มาบุกเบิกถ้าสถิตอยู่ที่นี่ หูเฟิงและอู๋ถีจิง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่พบ เจอแล้วถูกชะตากันอย่างมากจึงมาเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคที่นี่อย่างเป็ น ทางการ
คาว่างานพิธีก็แค่จุดประทัดไม่กี่พวง ตั้งโต๊ะสุราอาหารโต๊ะหนึ่ง เท่านั้น
ทว่าพื้นที่ที่ปราณวิญญาณบางเบาเช่นนี้ ภูเขาที่พอจะถือว่า บุกเบิกเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมได้อย่างถูไถเช่นนี้ก็ยังถูกตี้ชื่อสกุล หงของอวิ๋นเชียวกลุ่มหนึ่งตามมาเจอ ป่ าวประกาศว่าสถานที่แห่งนี้ คือหนึ่งในต้นกาเนิดแม่น้าเส้นหนึ่งที่ทางราชสานักกาลังจะแต่งตั้ง อย่างเป็ นทางการ ในเมื่อมาเปิดจวนอยู่ที่นี่ ตามกฎแล้วก็ต้องพาพวก เขาสองคนไปที่เมืองหลวงด้วยกันรอบหนึ่ง ต้องถูกกรมพิธีการจดลง บันทึก เขียนชื่อแซ่ ภูมิลาเนาและสานักที่สืบทอดอย่างชัดเจน เมื่อ ทางราชส านักตรวจสอบสถานะและประวัติแล้วถึงจะสามารถก่อตั้ง พรรคได้อย่างเป็ นทางการ อีกทั้งทุกปียังต้องบรรณาการ “ค่าเช่า” ให้กับทางราชส านัก…สรุปก็คือมีเรื่องยิบย่อยยาวเป็ นพรวน ทาเอาอู่ ถีจิงที่ได้ฟังเกือบจะชักกระบี่ฟันคนอยู่
แล้ว
ผลคือพออีกฝ่ ายได้ยินว่าหูเฟิงคือคนของเขตการปกครองหลง เฉวียนซูโจวของราชส านักต้าหลี ท่าทีของราชส านักสกุลหงและขุน นางในท้องถิ่นก็เปลี่ยนไปหนึ่งร ้อยแปดสิบตลบทันที
ไม่เพียงแต่ไม่ได้ตอแยหูเฟิ งต่อ กลับกันยังเป็ นฝ่ ายบอกท่าน เซียนซือจากต่างถิ่นทั้งสองคนว่าต้องการให้พวกเขาน าแผ่นประกาศ ไปแปะไว้ที่ว่าการใกล้เคียง ออกคาสั่งห้ามแห่งขุนเขาหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกนายพรานหรือคนเก็บ สมุนไพรทะเล่อทะล่าเข้ามายังที่แห่งนี้เป็ นการรบกวนการฝึกตนของ เขียนชื่อทั้งสองท่าน
นอกจากนี้ยังมีขุนนางของกรมพิธีการคนหนึ่งที่ตั้งใจมาเยี่ยม เยือนโดยเฉพาะ ข้างกายยังมีผู้ฝึ กตนอายุมากที่เคยเดินทางผ่าน อาณาเขตของหลงโจวเก่าติดตามมาด้วย เขามาพูดคุยกับหูเฟิ ง ถ้อยคาที่ใช ้ระมัดระวังอย่างยิ่ง อันที่จริงก็เพื่อพิสูจน์สถานะคนของต้า หลีของหูเฟิง เห็นว่าหูเฟิงพูดถึงขนบธรรมเนียมของบ้านเกิดได้อย่าง ไร ้ข้อผิดพลาดก็ไม่กล้าถามให้มากความอีก พากันกลับไปอย่าง รวดเร็ว เพราะแค่นี้ก็พอที่จะให้เขาเอากลับไปรายงานกับทางราช ส านักได้แล้ว
ตรงตีนเขา มองส่งอีกฝ่ ายจากไป อู๋ถีจิงถามว่า “พวกเขาไม่คิด ว่ายุ่งยากบ้างหรือ? แค่ถามไปทางอู่โจวของต้าหลีโดยตรงก็ได้แล้ว
ถึงอย่างไรที่ตรอกเอ้อหลางมีหรือไม่มีคนที่ชื่อหูเฟิง จดหมายฉบับ เดียวก็สามารถยืนยันในเรื่องเล็กๆ นี้ได้แล้ว”
หูเฟิงส่ายหน้า “พวกเขาไม่กล้ารบกวนราชสานักต้าหลีด้วยเรื่อง เล็กน้อยแค่นี้หรอกอีกอย่างแคว้นต่างๆ ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติ ทวีปก็กลัวว่าหน่วยจานกานของกรมอาญาต้าหลีจะไปหาที่สุดแล้ว”
อู๋ถีจิงยิ้มเอ่ย “ดูจากท่าทางสกุลหงอวิ๋นเซียวคงแทบอยากจะยก เจ้าขึ้นหิ้งบูชาเลยทีเดียว ฟังจากความหมายทั้งในและนอกของพวก เขา หากพวกเราพยักหน้าตอบตกลงก็สามารถเป็ นผู้ถวายงานเชื้อ พระวงศ์ได้แล้ว? สถานะต้าหลีของพวกเจ้าล้าค่าขนาดนี้เชียวหรือ?”
หูเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ก็แค่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีมา นี้เอง หากเป็ นเมื่อก่อนก็คงไม่ได้มีสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เซียนซื อบนภูเขากับปัญญาชนล่างภูเขาอ่อนน้อมถ่อมตนกับราชวงศ์สกุล หลูและสกุลเกาต้าสุยมากที่สุด ต่อให้เป็ นภายหลังที่กองทัพม้า เหล็กต้าหลีเขมือบกลืนราชวงศ์สกุลหลูก็ยังมีปัญญาชนอยู่ไม่น้อยที่ ยังคงเลื่อมใสศรัทธาในแคว้นอื่น ชอบยกยอเท้าเหม็นๆ ขึ้นมาดม แต่ หากเป็ นสถานการณ์ภายในแคว้นตัวเองกลับจับผิดทุกเรื่อง หากใช ้ คากล่าวของต่งสุ่ยจิ่งก็คือคนที่คุกเข่าพูดจาแข็งกระด้าง ทว่าคนที่ ทั้งๆ ที่สามารถยืนได้กลับดันชอบนั่งคุกเข่าพูด”
“ตอนที่ชุยฉานเป็ นราชครูก็ไม่คิดจะควบคุมหน่อยหรือ? น่ า ร าคาญใจนัก”
อู๋ถีจิงรู ้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก “ตอนนี้คงดีขึ้นแล้วสินะ”
“ราชครูชุยมีความรู้มาก กิจธุระรัดตัว คาดว่าคงไม่มีเวลามา สนใจเรื่องพวกนี้ หรือก็อาจคร ้านที่จะมาควบคุม คาดว่าส่วนลึกในใจ ของราชครูชุยก็คงไม่เคยเห็นพวกเขาเป็ นบัณฑิตกระมัง”
หูเฟิ งพยักหน้า “ปัญญาชนกลุ่มนี้ตอนนี้พากันเปลี่ยนคาพูด ใหม่แล้ว ประชันกันเรื่องความเฉลียวฉลาดสติปัญญา ชาวบ้านอย่าง พวกเราไหนเลยจะสู้คนที่เคยอ่านตาราศึกษาเล่าเรียนมาก่อนอย่าง พวกเขาได้”
เดินขึ้นเขากันไปอีกครั้ง ผู้ฝึกกระบี่สองคนเดินไปคุยกันไปด้วย หูเฟิ ง ตลอดทั้งปี มักจะแต่งกายอย่างยากจนสวมชุดผ้าป่ านสวม รองเท้าสาน เรือนกายแข็งแกร่งกายา อันที่จริงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ มองดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่ได้ดูเฉลียว ฉลาดมีไหวพริบสักเท่าไร เพราะชอบทาสีหน้าที่มชื่อสายตาเหม่อ ลอยอยู่เป็ นประจ า
แต่อู๋ถีจิงที่อายุแท้จริงยังไม่ถึงยี่สิบปี กลับมีรูปโฉมงดงามหล่อ เหลา มีมาดของเซียนซีออย่างมาก สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต ศีรษะสวมกวานหยกม่วง ตรงเอวรัดด้วยเข็มขัดหยกขาว
เพราะหูเฟิ งกังวลว่าร่องรอยของเขาจะถูกเปิ ดเผยท าให้เกิด ปัญหาที่ไม่จาเป็ นจึงบอกให้อู๋ถีจิงใช ้นามแฝง หลีกเลี่ยงไม่ให้ภูเขา ตะวันเที่ยงสืบเสาะข้อมูลจนตามมาเจอ
คนหนึ่งขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งขอบเขตโอสถทอง ทั้งสอง ฝ่ายต่างก็ปิดบังสถานะผู้ฝึกกระบี่ของตัวเอง
แม้จะบอกว่าด้วยขอบเขตของพวกเขาสองคน อยู่ใน ราชวงศ์อวิ๋นเซียวที่มีราชครูเป็ นขอบเขตก่อกาเนิดแค่คนเดียวแห่งนี้ คิดจะเดินกร่างล่างภูเขาก็ยังไม่เป็ นปัญหา เพียงแต่ว่าก็ยังต้อง
ระมัดระวังเพื่อที่จะได้ขับเรือนานหมื่นปี
เมืองเล็กมีค าพูดเก่าแก่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นเดินทางตอน กลางคืนบ่อยๆ สักวันย่อมต้องได้เจอผี หรือยกตัวอย่างเช่นคนที่ เคราะห์ร ้าย วันใดหันตัวกลับก็อาจจะเก็บทองก้อนเจอในกองอาจมก็ เป็ นได้
อู๋ถีจิงคือคนที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูงจนแทบจะใกล้เคียงกับคา ว่าหลงตัวเอง แต่หูเฟิ งกลับเป็ นคนที่นิสัยนุ่มนิ่ม พูดจาอ่อนโยน เชื่องช ้า
ทุกวันนี้พรรคของพวกเขามีพวกเขาแค่สองคน คนหนึ่งเป็ นเจ้า ประมุข คนหนึ่งเป็ นผู้คุมกฎ
คุยกันไปคุยกันมาก็คุยไปถึงกิจธุระต่างๆ ในพรรค วันนี้หูเฟิงก็ พร่าพูดเหมือนสตรีขี้บ่นอีกว่า ตอนที่อู๋ถีจิงออกมาจากภูเขาตะวัน เที่ยงไม่ว่าอย่างไรก็ควรพกเงินเทพเซียนมาด้วยถึงจะถูก ไม่ควร ออกมาตัวเปล่าเล่าเปลือยเช่นนั้น เหมือนกับหย่าร ้างแล้วไม่ได้ ทรัพย์สินอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ถุงเงินสักใบก็ยังไม่มี
อู๋ถีจิงถูกหาเรื่องจนอารมณ์เสียแล้ว ตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “หูเฟิง เจ้า ไม่ร าคาญบ้างเลยหรือไร ถึงได้ชอบยกเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อย!”
หูเฟิงไม่สนใจอู๋ถีจิงที่จู่ๆ ก็เกรี้ยวกราดแม้แต่น้อย ยังคงพูดเนิบ นาบต่อไปว่า “สตรีที่ต่อให้มีฝีมือแค่ไหนไร ้วัตถุดิบก็ปรุงอาหารรส เลิศไม่ได้ เงินหนึ่งแดงก็ทาให้วีรบุรุษอับอายได้ตอนนี้พรรคของพวก เรามีสถานการณ์อย่างไรยังต้องให้ข้าพูดมากอีกหรือ”
ผู้คุมกฏท่านนี้พูดพึมพากับตัวเองว่า “ถึงอย่างไรวันหน้าพรรค แห่งนี้ของพวกเราหากว่ายังมีผู้ฝึกตนทาเนียบที่คล้ายคลึงกับเจ้าอีก สักคน เขาไม่ยินดีจะอยู่ในพรรคนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ควรต้อง มอบเงินให้เขาสักถุง จะต้องให้เงินฝนธัญพืชสักสองสามเหรียญ”
อู๋ถีจิงเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย “ในถ้าสวรรค์มีสมบัติอยู่ ทั่วทุกหนแห่ง แค่เก็บมาสักชิ้นสองชิ้นเอาออกไปขาย ทีนี้ไม่ว่าอะไร ก็มีแล้ว ไหนเลยจะเป็ นเหมือนตอนนี้ที่เป็ นคนยากจนสองคนใช ้ตา ใหญ่มองตาเล็กกันอยู่?”
หูเฟิงส่ายหน้า “ข้าตั้งกฎข้อหนึ่งให้กับตัวเอง ของที่อยู่ในคราบ จักจั่นจะไม่เอาออกไปข้างนอกสักชิ้นเดียว”
หูเฟิงหันหน้ามาเอ่ย “หากว่าเจ้าชอบข้าก็จะมอบคราบจักจั่นให้ เจ้า แต่เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าก่อนเจ้าจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนก็ ต้องรักษากฏข้อนี้เหมือนกัน”
อู๋ถีจิงโบกมือ อย่าเลย ได้หินสังหารมังกรก้อนหนึ่งมาจากหูเฟิงก็ ทาให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์อย่างเขารู ้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจมาก แล้ว อู๋ถีจิงเอ่ยสัพยอกว่า “หูเฟิ ง อย่างเจ้านี่ถือว่ายากจนแต่ยังใจ ใหญ่ไหม?”
หูเฟิ งต้องยินดีมอบถ้าสวรรค์แห่งหนึ่งมาให้จริงๆ ไม่ใช่แค่คิด อยากจะลองใจเท่านั้นแต่อู๋ถีจิงก็ไม่มีทางรับไว้แน่นอน เขาไม่ชอบติด ค้างน้าใจใคร
บ้านบรรพบุรุษของหูเฟิงตั้งอยู่ในตรอกเอ้อหลาง ทุกวันนี้ตลอด ทั้งแจกันสมบัติทวีปต่างก็ทอดถอนใจด้วยความตกตะลึงว่าตรอกหนี ผิงคือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมหยกทองซึ่งเป็ นสถานที่มังกรซ่อน พยัคฆ์หมอบ แต่อันที่จริงตรอกซิ่งฮวาและตรอกเอ้อหลางก็ไม่ได้ด้อย ไปกว่ากัน กลับกลายเป็ นถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ที่ตอนนี้มีแค่จ้าว เหยารองเจ้ากรมพิธีการและเซี่ยหลิงแห่งสานักกระบี่หลงเฉวียน เท่านั้น
นับแต่เด็กมาหูเฟิ งก็ชอบเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ กับ ท่านปู่ที่เปิดร ้านขายของงานมงคล ช่วยซ่อมหม้อไหจานชามและลับ มีดหั่นผักให้กับพวกชาวบ้าน
ภายหลังถ้าสวรรค์หลีจูหล่นร่วงลงพื้น ฟ้ าก็เปลี่ยนสี หูเฟิ ง ติดตามชาวบ้านในเมืองเล็กกรูกันไปที่ลาคลองหลงซวีอย่างคึกคัก เขาเก็บหินที่งดงามมาได้แปดก้อน ขายให้กับสองตระกูลของถนนฝูลู่ และตรอกเถาเย่ ได้เงินก้อนใหญ่มาสองก้อน จากนั้นก็ใช ้เงินส่วน
หนึ่งซื้อบ้านบางส่วนไว้ที่ตัวเมือง ก่อนจะออกจากบ้านเกิดได้ให้เจ้า คนที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งช่วยปล่อยเช่าให้
จากนั้นเอาเงินอีกก้อนหนึ่งมอบให้ต่งสุ่ยจิ่ง ถือว่าเป็ นการร่วมมือ กันท าการค้า หากขาดทุนก็ได้แต่ปล่อยเงินให้ลอยไปตามกระแสน้า ได้กาไรก็ให้เป็ นเงินทุนสาหรับการค้าครั้งถัดไป ส่วนต่งสุ่ยจิ่งจะเอา
ไปท าการค้าอะไร หูเฟิงล้วนไม่สนใจ
ตอนที่ทั้งสองฝ่ ายยังเด็กมากก็สนิทกันแล้ว แต่แรกเริ่มไม่ถือว่า เป็ นเพื่อนกัน
เขากับต่งสุ่ยจิ่งต่างก็มีชาติก าเนิดจากตระกูลยากจนของเมือง เล็ก เนื่องจากในบ้านยังมีผู้ใหญ่ให้พึ่งพา ดังนั้นวันเวลาจึงไม่ถือว่า ยากลาบากเกินไปนัก ตอนนั้นพวกเขาชอบไปเก็บไปค้นของที่ภูเขา เครื่องกระเบื้องจึงมักจะได้เจอกันบ่อยๆ ต่งสุ่ยจิ่งชอบเลือกเศษกระบี่ที่ มีตัวอักษร หูเฟิงชอบเลือกเศษกระเบื้องที่มีภาพวาด ช่วงสองสามปี แรก ทั้งสองฝ่ ายไม่เคยพูดคุยกัน ภายหลังเป็ นต่งสุ่ยจิงที่เปิ ดปาก ขึ้นมาก่อน เด็กสองคนจึงกลายเป็ นสหายกันนับแต่นั้น มีความรู ้ใจ กันดีอย่างยิ่ง ทุกครั้งก่อนตะวันตกดิน ก่อนจะลงไปจากภูเขาเครื่อง กระเบื้องจะมารวมตัวกันแล้วเอาของแลกของ เมื่อเป็ นเช่นนี้ ผลเก็บ เกี่ยวของทั้งสองคนก็จะได้มากกว่าเดิม
ทุกวันนี้ทุกครั้งที่หูเฟิงนึกถึงเรื่องในอดีตก็มักจะรู ้สึกเลื่อมใสใน เคล็ดลับการท าการค้า ของต่งสุ่ยจิ่งจากใจจริง ราวกับว่า
ความสามารถบางอย่างก็มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว ไม่จ าเป็ นต้องสอน กันเลยจริงๆ
ทุกๆ วันที่สองเดือนสองของทุกปี ท่านปู่จะพาหูเฟิงไปกราบไหว้ ที่สุสานเทพเซียน
หลังออกจากบ้านเกิด วันนี้หูเฟิงก็หันหน้าไปยังทิศทางของบ้าน
เกิดแล้วจุดธูปสามดอกคารวะอยู่ไกลๆ
นี่เป็ นเรื่องที่ท่านปู่สั่งเสียเอาไว้ หูเฟิงไม่กล้าลืม
อู๋ถีจิงถาม “คิดไว้แล้วหรือยังว่าจะตอบแทนหลี่ไหวอย่างไร?” หูเฟิงส่ายหน้า “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก” อู๋ถีจิงพลันเอ่ยว่า “ต้องการติดต่อต่งสุ่ยจิ่งสักหน่อยไหม?”
หูเฟิงถามอย่างสงสัย “เจ้าพูดอยู่ตลอดไม่ใช่หรือว่าไม่ว่าเรื่องใด ก็จะไม่ขอร ้องคน อื่น?”
หากไม่เป็ นเพราะเห็นแก่ศักดิ์ศรีและความรู ้สึกของอู๋ถีจิง อันที่ จริงหูเฟิงก็เคยคิดพิจารณาในเรื่องนี้เหมือนกัน ทั้งสองฝ่ ายเป็ นคน บ้านเดียวกัน ทั้งยังรู ้จักนิสัยใจคอกันดี อีกทั้งตอนเด็กก็เคยทา การค้ากันมาก่อนนานแล้ว ต่างก็เชื่อใจอีกฝ่ายอย่างมาก
อู๋ถีจิงยิ้มเอ่ย “ข้าผู้อาวุโสคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมกระบี่ที่ หาได้ยากยิ่ง คือผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ แต่ข้าผู้อาวุโสไม่ มีประสบการณ์ในการใช ้นิ้วสัมผัสก้อนหินให้กลายเป็ นทองค า ใน
กระเป๋ าไม่มีเงินก็พูดจาเสียงดังไม่ได้ เพราะต่อให้ตะเบ็งเสียงดังแค่ ไหนก็ไม่มีใครฟัง หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินแค่นี้ ข้าไม่ใช่คนโง่เสีย หน่อย จะไม่เข้าใจได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็แค่ทาการค้า ร่วมกันเท่านั้น ไม่ใช่การขอร ้องคนอื่นเสียหน่อย”
หูเฟิงคลี่ยิ้ม ไม่พูดแฉ อันที่จริงหลังจากที่อู๋ถีจิงเป็ นเจ้าประมุขก็ อยากจะให้พรรคมีในสิ่งที่ควรมี ผลคือพบว่าหากไม่มีเงินก็ทาอะไร ไม่ได้จริงๆ
พรรคแห่งหนึ่งจะมีแต่กระท่อมมุงหญ้าแฝกแค่ไม่กี่หลังก็คงไม่ได้ กระมัง
ฝ่ ายหูเฟิงกลับสามารถหาวัตถุดิบสร ้างเรือนพักที่เข้าท่าเข้าที ขึ้นมากับมือตัวเองได้แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาสองคน มาพักอยู่ที่นี่ จะไม่น่าขันยิ่งกว่าพักอยู่ในกระท่อมหรอกหรือ?
อู๋ถีจิงเหลือบมองหยกไม้ไผ่ตรงเอวของหูเฟิง “ท่านปู่เจ้ามอบให้ เจ้าหรือ?”
หูเฟิงส่ายหน้า “เป็ นท่านปู่ที่ขอมาให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว”
เมืองหลวงต้าหลี จ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาอยู่ที่ลาคลองชางผู เชื้อเชิญให้ “ศิษย์พี่ศิษย์น้อง” หลายคนที่เคยเรียนอยู่ในสานักศึกษา ซานหยาเก่าซึ่งทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็ นสานักศึกษาชุนซานมากินเลี้ยง
สานักศึกษาชานหยาต้าสุยเปิดการประชุมครั้งหนึ่ง นอกจากเจ้า ขุนเขาหลักรองสามท่านแล้วยังมีวิญญูชนและนักปราชญ์อีกหลาย
คน หลี่ไหวก็อยู่ในบรรดาคนเหล่านี้ด้วย เขานั่งกระสับกระส่ายไม่ใคร่ จะเป็ นสุขนัก
ริมลาคลองหลินเหอของใบถงทวีป อวี๋ลู่กลับคืนมาใช ้ชื่อเดิม ร่วมมือกับเซี่ยเซี่ยสหายร่วมเรียน ทั้งเป็ นการก่อตั้งแคว้นและเป็ นการ กอบกู้แคว้น
ในอาณาเขตของอวิ้นโจวและเหยียนโจวมีโรงเรียนในชนบทเพิ่ม มาแห่งหนึ่ง อาจารย์สอนหนังสือคือคนต่างถิ่น แซ่เฉิน
ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ดอกไม้ภูเขาบานสะพรั่งดุจเปลวเพลิง