กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1003.3 ซ ้อนค่ายกล
ในความเป็ นจริงแล้วเมื่อพันปี กอนเจิ้งจวีจงก็ได้รวบรวมเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองมาไว้แล้ว อาศัยช่องทางต่างๆ ซื้อหาเศษ ชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่อประมาณหนึ่งร ้อยปีก่อน นครจักรพรรดิขาวก็ยิ่งกว้านซื้อ ของสิ่งนี้มาโดยไม่สนต้นทุนที่จะต้องจ่าย จากการลงมือในทาง ส่วนตัวของเจิ้งจวีจงกลายมาเป็ นบทเรียนบทหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ห้าขอบเขตบนแห่งนครจักรพรรดิขาว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและผู้ถวาย งานทุกคนจะแบ่งตามระดับความสูงต่าของขอบเขตรับซื้อเงินเหรียญ ทองแดงแก่นทองก้อนหนึ่งมาในจานวนที่ไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ฝึกตนอิสระอีกมากมายที่สามารถอาศัยของ ชิ้นนี้มาเป็ นอิฐเคาะประตู หลังจากนั้นมานครจักรพรรดิขาวยังสร ้าง ภูเขา “ประตูข้าง” ที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง ไม่ได้รับการบันทึกชื่อแต่สามารถมาฝึกตนอยู่ที่นี่ จะได้รับตาราลับ และคัมภีร ์เต๋าของนครจักรพรรดิขาว
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจถามหลี่ซีเซิ่ง “ต้านรับไหวหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังมิอาจให้คาตอบได้”
หลี่ซีเซิ่งพูดไปตามความจริงว่า “ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเป็ น สถานการณ์แบบใดก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สรุปก็คือพวกเราต้อง
เตรียมใจรับผลลัพธ ์ที่เลวร ้ายที่สุดเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะเจ้าที่แม้ว่า จะแค่ควบคุมค่ายกล มองดูเหมือนแค่นั่งดูอยู่ข้างๆ แต่แท้จริงแล้ว ล าพังเพียงแค่ประคับประคองไม่ให้กระบี่บินสองเล่มบินลอยตัวไม่ร่วง ตกลงไปก็ถือว่าไม่ผ่อนคลายอย่างมากแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า เขาเตรียมใจมาไว้บ้างแล้ว
หลี่ซีเซิ่งยิ้มเอ่ย “มีเพียงเตรียมใจยอมรับผลลัพธ ์ที่เลวร ้ายที่สุด เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติรอคอยผลลัพธ ์ที่ดีที่สุด”
เฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของกาแพงเมืองปราณกระบี่ โค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว อวี่เค่อหลี่เซิ่ง แห่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ดูเหมือนว่าต่างก็เป็ นบุคคลที่สามารถฝาก ความเชื่อถือไว้ให้ได้อย่างไร ้ที่สิ้นสุด
เฉินผิงอันได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหกร ้อยเหรียญมาก็เริ่ม หลอมอย่างรวดเร็วขณะเดียวกันก็ดึงพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแต่ละแห่ง ในฟ้ าดินให้ขยับออกห่างไปสามพันลี้
จุดที่ห่างไปไกล สายตามองเห็นคือแผ่นหลังของผู้ฝึ กกระบี่ “หนุ่ม” คนนั้น
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวอดีตตัวส ารองของสิบผู้กล้า ใต้ฝ่ าเท้า ของเขามีภูเขายันต์สามลูก แม่น้ายันต์หนึ่งสาย
ใช่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์จะลงมือไม่ได้ แต่หากปรมาจารย์ มหาปราชญ์มาผลาญตบะอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าในอนาคตโจวมี่ก็จะ มีโอกาสชนะเพิ่มมาหนึ่งส่วน
อีกอย่างอยู่ที่นี่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ต้องเผชิญหน้ากับ ปัญหายากที่อยู่ในสภาพการณ์พอๆ กับหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่งและเจ้า ลัทธิศาลบุ๋น เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์สามลัทธิต่างหากจึงจะเป็ น สุดยอดของวิถีแห่งการ “ผสานมรรคาด้วยดินอวยพร” แน่นอนว่า บรรพจารย์สามลัทธิไม่ได้ผสานมรรคากับแค่ดินอวยพรเท่านั้น
นี่จึงเป็ นเหตุให้ต้องเลือกทางที่เบาที่สุดจากสองทางที่มีแต่ผลร ้าย สืบสาวราวเรื่องกันแล้วนอกจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้างแล้ว ภัยร ้ายใหญ่ที่ มีร่วมกันของใต้หล้าสี่แห่งในทุกวันนี้ก็ยังคงเป็ นมหาสมุทรความรู ้โจว มี่ที่เดินขึ้นฟ้ าไปแล้วคนเดียวเท่านั้น
หากว่ากันในบางความหมาย หมื่นปีที่ผ่านมาผู้ที่เป็ นสิงห์ร ้ายที่มี ความเห่อเหิมทะเยอทะยานมากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน ก็คือโจวมี่
เจี่ยเชิงแห่งไพศาลในอดีตผู้นี้ทยอยผ่านด่านสามด่าน และอยู่ใน ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็ได้เลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตสิบสี่อย่างเงียบเชียบ
โจมตีกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านมาหมื่นปีให้แตก พ่าย
ก่อสงครามท าให้แผ่นดินของสามทวีปอย่างใบถง ฝูเหยาและ เกราะทองของใต้หล้าไพศาลบ้านเกิดในอดีตจมดิ่งลงอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายจึงเข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์บรรพกาล หลุบตาลงต่ามอง มายังโลกมนุษย์
ก็เหมือนนิยายเทพเซียนปรัมปรายาวนานนับหมื่นปีที่เต็มไปด้วย สีสันตระการตา บนหน้าหนังสือมีวีรบุรุษผู้กล้าจ านวนนับไม่ถ้วนกรู กันมาปรากฏตัว เจ้าเพิ่งร ้องจบข้าก็ขึ้นเวทีแสดงต่อ ต่างคนต่าง
ประสบความส าเร็จในงานของตัวเอง
ผลคือหน้าสุดท้าย แน่นอนว่าสามารถนับย้อนมาจากด้านหลัง เป็ นหน้าที่สอง ตัวอักษรที่เขียนเรียงกันแน่นขนัด ซ้าไปซ้ามา มีแค่ สองตัวอักษรเท่านั้น ก็คือชื่อของคนคนหนึ่ง
ก็เหมือนความคิดในใจบางอย่างของผู้ฝึ กตนบนยอดเขา มากมายในหลายใต้หล้าทุกวันนี้
เฉินชิงตูก็ดี ซิ่วหูชุยฉานก็ช่าง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็ ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
มีเพียงโจวมี่ที่ยังไม่ตาย
และหลี่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจะผ่อนคลายได้อย่างไร? ใน ความเป็ นจริงแล้วหลี่เซิ่งก็คือคนที่ไม่ผ่อนคลายมากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
เพราะวิธีการผสานมรรคาก็คือ ‘พิธี” (หลี่ ยังแปลได้ว่าจารีต มารยาท ธรรมเนียม) ของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล เป็ นเหตุให้การที่ห ลี่เซิ่งขัดขวางการพุ่งชนของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมีความเป็ นไปได้อย่าง
ยิ่งว่าได้แต่อาศัยกายเนื้อและกายธรรมเท่านั้น มิอาจใช ้วิชาอภินิหาร ใดๆ ได้
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทาไมก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงได้ถามหลี่เซิ่งว่า จะต้านทานไว้ได้หรือไม่
หากไม่แล้วนี่ก็เป็ นแค่ประโยคที่ไร ้สาระเท่านั้น
เฉินผิงอันหลอมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหกร ้อยเหรียญให้ หลอมรวมเข้าไปในแม่น้าแห่งกาลเวลา ความเร็วนั้นมีมากอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็เปิ ดปากเอ่ยว่า “ผู้เยาว์มีความคิดสมมติอย่างยิ่ง จะ สามารถซ ้อนค่ายกลเข้าด้วยกันได้หรือไม่?”
อวี๋เสวียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อ้อ ซ ้อนค่ายกล? เจ้าขุนเขาเฉิน เชี่ยวชาญด้านค่ายกลด้วยหรือ?”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช ้เสียงในใจบอกกล่าวความคิดคร่าวๆ ของ ตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว
การซ ้อนค่ายกลต่อจากนั้น
อวี๋เสวียนเป็ นคนชิงลงมือก่อน ดึงเอาชุดคลุมอาคม จื่อชี่” ที่วาด เป็ นภาพปากว้าปลาหยินหยางบนร่างของตัวเองลงมา โยนไปด้าน นอก ชุดคลุมแผ่บดบังฟ้ าดิน
อวี๋เสวียนยื่นมือไปวาดยันต์ วาดเป็ นภาพไท่จี๋สองภาพ บน พื้นฐานที่มีดวงตะวันจันทราขนาดเล็กสองดวงอยู่ในฟ้ าดินนกในกรง
อยู่แล้ว ดวงตะวันจันทราก็พลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว พลัน ปลดปล่อยประกายแสงเจิดจ้า
ขณะเดียวกันนั้นอวี๋เสวียนก็ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลไปนั่ง พิทักษ์อยู่ในดวงจันทร ์ ส่วนดวงตะวันขนาดใหญ่ใหม่เอี่ยมดวงนั้น เปลี่ยนจากตอนแรกที่เป็ นป๋ ายจิ่งมาเป็ นฉุนหยางหลวี่เหยียนแทน
ด้านหลังจิตหยินของฝูลู่อวี๋เสวียนมีรัศมีทรงกลดของดวงจันทร ์ แผ่ออกมา ส่วนด้านหลังกายธรรมของหลวี่เหยียนกลับเป็ นดวงตะวัน ขนาดใหญ่ยักษ์ที่ส่องประกายแสงสีทองอร่าม
นอกจากนี้ก็มีสามค่ายกลฟ้ าดินคน จิตหยาง ร่างจริงและจิตห ยินของเจิ้งจวีจงแบ่งสูงต่าแยกกันพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็เป็ นแรงบันดาลใจที่ได้มาจากบทนาในต้นฉบับของ เซียนเว่ย เฉินผิงอันแบ่งสี่ส่วนของฟ้ าดินให้เป็ นสี่ฤดูกาลในหนึ่งปี ให้ พวกมันเคลื่อนที่หมุนวนช ้าๆ โดยมีความเร็วที่ช ้ากว่าการขึ้นลงของ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร ์เล็กน้อย
หลี่ซีเซิ่งช่วยสร ้างภาพบรรยากาศฟ้ าดินที่มีทั้งสายลม สายฝน ฟ้ าแลบ หมอกอบอวล ฯลฯ
ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้ควบคุมหลักของค่ายกลใหญ่แห่งนี้ เมื่อครู่ นี้หากลงมือโดยอิงตามการอนุมานผลลัพธ ์ของเจิ้งจวีจง เฉินผิงอัน จ าเป็ นต้อง “พยายามท าสุดความสามารถแม้มีความสามารถไม่พอก็ ตาม” แข็งใจเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุห้าชิ้นออกมา นี่จะ
ได้ผลดียิ่งกว่าวัตถุห้าธาตุที่มีระดับสูงยิ่งกว่าซึ่งเอาของผู้ฝึกตนคน อื่นๆ มารวมกันหนึ่งระดับ
อวี๋เสวียนเรียกยันต์ออกมาสิบสองแผ่น แบ่งออกเป็ นสิบสอง เดือน โดยจะให้ผู้ฝึ กกระบี่ป๋ ายจิ่งและเสี่ยวโม่ผลัดกันรับผิดชอบ บัญชาการณ์อยู่ด้านในทุกๆ ครั้งที่มีเดือนอธิกสุรทินปรากฏขึ้นมา
หลังจากนั้นก็เป็ นยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลที่ทับซ ้อนกันซึ่งเป็ นฝี มือ ของหลี่ซีเซิ่ง
ต่อมาก็เป็ นเจ็ดสิบสองภูมิอากาศที่แบ่งแยกย่อยได้ละเอียดยิ่ง กว่าเดิม เฉินผิงอันต้องไล่เป็ ดขึ้นคอน (เปรียบเปรยว่าไม่อยากท าแต่ ถูกบังคับให้ท า) เรียกตราประทับเจ็ดสิบสองชิ้นที่แกะสลักขึ้นเอง
ออกมา
สุดท้ายหลี่ซีเซิ่ง เจิ้งจวีจงและอวี๋เสวียนก็ได้แยกกันจัดตั้งพิธี บวงสรวงเทพเทวดาขจัดภัยพิบัติ พิธีโจวเทียนต้าเจี้ยวและพิธีผู่เทียน ต้าเจี้ยวของลัทธิเต๋า คุณูปการดุจดั่งแสงเทียนสาดส่องไปทั่วผืนฟ้ า น้าค้างแข็งเกาะตัวเป็ นชายคาหยก หยดน้าใสโอสถเมฆา
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่มีรูปโฉมเป็ นคนหนุ่มผู้นั้น ในที่สุดก็ หันหน้ากลับมามองภาพบรรยากาศที่เกิดขึ้นด้านหลังเป็ นครั้งแรก
แม้ว่าจะถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเพียงแค่การกระท า เล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ยังท าให้ป๋ ายจิ่งรู ้สึกเปรี้ยวฝาดในใจนิดๆ อยู่ดี
นางกับเจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน ก่อนหน้านี้ทั้งสอง
ฝ่ายเจอหน้ากัน อีกฝ่ายก็ไม่เคยมีท่าทีอะไร และเวลานี้เอง นอกฟ้ าก็ปรากฏเงาร่างของคนหลายคนที่มาจาก
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง แต่พวกเขาต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้ค่ายกลใหญ่ที่ทับซ ้อนกันนี้ สอง
ฝ่ายจึงอยู่ห่างกันไปไกลมาก
ป๋ ายจิ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรท า นางจึงเท้าคางด้วยมือข้างเดียว โบก มือให้กับพวกสหายเก่าที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้งพวกนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ย ว่า “โชคชะตาเล่นตลกกับคน เปลี่ยนจากมิตรกลายเป็ นศัตรู”
ผู้ฝึ กตนกลุ่มนั้นต่างก็เป็ นปี ศาจใหญ่บรรพกาลที่ถูกป๋ ายเจ๋อ ปลุกให้ตื่น ตอนนี้ยังไม่รู ้ว่าแค่มาชมความครึกครื้นหรือมาก่อกวนกัน แน่
ปีศาจใหญ่กวนอื่คือสาวงามที่มีสีหน้าซีดขาว ริมฝีปากเป็ นสีแดง สด วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเป็ นวิชาน้า เล่าลือกันว่าเมื่อหมื่นปี ก่อนนางก็สามารถทาให้แม่น้าแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งเกาะตัวเป็ น น้าแข็ง เพียงแต่ว่ารอกระทั่งน้าแข็งละลายแล้ว สรรพชีวิตทั้งหมดก็ได้ หลอมละลายอยู่ในแม่น้ายาวไปนานแล้ว
ข้างกายกวนอี่คือคนหนุ่มที่ชอบหรี่ตามองคน ทาหน้ายิ้มได้ ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช ้าจรดเย็น ใช ้นามแฝงว่าหูถู
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ขี่กวางสวมกวานไม้ ไผ่ ทุกวันนี้ใช ้นามแฝงที่ธรรมดาสามัญอย่างมาก หวังโหยวอู้ ทว่า ฉายากลับไพเราะสง่างามยิ่ง “ซานจวิน”
นักพรตเฒ่าคิดว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ “นักพรต” ผู้ นั้นมาโดยตลอด ครั้งนี้ตื่นขึ้นมาก็มีความปรารถนาอย่างหนึ่ง อยากจะขึ้นเขาไปตามหาอาจารย์เพื่อจะได้สืบทอดวาสนาอาจารย์ และศิษย์กันต่อ
หญิงชราคนหนึ่งที่เรือนกายเล็กเตี้ยเหมือนคนหลังค่อม สองมือ ถือไม้เท้า ในกลุ่มของปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร ้างก็มีเพียงนางที่กาลัง ดูดซับเอาปราณวิญญาณและกลิ่นอายมรรคาที่พุ่งสะเปะสะปะไปทั่ว มาอย่างบ้าคลั่ง และเรือนกายที่เสื่อมโทรมรูปโฉมที่แก่ชราของนางก็ เริ่มเปลี่ยนจากแก่ไปเป็ นเด็กอย่างที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ป๋ ายจิ่ง เห็นว่าเป็ นเช่นนี้ก็เบ้ปากหันหน้าไปยิ้มอธิบายกับเฉินผิงอันว่า “งิ้วที่ หญิงชราผู้นี้เล่นถนัดที่สุดก็คือหลอมลมปราณเปลี่ยนจิตวิญญาณ เปลี่ยนจากลวงมาเป็ นจริง เมื่อหมื่นปี ก่อนก็ไม่รู ้ว่านางกินปราณ วิญญาณฟ้ าดินไปกี่มากน้อย ภายหลังหวงหลวนผู้นั้นก็เดินบน เส้นทางเก่าที่นางเคยเดิน”
พูดมาถึงตรงนี้ป๋ ายจิ่งก็หัวเราะอย่างชั่วร ้าย “เจ้าขุนเขา เจ้า ขุนเขา เจ้าอ่านหนังสือมามาก ความรู ้ก็ยิ่งใหญ่ หากเปลี่ยนเป็ นเจ้า ควรจะด่าหวงหลวนว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เดินทางไปบนทางเส้น เดียวกับที่รถคันก่อนพลิกคว่า รถของตัวเองก็จะพลิกคว่าเช่นกัน”
เสียงไม่ดังมาก แต่กลับเข้าหูหญิงชราอย่างชัดเจน หญิงชราวาง คางพาดไว้บนไม้เท้าเอ่ยเย้ยหยันว่า “นี่ก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของ กาแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? ช่างมีขอบเขต สูงยิ่งนัก!”
เสี่ยวโม่ยกไม้เท้าในมือขึ้นชี้ไปยังเด็กหนุ่มดวงตาดาสองชั้นที่อยู่ ห่างไปไกล ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง “คุณชาย ทุกวันนี้เขาใช ้ นามแฝงว่า “หลีโก้ว” ฉายาในการฝึกตนคือ “เฟยเฉียน” ในบรรดา ปีศาจใหญ่กลุ่มนี้เขาสามารถป้ องกันได้เป็ นอันดับหนึ่ง ครั้งนี้ปรากฏ ตัวในเปลี่ยวร ้างหลังผ่านมาหมื่นปีก็ได้เก็บเอาสมบัติเซียนมารวด เดียวถึงแปดชิ้น สิ่งของล้วนกลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว ฉายาของเขา ก็คือ “ปลามอด” ชอบกินหนังสือ หลีโก้วมีความคิดอย่างหนึ่งมานาน แล้วว่าจะพยายามสร ้างพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่เป็ น “นครตาราไร ้ ราตรี” ขึ้นมา”
ป๋ ายจิ่งพยักหน้ารับอย่างแรง “ไอ้หมอนี่ทั่วร่างมีแต่สมบัติ แต่ละ ชิ้นล้วนมีมูลค่าควรเมือง! พูดถึงแค่ถุงจักรวาลสีเหลืองและน้าเต้าจับ ปีศาจลูกนั้น ข้าก็อยากได้มานานมากแล้วเจ้าขุนเขา คราวหน้าหาก มีโอกาส ภายใต้สถานการณ์ที่ข้าไม่ทาผิดกฎ พวกเราสองคนร่วม แรงกันจัดการเขาดีไหม?”
ข้างกายหลีโก้วที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่มคือชายฉกรรจ์ร่างก าย า เขาเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่ถูกป๋ า
ยจิ่งเรียกว่า “อู๋หมิงซื่อ” ผู้นี้ จุดที่เขาสนใจมากที่สุดก็ยังคงเป็ นอิ่นก วานหนุ่มที่เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มคน
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่เซิ่งหันหน้ากลับมามองปีศาจ ใหญ่เปลี่ยวร ้างที่พยศยากการาบกลุ่มนี้
นอกจากอู๋หมิงชื่อที่ยังมีสีหน้าเกียจคร ้านแล้ว ปี ศาจใหญ่คน อื่นๆ ต่างก็ทาท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เริ่มกลั้นหายใจ ท าสมาธิกันแล้ว