กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1004.2 สถานที่แห่งการผสานมรรคา
มองจากภายนอกหากผู้ฝึ กลมปราณท านายเหตุการณ์ได้ ล่วงหน้า ล่วงรู ้อนาคตอย่างแม่นย า ดูเหมือนว่าจะสามารถรับมือกับ กระบี่บินที่พุ่งมาอย่างวุ่นวายไร ้เหตุผลเหล่านี้ได้เพียงแต่ว่าการ เปลี่ยนแปลงเพียงเสี้ยววินาทีบนสนามรบก็สามารถนาพาการ เปลี่ยนแปลงนับหมื่นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผชิญหน้ากับผู้ฝึ ก กระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไหนเลยจะอนุญาตให้ผู้ฝึ กตน ขอบเขตเดียวกันมีเวลาได้คานวณถึงวิถีของกระบี่บินอยู่ในใจ
เจิ้งจวีจงมองเซี่ยโก่วแวบหนึ่ง
ป๋ ายจิ่งผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ที่มีชื่อเสียง มาตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน ในฐานะคนนอกสถานการณ์และคนที่เฝ้ า มองอยู่ข้างนอก นางถึงกับสามารถ “ทาซ้า” ค่ายกลที่ทับซ ้อนกันนี้ ของพวกเขาได้ในระดับที่แน่นอน วิถีการออกกระบี่อิงตามค่ายกล ไม่ เพียงเท่านี้ นางยังจงใจอนุมานย้อนกลับไป ดังนั้นความเร็วของกระบี่ บินก็จะต้องถูกก าหนดมาแล้วว่าจะยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะบอกว่าการคัดลอกประเภทนี้ของป๋ ายจิ่งค่อนข้างจะหยาบ ไปสักหน่อย ความหมายไม่บริสุทธิ์มากพอ แต่ก็พอที่จะทาให้คนอื่น ต้องมองนางเสียใหม่ ต่อให้นางจะไม่ใช่ผู้ฝึ กกระบี่ แต่คิดดูแล้ว ความสาเร็จบนมหามรรคาก็น่าจะไม่ต่าแน่นอน
หากจะบอกว่ากระบี่แรก ป๋ ายจิ่งถามออกไปตามมารยาท
ถ้าอย่างนั้นหลังจากนั้นก็เป็ นการถามกระบี่อย่างแท้จริงแล้ว
แล้วก็จริงอย่างที่เจิ้งจวีจงคาดการณ์เอาไว้ เซี่ยโก่วเหมือนคนที่ นั่งบัญชาการณ์อยู่บนแท่นพิธีในงานพิธีใหญ่ผู่เทียนที่จัดขึ้นอย่าง ยิ่งใหญ่อลังการ บูชาองค์เทพสามพันหกร ้อยองค์ กลุ่มดวงดาว จัดเรียงตามต าแหน่ง สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับได้อย่างยอด เยี่ยมเห็นเพียงว่าเซี่ยโก่วที่เป็ นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเผย กายได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยิ้มเอ่ยสองค าว่า “ลดธง”
แสงกระบี่เฉียบคมสามพันหกร ้อยเส้นที่ยึดครองตาแหน่งดวงดาว ก็พลันรวบเข้ามารวมกันอยู่ในจุดหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าหาหลีโก้วที่หัวหลุด
ออกจากตัว
หลีโก้วถูกแสงกระบี่ทิ่มแทงเหมือนถูกผึ้งทั้งฝูงรุมต่อย ไม่ใช่แค่ เนื้อฉีกเลือดโชกเท่านั้น ทั้งเส้นเอ็นและกระดูกก็ล้วนแหลกเละ ทั้งหมด ถ้าสถิตในฟ้ าดินร่างมนุษย์ระเบิดหมดทุกแห่ง
ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ก็ไม่มีใครคิดว่าหลีโก้วพ่ายแพ้ หรือถึงขั้น ที่ว่าบางทีเขาอาจจะยังไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยซ้า
หลีโก้วประกอบร่างเดิมพลับคืนมาในเสี้ยววินาที จากนั้นยกมือ ขึ้นกวัก เรียกเอาศีรษะที่ถูก “เท้าหนึ่ง” เตะจนยุบกลับมาไว้บนลาคอ กลิ่นอายแห่งมรรคาไหลริน ประกายแสงไหลวูบวาบ ใบหน้าของเขา ก็กลับคืนมาเป็ นดังเดิม
ส่วนอู๋หมิงซื่อผู้นั้นก็ยืนอยู่ที่เดิม ถึงขั้นที่ว่ายังหยิบเหล้ากาหนึ่ง ออกมาจากชายแขนเสื้อ เพียงแค่อาศัยพายุหมัดที่สมบูรณ์เปี่ยมล้น ซึ่งแผ่ขยายไปรอบกายมาต้านรับแสงกระบี่ที่ “ผ่านทางไป” เหล่านั้น
อีกทั้งปณิธานหมัดของผู้ฝึกตนขอบเขตปลายทางขั้นสมบูรณ์ แบบควบด้วยผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางผู้นี้ หากมองอย่างละเอียด
ก็สามารถแบ่งได้เยอะถึงสิบชั้น
ต่อจากนั้นก็เป็ นงานพิธีใหญ่ของลัทธิเต๋าอีกสองครั้ง จานวนแสง กระบี่ของป๋ ายจิ่งลดลง ทว่ากลับมีประกายเฉียบคมยิ่งกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าหลังจากปล่อยกระบี่ออกไปสามครั้ง หลีโก้วก็ยัง สามารถฟื้นคืนร่างเดิมกลับมาในช่วงช่องว่างก่อนที่นางจะปล่อย กระบี่ครั้งถัดไปได้เสมอ
ยามที่ค่ายกลกระบี่เจ็ดสิบสองกาลอากาศถูกเปิดขึ้น “ป๋ ายจิ่ง” เจ็ดสิบสองคนก็แยกกันไปยืนอยู่คนละจุด เด็กหนุ่มที่มีดวงตาดาสอง ชั้นซึ่งถูกกักอยู่กลางค่ายกลใหญ่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว กระบี่ชี้ ไปที่หลีโก้ว แสงกระบี่เจ็ดสิบสองเส้นเหมือนมังกรยาวสีขาวหิมะที่เกิด จากการถักทอกันของสายฟ้ าพุ่งมากระแทกใส่ร่างของหลีโก้ว เป็ น เหตุให้ฝ่ ายหลังกลายมาเป็ นแสงสีทองที่เกิดจากเลือดเนื้อกองใหญ่ หลอมละลายรวมกัน เพียงแต่ว่าในแสงสีทองยังมีเส้นสายอีกนับไม่ ถ้วนสลับถักทอกันอยู่ด้วย
หลังจากนั้นลาดับการออกกระบี่ของป๋ ายจิ่งก็เป็ นไปตามขั้นตอน เป็ นเหตุให้ดูแล้วตายตัวอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นจึงเหมือนการโอ้อวด อย่างหนึ่งเสียมากกว่า
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มหน้าตายคนก่อนหน้านี้แล้ว หลีโก้วที่ฟื้น คืนร่างจริงกลับมาอีกครั้งมีประกายแววตาสดใสเจิดจ้า จ้องไปที่ป๋ า
ยจิ่งเขม็ง
ป๋ ายจิ่งเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หัวเราะร่า “โอ้โห ถูกฝนปรอยๆ ประพรมลงบนร่างเล็กน้อยแค่นี้ก็โกรธแล้วหรือ”
เสี่ยวโม่ใช่เสียงในใจอธิบายให้ฟัง “หลีโก้วผู้นี้แม้จะยังไม่ใช่ ขอบเขตบินทะยาน แต่ฝีมือในการป้ องกันกลับสูงมากจนสามารถ มองเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้เลย การที่ป๋ ายจิ่งตอแยหลีโก้วไม่เลิกก็เพราะ อยากจะหาเวทกระบี่เฉพาะอย่างที่สามารถไขปัญหาเรื่อง “คนไร ้ ขอบเขต” ได้เจอ นางจาเป็ นต้องมั่นใจว่าทางเส้นหนึ่งในวิถีกระบี่สอง สายที่เดินสรุปแล้วเป็ นการใช ้ความจริงท าลายภาพมายา ใช ้แสง กระบี่เมล็ดงาเมล็ดหนึ่งที่เล็กจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้มาฟันเปิดดินแดน ไท่ชวีที่กว้างใหญ่จนหาขอบเขตสิ้นสุดไม่ได้ หรือว่าใช ้ภาพลวงตาที่ ซุกซ่อนภาพลวงตาที่ใหญ่ยิ่งกว่ามาทาการ…กลืนกินอีกฝ่ ายใน ท้ายที่สุด ก็เหมือนอย่างการ “หว่านแห” ก่อนหน้านี้ที่เป็ นตัวอย่างข้อ หนึ่งในการแสดงออกของวิถีกระบี่เส้นนี้ของป๋ ายจิ่งการที่นาง สามารถเลียนแบบค่ายกลของพวกเราได้เร็วขนาดนี้ สืบสาวราวเรื่อง กันแล้วก็เพราะมหามรรคาของนางสอดคล้องกับเวทกระบี่อีกเส้นหนึ่ง
จึงถูกนางนามาใช ้ในทันทีที่ได้เรียนรู ้มา ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่เพราะ เมื่อหมื่นปีก่อนป๋ ายจิ่งอยากสร ้างวีรกรรมหนึ่ง ก่อนที่นางจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ นางจาเป็ นต้องสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งให้ ได้เสียก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้า ดูเหมือนว่าหัวสมองของป๋ ายจิ่งจะท าให้นาง
มีคุณสมบัติได้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกว่า “เสี่ยวโม่ ความลับที่เกี่ยวพันกับ รากฐานมหามรรคาของป๋ ายจิ่งพวกนี้ เจ้ารู ้ได้อย่างไร? แม่นางเซี่ย ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจมากเลยนะ”
เสี่ยวโม่มีสีหน้าอ่อนใจ “ไม่ใช่ว่านางบอกข้า เพียงแต่ว่ารู ้จักกัน มานาน ต่างฝ่ายต่างรู ้ไส้รู ้พุงกันดี”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ถ้าอย่างนั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสอง เล่มของข้าจะไม่เป็ นหนึ่งในอาหารบนมหามรรคาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ของป๋ ายจิ่งได้พอดีหรอกหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “นางไม่กล้าหรอก”
เฉินผิงอันเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เงื่อนไขก็คือข้าต้องไม่ถูกโดด เดี่ยว”
เสี่ยวโม่หรี่ตาลง
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ล้อเล่นน่า อย่าเอาจริงเอาจัง ขนาดนี้สิ”
เสี่ยวโม่กล่าว “เว้นเสียจากว่าสุดวิสัยจริงๆ อันที่จริงข้าก็ไม่ อยากจะเป็ นศัตรูกับนาง”
เฉินผิงอันเอ่ย “คิดแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งมองไปยังทิศไกล เอ่ยว่า “โจวมี่คิดจะบีบให้บุคคลผู้นั้น ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเป็ นฝ่ายปรากฏตัวด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็รู ้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที ถามว่า “ตามหลักแล้วบุคคลผู้นั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างไม่ควรจะขัดขวาง การกระทานี้ของโจวมี่หรอกหรือ?”
หากใต้หล้าสองแห่งพุ่งชนกัน ไม่ว่าหลังจากทั้งสองชนกันแล้ว เรือสองล าจะแล่นสวนกันไป ปาดเอาทวีปใหญ่อย่างน้อยหนึ่งถึงสอง ทวีปของแต่ละใต้หล้าให้ราบเรียบ หรือชนกันจนเกิดเป็ นรอยเว้า ขนาดใหญ่มหึมาแล้วดีดตัวออกจากกัน หรือไพศาลกับเปลี่ยวร ้างจะ เชื่อมดินแดนกันเพราะเหตุนี้…ไม่ว่าจะเป็ นสถานการณ์ไหน สาหรับ “เจ้าของที่ดิน แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สถานการณ์ที่พวกเขายินดีจะ ได้เห็นเลย
สถานการณ์อย่างที่สามร ้ายแรงที่สุด ก็เหมือน “เจ้าของที่ดิน” สองคนที่จาเป็ นต้องปกป้ องพื้นที่ของตัวเอง ไม่มีที่ว่างเหลือให้ถอย
หลังกลับอีกต่อไป ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ว่าพบเจอกันบนทางแคบ ต้องประจัญบานกัน
แน่นอนว่าเมื่อเป็ นเช่นนี้หลี่เซิ่งก็คือคนที่จะได้รับผลกระทบมาก ที่สุด
นี่แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่โจวมี่เดินขึ้นฟ้ าแล้วได้เห็นหลี่เซิ่ง เป็ นภัยแฝงที่ใหญ่ที่สุดบางทีเฉินผิงอันอาจจะอยู่แค่อันดับที่สอง เท่านั้น
จัดการกับเฉินผิงอันก็แค่โยนหมากเม็ดหนึ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว เท่านั้น
แต่จัดการกับหลี่เซิ่งต้องยกใต้หล้าเปลี่ยวร ้างทั้งแห่งมา
เฉินผิงอันรู ้จักบุคคลที่ว่านั้น ทุกใต้หล้าล้วนมีอยู่ ก็คือบุคคลที่ คอยสยบก าราบ เป็ นจุดอ่อนของกันและกันกับบุคคลอันดับหนึ่งของ ทุกใต้หล้า
ก็เหมือนอย่างใต้หล้าห้าสีที่มีแม่นางน้อยนามว่า “หยวนเซียว” คนนั้น หรือก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่หวงถึงแห่งภูเขาไท่ผิงรับมา ทุก วันนี้แม่นางน้อยฝึกตนอยู่ข้างกายหนิงเหยา
ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัว เฉินผิงอันเดาว่าเป็ นซินขู่ผู้ฝึกยุทธ ของยอดเขารุ่นเยว่เพราะถึงอย่างไรจากการคุยเล่นกันหลายครั้ง ลู่ เฉินก็ให้หลักฐานแก่เขาไว้มากมาย
ส่วนใต้หล้าไพศาลก็คือคนถ่อเรือที่เล่าลือกันว่า “ตั้งป้ อม ประจันหน้า” กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ เฉินผิงอันถึงขั้นเดาว่า “เพื่อนบ้าน” ที่ถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์สังหารผู้นั้นรวมไปถึงคน บางคนที่หนังสือประวัติศาสตร ์ของโลกยุคหลังกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์ มหาปราชญ์ขึ้นเขาเงื้ออขวานสังหารเขาด้วยตัวเอง ต่างก็เป็ นบุคคล มหัศจรรย์ที่จาแลงขึ้นมาจากฟ้ าดินของใต้หล้าไพศาล
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “สาหรับเรื่องที่ไพศาลโจมตีเปลี่ยวร ้าง บุคคล ผู้นั้นของเปลี่ยวร ้างน่าจะสัมผัสได้ว่าเป็ นภัยร ้ายรุนแรงอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงโมโหอย่างมาก”
“พูดถึงแค่สามใต้หล้าอย่างมืดสลัว ไพศาลและเปลี่ยวร ้าง เจ้าก็ พอจะเดาออกแล้วในบรรดานี้ก็เป็ นมรรคาจารย์เต๋าที่สามารถกดข่ม บุคคลนี้ได้อย่างมีประสิทธิผลที่สุดนอกจากมรรคกถาจะสูงแล้ว แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับรากฐานลัทธิเต๋าและการแสวงหามรรค กถาด้วย ซินขู่ผู้ฝึกยุทธของยอดเขารุ่นเยว่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่อาจ เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธได้ นี่ยังเป็ นเพราะมรรคาจารย์ เต๋าจงใจขยายขีดจ ากัดให้เขามากแล้ว ส่วนใต้หล้าไพศาลที่ เนื่องจากระเบียบพิธีการซับซ ้อนยิบย่อยมากที่สุด ปรมาจารย์มหา ปราชญ์กับบุคคลผู้นั้นต่างฝ่ ายต่างเหมือนน้ากับไฟ ส่วนใต้หล้า เปลี่ยวร ้าง บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ขาดแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น แต่ สุดท้ายก็ไม่เคยได้เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้า นี่แสดงให้เห็นว่าใน บรรดาสามคนบุคคลผู้นั้นคือคนที่…”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คือคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งเงยหน้ามองไปยังจุดอื่น พยักหน้าเอ่ยว่า เชื่อว่านี่มี ความเกี่ยวข้องกับแผนการของโจวมี่ หากตอนนั้นไม่ได้เดินขึ้นฟ้ า จากไป ทางถอยของเขาเกรงว่าน่าจะต้อง “ผสานมรรคา” กับบุคคลผู้ นี้ และอาศัยสิ่งนี้มาเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้า”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วเอ่ย “บุคคลผู้นี้ไม่ใช่ว่าหาเจอได้ยากมากอีก ทั้งฆ่าอย่างไรก็ฆ่าไม่ตายหรอกหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะ มองเฉินผิงอันแล้วย้อนถาม “จะต้องฆ่าเสมอไป หรือ?”
เฉินผิงอันซื้อใบ้พูดไม่ออก
ก็จริงนะ แค่จับขังไว้ก็ได้แล้ว
ทางฝั่งของสนามรบที่อยู่ห่างไปไกล แสงกระบี่พลันหายไป เชี่ยโก๋วเบ้ปาก “แค่ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ”
ประเด็นสาคัญคือมาเจอกับเจ้าคนที่โดนตีแล้วก็ยังไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่รู้จักด่าตอบ
อู๋หมิงซื่อโบกมือ สลายปณิธานกระบี่ที่กระจัดกระจายล้อมวนไม่ จางหายพวกนั้นทิ้งไปยิ้มเอ่ยว่า “ป๋ ายจิ่ง ระบายอารมณ์เสร็จแล้วหรือ แน่ใจว่าจะไม่สู้ต่อแล้วใช่ไหม?”
หลีโก้วสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย เงียบงันไม่พูดไม่จา
ถูกคนบ้าอย่างป๋ ายจิ่งผู้นี้ผลาญตบะทิ้งไปอีกหลายร ้อยปี
เซี่ยโก่วกระตุกมุมปาก “ป๋ ายจิ่งอะไรกัน เซี่ยโก่วอะไรกัน ทุก วันนี้ข้าชื่อเหมยฮวาแล้ว”
ถึงอย่างไรก็เป็ นผู้ฝึกตนของไพศาล อวี่เสวียนอดไม่ไหวหันไป มองผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกอิ่นกวานหนุ่มเรียกว่า “เสี่ยวโม่
เซี่ยโก่วเดินหนึ่งก้าวมาอยู่เบื้องหน้าหลีโก้ว เผชิญหน้ากับเด็ก หนุ่ม นางยกสองมือเท้าเอวฉับ ถลึงตาเอ่ย “มองอะไรของเจ้า? ยังไม่ ยอมแพ้อีกหรือ?!”
หากไม่เป็ นเพราะกังวลว่าเสี่ยวโม่จะเข้าใจผิด นางคงเอาหัวโหม่ง หัวเด็กหนุ่มหน้าตายผู้นี้ให้เละไปแล้ว
หลี่ซีเซิ่งถาม “รู ้หรือไม่ว่าทาไมหลี่เซิ่งถึงต้องดึงเจ้าและอาจารย์ เสี่ยวโม่มาที่นี่ด้วย?”
เฉินผิงอันมองไปทางยันต์ภูเขายันต์สายน้าที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว พยักหน้า “เพราะข้าผสานมรรคากับกาแพงเมืองปราณกระบี่ ครึ่งหนึ่ง”
หลี่ซีเซิ่งถาม “เจ้าเต็มใจจริงๆ หรือ? สละได้จริงๆ หรือไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอแค่ศาลปุ่ นบันทึกคุณความชอบครั้งนี้ให้ เป็ นของนครบินทะยานก็ไม่มีอะไรที่ข้าสละไม่ได้”
กาแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง เดิมทีนี่อาจจะเป็ นรากฐานที่ทา ให้ในอนาคตเฉินผิงอันเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้สาเร็จ
เสี่ยวโม่ส่งเสียงเตือนป๋ ายจิ่งว่าสามารถกลับมาได้แล้ว
เซี่ยโก่วพลันหันหน้ากลับมา คลี่ยิ้มกว้างให้เสี่ยวโม่ นางไม่ถือ สาหลีโก้วอีก แสงกระบี่เปล่งวูบหนึ่งครั้งก็กลับเข้ามาในค่ายกลใหญ่
ทันที
ที่แท้ด้านหน้าสุด กายธรรมของหลี่เซิ่งได้ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ยันใต้หล้าเปลี่ยวร ้างทั้งแห่งเอาไว้แล้ว