กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1005.1 ก็ลองดู
มือหนึ่งสกัดขวางใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เท้าหนึ่งของกายธรรมหลี่ เซิ่งก้าวถอยหลัง เหยียบอยู่บนภูเขายันต์ลูกหนึ่งให้มันเป็ นจุดที่ช่วย ค้าประคอง
ยันต์สีทองในภูเขามีมากนับล้านแผ่นประหนึ่งเถาวัลย์ที่เติบโต อย่างบ้าคลั่งแผ่ลามมาห่อหุ้มข้อเท้าของหลี่เซิ่งเอาไว้ พริบตาเดียว กายธรรมใหญ่โตโอฬารที่เดิมทีเกือบจะแหลกสลายก็กลับคืนสู่ รูปลักษณ์ กลับคืนสู่ยอดเขาสูงสุดได้อีกครั้ง
หลี่เซิ่งยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออก เผยให้เห็นกระจก ทรงกลมสีทองบานหนึ่ง ตัวอักษรที่แกะสลักรอบกระจกเป็ นวงๆ ล้วน เป็ นตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งวางอยู่ใน ศาลบุ๋นของแต่ละยุคแต่ละสมัย
ตัวอักษรสีทองทุกตัวหมุนวนด้วยตัวเองคล้ายกับน้าวน ชักนา กลุ่มดาวที่ถูกโลกยุคหลังจัดไว้เป็ นหมู่ดาวบนภาพปรากฏการณ์ ท้องฟ้ า ชักน าแสงจ านวนนับไม่ถ้วนให้พุ่งจากทิศไกลเข้ามาในน้าวน แห่งนี้
ขณะเดียวกันจากที่ใต้หล้าไพศาลก็มีเส้นยาวสีทองลอยทะยาน ขึ้นมากลางอากาศวาดเป็ นเส้นโคงเส้นแล้วเส้นเล่า เส้นโค้งทุกเส้น
ล้วนประกอบขึ้นจากตัวอักษรซึ่งก็คือตาราอริยะปราชญ์ที่สมบูรณ์ เล่มหนึ่ง
เพียงแต่ว่าการ “สัมผัส” กันในครั้งนี้ทาให้พายุที่อยู่นอกฟ้ าชัด กระเพื่อมไม่หยุดประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ทับซ ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า พวก เจิ้งจวีจงที่อยู่ในค่ายกลใหญ่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงโยกไหวที่รุนแรง จากค่ายกลฟ้ าดินที่ทับซ ้อนกัน ส่วนเฉินผิงอันที่หากไม่เป็ นเพราะมี เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เกรงว่าแค่การกระแทกชน ครั้งนี้ก็คงถูกลมปราณที่ชัดโหมพุ่งมาห่อหุ้มเอาไว้ และเขาที่เป็ นคน ควบคุมค่ายกลใหญ่ก็คงจะขอบเขตถดถอยไปแล้ว
ยังมีปี ศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร ้างที่ชมศึกอยู่ด้านข้างกลุ่มนั้นที่ เนื่องจากไม่มีค่ายกลคอยปกป้ อง ก็แทบจะรั้งร่างกายไว้ให้มั่นคง ไม่ได้
ผู้ฝึกลมปราณเซียนดินในทุกวันนี้ หากอยู่บนมหามรรคานอก ฟ้ าเส้นนี้ เผชิญหน้ากับกระแสน้าขึ้นลูกนั้น คาดว่าคงมีแต่จะไร ้ เรี่ยวแรงให้ต้านทาน กายคงดับมรรคาสลายแหลกเป็ นผุยผงหายวับ ไปอย่างสิ้นเชิงในเสี้ยววินาที
ด้วยนิสัยการกระท าของหูถูแล้ว เขาค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ ยินดีจะสิ้นเปลืองปราณวิญญาณและเผาผลาญสมบัติอาคมบนร่าง ของตัวเองจึงมายืนอยู่ด้านหลังอู๋หมิงซื่อและหลีโก้ว
ปีศาจใหญ่บรรพกาลคนอื่นๆ ที่เหลือก็เอาอย่าง พากันมายืน เกาะกลุ่มในทันที
นักพรตเฒ่าสวมกวานไม้ไผ่ที่มีฉายาว่าซานจวินไม่ขี่กวางขาว อีกต่อไป แต่ยืนอยู่บนหลังของอีกฝ่ าย ทอดสายตามองไปยังทิศไกล โบกตวัดแส้ปัดฝุ่ นไม่หยุด ปัดพายุลมกรดที่พุ่งมาปะทะใบหน้าไม่
ขาดสายให้เบี่ยงเส้นทางออกไป
หลีโก้วคือคนที่มีพลังการป้ องกันสูงที่สุดในกลุ่มปีศาจใหญ่ ต่อ ให้เขายืนอยู่เบื้องหน้าสุดของกลุ่ม เรือนกายก็ยังคงมั่นคงไม่ไหวติง มีเพียงชายแขนเสื้อสองข้างของชุดคลุมอาคมเท่านั้นที่สะบัดพึ่บพั่บ ไม่เหมือนกับปี ศาจใหญ่คนอื่นๆ หลีโก้วที่มีฉายาว่า “เฟยเฉียน” ในช่วงยุคสมัยอันห่างไกลเคยมีความสัมพันธ ์ที่ค่อนข้างแนบแน่นกับ “บัณฑิต” คบค้าสมาคมกันบ่อยที่สุด ดังนั้นในอีกหมื่นปีให้หลัง เมื่อ ได้เจอกับจอมปราชญ์น้อยผู้นั้นอีกครั้ง อารมณ์ของหลีโก้วจึง ซับซ ้อนที่สุด
อู๋หมิงซื่อแกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็ นจอมปราชญ์น้อย”
การต้านทานใต้หล้าเปลี่ยวร ้างครั้งนี้ แม้ว่าหลี่เซิ่งจะยืมแรงจาก ผู้อื่น แต่ภายใต้การพุ่งชนครั้งนี้ ลาพังแค่กายธรรมที่มีแนวโน้มว่าจะ แหลกสลาย มิอาจกระเทือนไปถึงร่างจริง นี่ก็แสดงให้เห็นถึงระดับ ความแข็งแกร่งมั่นคงของเรือนกายหลี่เซิ่งได้แล้ว
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กที่ฝี มือในการโจมตียังอยู่เหนือผู้ฝึ กกระบี่ อย่างอู๋หมิงซื่อผู้นี้รู ้ดีว่าหากเจอกับหลี่เซิ่ง ตนก็ไม่มีทางเอาชนะได้ ยังอ่อนด้อยกว่าหลายขุมนัก
แม้ว่าทั้งสองฝ่ ายจะเป็ นศัตรูกัน แต่นี่ก็ไม่ขัดต่อความเลื่อมใสที่ เขามีต่อหลี่เซิ่งแม้แต่น้อย
หลีโก้วใช ้เสียงในใจสอบถาม “ระดับความแรงในการพุ่งชนนี้ เป็ นอย่างไร? สามารถประมาณการณ์ได้หรือไม่?”
อู๋หมิงซื่อครุ่นคิด “ถูกใต้หล้าทั้งแห่งกระแทกชน สมมติให้เป็ น การตั้งป้ อมคุมเชิงประจันหน้ากันของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน เพดาน สูงสุดเป็ นอย่างไร บอกได้ยาก ส่วนเพดานต่าสุด ข้าพอจะมั่นใจอยู่ บ้าง อย่างน้อยก็เท่ากับฝ่ ามือที่ฟาดมาอย่างเต็มแรงหนึ่งครั้งของ มรรคาจารย์เต๋า? หรือไม่ก็เป็ นการโจมตีอย่างเต็มก าลังทับซ้อนกัน หลายครั้งของคนผู้นั้นแห่งสานักการทหาร?”
นี่ยังเป็ นแค่เพดานต่าสุดที่อู๋หมิงซื่อประมาณการณ์ไว้เท่านั้น อีก ทั้งเพดานต่าสุดยังอยู่ห่างจากเพดานสูงสุดค่อนข้างไกลมาก
เวลาผ่านมานานหมื่นปี ได้เห็นวิธีขัดขวางของหลี่เซิ่งกับตา ตัวเอง กวนอี่ก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หากไม่เป็ นเพราะมีนายท่านป๋ ายเจ๋อ อยู่ ใครเล่าจะขัดขวางไม่ให้จอมปราชญ์น้อยไปเปิดฉากเข่นฆ่าครั้ง ใหญ่ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้างได้?”
หลีโก้วพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างไม่ได้มีแค่ป๋ า ยเจ๋อเสียหน่อย”
กวนอี่ส่ายหน้า “เฝ่ ยหราน? หรือว่าพวกโซ่วเฉิน โจวชิงเกา? พวกเขายังอ่อนเยาว์กันไปหน่อย”
อู๋หมิงซื่อผงกปลายคาง “ดูทางนั้นสิ ตัวแสดงหลักเผยกายแล้ว”
กวนอิ่มองไปสุดการมองเห็น บวกกับร่ายเวทลับบรรพกาลอีกบท หนึ่ง นางถึงจะสามารถมองทะลุภาพปรากฏการณ์ฟ้ าที่ปั่นป่ วน วุ่นวายไปเห็นว่าในป่ารกร ้างแห่งหนึ่งที่อยู่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยว ร ้างมีผู้ฝึกตนสองคนอยู่บนสันเขาที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง
นอกจากป๋ ายเจ๋อแล้วยังมีคนแปลกหน้าอีกคน คือเด็กสาวร่าง ผ่ายผอมเหมือนโครงกระดูก เห็นเพียงว่านางนั่งอยู่บนพื้นเงยหน้า เหม่อมองมายังหลี่เซิ่ง
ไม่รู ้ว่าเหตุใด “เด็กสาว” ถึงได้เหมือนนักโทษที่ถูกเนรเทศ บน ซีกแก้มข้างหนึ่งของนางไม่รู ้ถูกใครใช ้เหล็กสักตัวอักษร เป็ น ตัวอักษรบรรพกาลค าว่า ‘เฝิน” (เผา) สีทอง
ตอนที่ป๋ ายเจ๋อเจอเด็กสาว นางบอกว่าตัวเองชื่อกุ่ยเค่อ
พูดให้ถูกก็คือนางไม่ได้จงใจปิดบังร่องรอย เท่ากับว่าเป็ นฝ่ าย เผยกายด้วยตัวเอง ป้ ายเจ๋อถึงได้หาตัวนางเจออย่างง่ายดาย
หาไม่แล้วบุคคลที่เป็ นเช่นนาง ขอแค่จงใจหลบหลีกการสืบเสาะ จากผู้ฝึ กตนใหญ่ ต่อให้เป็ นบรรพจารย์สามลัทธิที่อยากตามหา ร่องรอยของนางจากใต้หล้าของตัวเองก็ยังเหมือนมนุษย์ธรรมดาคน หนึ่งที่หายุงที่ไม่ส่งเสียงอยู่ในห้องที่กองเต็มไปด้วยของจุกจิก
นางกับป๋ ายเจ๋อสื่อสารกันด้วยภาษาโบราณ “โอกาสดีขนาดนี้
เจ้าจะไม่ลงมือหรือ?”
ขอแค่ป๋ ายเจ๋อยินดีฉวยโอกาสนี้เล่นงานหลี่เซิ่ง ก็มีโอกาสที่จะ บีบให้ฝ่ ายหลังต้องสลายมรรคาก่อนบรรพจารย์สามลัทธิ
ป๋ ายเจ๋อส่ายหน้า “ขอแค่หลี่เซิ่งไม่ยืมแรงจากภายนอก ตอบ แทนใต้หล้าเปลี่ยวร ้างกลับคืนอย่างมีมารยาทก็ไม่มีความจาเป็ นที่ข้า
ต้องลงมือ”
หากหลี่เซิ่งอาศัยแรงปะทะนั้นส่งแรงส่วนหนึ่งกลับมายังภูเขา สายน้าของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็จะต้องเกิดความเสียหายจานวนนับไม่ ถ้วน
กุ่ยเค่อขมวดคิ้วน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเข้าใจในการเลือก ของป๋ ายเจ๋อนางส่าย หน้า “ขอแค่เป็ นผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่ามีนิสัย อย่างไร มีใครบ้างที่ไม่อยากให้ขอบเขตสูงกว่าเดิม ท าไมเจ้าถึงยอม ให้ตัวเองกลายเป็ นข้อยกเว้นเสียล่ะ?”
ในสายตาของนาง ป๋ ายเจ๋อกับหลี่เซิ่งต่างก็เป็ นหนึ่งในตัวสารอง ของสิบผู้กล้ายุคบรรพกาล หากบรรพจารย์ของสามลัทธิสลาย
มรรคา ในเมื่อเฉินชิงตูแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังตายไปแล้ว อาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็คล้ายว่าไม่เคยมีปณิธานอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ ยอดสูงสุดของขอบเขต ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่ป๋ ายเจ๋อกับหลี่เซิ่งแล้ว ที่ต่างก็มีโอกาสจะช่วงชิงบัลลังก ์อันดับหนึ่งของหลายใต้หล้า
“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ลงมือ ไม่ใช่เพราะมีมิตรภาพกับหลี่เซิ่ง”
ป๋ ายเจ๋ออธิบายด้วยรอยยิ้ม “เจ้าถือกาเนิดในช่วงแรกเริ่มที่ใต้ หล้าเปลี่ยวร ้างก่อเกิดดังนั้นจึงไม่รู ้นิสัยของจอมปราชญ์น้อยผู้นี้ หาก ทาให้เขาโมโหขึ้นมาจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าคิด ต่อให้บีบให้หลี่เซิ่ง ต้องสลายมรรคาโดยตรง ยังไม่พูดถึงก่อนหน้านั้นที่อาณาเขตของ ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างถูกกาหนดมาแล้วว่าจะต้องพินาศพังภินท์ ทุกหน ทุกแห่งมีแต่หลุมแต่บ่อที่มิอาจถมได้เต็ม เผ่าปีศาจบนพื้นดินบาดเจ็บ ล้มตายกันเป็ นเบือ อีกทั้งหลี่เซิ่งจะต้องเลือกที่จะสลายมรรคาครึ่งหนึ่ง อยู่ที่ไพศาล อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่เปลี่ยวร ้างแน่นอน ข้าอาจจะยังดีหน่อย ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่เจ้า รวมไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร ้างทั้งแห่ง จะเจอกับโศกนาฏกรรมที่ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่พักใหญ่ ผู้ฝึ ก ลมปราณทุกคนหลังจากนั้นที่ขึ้นเขามาฝึกตนต่างก็จะถูก “วิถีฟ้ า” ใหม่เอี่ยมหลังจากที่หลี่เซิ่งสลายมรรคาสยบการาบ จาเป็ นต้อง ยอมรับการกดข่มที่มองไม่เห็นส่วนหนึ่งเอาไว้ และยังมีผลลัพธ ์อีก อย่างหนึ่งก็คือหลี่เซิ่งอ ามหิตกว่านั้น สลายมรรคาทั้งหมดไว้ที่เปลี่ยว ร ้าง ถ้าอย่างนั้นพวกขอบเขตบินทะยานอย่างหลีโก้ว กวนอี่ ใน อนาคตคิดอยากจะผสานมรรคาเป็ นขอบเขตสิบสี่ ระดับความยากก็
จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด กลายมาเป็ นว่าธรณีประตูจะสูงยิ่ง กว่าเดิม”
กุ่ยเค่อเอียงศีรษะ ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ หากหลี่ เซิ่งไร ้ความเห็นแก่ตัวอย่างที่เรื่องเล่าลือกันจริง ถ้าอย่างนั้นก็สลาย มรรคาไว้ในเปลี่ยวร ้างให้หมดไปเลยสิ
สละผลประโยชน์ของคนคนหนึ่งเพื่อใต้หล้าไม่ใช่เรื่องที่บัณฑิต ชอบทาที่สุดหรอกหรือ?
ป๋ ายเจ๋อเหมือนอาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งที่ช่วยไขข้อข้องใจให้ เด็กนักเรียนประถมที่ยังไม่รู ้ความ เขาอธิบายให้กุ่ยเค่อฟังอย่างมี น้าอดน้าทนอีกครั้ง “อันดับแรก หลี่เซิ่งที่ผสานมรรคากับฟ้ าอ านวย ดินอวยพรของไพศาล หากเขาสลายมรรคาก็จะส่งผลกระทบต่อใต้ หล้าไพศาลอย่างมากเช่นกัน ผู้ฝึกลมปราณและมนุษย์ธรรมดาทั่วไป บนภูเขาล่างภูเขา ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น โลกมนุษย์ทั่วทั้งไพศาลนับ แต่นี้ไปร ้อยปีพันปีจะเกิดความระส่าระส่ายไม่สงบสุขอย่างที่ประมาณ การณ์ไม่ได้ หากจารีตประเพณีล่มสลาย จิตใจคนแตกฉานซ่านเซ็น ความยากในการสร ้างระเบียบพิธีการขึ้นมาใหม่ก็ยากเหมือนเดินขึ้น สวรรค์ เทียบกับการกอบกู้ภูเขาสายน้าเก่าในอาณาเขตของราชวงศ์ โลกมนุษย์แล้วไม่ได้ยากกว่าแค่สิบเท่าร ้อยเท่าเท่านั้น อันดับต่อมา มองจากภายนอกแล้วการสลายมรรคาของหลี่เซิ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องเป็ นเปลี่ยวร ้างที่เสียเปรียบอย่างหนัก ช่วงแรกและช่วงกลางของ สงครามครั้งนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย มีแต่จะพ่ายแพ้
ถอยร่น ไม่แน่ว่าอาณาเขตเกินครึ่งอาจตกไปอยู่ในมือของไพศาล แต่ขอแค่ในช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา เปลี่ยวร ้าง ของพวกเราคอยต้านทานไว้ตลอด เป็ นเหตุให้ความเสียหายในการสู้ รบและการบาดเจ็บล้มตายของสองฝ่ ายปรากฏขึ้นตลอด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผู้ฝึกตนใหญ่กลุ่มของกวนอี่ ทุกคนที่รบตายไป ในเมื่อข้า ออกมาจากหอพิทักษ์เมืองของแผ่นดินกลางไพศาลแล้วก็ไม่อาจ ปฏิเสธการมาถึงของชื่อจริงพวกนี้ได้อีก ดังนั้นตบะและขอบเขตของ ข้าก็จะทะยานขึ้นอย่างมั่นคงต่อเนื่อง ผลลัพธ ์สุดท้ายก็คือไม่ว่าตัวข้า เองจะยินดีหรือไม่ก็ล้วนจะต้องถูกบีบให้เลื่อนเป็ น…ขอบเขตสิบห้า”
ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด และบางทีอาจเป็ นเพียงคนเดียวที่ ได้ผลประโยชน์ ก็คือโจวมี่ที่เพียงแค่อยู่บนฟ้ านั่งดูดายอยู่เฉยๆ
เหมือนการแลกกันกินหมากคนละเม็ดบนกระดานหมาก
ใช ้ป๋ ายเจ๋อแห่งเปลี่ยวร ้างมาแลกกับหลี่เซิ่งแห่งไพศาล
ส่วนความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในสองใต้หล้าระหว่างการ แลกกันกินครั้งนี้ คิดดูแล้วโจวมี่ก็มีแต่จะยินดีที่ได้เห็น ต่อให้เม็ด หมากทุกเม็ดบนกระดานในการเล่นหนึ่งตาล้วนถูกยกออกไปหมด ขอแค่กระดานหมากยังอยู่ โจวมี่แห่ง “ใต้หล้า” ในอนาคตอย่างมากก็ แค่เปลี่ยนเม็ดหมากใหม่เอี่ยมมาสองโถ สรรพชีวิตที่มีมากมายเกิน กว่าจะนับได้หมดในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปี ศาจ สาหรับโจวมี่แล้วล้วนไม่ได้มีความสาคัญอะไรเลย
กุ่ยเค่อถามคาถามข้อที่ใหญ่ที่สุดในใจ “ป๋ ายเจ๋อ เมื่อหมื่นปีก่อน การประชุมริมลาคลองครั้งนั้น ทาไมเจ้าถึงไม่ยินดีรับเปลี่ยวร ้างไป ดูแล?”
หากป๋ ายเจ๋อยินดีกลายเป็ นเจ้าของใต้หล้าแห่งหนึ่ง ตามหลัก แล้วก็คงไม่มีใครที่สามารถขัดขวางเรื่องนี้ได้
ป๋ ายเจ๋อสามารถเป็ นผู้ประทานชื่อจริงและได้วิชาอภินิหารแห่ง ชะตาชีวิตในการรับเอาชื่อจริงนี้มา เป็ นเหตุให้เขาสามารถนั่งเสวย สุขได้เลย ถึงขั้นที่ว่าหากเทียบกับผู้ฝึ กกระบี่เฝ่ ยหรานในทุกวันนี้ บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ในอดีต เขาก็ยังมีคุณสมบัติจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบห้าได้มากกว่า กลายมาเป็ นผู้ครองของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง
ป๋ ายเจ๋อเงียบไปพักหนึ่ง ใบหน้าเผยแววขมขื่น “จิตแห่งมรรคา ไม่สอดคล้องต้องกัน”
“หากผสานมรรคากับเปลี่ยวร ้าง เนื่องจากนิสัยดั้งเดิมของเผ่า ปีศาจเปลี่ยวร ้างสุดท้ายแล้วข้าก็ต้องถูกฟ้ าดินแห่งนี้แว้งกัดจิตแห่ง มรรคา”
“แผนการลับในช่วงแรกเริ่มสุดนั้นจะปรากฏขึ้นมา อีกทั้งไม่ว่า ใครก็มิอาจขัดขวางการผลิดอกออกผลของแนวโน้มสถานการณ์นี้ ทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง อย่างมากสุดแค่สามพันปีก็จะยิ่งกลายเป็ น ดินแดนแร้นแค้น ปราณวิญญาณฟ้ าดินจะถูกรวบรวมไปไว้ในมือ ของผู้ฝึกลมปราณจานวนน้อยนิดบนยอดเขา ถึงเวลานั้นป๋ ายเจ๋ออีก
คนหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะไม่เป็ นตัวของตัวเองก็ดี หรือท าตามเจตนาเดิมก็ ช่าง บางทีอาจจะน าพาขอบเขตสิบสี่หลายสิบคนและขอบเขตบิน ทะยานร ้อยกว่าคนของเปลี่ยวร ้างมุ่งมั่นโจมตีใต้หล้าแห่งอื่นอยู่เนืองๆ ต้องการที่จะช่วงชิงดินแดนและสรรพชีวิตของอีกสามใต้หล้าที่เหลือ มาให้ได้มากกว่าเดิมจริงๆ”
ในความเป็ นจริงแล้ว ก่อนที่จะมีการประชุมริมลาคลองครั้งนั้น ป๋ ายเจ๋อเคยขอร ้องให้มรรคาจารย์เต๋าช่วยอนุมานเรื่องหนึ่งให้
ผลลัพธ ์คร่าวๆ ก็คือผู้ฝึ กตนขอบเขตสิบสี่กลุ่มหนึ่งที่มีบรรพ จารย์ของสามลัทธิรวมอยู่ด้วยจาต้องร่วมมือกันกวาดล้างเปลี่ยวร ้าง
การกวาดล้างประเภทนี้ก็คือความหมายเรียบง่ายตามตัวอักษร แล้ว ใต้หล้าจะไม่มีใต้หล้าเปลี่ยวร ้างอีกต่อไป
ใต้หล้าทุกแห่งจะสูญเสียพลังชีวิตไปอย่างมหาศาล กากเดนสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่ซ่อนตัวอยู่นอกฟ้ าและกลับมาเกิดใหม่ใน โลกมนุษย์จะเป็ นเหมือนขี้เถ้ามอดที่ติดไฟขึ้นมาใหม่ มิอาจสยบ การาบภูตผีไว้ได้ พันธนาการเทวบุตรมารนอกโลกที่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เรื่อยๆ ไม่อยู่…
กุ่ยเค่อถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าเรื่องราวมักไม่เป็ นดั่งใจหวัง เช่นนี้เสมอ”
ป๋ ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นพวกเราถึงต้องยิ่งทะนุถนอม ความงดงามในใจของตัวเองเอาไว้ให้ได้”
นางหัวเราะ “เหมือนคาพูดที่ “บัณฑิต’ จะพูดอย่างมากแล้ว”
ไม่ว่าจะอย่างไร อยู่ร่วมกับป๋ ายเจ๋อ ถึงอย่างไรก็ผ่อนคล้ายกว่า อยู่ข้างกายโจวมี่มากนัก
ป๋ ายเจ๋อทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกามือ แกว่งฝ่ ามือ เบาๆ เม็ดดินจ านวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่เหนือฝ่ ามือ เม็ดดินที่เล็ก
ละเอียดมากต่างก็หยุดลอยนิ่งไม่ขยับ
ป๋ ายเจ๋อคีบหินเล็กขึ้นมาอีกก้อนหนึ่ง วางลงตรงกลางเม็ดดิน ทั้งหลายเบาๆ ท่ามกลางขั้นตอนนี้ก็ได้เบียดเศษเม็ดดินที่แตก กระจายออกไปได้มากแล้ว
กุ่ยเค่อหันหน้าไปมอง ไม่รู ้ว่าความหมายของป๋ ายเจ๋อคืออะไร
ป๋ ายเจ๋อกล่าว “ผู้ฝึกตนไขว่คว้าหาอิสระก็มีเพียงทางเดินแค่สอง ทางเท่านั้น ทางหนึ่งคือตัวอยู่ในนั้น ขอบเขตสูง เหมือนก้อนหินที่ มองดูคล้ายท าทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาหรือไม่ก็เป็ นเม็ดดินที่บ้าง ก็รวมกันบ้างก็แตกกระจาย”
เมื่อหินก้อนนั้นเคลื่อนที่ช ้าๆ เพราะมีก้อนหินเป็ นรากฐาน ค่อยๆ ดูดซับเอาเศษดินมาให้มันสะสมรวมกันเหมือนกลายเป็ นภูเขา ยิ่ง นานก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น
ขณะเดียวกันเศษดินที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มถูกบีบให้เคลื่อนไหว วิถี การโคจรไร ้ระเบียบ มีทั้งส่วนที่ถูกก้อนหินดึงดูดให้มาอยู่ใกล้ แล้วก็มี ที่ถูกเบียดให้ออกไปอยู่ข้างนอก ส่วนก้อนที่เคลื่อนถอยไปด้านหลัง
ต่างก็นาพาเศษหินที่เล็กยิ่งกว่ารอบด้านให้เคลื่อนย้ายตามไปด้วย ประหนึ่งริ้วน้าที่กระเพื่อมแผ่ออกไปด้านนอก สุดท้ายเศษดินที่เดิมที หยุดนิ่งอยู่เหนือฝ่ามือของป๋ ายเจ๋อ แม้กระทั่งเศษดินที่อยู่ด้านนอกสุด คล้ายอยู่ในชายแดนของฟ้ าดินต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวไปด้วย
“ต่างก็พูดกันว่าจิตใจเหมือนวานรเหมือนม้าพยศ จิตใจไม่สงบ นิ่งมากที่สุด แต่แท้จริงแล้วสิ่งของที่มีโอกาสหยุดนิ่งได้อย่างแท้จริง ระหว่างฟ้ าดินมีเพียงจิตแห่งมรรคาเท่านั้น”
ป๋ ายเจ๋อคีบหินก้อนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง กาไว้ในฝ่ามือ ยกมือขึ้น งอ นิ้วเคาะหมุนเบาๆ ไปเรื่อยๆ ดินที่ห่อหุ้มก้อนหินก็ร่วงกราวกลับลงมา เหนือฝ่ ามืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็โยนหินก้อนนั้นทิ้งไปไกล “อิสระที่ บริสุทธิ์ประเภทที่สองก็เป็ นแบบนี้แล้ว คือการดารงอยู่ของตัวก้อนหิน เองที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโลกใบนี้อีกแล้ว”
ป๋ ายเจ๋อพลันถามว่า “ตอนนั้นโจวมี่หาเจ้าเจอได้อย่างไร?”
กุ่ยเค่อมีสีหน้าหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่ายังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย นางลังเลอยู่พักใหญ่ก็ได้แต่ให้คาตอบอย่างคลุมเครือว่า “โจวมี่เฝ้ า ตอรอกระต่ายมาสิบหกครั้ง สุดท้ายก็สาเร็จหนีไม่รอด”