กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1006.2 พวกเขานั่งล้อมรอบกองไฟ
เฉินผิงอันรีบใช ้เสียงในใจถามทันทีเลยว่า “เสี่ยวโม่ หากข้าวาง เค้าโครงของยันต์นี้เจ้าสามารถใช ้ปณิธานกระบี่มาเติมเส้นสายให้ เต็มได้ไหม?”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ข้าคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านสายยันต์ มิ อาจช่วยอะไรได้ ต่างเพียงเสี้ยวก็เหมือนไกลห่างนับพันลี้ ต่อให้หวน กลับไปยังไพศาลสามารถสงบใจ ท าการอนุมานซ้าไปซ้ามาอยู่ใน พื้นที่ประกอบพิธีกรรม คาดว่าก็ยังต้องเสียเวลาในการฝึกตนที่ล้าค่า ของคุณชายไปเปล่าๆ อยู่ดี”
มองไปยังป๋ ายจิ่ง เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างไม่ยินยอมพร ้อมใจนัก “บางที หากเปลี่ยนมาเป็ นป๋ ายจิ่งอาจจะช่วยคุณชายได้ดีกว่า”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ผู้ฝึกตนหนุ่มพลันเข้ามาในค่ายกล “เจ้าขุนเขาเฉิน ให้ข้ามา เป็ นคนคุมค่ายกลใหญ่นี้ชั่วคราว เจ้าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้คอย รับมือ”
นอกจากต้องอาศัยค่ายกลทับซ้อนมาบิดหมุนหัวเรือของใต้หล้า เปลี่ยวร ้างให้ได้อย่างสมบูรณ์ บีบให้เข้าไปใน “วิถีทางที่ถูกต้อง” ซึ่ง วิญญาณยันต์ปูเอาไว้แล้ว ยังต้องให้อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้เรียกกระบี่ที่
เป็ นกุญแจสาคัญมาสกัดขวาง ทุกขั้นตอนต้องร ้อยเรียงต่อกัน จะ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
เฉินผิงอันพยักหน้า
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวถาม “รู ้หรือไม่ว่าควรออกกระบี่ อย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “ผู้เยาว์จะพยายามท าให้ได้”
เจิ้งจวีจงได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ซานซานจิ่วโหวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ของเจิ้งจวีจงจึงใช ้เสียงในใจถามว่า “อาจารย์เจิ้งมีอะไรจะพูดหรือ?”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไรจะพูด”
แม่น้ายันต์ที่กว้างขวางซึ่งเดิมทีอยู่เหนือค่ายกลที่ทับซ ้อนเป็ นแค่ จอกแหนดอกหนึ่งที่ล่องลอยอยู่บนผิวน้าเท่านั้น
และหลังจากที่เฉินผิงอันมอบอานาจหลักในการโคจรค่ายกล ใหญ่ไปให้ อาจารย์ซานซานจิ่วโหวนั่งลงเฝ้ าพิทักษ์ด้านใน ด้านหลัง ของเขาก็พลันปรากฏกายธรรมยันต์ที่ไม่ด้อยไปกว่าของหลี่เซิ่งเลย แม้แต่ย้อย ขนาดของค่ายกลที่ทับซ ้อนก็เหมือนเรือที่ลอยตาม กระแสน้าไปด้วย พื้นที่ประกอบพิธีกรรมทั้งหมดพลันขยายใหญ่ขึ้น กว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า ทว่าไม่ได้อ่อนจาง ไม่ได้ลดระดับความ
หนาแน่นของพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่เป็ นระดับรองจากของจริงพวก นี้เลยแม้แต่น้อย
ป๋ ายจิ่งฉีกยิ้มกว้าง ร ้องฮ่าหนึ่งที จากนั้นก็ให้คาวิจารณ์ที่ ยุติธรรมไม่ถือหางให้ท้ายใคร บอกว่าพอผู้เชี่ยวชาญลงมือก็รู ้ได้ว่ามี หรือไม่มีฝีมือ
เฉินผิงอันแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน เพียงแค่แผ่ดวงจิตออกมาจาก ร่างจริง ทอดตามองจากริมขอบอาณาเขตของฟ้ าดินกระบี่บินนกใน กรงไปไกล เห็นเพียงว่ากายธรรมที่ประกอบจากยันต์จ านวนนับไม่ ถ้วนนี้ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวมีภาพบรรยากาศนับพันนับหมื่น เส้นเอ็นและกระดูกเกิดจากยันต์อักษรภูเขาที่ทับถมกัน เส้นชีพจร มังกรจานวนมากเลื้อยลดคดเคี้ยวไปไกลเป็ นพันลี้ เส้นสายแต่ละเส้น เกิดจากการรวมตัวกันของยันต์อักษรน้า ลาน้าใหญ่ทุกสายใน ประวัติศาสตร ์ของหลายใต้หล้าล้วนสามารถมองเห็นเส้นทางน้าได้ จากที่นี่ศีรษะเหนือลาคอขึ้นไป ภาพเหตุการณ์ในสมองประหนึ่ง ดวงดาวที่พร่างพราว แต่กลับไม่ใช่ทางช ้างเผือกซึ่งเป็ นสถานที่ที่ฝูลู่ อวี๋เสวียนผสานมรรคา แต่เหมือนกลุ่มดาวไม่ทราบชื่อจ านวนนับไม่ ถ้วนที่หมุนวนทับซ ้อนกัน
มหามรรคายิ่งใหญ่เกินกว่าจะคาดคิดได้ อยู่เหนือจินตนาการไป ไกล
เพราะเป็ นเรื่องใหญ่ที่สาคัญมาก ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงจาต้องเตือน เฉินผิงอันอีกครั้งว่า“ข้าแค่คุมค่ายกลใหญ่เท่านั้น เจ้าต่างหากจึงจะ
เป็ นร่างเดิมของค่ายกล ข้าได้แค่พยายามลดทอนแรงโจมตีที่ใต้หล้า เปลี่ยวร ้างมีต่อค่ายกลทับซ ้อนนี้เท่านั้น รอกระทั่งถึงช่วงเวลาที่เจ้าจะ ประคับประคองค่ายกลไปต่อไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องต้านทานไว้อย่าง ยากล าบากอีก แค่เก็บกระบี่บินสองเล่มลงไป เหลือแรงเอาไว้ รับประกันว่าจะสามารถปล่อยกระบี่นั้นออกไปได้”
ในสายตาของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวแล้ว เฉินผิงอันนั้นเป็ นทั้ง ต้นก าเนิดของค่ายกลทับซ ้อนที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ เป็ นจุดอ่อนของค่ายกลใหญ่นี้ด้วย
เพียงแต่เขาเองก็ไม่อาจเรียกร ้องผู้ฝึกลมปราณหนุ่มคนหนึ่งที่ อายุอยู่แค่ในวัยไม่สับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุขัยในการฝึกตนยัง ไม่ถึงสามสิบปีอย่างเข้มงวดเกินไปได้
บอกตามตรง ต่อให้เป็ นอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่สายตาสูง เหมือนภูเขา การที่เฉินผิงอันทาได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้ทาการอนุมานร่วมกับหลี่เซิ่ง ยังมีตัว สารองของไพศาลที่พอๆ กันกับเฉินผิงอันอีกแปดคน ในบรรดานั้นมี ผู้ฝึกกระบี่สามคน ยกตัวอย่างเช่นหลิวจิ่งหลงแห่งสานักกระบี่ไท่ฮุย อุตรกุรุทวีป
และก็มีทางเลือกอีกมากมายโดยการเอาคนหลายคน หรือคน เก้าคนมาร่วมแรงกันสรุปออกมาเป็ นวิธีการที่มากมายได้ถึงร ้อยกว่า ชนิด
แต่ผลลัพธ ์สุท้ายก็ยังเลือกเฉินผิงอันออกมาแค่คนเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่ทางเลือกที่มีทั้งความเสี่ยงและผลประโยชน์สูงมากทั้งคู่ แต่ เป็ นทางเลือกที่เทียบกันแล้ว “ไร ้ข้อผิดพลาด” มากที่สุด
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าไม่มีทางตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็ นคน อ้วน จะประเมินก าลังของตัวเองให้ดี”
ผู้ฝึกตนหนุ่มหยิบยันต์ม่วงเขียวสองแผ่นออกมาจากชายแขน เสื้อ ยื่นส่งให้กับเฉินผิงอัน บอกกล่าววิธีใช ้ยันต์ “แผ่นหนึ่งใช ้สะกด จิตวิญญาณ อีกแผ่นหนึ่งใช ้สร ้างความมั่นคงให้กับเนื้อหนังมังสา สามารถใช ้ในเวลาเดียวกันได้ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็อย่าเรียกยันต์คู่ นี้ออกมา จะต้องระวังเรื่องจังหวะและเวลาให้ดี อย่าทาอะไรบุ่มบ่าม หากใช ้ยันต์สองแผ่นนี้เร็วไป ร่างจริงและจิตวิญญาณจะปะปนกัน เหมือนเสาหินที่ปักหลักอยู่กึ่งกลางกระแสน้าซัดเชี่ยว เหมือนกับผู้ฝึก ยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่ถูกร่ายยันต์กักร่าง ได้แต่โดนต่อยตีอย่างที่ไม่ อาจเอาคืนได้ จุดจบจะเป็ นอย่างไรแค่ดูหูถูผู้นั้นก็รู ้ได้แล้ว ไม่ต่างจาก การเอาไข่ไปกระทบหินดังนั้นทางที่ดีที่สุดหลังจากสลายค่ายกลทับ ซ ้อนแล้ว เจ้าค่อยเอาออกมาใช ้รักษาอาการบาดเจ็บในทันที ใช ้สร ้าง ความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาและเรือนกาย หลีกเลี่ยงไม่ให้จิต วิญญาณกระจายออกไปนอกร่าง ท าร ้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา”
เฉินผิงอันเก็บยันต์คุ้มกันชีวิตที่มีมูลค่าควรเมืองซึ่งหากใช ้ไม่ดีก็ จะกลายเป็ นยันต์เร่งชีวิตสองแผ่นนั้นลงไปอย่างระมัดระวัง
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างทั้งแห่งเคลื่อนอยู่ในเส้นทางน้าของแม่น้ายันต์ สายนั้น กายธรรมของหลี่เซิ่งได้เปลี่ยนจากใช ้แผ่นหลังแนบติดกับ “เรือข้ามฟาก” มาเป็ นใช ้สองมือผลักดันหางเรือแล้ว
แผ่นหลังทั้งแผ่นของกายธรรมของหลี่เซิ่งถูกมหามรรคาของ เปลี่ยวร ้างเสียดสีจนกลายมาเป็ นพื้นที่ว่างเปล่าดามืด ความเสียหาย บนมหามรรคาที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเช่นนี้มากจนมิอาจประมาณ การณ์ได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับขอบเขตบินทะยานหรือแม้กระทั่งผู้ฝึก ตนขอบเขตสิบสี่คนใด เกรงว่าก็คงอดเกิดความรู ้สึกสิ้นหวังไม่ได้
ยันต์อักษรเฉวียนสองแผ่นที่พับทับกันของอาจารย์ซานซานจิ่ว โหวกับคันฉ่องทรงกลมสีทองที่เกิดจากการรวมตัวของตัวอักษรแห่ง ชะตาชีวิตของหลี่เซิ่งเป็ นตัวรับรองว่าเรือข้ามฝากลานี้จะขับเคลื่อน อยู่ในแม่น้ายันต์เท่านั้น
จิตวิญญาณที่แท้จริงของยันต์ซึ่งเป็ น “สาวใช ้” อยู่ข้างกายของ อาจารย์ซานซานจิ่วโหวนางอยู่ที่สุดปลายทางของแม่น้ายันต์ รับผิดชอบคอยเปิดเส้นทางใหม่ ได้สร ้างวิถีแห่งยันต์ที่ยาวหลายล้าน ลี้เส้นหนึ่งไว้กลางอากาศนอกฟ้ าแล้ว
เส้นทางใหม่อยู่ห่างจากเส้นทางชิงเต้า นี่จึงทาให้เกิดเป็ นเส้นโค้ง วงกลมที่มองเห็นได้ชัดเจนเส้นหนึ่ง
และค่ายกลทับซ ้อนของพวกเฉินผิงอันก็อยู่ด้านนอกของจุดโค้ง สุดพอดี
ประหนึ่งกองทัพใหญ่ของทหารส่วมเสื้อเกราะหนาหนักที่ ต้านทานการเจาะทะลวงขบวนรบจากกองทัพม้าเหล็กฝีมือดี
หลังจากที่ “เรือข้ามฟาก’ พุ่งปะทะแล้วก็พลันฉีกกระชากฟ้ าดิน นกในกรงให้กลายเป็ นรูโหว่รูหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ปักฝังเข้ามาใน ค่ายกลทับซ ้อน
ฟ้ าดินด้านนอกพลันเกิดเสียงเสียดแทงแก้วหูประหนึ่งคมมีดที่ ค่อยๆ กรีดลงไปบนกระจก
ต่อให้เป็ นคนนอกสถานการณ์ที่ชมภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ อย่างพวกอู๋หมิงซื่อ หลีโก้วก็ยังรู ้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะอย่างห้าม ไม่ได้
อู๋หมิงซื่อรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ ดื่มเข้าไปแล้วก็ตัวสั่นเยือก จุ๊ปากเอ่ยว่า “แค่มองยังรู ้สึกเจ็บ อย่าว่าแต่คนที่ต้องต้านทานมันเลย”
หลีโก้วมองอิ่นกวานหนุ่มที่เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงา นั่งขัดสมาธิ อยู่บน “ม่านฟ้ า” ของฟ้ าดินค่ายกลกระบี่ ตอนนี้ยังมองไม่ออกถึงการ เปลี่ยนแปลงใดๆ บนสีหน้าของเขา ยังคงนั่งนิ่งทาสมาธิ ไม่ขยับ เขยื้อนดุจภูผา
อู๋หมิงซื่อยิ้มกล่าว “คิ้วไม่ขมวดสักครั้ง อายุน้อยๆ ถือเป็ น ลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ดูท่าเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ของอิ่นกวานพวกเราท่านนี้จะแข็งแรงมั่นคงอย่างมาก ไม่รู ้ว่าใครเป็ น คนสอนหมัดให้เขา ถึงได้มีเรือนกายที่น่าดูชมเช่นนี้”
เป็ นคนที่ยืนพูดไม่ปวดเอวเหมือนกัน อู๋หมิงซื่อผู้นี้กลับพูดจารื่น หูน่าฟังกว่าหูถูมากนัก
ฝูลู่อวี๋เสวียนและนักพรตฉุนหยางที่นั่งเฝ้ าพิทักษ์อยู่ในตะวัน จันทราของฟ้ าดินเล็กเริ่มแยกกันซ่อมแซมรูโหว่นั้น ป้ องกันไม่ให้หัว เรือเบียดบีบให้ปราการจานวนมากกว่านี้ของฟ้ าดินปริแตก
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างแห่งหนึ่งกับค่ายกลทับซ ้อนแห่งหนึ่งเหมือนเม็ด กลมๆ ที่กลิ้งไหลอยู่ในแม่น้ายันต์สองแผ่น ฝ่ ายแรกกลิ้งไปอย่าง ว่องไว ฝ่ ายหลังหยุดนิ่งไม่ขยับ อีกทั้งยังมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน จุดที่สองฝ่ายสัมผัสกันประหนึ่งลูกกลิ้งกับแท่นโม่ที่บดกัน
เจิ้งจวีจงพยักหน้าเบาๆ ระดับความยืดหยุ่นทนทานของค่ายกลที่ ทับซ ้อนกันนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้หลายส่วน
อันที่จริงทางฝั่งของศาลบุ๋นได้เตรียมใจสาหรับผลลัพธ ์ที่เลวร ้าย ที่สุดเอาไว้แล้ว ก็คือกลุ่มของพวกเขามิอาจขัดขวางเรือข้ามฟากที่ อยู่นอกฟ้ าลานี้ได้ สุดท้ายใต้หล้าสองแห่งพุ่งชนกัน
ถ้าอย่างนั้นตัวเลือกจุดที่จะโดนพุ่งชนของใต้หล้าไพศาลก็ น่าสนใจอย่างมากแล้วเจิ้งจวีจงเดาว่าตัวเลือกของศาลบุ๋นจะเป็ น… ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
ตอนนั้นตัวเลือกของคนที่จะมาแทนที่ตาแหน่งของเฉินผิงอันก็ คือจิงเซิงซีผิงที่เมื่ออยู่ในอาณาเขตของศาลบุ๋นจะเทียบเท่ากับผู้ฝึก ตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
ณ ใต้หล้าไพศาล ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มหนวดด้วยความกลัดกลุ้มใจ ยืนอยู่ตรงขั้นบนสุด ของบันไดศาลาแห่งหนึ่ง มิอาจทนมองดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกฟ้ าได้อีกจริงๆ จึงรีบถอนสายตากลับคืนมาหันไปเอ่ยกับสหาย เฒ่าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื้อข้างกาย “พี่ซีผิง ต่างก็ พูดกันว่าบุญคุณเท่าหยดน้าตอบแทนเท่าน้าพุ ถ้าอย่างนั้นบุญคุณ เท่าน้าพุก็จะตอบแทนด้วยหยดน้าไม่ได้ จะทาแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เลยนะ!”
จิงเซิงซีผิงเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เรื่องนี้ควรจะคิดกันอย่างไร ทางฝั่ง ศาลบุ๋นย่อมมีความคิดเป็ นของตัวเอง”
หากคิดกันอย่างจริงจังก็ดูเหมือนว่าจนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยัง ไม่มีอะไรที่ให้ต้องมาขอร ้องศาลบุ๋น
ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินก็ไม่พอใจทันที กระทืบเท้าเอ่ย “พูดถึงแค่ เรื่องราวไม่พูดถึงจิตใจ วิถีทางโลกที่ตกต่าลงทุกวัน ทาอย่างไรจึงจะ มีอริยะเดินกันเต็มถนน?! แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าและข้า พวกเรา ต่างก็เป็ นบัณฑิตนะ!”
จิงเซิงซีผิงยิ่งจนใจกว่าเดิม “ตัวข้าอยู่ในสถานการณ์อย่างไรใช่ ว่าเจ้าจะไม่รู ้หน้าที่ก็ต้องเป็ นหน้าที่ ข้าจาเป็ นต้องทาตามกฎเท่านั้น”
เพราะติดขัดที่สถานะ จิงเซิงซีผิงจึงมิอาจพูดถึงเรื่องมิตรภาพ ส่วนตัวกับใครได้จริงๆต่อให้ตัวอยู่ในศาลบุ๋น แต่ก็ยังไม่เข้าร่วมการ ประชุม
อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ได้หวังให้จิงเซิงซีผิงท าอะไร เพียงแต่ว่า เพื่อช่วยดึงความสนใจของตัวเอง เขาถึงได้หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาชวน คุย หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเป็ นเหมือนพวกซื่อบื้อที่ทาเรื่องเป็ นการเป็ น งานไม่เป็ น
เดินเข้าไปในศาลา เพิ่งจะหย่อนกันนั่งลงก็เหมือนถูกไฟลามกัน ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนอีกเพียงแต่อดใจไว้ไม่ได้ขยับเท้าเดินไปยังจุดเดิมที่ ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ของศาลา ยึดคอยาวออกไปมองด้านนอก
ก็ยังเหมือนมดที่เดินวนอยู่บนกระทะร ้อนอยู่ดี
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มพึมพาจึมงาคล้ายคนเมาที่พูดพล่ามอยู่ข้างโต๊ะ
อ่านตาราอริยะปราชญ์มานับร ้อยนับพันนับหมื่นเล่ม แต่ก็ยังถ่าย ออกมาเป็ นอึได้แค่กองเดียวอยู่ดี
คนธรรมดาขี้เยี่ยวยังเอาไปทาเป็ นปุ๋ ยในนาได้ แต่บัณฑิตที่จิตใจ ไม่เที่ยงตรง อึออกมาแม้แต่หมาก็ยังไม่กิน
บางครั้งเรื่องที่ดีงาม คนที่ยากลาบากก็มักจะทาให้คนที่ใจแข็ง ปานหินใจอ่อนลงได้
ผู้ฝึ กตนมีชีวิตยาวนาน สูงต่ายาวสั้น อยู่ที่ความตื้นลึกของ ร่องรอยที่ทิ้งไว้ในวิถีทางโลก
จิงเซิงซีผิงนั่งฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ แค่ชินแล้วก็ดีเอง
ค่ายกลทับซ ้อนเริ่มค่อยๆ ปริแตก กระบี่บินที่แตกหักทั้งหลาย เหมือนฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาในฟ้ าดิน
ยอดเขาเถียนจินที่อวี๋เสวียนนั่งบัญชาการณ์สลายหายไปอย่าง สิ้นเชิง หอแก้วใสของเจิ้งจวีจงก็กระจัดกระจายออกเป็ นเสี่ยงๆ ระเบิด ดังตูม เกิดเป็ นแสงพร่างพราวงามจับตา
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเกิดแรงสั่นสะเทือนอันน้อยนิด แต่หัวเรือเริ่ม เบี่ยงเบนไปทางวิถีที่จิตวิญญาณแท้จริงของยันต์เป็ นผู้ปูขึ้นมาอย่าง ช ้าๆ
กายธรรมของหลี่เซิ่งยื่นมือข้างหนึ่งออกมาต้านรับแรงโจมตีส่วน หนึ่งแทนค่ายกล ซีกหน้าข้างหนึ่งของกายธรรมที่แนบติดอยู่กับผนัง ของ “เรือข้ามฟาก” ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเสียดสีจนหายไปเกินครึ่ง
เฉินผิงอันนั่งสมาธิหลับตาลอยตัวอยู่กลางอากาศตลอด ฝ่ ามือ ข้างหนึ่งแนบติดหน้าท้อง หันฝ่ ามือขึ้นด้านบน มืออีกข้างกาเป็ น หมัดวางไว้บนหัวเข่า กระดูกทั่วร่างเกิดเสียงสั่นสะเทือนเหมือนเสียง โลหะ ประกายไฟสีทองไหลริน
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่ช่วยควบคุมการโคจรของค่ายกลแทน พอจะเบาใจได้บ้างเล็กน้อย คอยปรับแก้จุดที่เล็กละเอียดมากมาย
ของค่ายกลใหญ่อย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ถูกมัดมือมัด เท้าอีกต่อไป สามารถสาแดงอานุภาพของค่ายกลทับซ ้อนนี้ได้มาก กว่าเดิม
เนื่องจากอิ่นกวานหนุ่มได้มีการกระทาที่อยู่เหนือการคาดการณ์ ของทุกคน ร่างจริงของเขาเหมือนขุนเขา แม้ว่าจิตวิญญาณจะ เหมือนบุปผานับหมื่นบานสะพรั่งพร ้อมกันในภูเขา ก่อนจะกลายมา เป็ นลาแสงเปลวเพลิงหลายลาที่พุ่งไปยังตื่นเขาอย่างยิ่งใหญ่เกรียง ไกร แต่โชคดีที่ว่าลาธารที่แบ่งงานกันทาพวกนี้ นอกจากจะไปรวมตัว กันเป็ นสระน้า บ่อน้าแล้วจึงผสานรวมกันกลายเป็ นแม่น้าที่โอบ ล้อมรอบภูเขาแล้ว หลังจากนั้นยังมีลาธารอีก เกือบครึ่งที่ท้องน้าแห้ง ขอดทาท่าว่าจะไต่ปืนไปบนภูเขา ถึงกับไหลทวนกระแสขึ้นด้านบน หวนกลับไปยัง “ช่องโพรงลมปราณ” ใหญ่แต่ละแห่งในภูเขาอีกครั้ง สุดท้ายร่างมนุษย์ที่เหมือนเปลวเพลิงนี้ก็กลายมาเป็ นวงโคจรของการ ก่อเกิดเป็ นตัวข้าที่เริ่มมีแนวโน้มเข้าสู่ความมั่นคงและกลายมาเป็ นมี ระเบียบแบบแผน
ค่ายกลใหญ่เจ็ดสิบสองฤดูกาลหนึ่งในค่ายกลที่ทับซ ้อนกันก็มิ อาจต้านรับการโจมตีอย่างรุนแรงได้เช่นกัน ตราประทับเจ็ดสิบสอง ชิ้นที่เป็ นแกนกลางของค่ายกลจึงทยอยกันปริแตก
นักพรตฉุนหยางใช ้มือข้างหนึ่งถือประคองดวงตะวันเอาไว้แล้ว ผลักออกไปอย่างแรงครั้นจึงประกบสองนิ้วทามุทรากระบี่สั่งให้กระบี่ ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังพุ่งออกจากฝักเสียงดังเครั้งประหนึ่งเสียง
มังกรครวญ แต่กลับกลายร่างไปเป็ นเชือกเส้นหนึ่งที่ชักดึงดวง อาทิตย์เอาไว้ หลวี่เหยียนหมุนตัวแล้วจึงเหวี่ยงแขนกระชากให้ดวง ตะวันที่ลอยขึ้นสูงดวงนั้นเหวี่ยงตัวกลายเป็ นเส้นวงโค้งขนาดใหญ่ ยักษ์ ขว้างใส่ช่องโหว่ขนาดมหึมาของนกในกรงที่ถูกหัวเรือเบียดจน แตก เวทกระบี่ควบกับวิชาอภินิหารบทนี้ แรงไฟกาลังพอเหมาะพอดี เห็นเพียงว่าดวงตะวันร ้อนแรงที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้ าอย่างเห่อเหิม ระหว่าง ทางได้จ าแลงออกมาเป็ นชุดคลุมอาคมสี่ทองที่ถูกคลี่กางออก หลังจากนั้นเชือกกระบี่ยาวก็เหมือนลากดึงดวงอาทิตย์เจิดจ้านับร ้อย นับพันดวงให้ทับซ ้อนกันเป็ นชั้นๆ ไต่ทะยานขึ้นสูงเรื่อยๆ กระทั่งไปถึง ม่านฟ้ า ครั้นจึงพากันจาแลงเป็ นชุดคลุมอาคมที่สกัดขวางช่องโหว่ ซึ่งกาลังจะถูกใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเบียดให้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อร่วมมือกับ “ตาแหน่งฟ้ า” ที่ดวงตะวันดวงใหญ่นี้เคลื่อนไป อวี๋เสวียนจึงคอยบังคับการหล่นลงสู่พื้นของดวงจันทร ์ที่อยู่ในค่ายกล ตะวันจันทรา
หลวี่เหยียนหันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยืดเอวตรงขึ้นเล็กน้อย ใช ้เสียงในใจกล่าวว่า “ไม่ เป็ นไร”
ลาพังแค่การลงมือครั้งนี้ของหลวี่เหยียนและอวี๋เสวียนก็เท่ากับว่า ดึงลากวิญญาณฟ้ าและวิญญาณดินของเฉินผิงอันให้กลายเป็ น เส้นตรง เหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่เอาไว้ค้ายันฟ้ าดินนกในกรงที่สาย ไหวจะพังมิพังแหล่