กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1006.3 พวกเขานั่งล้อมรอบกองไฟ
เจิ้งจวีจงสะบัดชายแขนเสื้อ รวบรวมหอแก้วใสที่เดิมทีแตกสลาย ให้กลายเป็ นยันต์ไม่ ทราบชื่อที่คล้ายกับถูก “แผ่นผนึ ก” (แผ่นกระดาษยาวที่ปิดประตูหรือสิ่งของ บนแผ่นกระดาษนั้นจะระบุวัน เวลาที่ปิดพร ้อมกับประทับตรา) แผ่นหนึ่งซึ่งให้มันแปะไว้บนประตู ใหญ่ของม่านฟ้ าที่เปิดอ้าอยู่อย่างนั้น
ขณะเดียวกันตรงหน้าผากของเฉินผิงอันก็มีรอยเลือดที่เป็ นรอย บุ๋มลงไปปรากฏขึ้น
นี่แสดงให้เห็นว่าเจิ้งจวีจงก็คือพันธมิตรที่ไม่ใส่ใจมากที่สุดว่า เฉินผิงอันจะเป็ นตายร ้ายดียังไง
หลี่ซีเซิ่งจึงประกบสองนิ้ว ขยับเท้าเหยียบย่างมาบนความว่าง เปล่า วาดยันต์แผ่นหนึ่งที่เหมือนเสริมร่องบนมหาสมุทรให้ราบเรียบ รอยเลือดบนหน้าผากของเฉินผิงอันถึงได้หายวับไปในชั่วพริบตา
คล้ายกับได้รับคาสั่งอย่างลับๆ จากอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ป๋ า ยจิ่งลังเลเล็กน้อย มองไปที่เจ้าขุนเขาแวบหนึ่ง ฝ่ ายหลังพยักหน้า เบาๆ นางจึงเหยียบไปบนช่องหนึ่งของภาพจาแลงเดือนอธิกมาสหนึ่ง ในค่ายกลทับซ ้อน เรียกกระบี่ออกไปตรงจุดสูง แสงกระบี่หลายพัน เส้นเหมือนสายรุ ้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ าคล้ายกับสายฟ้ าจ านวนนับไม่ ถ้วนที่เชื่อมโยงทะเลเมฆสองผืนไว้ด้วยกัน แสงกระบี่พุ่งฉวัดเฉวียน
อยู่ในฟ้ าดินนกในกรงเหมือนสายฟ้ าแลบแปลบปลาบ ขณะเดียวกัน ก็ไปจาแลงกลายเป็ นบ่อสายฟ้ าบ่อหนึ่งในรัศมีหลายร ้อยลี้ “กลาง อากาศ” ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ค่อยๆ ผลักหัวเรือให้เบนไปยังเส้นทาง ที่จิตวิญญาณแห่งยันต์สร ้างขึ้น
สาหรับผู้ฝึกตนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างบางส่วนที่เงยหน้าขึ้น มองแล้ว นี่ก็คงเหมือนบ่อสายฟ้ าทัณฑ์สวรรค์ที่เซียนเหรินต้องเจอ เมื่อคิดจะเลื่อนเป็ นบินทะยานแล้ว พลานุภาพสวรรค์ยิ่งใหญ่น่าครั่น คร ้าม เพียงแต่ว่าถูกกาหนดมาแล้วว่าจะไม่ร่วงลงสู่พื้นดินก็เท่านั้น
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเล็กน้อย ยันต์สองแผ่นก็พุ่งออกมาจาก ชายแขนเสื้อ แยกกันผลุบหายเข้าไปในหลังมือซ ้ายขวา
นี่คือ?
ตามหลักแล้วอย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็น่าจะยืนหยัดได้สั้นสุด ครึ่งก้านธูป ยาวสุดหนึ่งก้านธูปไม่ใช่หรือ?
เสี่ยวโม่ขัดขวางไม่ทัน ป๋ ายจิ่งเองก็อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ดูจาก ท่าทางแล้วเจ้าขุนเขาบ้านตนกลายเป็ นหมาจนตรอกที่ร ้อนใจอยาก กระโดดข้ามก าแพงแล้ว?
เห็นเพียงว่ามือขวาที่วางค้าไว้บนหัวเข่าคลายออกเล็กน้อย นิ้ว ทั้งห้าทาท่ากุมด้ามกระบี่หลวมๆ
มือซ ้ายที่วางแนบหน้าท้องหันฝ่ ามือขึ้นด้านบนพลิกกลับ ทาท่า ก าหลวมๆ เช่นกัน แต่กลับเป็ นท่ากาคมกระบี่ เคลื่อนจากขวาไปซ ้าย ช ้าๆ
แสงสีทองที่บริสุทธ ์จุดหนึ่งเปล่งประกายสว่างจ้าอยู่ในฟ้ าดิน ไม่เพียงแต่กระบี่ยาวเจ็ดแสนกว่าเล่มในนกในกรงที่พากัน สั่นสะเทือนอย่างพร ้อมเพรียง
แม้กระทั่งกระบี่อาคมของนักพรตฉุนหยางที่จาแลงกลายเป็ น เชือกยาวรั้งตะวันก็เกิดการสั่นคลอนในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน ประดุจเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันจึงส่งเสียงร ้องแหลมสูง
สายฟ้ าที่แลบแปลบปลาบอยู่ระหว่างฟ้ าดินที่ป๋ ายจิ่งจาแลงขึ้นมา เหมือนต้นไม้ในภูเขาที่ถูกล้มพัดจึงพากันล้มไปด้านหนึ่งอย่างเป็ น ระเบียบ
กาแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง ในมือถือกระบี่
จุดที่ห่างไปไกลมากของนอกฟ้ า นักพรตหนุ่มที่สวมกวาน ดอกบัวไว้บนศีรษะย่นคอยื่นฝ่ามือไปลูบตรงลาคอตัวเอง
และเวลานี้เองหลี่เซิ่งก็หรี่ตามองไปยังทิศไกลก่อนใคร
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีเส้นสีดาที่เล็กบางอย่างยิ่งเลื้อยคดเคี้ยวพุ่งมาถึง ด้านใต้เส้นสีด าก็คือเส้นทางสีแดงเพลิงเส้นหนึ่ง
ลู่เฉินที่หลบชมเรื่องสนุกอยู่ตรงม่านฟ้ าในใต้หล้าบ้านตัวเอง อย่างลับๆ ล่อๆ พลันเบิกตากว้าง ใช ้หมัดทุบฝ่ ามือ “มาเร็วไม่สู้มาได้ จังหวะบังเอิญ เป็ นบุญตาเหลือเกินแล้ว!”
อู๋หมิงซื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบยื่นมือไปคว้าไหล่ของหลีโก้วที่อยู่ข้าง กาย กระชากพากันหลบเข้าไปในร่องของไท่ซวีที่ยากจะสังเกตเห็น
อวี๋เสวียนเอ่ยเสียงหนัก “ดูเหมือนจะเป็ นงูเหินบรรพกาลที่เลื้อย อยู่ในจุดลึกของไท่ชวี”
เจิ้งจวีจงพูดคุยด้วยเสียงในใจกับหลี่เซิ่งและอาจารย์ซานซานจิ่ว โหวอยู่พักหนึ่ง
หลี่เซิ่งพยักหน้าเบาๆ อาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่แม้ว่าจะเผยสี หน้าคลางแคลง แต่กระนั้นก็ยังสั่งให้สตรีที่เป็ นจิตวิญญาณของยันต์ กลับมาอยู่ในชายแขนเสื้อ
เพียงชั่วกะพริบตา งูเหินบรรพกาลตัวนี้ก็แสดงความใหญ่โต มโหฬารของมันให้เห็น
ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเมื่อเทียบกับมันแล้วกลับเล็กเหมือนไข่มุกเม็ด หนึ่ง ถูกมันอ้าปากกลืนลงท้อง สะบัดศีรษะเล็กน้อย มันก็พุ่งชนค่าย กลที่ทับซ ้อนกันให้กระเด็นออกไป เรือนกายใหญ่ยักษ์บดขยี้เส้นทาง ใหม่เอี่ยมที่จิตวิญญาณของยันต์สร ้างขึ้นอย่างยากลาบากจนแหลก เละ สะบัดหางหนึ่งทีแล้วพ่นไข่มุกเม็ดนั้นออกมา ก่อนจะใช ้หัวดัน ใต้ หล้าเปลี่ยวร ้างจึงเปลี่ยนไปอยู่ใน “เส้นทางชิงเต้า” ใหม่เอี่ยมอีกเส้นที่
คล้ายกับถูกก าหนดไว้แล้ว ส่วนร่างของงูเหินก็ผลุบหายเข้าไปใน ไท่ซวี แล้วก็หายวับไปมองไม่เห็นอีก เมื่อครู่พอจะมองเห็นว่าบนศีรษะของงูเหินตัวนั้นมี “ลู่ฝ่ าเหยียน” ที่เหลือเพียงเนื้อหนังมังสาแต่ไร ้จิตวิญญาณยืนอยู่ บนเส้นทางที่งูเหินตัวนั้นเลื้อยผ่านไปได้ทิ้งร่องรอยที่ถูกเปลว เพลิงเผาไหม้ด าทะมึนเนิ่นนานก็ยังไม่จางหาย
หลวี่เหยียนหดย่อพื้นที่เดินก้าวเดียวมาหยุดอยู่ข้างทาง ทรุดตัว ลงนั่งยอง นิ้วหยิบเศษขี้เถ้าขึ้นมาขยี้ดู เจินเหรินผู้บรรลุมรรคาที่มี ฉายาว่า “ฉุนหยาง” ผู้นี้อดไม่ไหวทอดถอนใจออกมา เงยหน้ามองไป ยังทิศไกล แม้กระทั่ง “มหามรรคา” ก็ยังเผาได้อย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันถูกกระแทกชนจนผงะหงายล้มลงพื้น ร่างของเขากลิ้ง ตลบไปตลอดทางกระบี่ยาวที่กาลังจะก่อตัวอยู่ในมือซ ้ายค่อยๆ สลาย หายไป สุดท้ายใช ้มือขวายันพื้น กระอักเลือดออกมาค าใหญ่
หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจ วันนี้ถือว่าคลี่คลายเรื่องเร่งด่วนที่เป็ นดั่งไฟ ไหม้ลามขนคิ้วไปได้แต่วันหน้าทุกๆ สิบปี สองใต้หล้าที่คอยชักดึงกัน ก็จะเกิดการพุ่งชนกันครั้งหนึ่ง
หากงูเหินบรรพกาลตัวนั้นไม่มาก่อกวน หลี่เซิ่งก็อาจจะสามารถ ทาภารกิจครั้งนี้ให้ส าเร็จลุล่วงไปได้ แน่นอนว่าก็อาจจะท าให้ใต้หล้า ไพศาลมีคนบาดเจ็บล้มตายมากมายเพียงแค่เพราะตัวแปรที่มิอาจ
ทราบได้มีมากเกินไป ไม่ว่าจะอนุมานออกมาอย่างไรก็ล้วนไม่มี ความหมาย
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวมอบค่ายกลใหญ่คืนให้เฉินผิงอัน
ค่ายกลทับซ ้อนกลายมาเป็ นกระบี่บินสองเล่มอย่างนกในกรงกับ จันทร ์ปากบ่อ พริบตาเดียวก็ผลุบหายไปในหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน
หลี่เซิ่งมีสีหน้าเป็ นปกติ ประสานมือคารวะทุกคน “ล าบากทุก ท่านแล้ว”
ถึงอย่างไรก็มีเวลาเพิ่มมาอีกสิบปี
นอกจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่ยืนนิ่งไม่ขยับแล้ว ผู้ฝึกตน คนอื่นๆ ต่างก็พากันคารวะกลับคืน
และยังมีเฉินผิงอันที่อยากจะลุกขึ้น แต่หลี่เซิ่งกลับยื่นมือมากดล งบนความว่างเปล่าหนึ่งที ยิ้มเอ่ยว่า “รักษาอาการบาดเจ็บให้ดี”
เสี่ยวโม่มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ประคองคุณชายของตัวเอง ขึ้นมา
เฉินผิงอันยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ยังดีที่ไม่ได้ ขอบเขตถดถอย “อีกครั้ง”
อาจารย์ซานซานจิ่วโหวขมวดคิ้วน้อยๆ ใช ้เสียงในใจถามว่า “เฉินผิงอัน ท าไมถึงได้ใช้ยันต์สองแผ่นนั้นล่วงหน้า?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
เจิ้งจวีจงรู ้สึกเสียดายเล็กน้อย หากเฉินผิงอันออกกระบี่ฟันใส่เปลี่ยวร ้างอย่างเด็ดเดี่ยว เขา เจิ้งจวีจงจะต้องเป็ นคนแรกที่ตามไปราดน้ามันลงบนกองเพลิงแน่นอน คิดดูแล้วผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตบินทะยานสองคนอย่างเสี่ยวโม่ กับป๋ ายจิ่งก็ไม่น่าจะอยู่นิ่งเฉย ต่างก็ถือเป็ นการปักบุปผาลงบนผ้า แพรได้
หลี่ซีเซิ่งจะถูกบีบให้ต้องปกป้ องมรรคาให้กับเฉินผิงอัน หลวี่เห ยียนฉุนหยางก็จะออกกระบี่ต่อ ขัดขวางป่ายเจ๋อหรือไม่ก็กุ่ยเค่อแห่ง เปลี่ยวร ้าง…
อวี๋เสวียนมองสองฝ่ ายที่ “คุมเชิงกัน” ซึ่งคนหนึ่งถามคนหนึ่งไม่ ยอมตอบก็อดทอดถอนใจไม่ได้ว่าคนหนุ่มช่างดีจริงๆ
หลี่เซิ่งยิ้มพลางตบแขนของผู้ฝึ กตนหนุ่มคนนี้ เอ่ยว่า “เอาตัว เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ต่อให้เป็ นข้าก็ไม่คิดจะโทษใครหรอก”
ในร่องของไท่ซวีที่คล้ายเป็ นน้าวนของแม่น้าแห่งกาลเวลา คนที่ หน้าตายอย่างหลีโก้วก็ยังอดหลุดข าไม่ได้
ที่แท้อู๋หมิงซื่อก็ถูกเส้นทางเปลวเพลิงที่จู่ๆ ก็แยกออกมาเส้นหนึ่ง เผาจนหน้าเปรอะเปื้อนขะมุกขะมอม ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยที่หลบไม่ ทันสะบัดหัว เส้นผมที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมหล่นร่วงลงมาเป็ นหย่อมๆ
หลีโก้วกลั้นขา ผงกปลายคางถามอย่างประหลาดใจ “เมื่อก่อน เคยไปหาเรื่องท่านผู้นั้นมาก่อนหรือ?”
ไม่กล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ
อู๋หมิงซื่อเอ่ยอย่างอัดอั้น “จะเป็ นไปได้อย่างไร ข้าก็แค่เคยเห็น อีกฝ่ ายไกลๆ อยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง หลบเลี่ยงยังแทบไม่ทัน ไหนเลย จะกล้าเป็ นฝ่ายไปหาเรื่องเขา”
ช่วงหลังของยุคบรรพกาล รวมไปถึงก่อนที่จะเกิดศึกเดินขึ้นฟ้ า นอกจากคนไม่กี่คนที่อยู่ในต าแหน่งสิบผู้กล้าแล้ว ใครเล่าจะกล้าไป ท้าทายองค์เทพสูงสุดแห่งสรวงสวรรค์เหล่านั้น
หลี่เซิ่งเป็ นฝ่ ายเอ่ยขอตัวลาไปก่อน คล้ายกับอยากจะไล่ตามงู เหินบรรพกาลที่ถูกหุ่นเชิด “ลู่ฝ่ าเหยียน” เป็ นผู้ควบคุมเอาไว้ไป
หลี่ซีเซิ่งมองไปยังเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมี ท่าทางผ่อนคลายสบายอุราอยู่ตลอดท่านนั้น ยิ้มถามว่า “อาจารย์เจิ้ง วันฤกษ์ดีไม่สู้วันฤกษ์สะดวก เล่นหมากล้อมกันสักตาดีไหม?”
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้รอให้การโต้วาทีของสามลัทธิ สิ้นสุดลงก่อน ถึงเวลานั้นข้าจะรอต้อนรับเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงอยู่ที่ นครจักรพรรดิขาว”
ทั้งสองฝ่ ายประลองหมากล้อมกันตอนนี้ ไม่ว่าจะเล่นกันกี่ตา ถึง อย่างไรก็ชนะได้อย่างไม่สมเกียรติ
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
ผู้บรรลุมรรคาที่แท้จริงผสานรวมกับหมื่นสรรพสิ่ง มนุษย์ ธรรมดาอย่างเราๆ มิอาจมองเห็นร่องรอยของพวกเขา
ต้องรู ้ว่าประโยคที่กล่าวอย่างไพเราะนี้มาจากปากของลู่เฉินเอง
หางตาของอวี๋เสวียนเหลือบมองไปยังเจิ้งจวีจง เจินเหรินผู้เฒ่า ลูบหนวดไม่เอ่ยอะไรน่าประหลาดนัก พวกเจ้าสองคนไปมีบุญคุณ ความแค้นกันได้อย่างไรนะ?
สาหรับเจิ้งจวีจงแล้ว ท่าทีของอวี๋เสวียนมีเพียงอย่างเดียว เคารพ อยู่ห่างๆ
จะให้เป็ นสหายกันนั้นช่างเถิด ยิ่งอย่าได้กลายเป็ นศัตรูกันเลย
จากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เดินทางไปพร ้อมกับอาจารย์ซานซานจิ่วโหว เลียบเส้นทางชิงเต้าของปีศาจใหญ่ชูเชิงสืบย้อนไปยังต้นก าเนิด
ส่วนอวี๋เสวียนก็เชื้อเชิญให้สหายฉุนหยางไปดื่มเหล้าตรง สถานที่ที่ตัวเองผสานมรรคา
เนื่องจากก่อนหน้านี้อวี๋เสวียนง่วนอยู่กับการผสานมรรคากับทาง ช ้างเผือกนอกฟ้ าอาจารย์ซานซานจิ่วโหวได้เป็ นฝ่ ายปรากฏตัวอย่าง ที่หาได้ยาก
ดังนั้นอวี๋เสวียนจึงได้รู ้ “เรื่องเล่า” ใหม่เอี่ยมเรื่องหนึ่ง อีกพันปี หรือหลายพันปี ข้างหน้าค่อยเอาออกมาตากแดดอีกครั้ง นั่นก็จะ กลายเป็ นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ถูกคนนามาพูดถึงอย่างเพลิดเพลินแล้ว
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ในมือ ถือยันต์สามภูเขาเดินทางข้ามภูเขาแม่น้าอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง
เพราะหลังจากที่พวกเฉินผิงอันจุดธูป “คารวะ” แล้ว ผ่านไปไม่ นานก็มีควันเขียวผุดลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
คนกลุ่มที่สอง จานวนคนที่จุดธูปคารวะก็ไม่ถือว่ามาก มีแค่เก้า คน แต่ควันธูปกลับโชติช่วงไม่ต่างกัน ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่อย่าง มาก
เฉาสือ หยวนพาง ฟู่ จิ้นและกู้ช่านลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว คนหนึ่งเปิดภูเขา คนหนึ่งปิดประตู เด็กสาวฉุนชิงแห่งสายเทพภูเขาชิงเสินถ้าสวรรค์จูไห่ นักพรตจวน เทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ภิกษุจากวัดโพ่ซานแผ่นดินกลาง สวี่ป๋ าย ที่มาจากสายของศาลบรรพชนสานักการทหาร สรุปก็คือทั้งขงจื๊อ พุทธเต๋าและส านักการทหาร สามลัทธิหนึ่งสานักต่างก็มีครบถ้วนแล้ว
ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็มีคนสองกลุ่มที่ทยอยกันถือยันต์สาม ภูเขาข้ามผ่านภูเขาสายน้าจุดธูปคารวะ อีกทั้งพวกเขาต่างก็อายุ น้อยกันมาก ไม่ใช่อายุน้อยธรรมดา แต่ละคนยังมีผลส าเร็จบนมหา มรรคาที่ควรค่าแก่การรอคอยและฝากความหวัง
ดังนั้นจึงเป็ นเหตุให้แม้แต่อาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็ยังประหลาด ใจนิดๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก
ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่หลายคน สิ่งที่เขาให้ความสาคัญคือ อนาคต อีกทั้งยังเป็ นอนาคตของคนอื่น
หากจะพูดถึงเรื่องราวในอดีต ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์เหล่านั้นล้วน กลายเป็ นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปหมดแล้ว อนาคตกลับมีความเป็ นไป ได้อย่างไร ้ขีดจ ากัด
ก็เหมือนตาราเล่มหนึ่งที่โครงเรื่องมีพลิกกลับไปกลับมา ทาให้ คนอ่านรู ้สึกคาดไม่ถึง
ส่วนเนื้อหาก่อนหน้านั้นที่ท่องจาได้ขึ้นใจนานแล้ว ต่อให้จะเป็ น บุคคลและเรื่องราวที่สวยงามน่าตะลึงแค่ไหน อย่างมากก็แค่พลิก กลับไปอ่านไม่กี่รอบ หวนระลึกถึงความทรงจากลับง่ายที่จะทาให้คน ในต ารารู ้สึกเสียใจ
ค าพูดบางอย่างจะพูดหรือไม่พูดก็ได้
ในช่วงเวลานั้นอันที่จริงอวี๋เสวียนไม่มีมิตรภาพใดๆ ให้กล่าวถึง กับคนหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน
แต่เพราะในสนามรบของเกราะทองทวีปก่อนหน้านั้น “เจิ้งเฉียน” ลูกศิษย์เปิดภูเขาของเฉินผิงอัน แม่นางน้อยที่ทาอะไรรวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังปฏิบัติต่อคนอื่นจริงใจอย่างมากผู้นั้นสร ้างความประทับใจที่ ดีเยี่ยมต่อเจินเหรินผู้เฒ่า ความรู ้สึกที่เขามีต่ออิ่นกวานหนุ่มซึ่งยังไม่
เคยพบหน้าจึงดีตามไปด้วย อาจารย์เป็ นแบบไหนก็สอนลูกศิษย์ ออกมาเป็ นแบบนั้น หากไม่ใช่คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียงก็ต้อง เป็ นต้นครามเกิดจากครามแต่สีเข้มกว่าคราม
ดังนั้นอวี๋เสวียนถึงได้ยิ้มเอ่ยด้วยประโยคที่มีความหมายลึกล้า อย่างมาก การจุดธูปคารวะสองครั้งยังต้องยกคุณความชอบให้กับ สหายน้อยเฉินผู้นั้น
ตอนนั้นผู้ฝึกตนหนุ่มมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ ถือว่าฝืนใจยอมรับคากล่าวนี้ของอวี๋เสวียนแล้ว
ไม่ใช่ว่าอาจารย์ซานซานจิ่วโหวมองตัวเองสูงเหนือคนอื่น ขี้ เหนียวค าพูดดีๆ แต่เป็ นเพราะก่อนหน้านั้นอวี๋เสวียนได้เอ่ยถ้อยค ามี เจตนาที่น้าหนักไม่ถือว่าเบากับเขา
เป็ นเหตุให้การพยักหน้าครั้งนี้ของเขาเท่ากับถูกบีบให้มอบ ค าตอบ
ที่แท้ก่อนหน้านี้อวี๋เสวียนก็เคยถามเรื่องหนึ่ง เมื่อดอกจือหลัน (ต้นจือหลันหรือต้นไอริสและต้นกล้วยไม้ ใช ้อุปมาถึงคุณธรรมอัน สูงส่งหรือสภาพและสิ่งแวดล้อมอันดีงาม) ขวางทาง จาต้องกาจัดทิ้ง ใช่หรือไม่?
หลังจากนั้นเพื่อซ่อมแซมชดเชยรูโหว่บนพื้นดินของใบถงทวีป เฉินผิงอันก็ได้ขอยืมภูเขาและสายน้ามาจากหลายท่าน คล้ายกับการ ที่ “ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา” (เปรียบเปรยได้ถึงเจ้าบ้าน เจ้าภาพ) เหตุ
ใดการกระทานี้ของเขาถึงแค่เจอกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ แต่ สถานการณ์โดยภาพรวมแล้วยังคงราบรื่นอย่างมาก เพราะในความ มืดมิดที่มองไม่เห็น การพยักหน้าครั้งนี้ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ที่อยู่ในทางช ้างเผือกนอกฟ้ า ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันได้รับค า ประกาศิตที่ถูกต้องชอบธรรมเพิ่มมาข้อหนึ่ง คล้ายกับขุนนางใน ท้องถิ่นที่เป็ นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาได้รับเอกสารฉบับหนึ่งที่ ทางราชส านักส่งมาให้ พอจะท าอะไรก็ล้วนสมเหตุสมผล แน่นอนว่า อาจารย์ซานซานจิ่วโหวไม่พยักหน้า เฉินผิงอันก็ยังคงซ่อมแซม พื้นดินได้อยู่ดี เพียงแต่ว่าผลลัพธ ์สุดท้ายจะไม่ได้ดีขนาดนั้น
โอกาสชื่นชมทัศนียภาพของนอกฟ้ าเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ เฉิน ผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่และป๋ ายจิ่งทะยานลมช ้าๆ กลับไปที่ไพศาล ด้วยกัน
ส่วนดวงจิตเพียงดวงเดียวของเฉินผิงอันที่ยังไม่ได้ถูกเก็บมา หลังจากย้อนทวนกระแสแม่น้าแห่งกาลเวลาหมื่นปีไปกับผู้ถือกระบี่ ก็ ได้เห็นภาพภาพหนึ่ง
ภาพที่ทาให้เฉินผิงอันเหม่อลอยไปเนิ่นนาน ดวงอาทิตย์ตกดินอาบย้อมด้วยสีทอง ก้อนเมฆยามสายัณห์ดุจ โอบล้อมก าแพงหยก บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ม่านราตรีหนาหนัก นั่งล้อมรอบกองไฟ
นอกจากสิบผู้กล้าและสี่ตัวสารองของใต้หล้าแล้ว ยังมีเงาร่าง ของคนผู้หนึ่งเพิ่มมา
เมื่อพวกเขานั่งอยู่ที่นี่ก็คล้ายกับว่าโลกมนุษย์ทั้งใบเคยมานั่งอยู่ ที่นี่ นั่งอยู่บนยอดเขามองไปยังจุดสูง มองไปยังทิศไกล