กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1007.1 เปิดศึก
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจุดลึกของรากดินที่อวี๋โจว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ป๋ ายจิ่งกลับคืนมามีรูปโฉมของเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวแล้ว นางตอบไม่ตรงคาถาม “ศึกน้าและไฟในครานั้น เจ้ารู ้สาเหตุและ ขั้นตอนคร่าวๆ แล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่เคยได้ยินเรื่องวงในมาบ้าง เป็ นคาพูดไม่ ประติดประต่อกัน แค่พอจะรู ้จุดเชื่อมต่อที่สาคัญแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น”
ศึกน้าและไฟที่สะท้านฟ้ าสะเทือนดินอย่างสมชื่อครั้งนั้น แน่นอน ว่าคือชนวนที่สาคัญที่สุด
เพราะมีควันธูปที่สรรพชีวิตซึ่งมีสติปัญญาให้การ “บูชา” สามารถหล่อหลอมร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เป็ นเหตุให้สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์สององค์ที่อยู่ในระดับเทพชั้นสูงสุดเหมือนกันหากมหา มรรคาของคนหนึ่งลด มหามรรคาของอีกคนต้องเพิ่ม กลายเป็ น ความขัดแย้งและความไม่ปรองดองกัน สามารถเรียกได้ว่าเป็ นการ แย่งชิงบนมหามรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์
ตามคากล่าวของชิงถง ผลลัพธ ์จากการต่อสู้ครั้งนั้นได้ชักนาให้ “เสาสวรรค์หัก แกนดินขาดสะบั้น” วิถีฟ้ าทั้งสายพังถล่มลงมา เป็ น เหตุให้วิถีโคจรของตะวันจันทราและดวงดาวยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม
และนี่ก็วิวัฒนาการให้เกิดเส้นสายการสืบทอดมากมายในโลกยุค หลัง ขณะเดียวกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์จานวนนับไม่ถ้วนที่เข้าร่วมสงครามก็ เหมือนดาวตกที่ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ทั่วทุกหนแห่งในพื้นดินและ มหาสมุทรเกิดไฟไหม้ลามมิอาจหยุดยั้ง สรรพชีวิตมอดม้วย สายฝน ชะล้างฝุ่ นกระจายไปทั่วสารทิศในฟ้ าดิน วิถีฟ้ าที่เดิมที่สมบูรณ์แบบ ไร ้ช่องโหว่เกิดช่องโหว่มากมาย นี่ก็คือหายนะของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด บนพื้นแผ่นดินของโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันส าหรับ “นักพรต” แล้วก็ เป็ นโอกาสใหญ่ครั้งที่สองต่อจาก “เวทคาถาตกลงมายังใต้หล้า เหมือนสายฝน
เห็นได้ชัดว่าป๋ ายจิ่งไม่เชื่อในคากล่าวนี้ นางเหลือบตามองเจ้า ขุนเขาหนุ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ นแบบนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอให้ข้าได้พักหายใจหายคอก่อน พัก สักครู่แล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”
ทะยานลมอยู่นอกฟ้ าเผาผลาญจิตใจและปราณวิญญาณของผู้ ฝึกลมปราณอย่างมาก เดิมที่ผู้ฝึกตนเซียนดินมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนคน จมน้าที่หายใจไม่คล่อง ยืนหยัดได้ไม่นานนัก
โชคดีที่ไท่ซวีที่กว้างขวางแห่งนี้ยังคงมีกระแสน้าขึ้นปราณ วิญญาณที่กระจัดกระจายมาให้เฉินผิงอันได้ดึงดูดเอามา แต่ด้วย ความเร็วในการทะยานลมตอนนี้ของเฉินผิงอัน คิดอยากจะกลับไป ยังใต้หล้าไพศาลคาดว่าต่อให้ออกแรงเต็มที่ และอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ มีปราณวิญญาณของตัวเองสะสมไว้ได้มากพอก็ต้องใช้เวลาเป็ น
เดือนๆ ดังนั้นรอให้เฉินผิงอันปรับวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุและ ปราณวิญญาณที่สับสนในร่างกายได้ดีแล้วก็ยังต้องให้ป๋ ายจิ่งช่วย เปิดทาง เสี่ยวโม่คอยช่วยอยู่ด้านข้างถึงจะได้
ผู้ฝึกกระบี่สามคนเหยียบย่างอยู่บนความว่างเปล่า กระแสน้าขึ้น ปราณวิญญาณน้อยนิดที่อยู่รอบด้าน ป๋ ายจิ่งไม่เห็นอยู่ในสายตา แม้แต่น้อย ก็เหมือนหว่านแหไปครั้งหนึ่งแล้วรวบเอามาได้แค่ปลา น้อยไม่กี่ตัว จะต้องเปลืองแรงขนาดนั้นไปไย
ป๋ ายจิ่งยิ้มตาหยี “ครั้งนี้ถูกจอมปราชญ์น้อยเชื้อเชิญมาที่นอก ฟ้ าด้วยตัวเอง เจ้าขุนเขาได้ผลประโยชน์ไม่มาก แต่ออกแรงไปไม่ น้อย”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่มีคุณความชอบอะไร มีแค่คุณ ความเหนื่อยยากไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ป๋ ายจิ่งถามหยั่งเชิง “เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหกร ้อยเหรียญ ที่ยืมมาจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวกับฝูลู่อวี๋เสวียนต้องใช ้ คืนจริงๆ หรือ?”
เสี่ยวโม่ได้ยินแล้วก็นวดคลึงหว่างคิ้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็ นหนี้ต้องใช ้คืน ถูกต้อง ตามหลักฟ้ าดิน ยืมเงินคนอื่นแล้วจะไม่ยอมใช ้คืนได้อย่างไร”
ป๋ ายจิ่งรีบขับเรือตามกระแสลมทันใด “ใช่ๆๆ มียืมมีคืน ยืมอีกไม่ ยาก คือหลักการเหตุผลข้อนี้”
เดิมทีนางยังอยากจะแนะน าเจ้าขุนเขาเฉินด้วยความหวังดีว่า เจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นแค่มองก็รู ้แล้วว่าเป็ นพวกที่ตอแยได้ยาก อย่างถึงที่สุด เงินก้อนนี้ต้องใช ้คืน แต่ฝูลู่อวี๋เสวียนผู้นั้นหากถ่วงเวลา ไว้ได้ก็ถ่วงเวลาไปก่อน ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์ อักษร วันหน้ารอให้เขาผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ก่อนค่อยว่ากัน เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่แล้ว แล้วยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องเงินกับเจ้าเฉิน ผิงอันอีกหรือ? ถ่วงเวลาไปได้กี่ปี ก็ถ่วงไปเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะ สามารถใช ้เงินฝนธัญพืชมาหักลบกันไปแทนก็ได้
“ในจวนเฉวียนฝู่ ของภูเขาลั่วพั่วยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่น ทองซึ่งเป็ นกาไรที่หักค่าใช ้จ่ายแล้วเหลืออีกสามร ้อยเหรียญ วันหน้า ค่อยเอาไปใช ้คืนให้กับเทพเขียนผู้เฒ่าอวี๋ หากเจ้ายินดีช่วยวิ่งเอาเงิน ก้อนใหญ่นี้มาคืนแทนให้ ข้าก็ต้องขอขอบคุณเจ้าไว้ล่วงหน้าก่อน เลย”
เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่วางใจที่จะอาศัยวิธีส่งกระบี่ บินแจ้งข่าวฝากมายังยอดเขาเถียนจินภูเขาเถาฝู
ฝูลู่อวี๋เสวียนที่พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในยอดเขาเถียนจิน ใน ฐานะบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาเถาฝู ตอนนี้ภูเขาลูกนี้คือ ภูเขาลูกเดียวของใต้หล้าไพศาลที่ได้ครอบครองทั้งสานักดั้งเดิม สานักเบื้องบนและสานักเบื้องล่างในเวลาเดียวกัน
มักจะต้องมีผู้ฝึ กตนอิสระที่กินอิ่มว่างงานชอบจับจ้องคอยดัก กระบี่บินส่งข่าวอยู่เสมอ
ในประวัติศาสตร ์มีกระบี่บินข้ามทวีปไม่น้อยที่บรรทุกสมบัติลับที่ ส าคัญหรือไม่ก็จดหมายหายไปเหมือนวัวดินปั้นที่จมลงสู่ทะเล หา ร่องรอยไม่เจออีกเลย นี่จึงเป็ นเหตุให้เกิดการฟ้ องร ้องกันบนภูเขาที่ เป็ นบัญชีเลอะเลือนอยู่หลายคดี
ป๋ ายจิ่งถาม “เจ้าขุนเขาวางใจให้ข้าไปเยือนแผ่นดินกลางเพียง ล าพังหรือ? ไม่กลัวว่าข้าจะอาศัยชื่อของภูเขาลั่วพั่วแสร ้งท าเป็ น จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ก่อเรื่องก่อราวอยู่ข้างนอกหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่ดูจากการกระทานับตั้งแต่ที่แม่นางเซี่ย เข้าดินแดนมาที่อุตรกุรุทวีป และข้ามทวีปเดินทางลงใต้ตลอดทางจน มาถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็วางใจได้แล้ว”
ป๋ ายจิ่งหันไปมองเสี่ยวโม่ หากว่าเสี่ยวโม่ยินดีเดินทางไปเยือน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยกัน นางก็ไม่ถือสาที่ระหว่างเดิน ทางไกลจะจิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ให้พอเมากรึ่มเพราะสุราก็คือสื่อแห่ง ความบันเทิงนี่นะ หึหึหึ
เสี่ยวโม่กล่าว “ตอนนี้คุณชายได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่มีทางออกไป จากอาณาเขตต้าหลีโดยพลการ”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เมื่อครู่นี้ในอาณาเขตวิถีโคจรเส้นทาง ชิงเต้าที่อยู่ในค่ายกลทับซ ้อน กระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณที่อยู่ ใกล้เคียงยังเหลืออีกเท่าไร?”
ป๋ ายจิ่งกระจ่างแจ้งทันใด มิน่าเล่าเฉินผิงอันถึงได้ทะยานลมช ้า เหมือนเต่าคลานเช่นนี้ที่แท้ก็วางแผนว่าจะย้อนกลับไปโจมตีอย่าง ฉับพลันตั้งแต่แรกแล้ว?
รอแค่ให้พวกหลี่เซิ่งจากไป จะได้ไปเก็บกวาดสนามรบ เก็บตก ของดี?
เสี่ยวโม่ให้คาตอบคร่าวๆ “รวมๆ กันแล้วน่าจะเทียบเท่ากับความ จุปราณวิญญาณของเซียนเหรินคนหนึ่ง”
ป๋ ายจิ่งถูมือยิ้มเอ่ย “กลัวก็แต่ว่าหญิงชราที่เชี่ยวชาญวิชานี้จะ ย้อนกลับมา ถูกนางชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว เจ้าขุนเขา หากจะกลับไป ก็ต้องให้เร็วหน่อยแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า เรือนกายกลายร่างเป็ นแสงกระบี่รุ ้งยาวสิบ แปดเส้นที่หวนกลับไปทางเดิม
ป๋ ายจิ่งสูดน้าลายดังซู้ด เดาะลิ้นไปหยุด ไม่เห็นเหมือนคนที่ได้รับ บาดเจ็บเลยนะ
ระหว่างที่ขี่กระบี่ไปอย่างว่องไวดุจสายฟ้ าแลบ ป๋ ายจิ่งก็อดไม่ ไหวใช ้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ก่อนหน้านี้คุณชายของ เจ้าเห็นอะไรเข้าถึงได้โกรธขนาดนั้น ถึงกับเกือบจะอดไม่ไหวใช ้กระบี่ ฟันเปลี่ยวร ้าง?”
“บนพื้นดินของเปลี่ยวร ้างมีจงหยวนตัวปลอมปรากฏตัวขึ้นมา”
“ใคร?”
“จงหยวน เขาคือผู้ฝึ กกระบี่ที่มีความสามารถมากที่สุดของ กาแพงเมืองปราณกระบี่ต่อจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หากไม่เป็ น เพราะรบตายไป จงหยวนก็คงได้เป็ นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่ ไปนานแล้ว คุณชายเดาว่าสนามรบในครานั้น เป้ าหมายสุดท้ายของ เผ่าปี ศาจก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือสังหารจงหยวน ป้ องกันไม่ให้ กาแพงเมืองปราณกระบี่มีขอบเขตสิบสี่คนที่สองปรากฏขึ้นมา ตอนที่ จงหยวนมีชีวิตอยู่บนโลกก็มีชื่อเสียงที่ดีมากคุณชายเลื่อมใสผู้ อาวุโสท่านนี้อย่างมาก”
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะได้รับตารากระบี่เล่มหนึ่งที่ ถ่ายทอดมาจากจงหยวนซึ่งเฉินชิงตูเป็ นผู้มอบให้ และเว่ยจิ้นที่ถูก เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองว่าเป็ นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสืบทอด วิถีกระบี่ของจงหยวน การที่เขามิอาจได้รับ “ความโปรดปราน จาก ปณิธานกระบี่โบราณทั้งหลายได้เสียทีก็เป็ นเพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เผ่า ปีศาจรุ่นเยาว์หนึ่งในร ้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ ตอนที่หลอม กระบี่อยู่บนหัวกาแพงเมือง ผู้ฝึกกระบี่ได้ใช ้การพิศพระจันทร ์ในน้า และการพิศกระดูกขาวที่เป็ นวิชาซึ่ง ‘ลู่ฝ่ าเหยียน” หรือควรจะบอก ว่าโจวมี่เป็ นผู้ถ่ายทอดให้อย่างลับๆ พยายามที่จะคัดลอกออกมาเป็ น ผู้ฝึกกระบี่จงหยวนคนใหม่
แต่เพราะคาพูดประโยคหนึ่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส บวก กับจิตแห่งกระบี่ของเว่ยจิ้นใสกระจ่างมากพอ ใต้หล้าไพศาลและ
กาแพงเมืองปราณกระบี่จึงถือว่าต่างคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเอง ต้องการ
โจวมี่เองก็ถือว่าทาตามแผนการได้สาเร็จ บนโลกมนุษย์มี “จง หยวน” ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนเว่ยจิ้นก็ได้สืบทอดปณิธานกระบี่สี่เส้นที่จงหยวนทิ้งเอาไว้ พูดถึงแค่ท าเนียบศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยาน เว่ยจิ้นก็ถือเป็ น ผู้ฝึกกระบี่สายจงหยวนได้แล้ว
สมกับคากล่าวว่าคนที่หิวตายขี้ขลาด คนที่อิ่มตายใจกล้าจริงๆ
หญิงชราที่ในมือถือไม้เท้าเป็ นอย่างที่ป๋ ายจิ่งว่าไว้จริงๆ ในขณะที่ พวกเฉินผิงอันขยับเข้าไปใกล้วิถีแห่งชิงเต้าสายเก่า หญิงชราก็ก าลัง สูบกลืนกระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณในรัศมีหมื่นลี้มาเหมือน ปลาวาฬสูบน้า ขณะเดียวกันหญิงชรายังกาลังรวบรวมปณิธานที่มี เฉพาะของ “ชิงเต้า” ซึ่งแหลกสลายอยู่ที่นี่ไปด้วย ปราณวิญญาณ จ านวนเล็กน้อยเป็ นแค่ของแถม อย่างหลังต่างหากจึงจะเป็ นกุญแจ สาคัญที่ทาให้หญิงชราย่อมเสี่ยงอันตรายกลับมานอกฟ้ าอีกครั้ง
ป๋ ายจิ่งไม่พูดพร่าทาเพลงก็ปล่อยกระบี่ฟันออกไป ไท่ซวีนอกฟ้ า ที่มีแต่ความมืดมิดเวิ้งว้างพลันถูกเส้นยาวสีขาวหิมะเส้นหนึ่งฉีก กระชาก บางทีนี่ก็คงเป็ นวิธีที่พวกปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลใช ้ทักทาย กันแล้ว
กวนอื่ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า มาขวางอยู่เบื้องหน้าหญิง ชรา ใช ้มือเดียวกระชากรั้งเส้นสีขาวนั้นเอาไว้ สะบัดฝ่ ามือ แสงกระบี่ สีขาวก็รัดพันไปบนแขนของนางประกายสายฟ้ าระเบิดแตกส่งเสียง ลั่นเปรี้ยะประ สุดท้ายแสงกระบี่ก็ชัดแขนสีขาวหิมะของกวนอี่ให้ แหลกเละ เพียงแต่ว่าไหล่ของกวนอื่สั่นน้อยๆ แขนสมบูรณ์ข้างใหม่ ของนางก็งอกออกมาแล้ว
ป๋ ายจิ่งถามอย่างสงสัย “กวนอี่ เพื่อช่วยนางช่วงชิงปราณ วิญญาณกับปณิธานแห่งมรรคาน้อยนิดพวกนี้ เจ้าที่เป็ นคนนอกก็ไม่ น่าจะมาผูกปมแค้นกับข้ากระมัง? สมองเจ้าไปงอกอยู่บนหน้าอก หมดแล้วหรือ?”
กวนอี่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “มีเรื่องจะขอร ้อง จาต้องลงมือช่วยเหลือ”
ขอแค่เป็ นผู้ฝึกตนที่พอจะมีสมองสักหน่อย ต่างก็ไม่มีใครยินดีที่ จะพัวพันอยู่กับคนอย่างป๋ ายจิ่ง
ป๋ ายจิ่งยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา กระดิกนิ้ว “คนละเรื่องกัน ล้วน ปรึกษากันได้”
กวนอื่ไม่มีความลังเลใดๆ โยนกิ่งไม้โบราณกิ่งหนึ่งที่มีหน่อสี เขียวแตกยอดไปให้ป๋ ายจิ่ง นี่ก็คือการจ่ายเงินฟาดเคราะห์แล้ว
ร่างของหญิงชราหายวับไป กวนอี่ก็หายตัวตามไปด้วย เสี่ยวโม่ หันไปมองด้านล่างเฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด อีกฝ่ ายเตรียมพร้อม มาก่อน ไล่ฆ่าไปไม่ง่าย”
ป๋ ายจิ่งกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยว่า “ก็แค่เศษซากน้าแกงเย็นๆ เหลือปราณวิญญาณอีกไม่มากแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ขายุงก็ยังเป็ นเนื้อ คงต้องรบกวนแม่นางเซี่ยให้ ช่วยเหลือแล้ว เก็บมาได้เท่าไรก็เท่านั้น”
ป๋ ายจิ่งไม่ค่อยเต็มใจนัก เพียงแต่พอนึกถึงสมบัติที่เพิ่งได้มา ครองก็เปลี่ยนสีหน้าเป็ นคลี่ยิ้มกว้างสดใส นางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นก็มี ธงผืนหนึ่งตั้งขึ้นมาทันที โบกสะบัดแรงๆ อยู่ไม่กี่ที ปราณวิญญาณก็ ไหลกรูเข้ามาหา
เฉินผิงอันลองประมาณการณ์ดูแล้ว ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้เท่ากับ การสะสมในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ปราณวิญญาณพวกนี้เอาไปไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว กระจายไปตาม ฟ้ าดิน สาหรับตลอดทั้งพื้นที่มงคลแล้วอาจจะไม่ได้เด่นชัดมากนักแต่ หากวางไว้ในจวนเซียนที่เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งใดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่นพรรคหูซานของเกาจวิน หรือจวนซานจวิ นของขุนเขาใหญ่บางแห่ง หรือไม่ก็มอบให้กับไท่ซ่างหวงแคว้นหนัน เยวี่ยนที่หันมาขึ้นเขาฝึกตน ก็คือรายรับที่ไม่เล็กก้อนหนึ่งเลย
ส่วนกระแสน้าขึ้นปราณวิญญาณสามขุมที่ก่อนหน้านี้อาศัยค่าย กลทับซ ้อนดึงดูดเข้ามา เฉินผิงอันคิดว่าจะให้ภูเขาลั่วพั่วกับส านัก กระบี่ชิงผิงคนละส่วน ส่วนสุดท้ายจะเอาไปไว้ในภูเขาชื่อซงถ้าสวรรค์ ฉางชุนบนยอดเขามี่เซวี่ย
ป๋ ายจิ่งรวบรวมปราณวิญญาณขุมนี้ให้เป็ นไข่มุกขนาดเท่าเมล็ด ซึ่งสีเขียว โยนให้เฉินผิงอัน ก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว เฉินผิงอันเก็บมัน ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ การที่ไข่มุกเม็ดนี้กลายเป็ นสีมรกตก็เพราะด้าน ในซุกซ่อนปณิธานแห่งมรรคาของวิถีชิงเต้าเอาไว้ เมื่อเทียบกับ ไข่มุกปราณวิญญาณที่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ใช ้เวทลับหลอมขึ้นมาเป็ น ของที่จับต้องได้แล้วแน่นอนว่าย่อมล้าค่ามากกว่า
พวกเขาทะยานลมกลับไปยังไพศาลกันอีกครั้ง เฉินผิงอันถาม ชวนคุยว่า “แม่นางเซี่ยกิ่งไม้กิ่งนั้นเป็ นมาอย่างไรหรือ?”
ป๋ ายจิ่งหัวเราะฮ่าๆ “สวรรค์เท่านั้นที่รู ้ว่านังกวนอี่ผู้นี้ไปเก็บมา จากที่ใด มีค่าแค่ไม่กี่แดงหรอก”
เฉินผิงอันเอาอย่างป๋ ายจิ่ง ยื่นฝ่ามือออกมาแล้วกระดิกนิ้ว
ตามข้อตกลงต้องนั่งลงแบ่งสมบัติกัน
ป๋ ายจิ่งที่ตลอดทางมานี้กาลังคิดว่าควรจะหลอกอีกฝ่ ายให้ผ่าน ด่านนี้ไปได้อย่างไรก็ได้แต่ยกชายแขนเสื้อขึ้นสูง สุดท้ายยื่นมือเข้า ไปหยิบไข่มุกสีเขียวมรกตขนาดเท่ากาปั้นออกมาจากด้านในสามลูก ปราณวิญญาณและปณิธานแห่งมรรคาเปี่ยมล้น “แน่นหนา” มากยิ่ง กว่า เฉินผิงอันวางไข่มุกสามเม็ดทับซ ้อนไว้ด้วยกัน ใช ้ฝ่ ามือชั่ง น้าหนักเบาๆ หันหน้าไปมองทางป๋ ายจิ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้ยินเสี่ยว โม่เล่าว่า ตอนที่แม่นางเซี่ยอยู่ในเมืองล่างภูเขาของอุตรกุรุทวีปมักจะ ตั้งแผงทาการค้าเป็ นประจา น่าเสียดายที่ทุกครั้งการค้าไม่ค่อยดีนัก
ได้เงินเหรียญทองแดงมาแค่ไม่กี่เหรียญ คงไม่ใช่เพราะน้าหนักของ ของที่ขายขาดหายไปกระมัง?”
เสี่ยวโม่ช่วยป๋ ายจิ่งพูดทวงความเป็ นธรรมอย่างที่หาได้ยาก “คุณชาย ป๋ ายจิ่งไม่ได้งุบงิบเอาไปเอง นี่เทียบเท่ากับความจุของ ปราณวิญญาณขอบเขตบินทะยานทั่วไปสองคนแล้ว”
นี่แสดงให้เห็นว่าเฉินผิงอันอาศัยค่ายกลทับซ ้อนแห่งหนึ่งมาช่วง ชิงปราณวิญญาณน้าขึ้นอย่างยากลาบาก ยังสู้กับน้าหนักปราณ วิญญาณที่ป๋ ายจิ่งได้มาจากการเรียกใช ้สมบัติอาคมไม่กี่ชิ้นไม่ได้
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “บอกแล้วว่าแบ่ง กันห้าต่อห้า ก็คือห้าต่อห้า คิดไม่ถึงว่าร ้านผ้าห่อบุญอย่างแม่นางเซี่ย จะใช ้วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจไม่หลอกลวงเด็กและคนชรา เช่นนี้”
ป๋ ายจิ่งขย าหมวกขนเตียว นางซาบซึ้งใจแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ เสี่ยวโม่จะเข้าข้างตนเสียได้
อันที่จริงเฉินผิงอันจงใจถามเช่นนี้ เท่ากับว่ามอบน้าใจให้เสี่ยว โม่ครั้งหนึ่งเปล่าๆ เฉินผิงอันโยนคันเบ็ด เสี่ยวโม่ติดกับ เซี่ยโก่วงับ เบ็ด ทุกคนล้วนชอบใจ
เฉินผิงอันมองไปยัง “ใต้หล้าไพศาล’ ที่อยู่ห่างไปไกล นอกจาก ดวงตะวันและดวงจันทร ์จะโคจรต่อเนื่องแล้วก็ยังมีดวงดาวอีกห้าดวง
คอยช่วยประคับประคอง หนึ่งในนั้นก็มีดาวอิ๋งฮว่อที่เป็ นสีแดงฉาน วิถี โคจรไม่มั่นคงที่สุด นับแต่โบราณมาก็ถูกเรียกขานว่า “เพลิงใหญ่
ตะวันจันทราและห้าดวงดาว แสงสว่างสาดส่องไปทั่วใต้หล้า นี่จึง เป็ นเหตุให้ถูกเรียกรวมกันว่าชีเย่า (เจ็ดประกาย/เจ็ดส่องแสง) ใน บรรดานั้นดาวแห่งธาตุไม้เรียกว่าดาวสุ้ยชิง (หรือดาวพฤหัส) มี ขนาดใหญ่ที่สุด โคจรเป็ นวงกลมหนึ่งรอบใช ้เวลาสิบสองปี เหมือนกับแผนภูมิดิน จึงมีชื่อว่าสุ้ย
ภายหลังเหตุการณ์ “ร่วมสังหาร” ปฐมบรรพบุรุษของส านัก การทหารก็ถูกกักขังไว้ในดวงดาวที่เป็ นสัญลักษณ์แห่งสงครามการ เข่นฆ่า นับแต่โบราณมาบันทึกของกองโหราศาสตร ์ในแต่ละยุคแต่ละ สมัย หากเกี่ยวข้องกับภาพปรากฏการณ์ดวงดาวที่น่าตะลึงน่ากังขา ส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับดาวดวงนี้ ทุกครั้งที่ปรากฏการณ์ ของดวงดาวบนท้องฟ้ าเกิดเป็ นภาพดาวอิ๋งฮว่อเข้าเรือนใจ สาหรับ จักรพรรดิในโลกมนุษย์แล้วล้วนถือเป็ นการทดสอบครั้งใหญ่ที่มองไม่ เห็นครั้งหนึ่งเสมอ