กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1007.2 เปิดศึก
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้แม่นางเซี่ยพูดนอกเรื่องไปแล้ว พวกเรามาคุยกันต่อ”
จากข่าวที่ได้มาจากการแอบฟังที่ริมศาลาของตาหนักฉางชุน ผู้ ฝึกตนอีกหกคนของสายแผนภูมิดินต้าหลีน่าจะได้เจอกับป๋ ายจิ่งตรง จุดลึกของรากแผ่นดินในอวี๋โจวแล้ว
“ปูพื้น จะเรียกว่าพูดนอกเรื่องได้อย่างไร”
ป๋ ายจิ่งยิ้มพูดแก้ตัวให้ตัวเอง จากนั้นนางก็หยิบกระดาษปึกหนา ออกมาจากชายแขนเสื้อ แผ่นกระดาษบางมาก แต่เป็ นเพราะจ านวน มีมาก เนื้อหาที่วาดไว้บนกระดาษล้วนเป็ นทัศนียภาพในยุคบรรพ กาลห่างไกล ทุกหน้าล้วนถือว่าเป็ นผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวได้แล้ว
หากเอาไปเข้าเล่มแล้วพลิกเปิดเร็วๆ ก็จะเหมือนหนังสือภาพคน (หรือหนังสือการ ์ตูน) ที่ร ้านหนังสือในตลาดขายให้พวกเด็กๆ อย่าง มากแล้ว
ป๋ ายจิ่งโยนไปให้เฉินผิงอัน เอ่ยว่า “บอกไว้ก่อนนะว่าแค่ให้ยืม อ่านเท่านั้น”
เฉินผิงอันรับกระดาษปีกที่วาดภาพปรากฏการณ์ประหลาดของ ฟ้ าดินเอาไว้มากมายมา ทุกมุมว่างของหน้ากระดาษจะวาดคนตัวจิ๋ว เอาไว้
พ่อครัวเฒ่าเคยแอบซ่อนหนังสือเล่มหนึ่ง เพื่อให้เป็ นหลักฐานว่า เผยเฉียน ตรากตร าตั้งใจเรียน” ก็ได้ใช ้หนังสืออีกเล่มหนึ่งมาสลับ แทนที่ อีกทั้งยังจงใจวาดคนจิ๋วที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเอาไว้ ด้วย
เพียงแต่ว่าเผยเฉียนเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้น ไม่รู ้ว่านาง สังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างไร ตอนนั้นนางร ้อนใจจนหัวหมุน กังวลว่าจะไม่ทันระวังถูกอาจารย์พ่อมาเห็นเข้า ผลคือเผยเฉียนพลิ กค้นทั้งตู้โต๊ะหีบเก็บของแล้วก็ยังหาหนังสือที่ “หนีออกจากบ้าน” เล่ม นั้นไม่เจอ นางสงสัยอย่างมากว่ามีโจรก่อคดีหรือไม่ ดังนั้นนางจึงบิด หูของผู้พิทักษ์ฝ่ ายขวาตรอกฉีหลงเบาๆ เท้าหนึ่งกระทืบลงบนหาง ของผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้ายตรอกฉีหลงแรงๆ บอกให้พวกเขาสองคนรีบ สารภาพมาเสียดีๆ
เฉินผิงอนกวาดตามองภาพวาดบน หน้าหนังสือ’ ทุกภาพในมือ อย่างรวดเร็วก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นค่อยเปิดอ่านซ้าอีกที เพียงแต่ครั้ง นี้เปิดช ้าแล้ว
ภาพวาดในกระดาษหน้าหนึ่งมีมุมว่างอยู่สองมุม ตาแหน่งอยู่ตรง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหนังสือหน้านี้ ตรงจุดหนึ่งเป็ นรูเหมือนถูกไฟเผา ส่วนอีกจุดกลับเปียกน้า
ก่อนหน้านี้เคยได้คุยเล่นกับชิงถง ตอนนั้นเฉินผิงอันใช ้คา เปรียบเปรยที่ธรรมดาสามัญอย่างมาก แต่กลับเหมาะสมเข้ากันได้ดี อย่างมาก บอกว่าก็เหมือนการเผาและพลิกกลับหน้าดินให้กับผืนนา ของโลกยุคหลังที่ทาให้ดินผ่านการชาระล้างจากปราณวิญญาณที่ เปี่ยมล้นเข้มข้น เปลี่ยนจากพื้นดินที่แห้งแล้งกันดารมาเป็ นนาดีที่ดิน อุดมสมบูรณ์ เพราะตัวของโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ กระจายอยู่ในที่ต่างๆ เดิมทีก็ถือเป็ นต้นกาเนิดปราณวิญญาณของ ฟ้ าดินอยู่แล้ว
เมื่อเจอกับช่วงปีที่ดีงาม ก็จะได้ผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ผู้ฝึก ตนจ านวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างคนต่างก็มีโชควาสนา ต่างกันไป ได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลกันคนและแห่ง พากัน บุกเบิกพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ค้นหาสมบัติวิเศษแห่งพื้นดินบน พื้นดิน ของโลกมนุษย์ทุกหนทุกแห่งมีแต่เส้นสายรากแห่งมหามรรคา ที่ “เปิดเปลือย” ออกมา พูดถึงแค่ “ต าราสวรรค์” อย่างพวกต ารา สายฟ้ าที่เดิมที่ควรเป็ นความลับมิอาจแพร่งพรายของโลกยุคหลังก็ยิ่ง มีจ านวนมากเกินกว่าจะนับได้หมด เพียงแค่เพราะนอกจากเศษ ชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตายดับไปมากมายของสองกรม อย่างน้าและไฟแห่งสรวงสวรรค์แล้วขณะเดียวกันก็ยังมีแม่ทัพเทพ ของกองงานต่างๆ ในกรมสายฟ้ าที่กุมอานาจสูงอย่างถึงที่สุดที่ต้อง ถูกหอบหุ้มให้เข้าไปอยู่ในความวุ่นวายภายในครั้งนี้อย่างที่มิอาจ หลีกเลี่ยงได้ เอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกินจริง ในช่วงเวลาที่ผู้มีพรสวรรค์
และ “นักพรต” ผุดขึ้นเป็ นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก โชควาสนา บนพื้นดินก็เรียกได้ว่า “แค่ก้มลงเก็บก็ได้แล้ว หากไม่เก็บก็ปล่อยไว้ ด้านข้าง
ป๋ ายจิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “รอกระทั่งศึกเดินขึ้นฟ้ ายุติ ลง ผู้ฝึกบ าเพ็ญตนในโลกมนุษย์ ในที่สุดก็เปลี่ยนจากแขกมาเป็ น เจ้าบ้าน”
“นอกจากนี้ก็เป็ นความขัดแย้งภายในที่แตกแยกกันเป็ นสองฝ่ าย แล้ว”
“ฝ่ายที่พ่ายแพ้ น่าอนาถอย่างยิ่ง ไม่มีใครที่ได้ดีสักคน”
กลุ่มปีศาจใหญ่ของนางกับเสี่ยวโม่ ทาไมถึงได้นอนหลับใหลกัน นานหมื่นปี ก็ไม่ใช่เพราะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนั้นจนจาต้องหลบ ไปพักรักษาบาดแผลหรอกหรือ
แต่คนที่อนาถที่สุดแน่นอนว่ายังต้องเป็ นปฐมบรรพบุรุษสานัก การทหารที่เป็ นผู้นาของฝ่ ายหนึ่ง เดิมทีเขาสามารถก่อตั้งลัทธิตั้งตัว เป็ นบรรพจารย์ได้ ตอนนั้นบรรพจารย์ของสามลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋า ต่างก็ไม่มีใครมีความเห็นต่าง เพียงแค่เพราะอยากครอบครองสรวง สวรรค์บรรพกาล จุดจบจึงเกิดการร่วมสังหารครั้งนั้น
แต่ป๋ ายจิ่งก็ยังนับถือคนผู้นี้อย่างมาก เขาคู่ควรกับคาเรียกขาน ว่า “ลูกผู้ชาย” ได้เลย!
อีกทั้งความทะเยอทะยานของปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารผู้นี้ ก็ไม่เคยปิดซ่อนอ าพรางไว้แม้แต่น้อย แต่เขาแผ่ปูมันออกมาตรงๆ ไม่ มีการใช ้แผนทางลับอุบายร ้ายใดๆ แต่เอามาเปิดกันให้เห็นบนโต๊ะ เลย!
ดังนั้นครั้งนี้มองดูเหมือนป๋ ายจิ่งโยนภาระหน้าที่ทิ้ง ออกมาจาก เปลี่ยวร ้างเพียงลาพังมาหาเสี่ยวโม่เพื่อผูกสมัครเป็ นคู่บาเพ็ญเพียร กัน แน่นอนว่าคือเหตุผลหลัก แต่อันที่จริงนอกจากนี้ป๋ ายจิ่งยังซุก ซ่อนความเห็นแก่ตัวอีกอย่างหนึ่งที่มิอาจบอกกล่าวแก่ใครได้ หาก ปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารออกมาจากภูเขาอีกครั้ง แล้วมีการ ต่อสู้ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นอีก ก็ต้องนับนางรวมเข้าไปด้วย!
“หลังจากนั้นก็เป็ นการลงมือสกัดกั้นฟ้ าดินของจอมปราชญ์น้อย แล้ว”
แต่เพื่อเป็ นการทิ้งประตูใหญ่ที่มองไม่เห็นบานหนึ่ง หรือควรพูด ว่าทิ้งช่องทางหนึ่งเอาไว้ เป็ นบันไดก้าวเดินให้กับผู้ฝึกตนของใต้หล้า ในยุคหลัง
ก็คือพวกผู้ฝึ กลมปราณที่นอกจากพวกคนที่ต้องหลอมตะวัน กราบไหว้ดวงจันทร ์แล้วยังสามารถอาศัยโชคชะตาและเวทคาถาของ ตัวเองมาชักดึงกลุ่มดาวนอกฟ้ าซึ่งเดิมทีก็คือชากศพของสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่นอกฟ้ ามาได้ ดูดดึงปราณวิญญาณฟ้ าดินมาจาก ด้านในเพิ่มความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ให้กับ “หนึ่ง” นั้นของใต้หล้าแต่ละ แห่ง
และการประชุมริมลาคลองที่มีมรรคาจารย์เต๋าเป็ นผู้นา ปี นั้น บรรพจารย์ของสามลัทธิได้กาหนดเวลาไว้ที่หมื่นปี ก็เป็ นเพราะ มรรคาจารย์เต๋ามองเห็นหนึ่งนี้มานานแล้ว เมื่อมันขยับขยายออกไป อย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกเขาสามคนเลื่อนเป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบห้า ในใต้หล้าของพวกเขาแต่ละคน สุดท้ายแล้วก็จะมีการ “จ าแลงแห่ง มรรคา” ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา
พูดให้ถูกต้องก็คือการกล่อมกลืนอย่างหนึ่ง
หลังจากนั้นหลี่เซิ่งก็ร่วมมือกับป้ ายเจ๋อที่ “ทรยศ” เผ่าปี ศาจ ร่วมกันหลอมกระถาง (ภาษาจีนเรียกว่าติ่ง) ขึ้นมาเก้าลูก แล้วก็มี ภาพค้นภูเขาที่แทบจะเรียกได้ว่าใช ้กันอย่างพร่าเพื่อในโลกยุคหลัง
จากนั้นมาอีกก็คือการเชิญให้อาจารย์ซานซานจิ่วโหวออกจาก ภูเขา มาร่วมกัน ก าหนดพิธีการกฎเกณฑ์ใหม่
ป๋ ายจิ่งหันไปมองจุดลึกของความเวิ้งว้างกว้างไกลนอกฟ้ าแล้ว รู ้สึกสะท้อนใจยิ่งนักนางเอ่ยว่า “ในไท่ซวีนอกฟ้ าที่ไร ้ขอบเขตสิ้นสุด อันที่จริงมีตะวันจันทราจานวนนับไม่ถ้วนลอยล่องอยู่ ดาวอิ๋งฮว่อก็ เป็ นเช่นเดียวกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ป๋ ายจิ่งกล่าวต่ออีกว่า “เป็ นตะวันจันทราเช่นเดียวกัน แต่ก็มี ระดับขั้นสูงต่าต่างกัน ก็เหมือนในอาณาเขตของแต่ละแคว้นในแจกัน สมบัติทวีปทุกวันนี้ที่มีขุนนางชั้นผู้น้อยมากมายดุจขนวัว”
“มีเพียงคนจานวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถกลายเป็ นขุนนาง ใหญ่ได้”
“ดวงอาทิตย์ที่ข้าหมายตาดวงนั้นมีชาติกาเนิดที่ค่อนข้างดี ระดับขั้นค่อนข้างสูง เมื่อหมื่นปีก่อน ข้าก็คิดถึงคานึงหาอยู่ตลอด บุกเบิกเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ตามกฎของปีนั้นมันจึงถือเป็ นเขต อิทธิพลส่วนตัวของข้าแล้ว”
ในที่สุดเสี่ยวโม่ก็เปิดปากโต้แย้ง “อยากหลอมมันให้เป็ นวัตถุ แห่งชะตาชีวิตมากกว่ากระมัง?”
คุณสมบัติในการฝึกตนของป๋ ายจิ่งดีเกินไปจริงๆ เป็ นเหตุให้บน เส้นทางการฝึกตนของนางไม่เคยต้องมีความกังวลว่าโลภมากไปจะ เคี้ยวไม่ละเอียดเลยสักนิด ยกตัวอย่างก็เช่นว่าใช ้เวลาวันเดียว เหมือนกัน เสี่ยวโม่ตั้งใจหลอมกระบี่หมดวัน บางทีป๋ ายจิ่งใช ้เวลา เพียงแค่ครึ่งวันก็อาจได้ผลลัพธ ์แบบเดียวกันแล้ว จากนั้นอีกครึ่งวันที่ เหลือ ป๋ ายจิ่งก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยนางจะไปหลอมวัตถุเอาอย่างหลันฉี หรือไม่ก็ฝึกวิชานอกรีตที่เซียนดินยุคบรรพกาลใช ้ในการเลื่อนขั้น
บางที “เซี่ยโก่ว” ที่ชอบยิ้มทะเล้นทาหน้าเป็ นตรงหน้าผู้นี้ก็คือ กาก…ที่ป๋ ายจิ่งจงใจดึงออกมา เพื่อที่เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวจะได้ แสดงถึงความไม่เป็ นโล้ไม่เป็ นพาย เตร็ดเตร่เล่นสนุกได้ดีขึ้น ป๋ ายจิ่งหัวเราะฮ่าๆ “ยังคงเป็ นเสี่ยวโม่ที่เข้าใจข้า” จากนั้นนางก็บ่นว่า “เสี่ยวโม่ อย่าขัดจังหวะสิ”
“ดวงตะวันที่ถูกข้าคัดสรรเลือกหามาอย่างดีดวงนี้มีโอกาสที่ สติปัญญาจะเปิดออกแล้วถูกหล่อหลอมให้กลายเป็ นจินอูตัวหนึ่ง ต่อ ให้ข้าไม่กินมัน เอามันเลี้ยงไว้ข้างกายเป็ นสัตว์เลี้ยง เหมือนกวางขาว ที่หวังโหยวอู้ขี่ตัวนั้นที่ก็มาจากดวงจันทร ์ดวงหนึ่งเหมือนกัน นอกจากจะฝึกตนแล้วหยอกมันเล่นหาเรื่องสนุกทาแก้เบื่อก็ดีมากๆ เหมือนกัน น่าเสียดายที่คนคานวณมิสู้ฟ้ าลิขิต ข้าฝึ กตนอยู่ที่นั่น นานหลายร ้อยปี แต่มันก็ยังถูกสงครามภายในครั้งนั้นส่งผลกระทบ มาโดน ถูกมรรคาจารย์เต๋สะบัดชายแขนเสื้อชักนาปราณแห่งมหา มรรคาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลขุมนั้นให้กระแทกมันอยู่ไกลๆ ตบโครม ทีเดียวก็ร่วงลงพื้นแล้ว ทาเอาข้าโมโหจนกัดฟันกรอด อุตส่าห์ปลุก ความกล้าสู้ตาย ช่วยปกป้ องมรรคาให้มัน มันถึงได้ไม่มีจุดจบด้วย การแหลกกระจายเป็ นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ข้านัดหมายกับวันไว้นานแล้ว ว่าวันหน้าหากมีโอกาสต้องได้กลับมาพบกันใหม่! เจ้าขุนเขาเฉิน เจ้าเป็ นบัณฑิตก็ช่วยตัดสินให้หน่อยเถอะ พูดกันตามมโนธรรมในใจ ดวงตะวันดวงนี้ควรจะตกเป็ นของใคร?! ราชส านักต้าหลีมีสิทธิ์อะไร มาแย่งชิงกับข้า รู ้จักแต่จะรังแกแม่นางน้อยที่จากบ้านมาไกล ตัวคน เดียวไร ้ก าลังบอบบางไม่ทานแรงลม ไม่อายบ้างหรือ?!”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อมีความเรียบง่ายมากกว่าความสละสลวย ภาษาก็จะหยาบกระด้าง เมื่อความสละสลวยมากกว่าความเรียบง่าย ภาษาก็จะดูปลอม ใช ้ทั้งความเรียบง่ายและความสละสลวยอย่าง เหมาะสมจึงจะเป็ นวิญญูชน”
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวท าสีหน้างงงัน “หมายความว่าไง? ก าลังชมคนอยู่หรือ?”
เสี่ยวโม่เห็นนางแกล้งโง่ก็ช่วยอธิบายว่า “คุณชายกาลังโน้มน้าว เจ้าว่าพูดไร้สาระให้น้อยหน่อย เลือกใช ้คาพูดให้เหมาะสม พูดเรื่องที่ เป็ นการเป็ นงานให้มากหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว อันที่จริงเป็ นแค่การ เตือนตัวเองเท่านั้น”
ป๋ ายจิ่งพยักหน้ารับอย่างแรง “รู้แล้วๆ ขนบธรรมเนียมของอ าเภอ ไหวหวงพวกเจ้านี่นะจะด่าคนอื่นต้องด่าตัวเองก่อน เถียงกันก็ชนะไป แล้วครึ่งหนึ่ง”
เฉินผิงอันไม่ถือสาค าเหน็บแนมของนาง เอ่ยว่า “อย่าออกนอก เรื่อง เจ้าจัดการกับดวงตะวันดวงนั้นอย่างไร?”
ป๋ ายจิ่งกล่าว “ยังจะท าอย่างไรได้อีก ก็เอาอย่างเจ้าขุนเขาเฉิน ท าการค้าอย่างปรองดองน่ะสิ ออกไปนอกบ้านต้องหัวเราะยิ้มแย้มให้ มาก ไม่ยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้”
ที่แท้ป๋ ายจิ่งก็ทาการค้าครั้งหนึ่งกับสกุลซึ่งต้าหลี ถือว่านางให้ ราชส านักต้าหลียืมใช้ก่อนชั่วคราว อานาจทั้งหมดตกเป็ นของป๋ า ยจิ่ง อานาจในการใช ้งานเป็ นของสกุลซึ่งต้าหลีถูกเอาไปวางไว้ใน พื้นที่มงคลใหม่แห่งนั้น
แต่นางสามารถบุกเบิกพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในดวงตะวันได้ ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามล้วนไม่อาจแตะต้อง
และระยะเวลาในการเช่า “พื้นที่ประกอบพิธีกรรม” แห่งนี้ก็คือ หนึ่งพันปี ทุกๆ ร ้อยปีจะมีการคิดเงินกันหนึ่งครั้ง
เงินมัดจาก้อนแรกและดอกเบี้ยหลังจากนั้น ราชสานักต้าหลี จ าเป็ นต้องจ่ายเป็ นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทีละก้อน ส่งมาให้ถึง มือนางตามเวลาที่กาหนด หากว่านางไม่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว ยกตัวอย่าง เช่นหวนกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร ้างแล้ว สกุลซึ่งต้าหลีก็จาเป็ นต้อง หาโอกาสมาพบกับนางเป็ นการส่วนตัว สรุปก็คือห้ามเกิน ก าหนดเวลา หาไม่แล้วอย่ามาโทษว่านางเปลี่ยนสีหน้าไม่จาคน
เฉินผิงอันกล่าว “หากแม่นางเซี่ยไม่ได้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว มอบให้ เสี่ยวโม่ก็ไม่เหมือนกันหรอกหรือ เจ้ามีอะไรให้ไม่วางใจ หรือว่ากลัว ว่าเสี่ยวโม่จะแอบฮุบเอาเป็ นของตัวเอง?”
ป๋ ายจิ่งย่นจมูก เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่าใจว่า “ไม่ใช่คนรักกันสัก หน่อย ไม่มีต าแหน่งฐานะ ไม่มีความชัดเจน มาอยู่ด้วยกันก็จะท าให้ คนอื่นขบขัน ข้าไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายหรอกนะ”
ไม่สนใจเรื่องนี้ เฉินผิงอันแสร ้งทาท่ากระจ่างแจ้งเหมือนคน รู ้สึกตัวช ้า “ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเจ้ามีสมบัติมากมายเหลือเฟือ เงิน เหรียญทองแดงแก่นทองสามร้อยห้าร้อยเหรียญเอาออกมาก็ยังไม่ เป็ นปัญหาสินะ?”
มาแล้ว มาแล้ว
ป๋ ายจิ่งขยุ้มหมวกขนเดียว แกล้งโง่ ถึงขั้นยังผิวปากครวญเพลง
ขอแค่ข้าหน้าด้านกว่าเจ้าขุนเขาเฉิน เจ้าขุนเขาเฉินเจ้าก็ท า อะไรข้าไม่ได้
อันที่จริงมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ป๋ ายจิ่งจงใจละไว้ไม่พูดถึง หลักๆ แล้ว เพราะกังวลว่าจะถูกเจ้าขุนเขาเฉินที่ใจแคบดุจไส้ไก่จะคิดบัญชี ย้อนหลัง
เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีความจาเป็ นต้องเอามาพูดกันใหม่อีก แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นมรสุมใดๆ
ที่แท้ตอนที่อยู่ในจุดลึกของพื้นดิน เพื่อให้เป็ น “ค่าตอบแทน” ใน การที่ป๋ ายจิ่งอนุญาตให้หลี่ซีเซิ่งช่วยเปิดกล่องให้ ตอนนั้นนางได้ เสนอเงื่อนไขข้อหนึ่ง ในเมื่อชอบหาเรื่องใส่ตัวขนาดนี้ ป๋ ายจิ่งก็ให้ บัณฑิตหนุ่มที่บอกว่าตัวเองข้ามทวีปเดินทางมาผู้นั้นรับกระบี่ที่เบา เหมือนขนห่านจากตัวเองไปหนึ่งที
อีกฝ่ายยังตอบตกลงอย่างโง่งมด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ อีกฝ่ ายยังสามารถรับกระบี่นั้นได้อย่างไร ้ความ เสียหายใดๆ
แม้จะบอกว่าป๋ ายจิ่งกังวลว่าหากตัวเองออกกระบี่เต็มแรง อีกฝ่ าย จะจบเห่ นางก็จะถูกเฉินผิงอันร่วมมือกับเสี่ยวโม่มาขับไล่นางออก
จากภูเขาลั่วพั่ว ทว่าต่อให้ไม่ได้ออกแรงเต็มกาลัง แต่การออกกระบี่ อย่าง ไม่ใส่ใจ” ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบ คนหนึ่ง ผู้ฝึ กลมปราณที่อายุการฝึ กตนแค่ครึ่งร ้อยปี จะรับไว้ได้ อย่างไร? ไม่ตายก็ต้องทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว
คาดไม่ถึงว่าพอปล่อยกระบี่นั้นออกไปกลับเห็นว่าหลี่ซีเซิ่งผู้นั้น ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้ดีอยู่เหมือนเดิม นี่ทาให้ป๋ ายจิ่งขัดข้องใจ ยิ่งนัก ทาไมคนหนุ่มที่เจอโดยบังเอิญคนหนึ่งถึงได้ทนมือทนเท้า ขนาดนี้ล่ะ?
หรือว่าเวทกระบี่ขอบเขตบินทะยานนี้ของนาง เมื่อผ่านไปหมื่นปี ก็กลายมาเป็ นไม่มีค่าให้พูดถึงแล้ว?
หรือจะบอกว่าผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้สามารถได้ ความหมายที่แท้จริงของค าว่าไร ้ขอบเขตมาครองกันได้อย่าง ง่ายดาย?
ดังนั้นตอนที่อยู่นอกฟ้ า พอเห็นหลีโก้วที่มีวิธีการพอๆ กับหลี่ซี เซิ่ง นางจึงไม่รู ้ว่าโทสะผุดมาจากไหน
ป๋ ายจิ่งไหนเลยจะรู ้ว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื้อหนุ่มที่ตนพบเจอมีความ เกี่ยวข้องกับเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป่ายอวี้จิง
ใช ้ค ากล่าวของปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็คือ หากโค่วหมิงมีชีวิต อยู่ในช่วงยุคบรรพกาล ไม่พูดว่าจะต้องเลื่อนเป็ นสิบผู้กล้าแห่งบรรพ
กาลได้แน่นอน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้ต าแหน่งตัวส ารองมาครอง แน่
และความแตกต่างระหว่างสิบผู้กล้ากับตัวสารอง อันที่จริงไม่ เพียงแค่ความสูงต่าของขอบเขตและตบะอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมี คุณความชอบน้อยใหญ่ในการ “บุกเบิกเส้นทางเพิ่มมาด้วย
ก็เหมือนอย่างหลันฉีที่ริเริ่มวิถีแห่งการหลอมวัตถุ พูดถึงแค่ ความสามารถในการประลองเวทเข่นฆ่าของนาง แม้ว่าสมบัติอาคมจะ กองกันเป็ นภูเขา แต่อันที่จริงกลับยังสู้พวกตัวสารองทั้งหลายไม่ได้
แต่นี่ไม่ขัดต่อการที่นางจะกลายเป็ นหนึ่งในสิบผู้กล้าที่ได้รับ ความเคารพนับถือเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันถาม “แม่นางเซี่ย คิดดูแล้วหรือยังว่าจะเดินไปบน เส้นทางแห่งการผสานมรรคาเส้นไหน?”
เซี่ยโก่วมองเสี่ยวโม่แวบหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววตาหนิ รู ้สึกอ ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เรื่องอย่างนี้เจ้าก็บอกกับคนนอกด้วยหรือ? ใครเป็ นคนกันเองใครเป็ นคนนอก เสี่ยวโม่แบ่งแยกได้ไม่ชัดเจนเลย หรือ?
เฉินผิงอันพึมพากับตัวเองว่า “แสงกระบี่หนึ่งจุด เล็กมากจนแทบ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถูกกาหนดมาแล้วว่าหนีไม่พ้นจะต้องหา “หนึ่ง” ที่ เล็กที่สุดในการสร ้างฟ้ าดินนั้นให้เจอ ยากเกินไปแล้ว ลู่เฉินแห่งป๋ า ยอวี้จิงก็คือตัวอย่างในทางกลับกัน เป็ นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยัง
หาเส้นทางขอบเขตสิบห้าที่นอกเหนือจากการก่อตั้งลัทธิตั้งตนเป็ น บรรพจารย์ไม่ได้ ดังนั้นข้ารู ้สึกว่าการแสวงหาความยิ่งใหญ่อย่างไร ้ที่ สิ้นสุด บางทีโอกาสที่จะประสบความสาเร็จอาจจะมีมากยิ่งกว่า”