กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1008.2 อ่านตาราชอบราตรีที่ยาวนาน
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ดึงกระดาษหลายแผ่นออกมาจากทะเลสาบ หัวใจ คือภาพวาดลงสีและภาพลายเส้นขาวด าปะปนกัน คล้ายกับ ภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลา
ตรงจุดที่ลงสีบนกระดาษล้วนเป็ นทัศนียภาพที่เฉินผิงอันจดจาได้ อย่างลึกซึ้งที่สุด ตรงลายเส้นขาวดากับจุดที่วาดอย่างหยาบๆ คือคน และเรื่องราวที่เขาจาได้อย่างพร่าเลือน
หลี่ซีเซิ่งรับกระดาษมา กวาดตามองแล้วถามว่า “คือหุบเขาผี ร ้ายของอุตรกุรุทวีปหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ครั้งแรกที่เดินทางไปเยือนหุบเขาผีร ้าย ของชายหาดโครงกระดูก บังเอิญได้เจอกับหยางหนิงเจินที่ตอนนั้น ยังเป็ นผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่างทองที่ภูเขากระจกวิเศษ ฝ่ ายหลังไป เสียเวลาอยู่ในภูเขาลูกนี้ก็เพื่อให้ได้กระจกซานซานจิ่วโหวบานนั้น มา แต่พอได้ของชิ้นนี้มาอยู่ในมือ หยางหนิงเจินกลับส่งต่อให้กับห ยางหนิงซิ่งน้องชายที่ถูกเรียกขานว่า “เทียนจวินน้อย” ทุกวันนี้ฝ่ าย หลังได้เข้าไปฝึกตนอยู่ในป๋ ายอวี้จิงแล้ว
บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงก็เคยพูดความลับเรื่องหนึ่งให้เฉินผิงอัน ฟัง ในอดีตเหวยเช่อผู้ฝึกตนใหญ่แห่งธวัลทวีปที่เคยข่มอยู่เหนือผู้ฝึก ตนรุ่นเดียวกันทุกคน หลังจากเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานได้หนึ่ง
ร ้อยปีก็เริ่มพยายามที่จะผสานมรรคาเป็ นขอบเขตสิบสี่ ผลคือการ ผสานมรรคาครั้งแรกล้มเหลว อาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็ได้ไป เยือนธวัลทวีปด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ตามคากล่าวของอู๋ซวงเจี้ยงก็คือ ถือว่าเขาเป็ นฝ่ ายเบี่ยงตัวหลีกทางให้ ทิ้งประตูบานหนึ่งไว้ให้เหวยเช่ อระหว่างทาง น่าเสียดายที่เหวยเช่อยังคงคว้าโอกาสไม่ได้ รอกระทั่ง การผสานมรรคาล้มเหลวทั้งสองครั้ง ก็ดูเหมือนว่าเหวยเช่อจะไม่มี ก าลังใจพอจะทดลองผสานมรรคารอบที่สามแล้ว
หลี่ซีเซิ่งยื่นส่งหน้ากระดาษคืนให้กับเฉินผิงอัน หลุดหัวเราะอย่าง อดไม่ไหว “ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนจะจากไปอาจารย์ซาน ซานจิ่วโหวถึงได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับข้าว่า“ไม่จ าเป็ นต้องระมัดระวัง ตัวเกินไป สามารถท าตัวตามสบายได้’ ที่แท้ก็เป็ นคากล่าวที่ใช ้ ประเมินเจ้า ทาเอาตลอดทางมานี้ข้าอนุมานส่งเดชไปเรื่อย แต่ก็ยัง เจอแต่ปมเชือกยุ่งเหยิงเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เกี่ยวกับคนผู้นั้น ทุกวันนี้เบาะแสที่ข้า ได้มาอยู่ในมือมีน้อยเกินไป หากในอนาคตเอาเถียนหว่านแห่งยอด เขาจูอวี๋เป็ นจุดยึดจุดหนึ่งของแม่น้าแห่งกาลเวลา อาศัยจุดนี้มา ขยายเส้นสายต่างๆ ออกไป ข้าก็รู ้สึกว่ามีแต่จะเป็ นเส้นทางผิดที่แค่ เริ่มเดินก็เจอทางแยกแล้ว คิดไปคิดมา ก็เลยคิดอยากจะเปลี่ยนพิกัด ให้เป็ นจุดที่มีผู้ฝึกลมปราณมารวมตัวกันอีกทั้งจานวนยังมากพอกับ เมืองเล็ก จะได้ไม่ต้องถูกคลื่นแม่น้ายาวที่มรรคกถาของท่านผู้นั้น น าพามาโถมใส่จนแหลกสลาย”
ต่อให้ข้างกายจะมีหลี่ซีเซิ่งอยู่ด้วย เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าเอ่ยสอง คาว่า “โจวจื่อ” ออกมาตรงๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกฟ้ า มีหลายครั้งที่คาพูดมาจ่ออยู่ตรง ปาก แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดเรื่องนี้ กลัวว่าจะได้รับคาตอบที่เป็ น การปฏิเสธมาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
นี่หมายความว่าเฉินผิงอันต้องล้มความคิดเดิมแล้วเริ่มใหม่อีก ครั้ง ตามหาตัวเลือกอื่นที่เหมาะสม หากจะบอกว่าเป็ นลู่เฉิน แน่นอน ว่าขอบเขตของเขามากพอ แต่ใช ้ไม่ได้แน่นอน
ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนทุกคนที่พูดถึงอาจารย์ซานซานจิ่วโหวต่างก็ มีความเคารพที่เกิดจากใจจริงไม่มากก็น้อย
ต่อให้จะเป็ นคนที่ไม่ยี่หระสิ่งใดอย่างลู่เฉิน ตอนที่เขาเพิ่ง กลายเป็ นลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋า ถึงขั้นที่ว่าเคยจับคู่กับ ฉุนหยางหลวี่เหยียนเดินทางท่องไปในป๋ ายอวี้จิงแล้ว ได้พูด “ค าพูด วางโต” ประโยคหนึ่งบอกว่า มรรคกถาในใต้หล้าย่อมต้องเริ่มมาจาก มรรคาจารย์เต๋า และมีผู้สืบทอดเป็ นศิษย์พี่ ควันธูปโชติช่วงที่ลู่เฉิน ในอนาคตลู่เฉินค่อยน าความโอ่อ่ายิ่งใหญ่นี้มอบกลับคืนให้กับใต้ หล้า แต่เมื่อลู่เฉินพูดถึงอาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็ยังไม่ขาดความ เคารพนับถือเช่นเดียวกัน
อืม มีแค่คนเดียวที่ถือเป็ นข้อยกเว้น
ก็คือคนเฝ้ าประตูคนแรกของภูเขาลั่วพั่ว เจิ้งต้าเฟิง
ตอนนั้นโจวจื่อไปเที่ยวเยือนถ้าสวรรค์หลีจูก็ได้มาตั้งแผงขายถัง หูลู่อยู่ที่ตรอกซิ่งฮวาและเถียนหว่านศิษย์น้องหญิงของคนผู้นี้ก็คือเจ้า แห่งยอดเขาจูอวี๋ของภูเขาตะวันเที่ยง นางเองก็เคยแอบเข้าไปในเมือง เล็ก ไปตามหาผู้เฒ่าที่เปิดร ้านขายของงานมงคลซึ่งมีชื่อจริงว่าไช่ เต้าหวง หรือก็คือท่านปู่ของหูเฟิง ตัวตนที่แท้จริงคือเจ้าของร ้านหมั้น หมายทุกแห่งในอดีต และสมุดชะตาชีวิตคู่ที่เหลืออยู่ครึ่งเล่มในมือ ของเขาก็ไม่รู ้ว่าเหตุใดถึงได้เปลี่ยนมือไปตลอดทางกระทั่งตกอยู่ใน มือของหลิ่วชี แล้วก็ได้ถูกฝ่ ายหลังนาไปที่ใต้หล้ามืดสลัว แต่เถียนห ว่านก็ยังคงได้ด้ายแดงจาก “ผู้เฒ่าจันทรา” มาอีกปีกหนึ่ง ถูกนาง น ามาใช ้ควบคุมใจคนและจากนั้นก็อาศัยการผูกด้ายชะตาชีวิตคู่ ให้กับพวกหลี่ถวนจิ่ง เว่ยจิ้นและหลิวเสี้ยนหยาง ฯลฯ มาจับคู่ยวน ยางส่งเดช อาศัยสิ่งนี้มาควบคุมการไหลรินของโชคชะตาวิถีกระบี่ใน แจกันสมบัติทวีป เป็ นวิธีการที่นางใช ้ขัดเกลามหามรรคาของตัวเอง
หากในอดีตป๋ ายฉางคือหลูเยว่ซึ่งเป็ นคนในท้องถิ่นของถ้า สวรรค์หลีจูแจกันสมบัติทวีปก็ยิ่งอธิบายได้แล้ว
เท่ากับว่าเป็ นผู้นาแห่งวิถีกระบี่ของสองทวีปที่หนึ่งอยู่ในที่แจ้งอีก หนึ่งอยู่ในที่ลับ?
และของอย่างด้ายแดงนี้ก็มิอาจหล่อหลอมและทาเลียนแบบ ขึ้นมาได้ ดังนั้นตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงจึงใช ้คากล่าวที่เป็ นทั้งในแง่ลบและ ในแง่บวกบอกว่า “ต่อให้เป็ นอาจารย์ซานซานจิ่วโหว มรรคกถาของ
ท่านผู้อาวุโสสูงเทียมฟ้ าได้แล้วกระมัง แต่ก็ยังไม่มีวิธีหลอมมันได้อยู่ ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พูดประโยคนี้ สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิ ง คล้ายจะมีเลศนัย เหมือนกับนึกถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างขึ้นมาได้
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู ้ “อาจารย์หลิ่วชีเดินทางท่องอยู่ในใต้ หล้ามืดสลัวเพราะหวังว่าจะรวบรวมสมุดชะตาชีวิตคู่ให้ครบถ้วน เพื่อให้เป็ นโอกาสในการผสานมรรคาหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้า “เพราะสมุดครึ่งเล่มล่างอยู่ในมือของเจาเกอที่ มีฉายาว่าฟูคาน นางคือเทพแห่งบุพเพวาสนายุคบรรพกาลที่กลับ ชาติมาจุติใหม่”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มพูดนอกเรื่องว่า “ปลาจี้ของฉีสุ่ยรสชาติอร่อยมาก ไม่ ด้อยกว่าปลาหลุดอกซิ่งของลาคลองเที่ยวโปเลยแม้แต่น้อย หากมี โอกาสเจ้าจะต้องลองไปกินดูให้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลี่ซีเซิ่งดื่มเหล้าหนึ่งอีก ถามว่า “ไปเยือนนอกฟ้ ามารอบหนึ่ง ผ่านศึกนี้ไปแล้ว มีความคิดอย่างไร?”
เฉินผิงอันนึกถึงตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนหัวกาแพงเมืองของ กาแพงเมืองปราณกระบี่ขีดขวางหนึ่งขีดเหมือนกับสะพานเลียบหน้า ผา เขาใช ้ความคิดอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยว่า “รู ้สึกว่าเหมือนระหว่างฟ้ าดิน จะมีแหตกปลาอยู่หลายปาก อยู่ห่างจากกันมาก มนุษย์ธรรมดา
เหมือนปลาตัวน้อย ขยับเข้าใกล้แหแล้วพลันลอดไปตามช่องว่าง ระหว่างแห มองดูเหมือนไปมาได้อย่างอิสระ ถึงขั้นที่ว่าสามารถเอา เส้นเชือกทั้งหลายเป็ นจุดพักพิงได้ด้วย แต่ผู้ฝึกลมปราณกลับเหมือน ปลาตัวใหญ่ ยิ่งขอบเขตสูง ร่างก็ยิ่งใหญ่โต กลับกลายเป็ นว่าไม่อาจ ลอดไปตามหว่างแหได้ ได้แต่ดิ้นรนสลัดให้หลุด ยกตัวอย่างเช่น กลายเป็ นเทพเซียนพสุธารวมไปถึงการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่”
“คิดเหมือนกับข้า”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มอย่างเข้าใจ วางกาเหล้า หยิบเอาเชือกที่ขดเป็ น วงกลมซึ่งทามาจากวัสดุธรรมดาสามัญออกมา จากนั้นก็มัดปม หลายปม ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนที่จะสลายมรรคาที่นครชิงชุ่ยของป๋ ายอวี้จิง ข้ารู ้สึกว่านี่ก็คือวิถีทางโลกที่พวกเราอยู่”
“เพียงแต่ว่าภายหลังข้าก็รู ้สึกอีกว่าตลอดทั้งโลกมนุษย์ก็คือ ตาราเล่มหนึ่ง แต่ว่าต้นฉบับไม่เคยอยู่ในมือของพวกเรา”
“ก็เหมือนว่ามีคนสามารถฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออกมาได้ง่ายๆ แล้วก็สามารถแต่งเรื่องราวอย่างใหม่ได้อีกเป็ นชุด อ่านตาราเหมือน ต้นไม้ เปิดต าราเหมือนตากลมเย็น”
ฟังมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็อดไม่ไหวเปิดปากถาม “แล้วความคิด ในตอนนี้?”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีเส้นสนกลในอะไรแล้ว”
เฉินผิงอันเขย่ากาเหล้า โดยไม่ทันรู ้ตัวก็ดื่มเหล้าหมดไปแล้ว หนึ่งกา จึงหยิบออกมาอีกกา แต่หลี่ซีเซิ่งกลับโบกมือ “เจ้าดื่มไปเถอะ ข้าคออ่อน ดื่มเหล้าไม่ค่อยได้”
หากจะบอกว่าความรู ้สึกของมนุษย์ไม่แน่นอนเหมือนน้าไหล เรื่องราวทางโลกคือเส้นทางที่คดเคี้ยว ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้า มีเพียง ดื่มเหล้าที่จะพาไปสู่ดินแดนแห่งความเมามาย
หลี่ซีเซิ่งมองเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าไม่หยุด นึกไม่ออกจริงๆ เลยว่า เด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงของปีนั้นจะกลายมาเป็ นคนที่ดื่มเหล้าเก่ง ขนาดนี้ เขายิ้มถาม “คิดไว้แล้วหรือยังว่าจะขัดเกลากระบี่บินสองเล่ม อย่างไร?”
เฉินผิงอันเช็ดมุมปาก กล่าว “นอกจากกินเงินเหรียญทองแดง แก่นทองอยู่ตลอดแล้วก็ยังต้องเพิ่มอิฐปูกระเบื้องต่ออีก”
“ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่าฝุ่ นหนึ่งเม็ดประกอบไปด้วยความคิด มากมาย ลัทธิเต๋ากล่าวถึงหนึ่งกับหมื่นสรรพสิ่ง เส้นทางต่างแต่ จุดหมายเดียวกัน”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าเอ่ย “นกในกรงครอบคลุมฟ้ าดินสิบทิศ จันทร์ กลางบ่อกลายเป็ นแม่น้าแห่งกาลเวลา รวบรวมสหัสสีโลกธาตุ (โลกธาตุขนาดเล็กมีหนึ่งพันโลกธาตุ) เอาไว้”
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันคิดว่าจะขอซื้อใบถงที่ล้าค่าอย่างมาก มาจากสหายชิงถงที่เป็ นเค่อชิงของสานักกระบี่ชิงผิง
แต่เขาก็ไม่มีความมั่นใจใดๆ คาดว่าชิงถงคงไม่พยักหน้าตอบตก ลง อย่างมากก็คงไม่ขายแต่มอบให้เปล่าๆ แล้วยังต้องยินดีมอบใบถง ให้แค่ไม่กี่ใบเท่านั้น ไม่มีทางเกินสิบใบ ไล่ตนไปให้จบๆ เรื่องกัน
เฉินผิงอันเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดคือได้มาสามใบ แต่แน่นอนว่ายิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
ส่วนจะตอบแทนชิงถึงอย่างไร ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะถึง อย่างไรวันหน้าสองฝ่ ายก็เป็ นเพื่อนบ้านกันแล้ว โอกาสที่จะได้คบค้า สมาคมกันมีอีกถมเถ
เฉินผิงอันมองออกว่าชิงถงอยากจะเปิ ดภูเขาก่อตั้งพรรค เพียงแต่ว่าค่อนข้างใจฝ่ อ ไม่กล้าเป็ นฝ่ ายพูดถึงเรื่องนี้กับศาลบุ๋ นก่อน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในชีหลี่หลงของเฉาหย่งอดีตเฉียนถังจ่าง หลังจากที่ได้รับการยินยอมจากหลินหลีป๋ อแห่งลาน้าใหญ่ท่านนี้แล้ว เฉินผิงอันก็ได้เอาตัวอักษรหลายแสนค าซึ่งเป็ นเนื้อหาของบทกวีที่ บันทึกไว้ในอักรานุกรมท้องถิ่นออกมาจากในตารา นามาหลอมเป็ น แม่น้ายาวสายหนึ่งที่ไหลเข้าไปในชายแขนเสื้อ
นอกจากนี้เฉินผิงอันยังเคยได้รับตาราเล่มหนึ่งที่ปีนั้นไม่เคยมี ใครสนใจจากซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีปมาด้วย ด้านบน เขียนเรื่องเล่าของชีวิตมนุษย์ที่มีสุขทุกข์พบพรากจากลาเอาไว้หลาย เรื่อง
นับแต่โบราณมาอ่านตาราก็ชอบที่ราตรียาวนาน
เฉินผิงอันเป็ นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในหมู่บ้าน ทุกคืนจะต้อง เขียนเรื่องเล่าแห่งขุนเขาสายน้าที่เกี่ยวกับจอมยุทธพเนจรหนุ่มกับ ภูตน้าใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ด้วยตัวเอง
เชื่อว่าจะต้องสร ้างความตกตะลึงระคนประหลาดใจให้กับหมี่ลี่ น้อยได้แน่นอน น่าจะเหมือนกับได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราใน สายน้าที่มีชีวิตจริง ภูเขาสายน้า มนุษย์เทพผีเซียนขี่ม้าชมบุปผา ล้วนเสมือนจริง
จอมยุทธพเนจรแห่งยุทธภพที่อายุน้อยๆ กลับมีเวทกระบี่โดด เด่นเหนือใคร กับภูตน้าใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ที่รับหน้าที่เป็ นกุน ซือและมันสมอง คอยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเจอกับภูตผีปีศาจฝ่ าย ต่างๆ ก็ประลองสติปัญญาประลองความกล้าหาญกันอยู่ตลอด…
แต่ว่าเรื่องเล่ายาวๆ เรื่องนี้มีเพียงภูเขาเล็กสายเรือนไม้ไผ่เท่านั้น ที่ถึงจะสามารถอ่านไปพร ้อมกับหมี่ลี่น้อยได้ คนอื่นๆ อย่าได้หวัง
ไม่เหมือนกับอิ๋นลู่ที่ไม่มีวิชาความรู ้ที่รู ้สึกว่าการเขียนหนังสือ เป็ นเรื่องยากมาก เฉินผิงอันกลับรู ้สึกว่าการมีความอดทนที่จะอ่าน หนังสือนานๆ กลับยากยิ่งกว่า
หลี่ซีเซิ่งกล่าว “เฉินผิงอัน พูดให้ถูกต้องแล้ว พวกเราสองคนมี แซ่เดียวกันนะ”
อันที่จริงทั้งสองต่างก็แซ่เฉิน แซ่เหมือนทว่าบ้านเกิดต่าง
เฉินผิงอันย่อมต้องเป็ นคนในท้องถิ่นของถ้าสวรรค์หลีจูอยู่แล้ว ทว่าบ้านเกิดที่เป็ นภูมิลาเนาของหลี่ซีเซิ่งกลับอยู่ที่อุตรกุรุทวีป
เฉินผิงอันพยักหน้า เขารู ้เรื่องนี้มานานแล้ว
พี่น้องสามคน หลี่เป่าผิง หลี่เป่าเฉิน ทว่าพี่ชายใหญ่กลับชื่อว่าห ลี่ซีเซิ่ง
หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน สายลมเย็นพัดโชยผ่านใบหน้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ย ว่า “บทกวีโบราณว่าไว้ ประสบความสาเร็จไยต้องปิดบังชื่อแซ่ ข้า ไม่ใช่โจรขโมยไยต้องเดินทางยามค่าคืน”
เฉินผิงอันกล่าว “ประโยคนี้จะต้องจดจาเอาไว้แน่”
อยู่ว่างไม่มีอะไรทา คนทั้งสองเดินเคียงไหล่เหยียบย่างความว่าง เปล่าไปด้วยกัน ลมบนท้องฟ้ าเย็นสบาย ทั้งสองต่างก็มีจิตใจที่สงบ สุข
หลี่ซีเซิ่งที่ความทรงจาของชาติก่อนค่อยๆ ย้อนกลับคืนมากาลัง คิดถึงศิษย์น้องสองคนที่อยู่ป๋ ายอวี้จิง
ส่วนเฉินผิงอันก็ก าลังเป็ นห่วงกับสภาพการณ์ของอาเหลียงและ ศิษย์พี่จั่วโย่ว
การที่ไม่ได้กลัดกลุ้มมากนักก็เพราะลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิง อันว่าผลลัพธ ์ต้องไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ต้องไม่ได้เลวร ้ายที่สุดอย่าง แน่นอน
ไม่รู ้ว่าเหตุใดเฝ่ ยหราน ชูเซิงต่างก็ปรากฏตัวที่เปลี่ยวร ้าง แต่ กระนั้นก็ยังไม่มีข่าวของพวกเขาทั้งสองคน
ก่อนจะออกเดินทาง เจิ้งจวีจงได้พูดประโยคประหลาด คนหนึ่ง อยู่ในเมื่อก่อนที่ผ่านมานานมากแล้ว อีกคนหนึ่งอยู่ในภายหลังที่ผ่าน มานานมากแล้ว
เฉินผิงอันกับศิษย์พี่จั่วโย่ว หากไม่นับครั้งแรกที่พบหน้ากันใน ระยะเวลาสั้นๆ อันที่จริงช่วงเวลาที่อยู่ในกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็ พอจะถือว่าเหมือนศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ แล้ว
แม้จั่วโย่วจะถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับศิษย์น้องเล็กเหมือนกัน แต่ จากค าพูดของเขาเฉินผิงอันก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศิษย์พี่ไม่ค่อย ให้ความสาคัญกับสถานะผู้ฝึกกระบี่ของตัวเองเท่าใดนัก
ศิษย์พี่จั่วโย่วเหมือนผู้รอบรู ้ที่ตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู ้มากกว่า มานะแสวงหาสามอมตะของบัณฑิต สร ้างคุณธร รม สร ้าง คุณประโยชน์ สร ้างคมวาทะ
อันที่จริงแรกเริ่มเฉินผิงอันยังสงสัยใคร่รู ้อย่างมาก เพียงแต่ติดที่ นิสัยใจคอของศิษย์พี่เขาจึงไม่กล้าถาม
ภายหลังเฉินผิงอันอดไม่ไหวถามไปประโยคหนึ่งว่ากระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตของศิษย์พี่มีชื่อว่าอะไร
สีหน้าของจั่วโย่วไม่น่ามองขึ้นมาทันที ใช ้ประโยคหนึ่งอุดปาก เฉินผิงอันกลับไป
เวลาที่อาจารย์อยู่ด้วย ทาไมไม่เห็นเจ้าถามเลยเล่า?
เฉินผิงอันหรือจะกล้าถามต่อ หากยังถามต่อไปอีกก็จะต้องรับ ผลลัพธ ์ที่ตามมาด้วยตัวเองแล้ว
เฉินผิงอันพลันใจหายวาบ แต่แล้วก็ปล่อยวางได้ เพราะหลี่ซีเซิ่ง ได้เอ่ยลาแล้วเร่งรุดเดินทางไปยังใบถงทวีปแล้ว
เสี่ยวโม่พลิ้วกายลงที่เมืองเล็ก เซี่ยโก่วที่ติดตามมาถามอย่าง สงสัย “ไม่ตรงกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
เสี่ยวโม่เอ่ย “หาร ้านอาหารข้างทาง กินอาหารมื้อดึกกันก่อน ค่อยกลับไป”
เซี่ยโก่วขมวดคิ้ว รู ้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
เลือกร ้านอาหารมื้อดึกที่ตั้งอยู่บนถนนหลักของเมืองเล็ก เสี่ยว โม่นั่งลงแล้วก็สั่งเกี๊ยวน้าไส้ผักกับเนื้อหมูมาสองชาม หยิบตะเกียบคู่ หนึ่งออกมาจากกระบอกไม้ไผ่บนโต๊ะ ยื่นส่งให้เซี่ยโก่วแล้วก็ถาม เสียงเบาว่า “จะกลับเปลี่ยวร ้างเมื่อไหร่?”
เซี่ยโก่วเงียบไม่ตอบ ใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้น คล้ายก าลังแง่งอน
รอกระทั่งเจ้าของร ้านยกเกี๊ยวน้าควันร ้อนลอยฉุยสองชามมาให้ เสี่ยวโม่ถึงได้หยิบตะเกียบคู่หนึ่งมา เอ่ยว่า “อย่ามัวอึ้งอยู่ รีบกินตอน ที่ยังร ้อนๆ”
เซี่ยโก่วแยกถือตะเกียบมือละข้าง จิ้มเกี๊ยวน้าที่อยู่ในชามยัดใส่ ปาก แก้มพองป่อง ไม่อร่อยเลย ไม่จ่ายเงินนะ
เสี่ยวโม่เคี้ยวอย่างละเอียดแล้วกลืน เอ่ยเนิบช ้าว่า “ข้ารู ้ว่าเจ้า ไม่ได้ดึงจิตวิญญาณออกมา เจ้าเป็ นเจ้ามาโดยตลอด เป็ นป๋ ายจิ่ง เสมอมา”
พูดง่ายๆ ก็คือที่บอกว่าชื่อ “เซี่ยโก่ว” นั้นเป็ นแค่การเสแสร ้งที่ ไม่ได้เรื่องอย่างหนึ่งเท่านั้น
เซี่ยโก่วตีหน้าเคร่งร ้องอ้อหนึ่งคา
เสี่ยวโม่เอ่ยต่ออีกว่า “หากเป็ นการโอนอ่อนผ่อนตามอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าไม่มีความจ าเป็ น แต่หากเป็ นการมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ก็ สามารถท าตามเดิมได้”
เซี่ยโก่วถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าชอบแบบไหนมากกว่า?” “บอกตามตรง ไม่ชอบทั้งคู่”
เสี่ยวโม่ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจเสมอมา เขาหยุดชะงัก ไปครู่ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “แต่ข้านับถือป๋ ายจิ่งที่ดูเหมือนว่าจะวิ่งตะบึงไป ข้างหน้าตลอดเวลาผู้นั้นมาก เมื่อหมื่นปี ก่อนเป็ นเช่นนี้ หมื่นปีให้ หลังก็ยังเป็ นคงเดิม”
หวนนึกถึงปีนั้น ครั้งแรกที่เขาได้พบเจอป๋ ายจิ่งคือได้เห็นผู้ฝึก กระบี่คนหนึ่งอยู่ไกลๆนางตกอยู่ในวงล้อมหนาหนัก ออกกระบี่อย่าง
เฉียบคม แต่สุดท้ายกลับเป็ นนางที่ยืนอยู่เหนือศพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ นางฆ่าด้วยมือของตัวเอง สตรีที่เรือนกายสูงเพรียว ผมยาวถูกมัดเป็ น หางม้าตวัดรอบลาคอ เชิดหน้าขึ้นสูง ไม่รู ้ว่าพึมพาอะไรอยู่ เรือนกาย ของนางเปล่งวูบหายไป แสงกระบี่เหมือนสายรุ ้ง วาดเส้นโค้งที่ยาว มากอยู่กลางอากาศ ก่อให้เกิดเสียงฟ้ าร ้องครืนครั่นอยู่บนพื้นดิน
เซี่ยโก่วมีสีหน้าซับซ ้อน ฟังแค่ครึ่งประโยคแรกก็ไม่รู ้สึกแปลกใจ แต่ครึ่งประโยคหลังของเสี่ยวโม่กลับทาให้นางรู ้สึกไม่เป็ นตัวของ ตัวเอง จึงยกชามขึ้นชดน้าแกงร ้อนๆ หนึ่งคา
เกี๊ยวน้าไม่อร่อย แต่น้าแกงกลับไม่เลว
อีกเดี๋ยวตอนคิดเงินจะเพิ่มเงินเหรียญทองแดงไปให้อีกหน่อยก็ แล้วกัน
เซี่ยโก่วเอ่ยอย่างอัดอั้น “ข้าไม่รู ้ว่าควรจะชอบคนคนหนึ่ง อย่างไร”
เรื่องเหลวไหลไร ้สาระประเภทนี้ยากยิ่งกว่าฝึกกระบี่เสียอีก
ทาให้เซี่ยโก๋วยอมรับว่าตัวเองไม่ถนัดในบางเรื่อง ถือว่าไม่ง่าย เลย