กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1008.3 อ่านตาราชอบราตรีที่ยาวนาน
เสี่ยวโม่กล่าว “อย่าน้อยเนื้อต่าใจไปเลย เจ้าลองคิดว่าตัวเองเจอ กับสถานการณ์เช่นนี้ลองนึกถึงความรู ้สึกของข้าดูบ้างสิ?”
เชี่ยโก่วยิ้มกว้าง สุดท้ายเป็ นเสี่ยวโม่ที่จ่ายเงิน นางเองก็ไม่ได้ แย่งที่จะจ่าย
เดินไปบนถนนด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าหางของเซี่ยโก่วเริ่มตวัดขึ้น ชี้ฟ้ าอีกครั้ง หัวเราะหึ หึเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ หากว่าพวกเรามีลูกชาย หญิงด้วยกันก็ดีน่ะสิ อืม ให้เหมือนอย่างหมี่ลี่น้อย ใสชื่อน่ารัก พวก เราคอยปกป้ องนางให้ดีอยู่ทุกวัน ไม่ต้องให้นางรีบร้อน ค่อยๆ เติบโต ไปช้าๆ”
เสี่ยวโม่ไร ้คาพูดตอบโต้ เงียบไปนานถึงโพล่งประโยคหนึ่งที่ ตัวเองคิดว่าเป็ นการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนมากพอแล้ว “เจ้ามี ความสุขก็พอ”
เสี่ยวโม่จาภาพเหตุการณ์ที่ได้พบเจอกับป๋ ายจิ่งเป็ นครั้งแรกได้
แต่เสี่ยวโม่กลับมิอาจรู ้ได้เลยว่าครั้งแรกที่ป๋ ายจิ่งพบตนเป็ นเวลา ใดสถานที่ใด
เพราะถึงอย่างไรครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ ายพบหน้ากันอย่างเป็ น ทางการก็เป็ นป๋ ายจิ่งที่อยู่ดีๆ ก็บอกว่าจะถามกระบี่กับเขา จากนั้นจะ
ผูกสมัครเป็ นคู่บาเพ็ญเพียรกัน ทาเอาเสี่ยวโม่มึนงงไปหมด ตอน นั้นป๋ ายจิ่งยังอธิบายเสริมมาอีกประโยคว่า ใครถามกระบี่ชนะก็นอน กับคนนั้น!
……
นอกฟ้ า เจ้าลัทธิลู่มองเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ แล้วก็เริ่มนอนทะยาน ลม ทาท่าว่ายน้าหงายหน้าขึ้นฟ้ า สุขใจสบายอุราอย่างแท้จริง
ผลคือถูกนักพรตเฒ่าคนหนึ่งยกเท้าเหยียบลงบนหน้า
ลู่เฉินรีบหดคอหลบพื้นรองเท้าที่กาลังจะกดทับลงมา พลิกตัว กลับแล้วค่อยหยุดยืนนิ่งคารวะตามขนบลัทธิเต๋าหน้าทะเล้น “คารวะ อาจารย์อาปี้เซียว”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม หัวเราะหยันเอ่ยว่า “เรื่องครึกครื้นที่ รู้ผลลัพธ์ดีอยู่แล้วประเภทนี้ มีอะไรให้น่าดูกัน”
มีจอมปราชญ์น้อย บวกกับวิถีโคจรของเส้นทางชิงเต้าที่ชัดเจน ตั้งแต่แรกเริ่มใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็ไม่ได้คิดจะพินาศวอดวายไปพร ้อม กับใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว
หาไม่แล้วป๋ ายเจ๋อที่หวนกลับมายังเปลี่ยวร ้างก็ไม่มีทางมอง “เรือ ข้ามฟาก สองล าตัดสลับจนกลายเป็ นหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าโจวมี่ต้องการให้ศาลบุ๋นสะอิดสะเอียน จากนั้นทา ให้หลี่เชิงมิอาจอาศัยเส้นทางสายเก่าที่ตัวเองเคยเดินผ่านมาก่อนมา
ชดเชยช่องโหว่ที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ทิ้งไว้บนมหามรรคาได้อย่าง ราบรื่น
เห็นเพียงว่าเจ้าลัทธิลู่มีสีหน้าอึ้งค้าง รู ้สึกลาบากใจยากจะเอื้อน เอ่ย
อาจารย์อาปี้เซียวท่านเข้มงวดกับผู้อื่น ใจกว้างกับตัวเองนี่นา
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าว “ข้ามาหาสหายเก่า จะเหมือนกับเจ้าได้ หรือ?”
ลู่เฉินบ่น “เสี่ยวโม่ผู้นี้ก็จริงๆ เลย ไม่รู ้จักเป็ นฝ่ ายมาหาอาจารย์ อาด้วยตัวเอง อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้า เดินทางไกลข้าม ทวีปจะเป็ นไรไป ข้าไปต้อนรับที่ม่านฟ้ าด้วยตัวเอง ใครจะกล้า ขัดขวาง”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าลัทธิลู่จดจ าค าพูด ที่ตัวเองพูดวันนี้ด้วยล่ะ”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เสี่ยวโม่มาเป็ นแขกที่ใต้หล้าของพวก เราก็อย่าได้โอ้อวดตัวเองเกินไปนัก มาพบอาจารย์อาปี้เซียวแล้ว มา เงียบๆ จากไปเงียบๆ ย่อมดีที่สุด”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าว “ผลสาเร็จบนมหามรรคาของหลวี่เหยียน ผู้นั้นจะต้องสูงมากแน่”
ลู่เฉินพยักหน้ารับอย่างแรง “โชคดีได้เดินทางร่วมกับสหายฉุนห ยางอยู่ในมืดสลัว ถือเป็ นเกียรติอย่างสูง”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะ “ส่วนป๋ ายจิ่ง หากนางเลื่อนเป็ นขอบเขต สิบสี่ได้เมื่อไหร่ก็มิอาจดูแคลนได้เช่นกัน”
ลู่เฉินยังคงพยักหน้ารับรัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
ร ้ายกาจ ร ้ายกาจกันทุกคน แต่ละคนต่างก็มีความองอาจห้าว หาญทะยานฟ้ า กลับเป็ นผินเต้าที่แขนขาเล็กบาง แค่ยินดีที่ได้ฟัง ยินดีที่ได้เห็นเท่านั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ได้เห็นกระบี่บินสองเล่มของ เฉินผิงอันกับตาตัวเองบวกกับเล่มสุดท้ายที่ผสานมรรคานั้น เจ้าลัทธิ ลู่ไม่ใช่ว่าแค่คิดถึงก็หวาดกลัวไม่หาย รู ้สึกเย็นวาบที่ลาคอหรอก หรือ?”
ลู่เฉินนวดคลึงปลายคาง เริ่มพูดจาเหลวไหลด้วยท่าทางจริงจัง “ยังดี ยังดี ข้ากับเฉินผิงอันเป็ นสหายรักกัน พบหน้ามีแต่จะดื่มเหล้า ด้วยกัน ไม่มีทางหันอาวุธเข้าห้าหั่นกันเอง”
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นกลับไปยังใต้หล้ามืด สลัวได้ เพราะเฉินผิงอันไม่ได้ร่วมมือกับเจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยงที่ไป พบเจอกันแล้ว ถือว่ารอดพ้นหายนะมาได้ครั้งหนึ่ง
ตอนนี้มานึกดู ลู่เฉินก็ยังรู ้สึกหวาดผวาไม่หาย ไม่ได้พูดเกินจริง เลยสักนิดเดียว หากพวกเขาทาการโอบล้อมได้สาเร็จก็ไม่ใช่เรื่อง เล่นๆ เลยจริงๆ
ดังนั้นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี๋จิงท่านนี้จึงเคยได้ทาการทบทวน กระดานกับเจ้าอารามผู้เฒ่าผู้เป็ น “อาจารย์อา” มารอบหนึ่ง ตามคา กล่าวของเจ้าอารามผู้เฒ่า กุญแจสาคัญนั้นอยู่ที่ว่าอีกฝ่ ายจะกักขัง ดินแดนแห่งความฝันและจิตธรรมของลู่เฉินอย่างไร
สาหรับผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีทาง ลัดใดๆ ให้เดิน ก็เหมือนอย่างการล้อมฆ่าที่โจวมี่มีต่อป๋ ายเหย่ที่ฝู เหยาทวีปครั้งนั้นที่ได้แต่เผาผลาญบทกวีในใจของป๋ ายเหย่ไปแต่โดย ดีเท่านั้น ซึ่งก่อนจะเป็ นเช่นนั้นได้ ป๋ ายเหย่ที่ในมือถือกระบี่เซียนต่อ ให้จ านวนปีศาจใหญ่บนบัลลังก ์ของพวกเจ้าจะมีมากแค่ไหน ป๋ ายเหย่ ก็ยังคงเท่ากับว่ายืนอยู่ในสถานะที่มิพ่ายอยู่ดี
ลู่เฉินรู ้ดีอยู่แก่ใจว่า คนที่ควบคุมการล้อมฆ่าครั้งนี้ มองภายนอก คือเฉินผิงอัน แต่คนเบื้องหลังกลับเป็ นซิ่วหูที่เหมือนวิญญาณร ้าย ตามติดไม่เลิกราผู้นั้น
และการที่ชุยฉานได้เรียนรู ้วิชา “ผนึกภูเขา” บรรพกาลหลาชนิด มาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยสักนิด บน พื้นฐานนี้ ด้วยสมองของชุยฉานที่เหมือนยอดเขาสูงซึ่งตั้งอยู่เหนือ พื้นที่ราบว่างเปล่าแล้วก็เป็ นเรื่องปกติอย่างยิ่ง พูดถึงแค่วิชาการดึง จิตวิญญาณที่ “ซิ่วหู่บอกว่าตัวเองอยู่อันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าบอก
ว่าตัวเองเป็ นอันดับหนึ่งหลายวิชานั้น หากชุยฉานเคยท าการประลอง มรรคกถาเป็ นการส่วนตัวกับเจิ้งจวีจงมาก่อนแล้วถูกฝ่ ายหลังเรียนรู ้ เอาไว้ สุดท้ายเฉินผิงอันเป็ นคนลงมือเริ่มเดินหมากก่อน ผู้ฝึกกระบี่ กลุ่มนั้นรับผิดชอบกลางกระดาน เจิ้งจวีจงกับอู๋ซวงเจี้ยงปิดท้าย กัก จิตธรรมทั้งหมดของลู่เฉินไว้ได้อย่างสมบูรณ์ก็ไม่ใช่ความคิดเพ้อฝัน ที่ไม่อาจเป็ นจริงอะไรได้เลย
ตอนนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยเหน็บแนมมาประโยคหนึ่ง “เจิ้งจวี แห่งนครจักรพรรดิขาวสองคน อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตาหนักสุ่ยฉูคนหนึ่ง นี่ ก็มีขอบเขตสิบสี่สามคนแล้ว บวกกับฉีถึงจี้ หนิงเหยา หาวซู่ ลู่จือ เฉินผิงอัน ขบวนรบเช่นนี้ จัดขบวนใหญ่โตเอิกเกริกเช่นนี้ เพียงแค่ เพื่อรับมือขอบเขตสิบสี่อย่างเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าสู่เฉินควรจะภูมิใจ นะ สามารถแอบยินดีกับตัวเองได้แล้ว
ตอนนั้นลู่เฉินหันหลังให้อีกฝ่ ายแล้วยิ้มกว้าง หัวเราะฮ่า ฮ่า ฮ่า จริงๆ ทั้งยังหัวเราะสามเสียงติดกันเช่นนี้ด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าเหลือบมองลู่เฉิน ไม่ว่าปากจะพูดจาขัดคอเจ้า ลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้อย่างไร ต่อให้สายตาจะสูงส่งแค่ไหนก็ ยังต้องยอมรับว่า คุณสมบัติในการฝึกตนของลู่เฉิน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งจิตแห่งมรรคาของเขา ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
กล้าพูดว่าจิตแห่งมรรคาของตนก็คือจิตแห่งฟ้ าได้อย่างแท้จริง ลู่ เฉินสามารถถือเป็ นคนหนึ่งในนั้นได้เลย
หมื่นปีที่ผ่านมา ไม่พูดถึงพวกผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่เก็บซ่อน ตัวตนอย่างพวกลู่ฝ่ าเหยียน ปี ศาจใหญ่ชูเซิงแห่งเปลี่ยวร ้าง ยังมี นักพรตหญิงอู๋โจวที่จงใจอาพรางร่องรอย รวมถึงการที่ป๋ ายเจ๋อถูก ศาลบุ๋น “กักขัง” ไว้ในหอพิทักษ์เมือง ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนใหญ่สี่ท่าน บนโลกที่เป็ นที่ยอมรับว่า “ต่อสู้เก่ง” ที่สุด ป๋ ายเหย่ที่ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ ฝึกกระบี่บริสุทธิ์แต่กระนั้นพลังพิฆาตก็ยังสูงที่สุดอยู่ดี
เจ้าแห่งถ้าปี้เซียวชายหาดลั่วเป่ า เจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่ง อารามกวานเต๋าในภายหลัง มีมรรคกถาสูงที่สุด
และยังมีเฒ่าตาบอดที่อยู่ในภูเขาใหญ่แสนดี้ที่สามารถบงการ มัลละเกราะทอง ไม่รู ้ว่าคิดจะทาอะไรกันแน่ สถานะลึกลับที่สุด ตบะ ลึกล้ามองไม่เห็นก้นบึงมากที่สุด
นอกจากนี้ก็มีภิกษุเสินชิงฉายาหลวงจีนน้าแกงไก่ที่มีการ ป้ องกันแน่นหนาที่สุด ถูกขนานนามว่าเป็ นอันดับหนึ่งของ “ร่างทอง มิพ่าย
และคนบางคนก็ยังเคยพูดจาน่าเชื่อ ป่ าวประกาศให้ภายนอกรู ้ อย่างก าเริบเสิบสานว่านอกจากเขาแล้วไม่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตบิน ทะยานคนใดก็ตาม ฟันติดต่อกันสามวันสามคืนก็ยังได้แค่ท าให้ หลวงจีนเฒ่าเจ็บๆ คันๆ ได้เท่านั้น
แต่เจ้าอารามผู้เฒ่าและเฒ่าตาบอด วิธีการผสานมรรคาของทั้ง สองฝ่ าย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเมฆหมอกที่บดบังภูเขา ยังไม่มี ข้อสรุปที่แน่ชัด
เนื่องจากถูกคนบางคนพูดว่า “พลังพิฆาตของผู้ฝึกตนขอบเขต สิบสี่ครึ่งตัว การป้ องกันของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนครึ่ง
ครึ่งบวกกับอีกหนึ่งครึ่ง เมื่อคิดตามนี้ก็ไม่ใช่เท่ากับผู้ฝึ กตน ขอบเขตสิบสี่สองคนแล้วหรอกหรือ
ดังนั้นหากจะถามเขา ในบรรดาผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ก็ยังคงเป็ น เจ้าหลวงจีนน้าแกงไก่ที่ร ้ายกาจที่สุด
พอคาพูดนี้เอ่ยออกมา ใต้หล้าก็สะท้านสะเทือน เป็ นเหตุให้ภิกษุ เฒ่าถูกคนไล่ตามมาฟันแทบจะทุกๆ สามวันห้าวัน มังกรคชสารแห่ง ลัทธิพุทธที่เดิมทีกลายเป็ นที่รู ้จักของคนบนยอดเขาเพียงเพราะการ ปกป้ องมรรคาสามครั้งผู้นี้ ต่อให้จะอบรมบ่มเพาะตัวเองมาดีและมี นิสัยที่ดีแค่ไหนก็มิอาจต้านรับการรบกวนที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนนี้ได้ ภายหลังกว่าภิกษุเฒ่าจะเจอเจ้าตัวการที่ปากไร ้หูรูดผู้นั้นได้ไม่ใช่ เรื่องง่าย ยืนกรานให้อีกฝ่ ายอาศัยรายงานขุนเขาสายน้าของแต่ละ ฝ่ายมาอธิบายเรื่องนี้ให้คนนอกเข้าใจอย่างชัดเจน
ไม่ผิดไปจากที่คาด เจรจาไม่สาเร็จ
เจ้าหมอนั่นยืนกรานไม่เปลี่ยนคาพูด บอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้า ก็รับผิดชอบกับค าพูดของตัวเองอยู่แล้ว น้าลายหนึ่งฟองเท่ากับตะปู
หนึ่งดอก จะให้ข้าพูดจาผิดมโนธรรมในใจตัวเอง วันหน้าจะคลุกคลี อยู่ในยุทธภพอีกได้อย่างไร
หลวงจีนน้าแกงไก่จึงได้แต่ “เอ่ยชมเชย” อีกฝ่ายไปสองประโยค
อาเหลียง เจ้าเก่งวิชาบวกลบขนาดนี้เลยหรือ?
หรือว่าตอนที่เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนในจวนของหย่าเซิ่ง คน อื่นต่างก็อ่านตารา มีแต่เจ้าที่กินต ารา?
เจ้าคนที่หน้าด้านไร ้ขอบเขตสิ้นสุดผู้นั้นไม่โมโหกลับยังอารมณ์ ดี สองมือเท้าเอว พูดว่าใช ้วิธีแปลกใหม่มาชมกันเช่นนี้ ข้าอายจน หน้าแดงหมดแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “เคยคิดถึงวิถีทางโลกในอีกหมื่นปีให้หลัง หรือไม่?”
ลู่เฉินย้อนถาม “นี่เป็ นเรื่องที่คิดแล้วจะมีประโยชน์หรือ?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็แค่เบิกตากว้างมองดูเรื่องที่ อยู่ตรงหน้า?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ดูเหมือนว่าจะยิ่งน่าเบื่อมากกว่าเสียอีก”
หากรอให้บรรพจารย์ของสามลัทธิสลายมรรคาก็จะมีสิบผู้กล้า แห่งใต้หล้าที่ถูกประเมินออกมาใหม่ทันที คิดดูแล้วคงไม่มีอะไรให้ลุ้น มากนัก อีกทั้งยังแทบไม่มีความเห็นต่างใดๆ
ถึงอย่างไรแค่เลือกมาจากในขอบเขตสิบสี่ก็พอแล้ว
หลี่เซิ่ง อวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อ ลู่เฉิน ป๋ ายเจ๋อที่หวนกลับคืนสู่ใต้ หล้าเปลี่ยวร ้าง ปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารที่ถูกพันธนาการอยู่ ในช่วง “ระยะเวลาการลงอาญา” อันยาวนาน
เจ้าแห่งถ้าปี้เซียว ภิกษุเสินชิง เฒ่าตาบอดแห่งภูเขาใหญ่แสนดี้ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว อู๋โจวนักพรตหญิงที่มีฉายาว่า “ไท่ อิน
ส่วนตัวเลือกตัวส ารอง หากเลือกได้แค่สี่ห้าคน แล้วดึงเส้นเวลา ลากยาวออกไปอีกหกสิบปีหรือร ้อยปี บางทีข้อถกเถียงอาจมากขึ้น กุญแจส าคัญคือยังมีตัวแปรอีกไม่น้อย
ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตาหนักสุ่ยฉู ถึง อย่างไรต่างก็ถือว่าเป็ นขอบเขตสิบสี่ที่ประสบการณ์ยังตื้นเขิน อีกทั้ง พวกเขาสองคนต่างก็ตั้งตัวเป็ นปรปักษ์กับป๋ ายอวี้จิงอย่างชัดเจน
เซียนอิสระลัทธิเต๋า ฉุนหยางหลวี่เหยียน
รวมไปถึงป๋ ายเหย่ “คนใหม่” ที่ตอนนี้ฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตู แม้ว่าทุกวันนี้เขาเพิ่งจะเป็ นขอบเขตหยกดิบ แต่กลับต้องได้เลื่อนขั้น ติดอันดับนี้ ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่งอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หลินเจียงเซียนแห่งภูเขายาซานใต้หล้ามืดสลัว เฉาสือ ซินขู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามคน ต่างก็มีโอกาสกันไม่น้อย
หนิงเหยาแห่งใต้หล้าห้าสี เฝ่ ยหรานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ทั้ง สองคนนี้ต่างก็เป็ นผู้ครองใต้หล้าอย่างถูกต้องชอบธรรม
นอกจากนี้ยังมีอู๋หมิงซื่อ ป๋ ายจิ่งแห่งเปลี่ยวร ้าง สิงกวานหาวซู่ ลู่จือ จางเฟิงไห่ สวีเจวี้ยน เป็ นต้น
การแย่งชิงกันข้ามฝากซึ่งเป็ นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งไม่ เคยมีปรากฏมาก่อนเป็ นเวลาหมื่นปี ความวุ่นวายจะบังเกิด เหล่าผู้ กล้าลุกผงาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นเยาว์ของหลายๆ ใต้หล้าที่มีโอกาส อย่างยิ่งที่จะเป็ นผู้ที่ถอยออกมาดูสถานการณ์หาจุดอ่อนแล้วค่อยจู่ โจม สรุปก็คือในอีกหนึ่งร ้อยปีต่อจากนี้จะเป็ นช่วงเวลาอันดีงามของ ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าแล้ว
ลู่เฉินยืนอยู่กลางไท่ซวีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บนศีรษะสวม กวานดอกบัว สองมือห้อยตกลงมา สีหน้าเคร่งขรึม อยู่ดีๆ ก็โพล่ง ประโยคหนึ่งออกมาว่า “ท่านคิดว่าหากข้าเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้า ลวงในทันที จะเป็ นอย่างไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “คิดเพ้อเจ้อ พูดง่าย”
ลู่เฉินพลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์อา มองออกแต่อย่าได้พูดออกมา หา ไม่แล้วจะมีเพื่อนน้อย”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าว “ข้าฝึกตนมาหมื่นปีก็ยังไม่อาจเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบห้าได้ จะอาจเอื้อมปืนป่ ายคนที่แค่ขยับปากก็เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบห้าได้อย่างไร”
ลู่เฉินรีบแก้ไขทันใด “ขอบเขตลวง!”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเฉยเมย “ยกตัวอย่างขึ้นมากล่าวข้อ หนึ่งแต่ตกหล่นไปเป็ นหมื่นอย่างนั้นหรือ”
ลู่เฉินถามอย่างกังขา “ประโยคนี้เอามาใช ้แบบนี้ได้ด้วยหรือ?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าคร้านจะพูดกับเขา
ลู่เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ หวนกลับไปทางเดิม ที่ป่ ายอวี้จิงยังมี งานมากมายให้ต้องไปท า
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “ปีนั้นพระพุทธเจ้าดึงเจ้าเข้าไปในติสหัสสี โลกธาตุ (โลกธาตุขนาดใหญ่มีสามพันโลกธาตุ) ที่มีความลี้ลับ มหัศจรรย์มากมาย เจ้ามองเห็นอะไร ผ่านประสบการณ์อะไรมา? จาก ความรู ้สึกของเจ้าในปีนั้น เวลาผ่านไปกี่หมื่นปี กี่ร ้อยกี่พันปี?”
สีหน้าของลู่เฉินเลื่อนลอยไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับคืน มาเป็ นปกติ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคยได้เห็นโลกมามากมายจริงๆ สิ่งกีด ขวางอย่างแล้วอย่างเล่าติดต่อกัน คันนาแล้วก็คันนา ต้นข้าวก็ดี ต้นหญ้าก็ช่าง ถึงอย่างไรก็ล้วนไม่อาจข้ามผ่านปราการธรรมชาตินั้น ไปได้ หากจะบอกว่าวิธีอุปนัยของหอเรือนกลางอากาศคือวิถีเล็ก ถ้า อย่างนั้นการอนุมานที่มองดูเหมือนผลักดันไปข้างหน้าทีละก้าวก็เป็ น แค่วิชาเล็กๆ อย่างหนึ่งแล้ว….สรุปก็คือมองย้อนกลับมา บ้านเรือน และบันไดทั้งหลายซึ่งพวกเราคิดว่าเป็ นเส้นทางและวิถีกลับไม่สาคัญ เลยสักนิด สิ่งเดียวที่สาคัญก็คือมันทาให้ข้าเข้าใจหลักการเหตุผล
ข้อหนึ่ง พวกเราต่างก็รู ้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อยอย่างมาก มักรู ้สึกว่า เหนือฟ้ ายังมีฟ้ า แต่บางที บางทีอาจตรงกันข้ามกันเลย”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าว “แต่เจ้าก็ยังต้องการพิกัดที่ไม่เคย แปรเปลี่ยนมานับแต่โบราณช่วยให้เจ้ายืนยันความเป็ นไปได้นี้ หาไม่ แล้วก็จะมีจุดจบเป็ นการแกะเรือตามหากระบี่”
ลู่เฉินอิ่มรับหนึ่งที “หาไม่แล้วก็ยังเป็ นการละเมอในความฝันอยู่ ดี”
“มักจะทบทวนถามใจตัวเองเป็ นประจ า จะคิดอะไรมากมายขนาด นั้นไปไย”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง “แต่หากไม่คิดมากขนาดนั้นยังจะทาอะไร ได้อีกล่ะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคยได้ยินสหายเก่าที่ล่วงลับไป แล้วคนหนึ่งเสนอแนวคิดที่มีจินตนาการเลิศล้า บอกว่าคนบ้าในโลก มนุษย์ทุกคนล้วนเป็ นเจ้าของที่แท้จริง ได้เดินบนเส้นทางแห่ง ความคิดเพียงล าพังมานานแล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเสียดาย “หากไม่เป็ นเพราะสหายเก่าของอาจารย์ อาล่วงลับไปแล้ว ผินเต้าจะต้องขอไปพบหน้าสักครั้ง พูดคุยความใน ใจกับเขาให้ดีๆ สักหน่อย”
ในสายตาของลู่เฉิน การฝึกตนเป็ นทั้งการเปลี่ยนแขกมาเป็ นเจ้า บ้าน แล้วก็เป็ นหัวขโมยตัวเป้ งของวิถีแห่งฟ้ าดิน
เมื่อประมาณสามพันปีก่อน มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งนั่งเรือออก ทะเล อยู่ดีๆ ก็น้าตาไหลอาบหน้า
เพราะเขารู ้สึกว่าฝึกตนมาจนถึงท้ายที่สุด ต่อให้ขอบเขตจะสูง เป็ นขอบเขตสิบห้า แต่อันที่จริงทุกคนต่างก็เฝ้ าที่นาที่ไร ้ขอบเขต สิ้นสุดผืนหนึ่งเท่านั้น เป็ นได้แค่ชาวนาที่เช่าที่นาทากินซึ่งไม่เคยรู ้ ตัวเอง ได้แต่เช่าที่นาจากเจ้าของที่ดินที่ต่างฝ่ ายต่างไม่เคยพบหน้า กัน และจะได้มีทางได้พบหน้ากันตลอดกาล คอยจัดการดูแลไร่นา ด้วยความมานะขันแข็งปีแล้วปีเล่า
พวกเราไม่มีทางรู ้ได้เลยว่าตัวเองเป็ นใครไปตลอดกาล
ลู่เฉินหันหน้าไปทางไท่ซวีที่กว้างใหญ่ไร ้ขอบเขตสิ้นสุด ร ้อง เรียกเบาๆ หนึ่งที แล้วถามว่าอยู่ไหม? จากนั้นก็ยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งมา ป้ องข้างหูทาท่าเงี่ยหูฟัง ประหนึ่งรอเสียงตอบรับกลับมา
เจ้าอารามผู้เฒ่ามองนักพรตที่ใบหน้านองไปด้วยน้าตา แต่กลับ มีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้งผู้นั้นแล้วถอนหายใจ ตบไหล่อีกฝ่ าย “ลู่ เฉิน อย่าทาตัวโง่งมอยู่อีกเลย ไปดื่มเหล้ากับอาจารย์อาเถอะ”
ลู่เฉินคืนสติกลับมา แต่กลับดึงชายแขนเสื้อของเจ้าอารามผู้เฒ่า มาเช็ดน้าตาบนใบหน้า “อาจารย์อาก็บอกแต่แรกสิ”
นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปด้วยกัน”
……
ซิ่วไฉเฒ่าที่รีบร ้อนเดินทางมายังทางช ้างเผือกนอกฟ้ าได้เจอกับ อวี๋เสวียนก็ใช ้สองมือคว้าจับสองมือของเจินเหรินผู้เฒ่าเขย่าอย่าง แรง ก่อนจะเหลียวซ ้ายแลขวาเอ่ยว่า “นักพรตฉุนหยางล่ะ?”
อวี๋เสวียนยิ้มกล่าว “ไม่บังเอิญเลย สหายฉุนหยางเพิ่งจะจากไป เอง”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งเขย่ามืออีกฝ่ายแรงกว่าเดิม “พี่อวี๋ คุณความเหนื่อย ยากช่างสูงนัก ออกเดินทางไกลครั้งนี้แม้ข้าจะไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ ใช ้หัวเข่าคิด ไม่ต้องคาดเดาก็รู ้ได้ว่าพี่ใหญ่อวี๋ได้สร ้างคุณูปการล้า เลิศอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะถ่วงรั้งความคืบหน้าของ การเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ หากว่าน้องชายอย่างข้านั่งอยู่บนเก้าอี้ อันดับหนึ่งของผู้ดูแ งานในศาลบุ๋นคงมิอาจหักใจส่งพี่ใหญ่อวี๋มา ทางานหนักแบบนี้ได้แน่นอน!”