กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1008.4 อ่านตาราชอบราตรีที่ยาวนาน
ใบหน้าของอวี๋เสวียนประดับรอยยิ้มน้อยๆ ตัดสินใจว่าจะไม่ต่อคา ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าเป็ นถึงเหวินเซิ่ง ขึ้นชื่อว่าเป็ นพวกหนังเหนียวทนมือทน เท้า เจ้าสามารถแต่งเรื่องถึงหลี่เซิ่งและหย่าเซิ่งได้อย่างส่งเดช แต่ข้า ไม่อยากลุยน้าขุ่นบ่อนี้ด้วยหรอกนะ
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงเบา “ได้ยินลูกศิษย์ปิดส านักของข้าพูดถึง เรื่องน่าเสียดายเรื่องหนึ่งเรื่องน่าเสียดายเชียวนะ บอกว่าพี่ใหญ่อวี๋ เคยทดลองที่จะวาดยันต์ห้าขุนเขาใหม่เอี่ยมขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เป็ นยันต์ ใหญ่ชื่อเสียงโด่งดัง เพียงแต่ว่าดันไปชนผนังที่เจ้าโง่ใหญ่โจวโหยว แห่งภูเขาสุ้ยซาน ทุกอย่างที่ทามาถึงได้สูญเปล่า?”
อวี๋เสวียนสลัดมือสองข้างของซิ่วไฉเฒ่าหลุดแล้วสะบัดชายแขน เสื้อหนึ่งครั้ง “กระพือข่าวลือกันไปทั้งนั้น ไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่สักหน่อย เป็ นสหายเฉินที่เข้าใจผิดไป”
หากว่าเฉินผิงอันมาคุยเรื่องนี้กับตน อวี๋เสวียนก็คงบอกไปตาม ตรง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เชื่อในนิสัยใจคอของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้
เพราะในการประชุมศาลบุ๋นก่อนหน้านั้น อวี๋เสวียน ฮว่อหลงเจิน เหรินและยังมีจ้าวเทียนไล่ พวกเขาสามคนพูดคุยกัน ฮว่อหลงเจินเห รินเน้นย้าในเรื่องหนึ่ง บอกว่าท าการค้ากับเจ้าขุนเขาเฉินสามารถ
วางใจได้เลยว่าจะเป็ นการค้าที่ได้แต่กาไรไม่มีขาดทุน แค่นอน หลับตารอรับเงินไปก็พอ
แต่ในเมื่อซิ่วไฉเฒ่ามาเสนอการค้าถึงที่ ทาตัวขยันขันแข็งโดย ไม่มีสาเหตุ ตนก็ควรจะระวังไว้หน่อย
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “มิตรภาพของพวกเราสองคนเป็ นเช่นไร เป็ นพี่ น้องบ้านเดียวกัน! ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย ว่ามาเถอะ ต้องการดิน ของภูเขาสุยซานกี่จิน? ห้าจินพอหรือไม่? หากไม่พอข้าจะเอามาเพิ่ม มากหน่อย สิบจินเลยเป็ นไง!”
อวี๋เสวียนหัวเราะร่า “เหวินเซิ่งอย่าได้ล้อเล่นเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งที่สามารถวิ่งไปที่ภูเขาจิ่วอี้ ถ่ายทอดโองการ ปลอมภายใต้เปลือกตาของซานจวินคนหนึ่ง คิดจะขนชางผู ชะตาบุ๋นหลายกระถางไป ต่อให้เจ้าเอามาได้ ข้าจะกล้ารับ จะกล้าซื้อ หรือ?
ซิ่วไฉเฒ่าตบอกเสียงดังสนั่นฟ้ า “ขอแค่พี่ใหญ่อวี๋ยินดีเปิดปาก ให้ค าพูดยืนยันแก่ข้าต่อให้เป็ นภูเขามีดทะเลเพลิงน้องชายก็ไปเยือน ได้ แค่ดินไม่กี่จินจะนับเป็ นอะไรได้ อีกทั้งข้าเองก็สามารถรับประกัน ได้ว่าเจ้าโง่ใหญ่โจวโหยวผู้นั้นไม่มีทางไปหาเรื่องใครแน่นอน”
อวี๋เสวียนกึ่งเชื่อกิ่งกังขา “จะสาเร็จได้จริงหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่วน “วางใจได้เลย ทางฝั่งของเจ้าโง่ใหญ่ ข้า จะไม่พูดถึงพี่ใหญ่อวี๋แม้แต่ครึ่งคา จะหาเหตุผลมาสักข้อ ยกตัวอย่าง เช่นตัวข้าเองต้องใช ้ ก็จะหลอกอีกฝ่ายไปได้แล้ว”
อวี๋เสวียนลูบหนวดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เหตุผลข้อนี้จะไร ้น้าหนัก เกินไปหน่อยหรือไม่?”
นี่ก็คือยอมติดเบ็ดแต่โดยดีแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง “ถึงอย่างไรข้าก็เป็ นบัณฑิต ไม่ ค่อยถนัดเรื่องการพูดโกหกสักเท่าไร”
อวี๋เสวียนกล่าว “ไม่สู้พูดว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าต้องการ ดินห้าสีดีไหม?”
ดูเหมือนว่าเหตุผลข้อนี้จะค่อนข้างสมเหตุสมผลมากกว่า
ซิ่วไฉเฒ่าอิ่มรับหนึ่งที “ใช ้ได้”
อวี๋เสวียนถามหยั่งเชิง “ราคาเป็ นอย่างไร?”
ดินห้าสีของห้ามหาบรรพต แน่นอนว่าไม่มีราคาตลาดให้เอามา เปรียบเทียบ
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “พี่ใหญ่อวี๋ ท าไมถึงต้องด่ากันด้วยเล่า?! คาพูดนี้พูดได้ไม่ค่อยน่าฟังแล้วนะ”
อวี๋เสวียนพลันรู ้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด บอกตามตรง เขายังหวังว่า จะสามารถจ่ายเงินทาการค้ากับซิ่วไฉเฒ่าได้อย่างตรงไปตรงมา
อย่าได้ติดค้างน้าใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้ติดค้างน้าใจซิ่วไฉ เฒ่าเด็ดขาด
ดังนั้นอวี๋เสวียนที่รู ้สึกว่าตัวเองกระโดดลงไปในหลุมใหญ่ เรียบร ้อยแล้วจึงไม่คิดจะกระโดดลงไปอีกเป็ นครั้งที่สอง “เงินทองแบ่ง ลูกผู้ชาย พี่น้องแท้ๆ คิดบัญชีกันอย่างชัดเจน”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ปัญหาคือพวกเราสองพี่น้องไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันนี่สิ!”
อวี๋เสวียนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
ซิ่วไฉเฒ่าจึงรีบเอ่ยแก้ไขตามไปทันใด “แต่เราสนิทกันยิ่งกว่าพี่ น้องแท้ๆ อีกไม่ใช่หรือ?”
รอยยิ้มของอวี๋เสวียนแข็งที่อ
พี่ใหญ่อวี๋ตัวไม่สูง ซิ่วไฉเฒ่าไม่ต้องเขย่งปลายเท้าก็สามารถตบ ไหล่ของอีกฝ่ ายได้แล้ว “ได้ยินมาว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้ายืมเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองมาจากพี่ใหญ่สามร ้อยเหรียญหรือ?”
หัวใจของอวี๋เสวียนบีบรัดตัวแน่น มาแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “นี่ต้องเป็ นเงินฝน ธัญพืชมากเท่าไรกันนะ”
อวี๋เสวียนตีหน้าเคร่ง ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อ ให้เด็ดขาด เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ให้ยืมไป เฉินผิงอันและ ภูเขาลั่วพั่วต้องใช ้คืนด้วยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเท่านั้น
เงินฝนธัญพืช? เขาอวี๋เสวียนขาดเจ้าของเล่นนี่หรือไร?
ซิ่วไฉเฒ่าใช ้แผนแรกไม่สาเร็จจึงใช ้แผนใหม่ “พี่ใหญ่อวี๋ มา ปรึกษากันหน่อยเถอะไม่สู้เงินก้อนนี้ให้ข้าที่เป็ นอาจารย์ใช ้คืนแทนให้ ดีไหม?”
อวี๋เสวียนแข็งใจยืนกรานในความคิดของตัวเอง “ไม่ดีกระมัง? มี เพียงหลักการที่ว่าหนี้ของบิดาลูกชายช่วยใช้คืน ไหนเลยจะมีค า กล่าวที่ว่าลูกศิษย์ติดหนี้อาจารย์ชดใช ้คืน”
เจ้าใช้คืน? จะใช ้คืนอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่ายังต้องเชื่อเงินอยู่ดีหรอก หรือ สามร้อยเหรียญใช้คืนไม่ไหว ดอกเบี้ยทบต้นปีแล้วปีเล่า เกรงว่า วันใดค้างชาระไปถึงสามพันเหรียญก็ยิ่งไม่ต้องใช้คืนแล้วกระมัง
และในขณะที่อวี๋เสวียนกาลังจะยอมรับชะตากรรมนั้นเอง ซิ่วไฉ เฒ่าก็หัวเราะมีความสุขอยู่กับตัวเอง หยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากชาย แขนเสื้อ ยื่นส่งให้อวี๋เสวียน “ดูท าให้เจ้าตกใจเข้าสิ รับไปอย่างวางใจ ได้เลย ข้าพูดกับโจวโหยวอย่างชัดเจนแล้ว ดินของภูเขาสุ้ยซานสิบ จินนี้เป็ นเรื่องที่เจ้าโง่ใหญ่พยักหน้าตอบตกลงด้วยตัวเอง เขายังบอก ด้วยว่าหากน้าหนักไม่พอ คราวหน้าเจ้าอวี๋เสวียนก็แค่บอกกล่าวไปที่ ภูเขาสุ้ยซานสักค า ไม่จ าเป็ นต้องไปเยือนที่นั่นด้วยตัวเองด้วยซ้า”
“นอกจากนี้ก็คือเงินเหรียญทองแดงแก่นทองก้อนนั้น ผิงอันเด็ก คนนี้นับแต่เล็กมาก็รู ้ความมากมาโดยตลอด จะต้องใช ้คืนให้กับผู้ อาวุโสทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยโดยไม่ขาดหายไปแม้แต่เหรียญเดียว แน่นอน”
“แน่นอนว่าชั่วชีวิตนี้พี่ใหญ่อวี๋ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเพราะค าว่า เงิน ในข้อนี้พวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกัน”
อวี๋เสวียนเก็บถุงที่บรรจุดินไว้เต็มแน่นใบนั้นมา พยักหน้าเอ่ย “เฉินผิงอันมีอาจารย์อย่างเจ้าก็เป็ นโชคดีของเขาแล้ว สายเหวินเซิ่งมี เฉินผิงอันก็เป็ นเรื่องโชคดีเช่นเดียวกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าคลี่ยิ้มสดใส “ประเสริฐ คากล่าวนี้ประเสริฐยิ่งแล้ว!”
อวี๋เสวียนกล่าว “พวกเราสองพี่น้องมาดื่มเหล้าด้วยกันหน่อยดี ไหม?”
“ไม่ต้องรีบร้อน สุราดีไม่มีขาเดินได้เองเสียหน่อย ไม่หนีไปไหน หรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อแล้วขยับปกเสื้อให้เข้าที่ ผายฝ่ ามือ ข้างหนึ่งให้กับอวี๋เสวียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายอวี๋เสวียน เชิญนั่ง”
“ข้าเคยถูกมรรคากับผู้อาวุโสท่านหนึ่งในป๋ ายอวี้จิงจ าลองของ แจกันสมบัติทวีป พูดถึงฟ้ าพูดถึงดิน พอจะมีความเข้าใจและได้ ข้อคิดมาบ้างเล็กน้อย”
“นทีสวรรค์ในค่าคืนนี้ใสกระจ่าง เหมาะแก่การถกมรรคากับ เหล่าผู้กล้ามากที่สุด”
อวี๋เสวียนอึ้งค้างพูดไม่ออก จิตแห่งมรรคาสั่นสะท้าน สูดลม หายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งคารวะตามขนบลัทธิเต๋าด้วยท่าทางจริงจัง พูด เสียงทุ้มหนักว่า “ขอเหวินเซิ่งโปรดชี้แนะ!”
…….
เฉินผิงอันย้อนกลับมาที่โรงเรียนในเขตจังหวัดเหยียนโจว ส่วน ยันต์ร่างแยกที่กระจายกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทุกคนต่างก็ไม่กล้า ออกไปจากแจกันสมบัติทวีป และตอนนี้แต่ละคนต่างก็พากัน “ตื่น ขึ้นมา แล้ว
จ้าวซู่เซี่ยที่ยืนอยู่ใต้ชายคาตลอดเวลามองอาจารย์ที่ท่าทาง เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกลับมายังโรงเรียน
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ไปนอกฟ้ ามารอบหนึ่ง ทาเรื่องเล็กที่ พอจะมีความสามารถให้ท าได้ อืม พอจะถือว่าช่วยเหลือไปอย่างถูไถ กระมัง”
อาจารย์ไปนอกฟ้ าทาเรื่องอะไร ช่วยเหลือใคร แม้ว่าในใจจะสงสัยอย่างมาก แต่จ้าวซู่เซี่ยก็ยังไม่ได้ถามมาก เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องสนใจข้า รีบนอนให้เร็วตื่นให้เช ้า” จ้าวซุ่เซี่ยพยักหน้ารับ กลับไปปูผ้านอนบนพื้นในห้องครัว
ท่ามกลางม่านราตรี เรือนกายอรชรของคนผู้หนึ่งที่ทะยานลมมา อย่างรวดเร็วพลันหักเลี้ยว พลิ้วกายลงบนพื้นดิน
เฉินผิงอันนอนหลับตาทาสมาธิอยู่บนเก้าอี้หวายตัวหนึ่ง ในมือ ถือพัดใบลานวางไว้บนหน้าท้อง
สตรีคนเมื่อครู่ที่ทะยานลมเพียงแค่เหลือบตามองมาเท่านั้น รอ กระทั่งนางขยับเข้ามาใกล้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน แน่ใจว่าไม่ผิด ตัวแน่แล้วก็พลันตกตะลึงอย่างหนัก
อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ผู้ฝึกตนที่ทุกวันนี้ทาหน้าที่ดูแลซากปรักวังมังกรแห่งนั้น หลักๆ แล้วมีอยู่สองคน นางก็คือคนหนึ่งในนั้น แต่กลับไม่ใช่เพราะว่ามรรค กถาของนางร ้ายกาจถึงเพียงใด แต่เพียงแค่เพราะวังมังกรแห่งนี้มี วาสนาตระกูลเซียนกับนางอย่างมาก เรื่องของการเปิดประตู นางจึงมี คุณความชอบไม่น้อย ดังนั้นคนที่ดูแลอย่างแท้จริงจึงเป็ นผู้ถวายงาน เชื้อพระวงศ์ต้าหลีที่อาพรางตัวอยู่ในที่ลับผู้นั้น เป็ นก่อกาเนิดเฒ่า ทาอะไรหนักแน่นเชื่อถือได้ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร ์ฮวงจุ้ย
นางก็คืออวี๋ฮุยถิงผู้ฝึกตนหญิงของศาลลมหิมะ เพียงแต่ว่าหลาย ปีมานี้รับหน้าที่เป็ นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีมาโดยตลอด
เว่ยจิ้นถือว่าเป็ นคนของสายหอเทพเซียน ตามทาเนียบวงศ์สกุล ของศาลบรรพจารย์นางเรียกเว่ยจิ้นว่าอาจารย์อาได้โดยไม่มีปัญหา
ในความเป็ นจริงแล้วอวี่ฮุ่ยถิงเลื่อมใสศรัทธาอาจารย์อาเว่ยท่าน นี้อย่างมาก แน่นอนว่าตลอดทั้งศาลลมหิมะ ผู้ฝึกตนหญิงแต่ละสายที่ เลื่อมใสเว่ยจิ้นมีมากมายก่ายกอง
อวี๋ฮุยถิงในคืนนี้ยังคงพกดาบไว้ตรงเอว สวมเสื้อผ้าแพรแขน แคบและกระโปรงผ้าโปร่งสีหมึก
ตามคากล่าวของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ในอดีตรองเท้าปักลายบน เท้าของนางคู่นี้ ตรงปลายรองเท้าเคยมีไข่มุก “ดวงตามังกร” ห้อยอยู่ สองเม็ด
เพียงแต่ว่าล้วนถูกนางเอามาท าเป็ น ‘อิฐเคาะประตู” เพื่อเปิดตรา ผนึกของวังมังกรแล้ว
นางเห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงแค่ส่งเสียง กรนเบาๆ เท่านั้น
อวี๋ฮุยถิงลังเลอยู่เล็กน้อย นึกว่าอีกฝ่ ายออกคาสั่งไล่แขกแบบที่ มองไม่เห็น
นางที่พลิ้วกายมาถึงจึงคิดจะจากไป ‘เงียบๆ” อย่างรู ้กาลเทศะอีก ครั้ง
การที่นางเดินทางมาที่นี่ก็เพราะจากรายงาน ก่อนหน้านี้เกาเนี่ย งแห่งล าคลองซี่เหมยที่เพิ่งมารับตาแหน่งใหม่ ดูเหมือนจะเคยมาเยือน หมู่บ้านห่างไกลที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาแห่งนี้มาก่อน ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้วจึงคิดอยากจะแวะมาดู
เพียงแต่ว่าในใจของอวี่ฮุ่ยถิงคิดถึงอาจารย์อาเว่ยจริงๆ จึงไม่ได้ ทะยานลมจากไปในทันที นางบากหน้ากระแอมเบาๆ หนึ่งที เอ่ยเสียง เบาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน บุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยือน หวังว่าท่านจะให้อภัย เดินทางมาครั้งนี้ไม่ใช่ตั้งใจจะมาหาเจ้าขุนเขาเฉิน แต่เป็ นเพราะจับ ผลัดจับผลูมาเจอ เป็ นความบังเอิญจริงๆ”
เฉินผิงอันลืมตาแล้วรีบลุกขึ้นนั่งทันใด ยิ้มเอ่ยว่า “ขอโทษที ขอ โทษที เมื่อครู่กาลังคิดอะไรบางอย่าง”
อวี่ฮุยถิงย่อมไม่เชื่อ เซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่ง ทั้งยังเป็ นผู้ฝึ ก ยุทธขอบเขตปลายทางจะสัมผัสไม่ได้ถึงความเคลื่อนไหวของตนสัก นิดเลยหรือ?
เฉินผิงอันใช ้พัดใบลานชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ชายคา ยิ้มเอ่ย ว่า “ค่อนข้างเรียบง่ายไปสักหน่อย หากแม่นางอวี๋ไม่ถือสาก็นั่งได้ เลย”
อวี๋ฮุยถิงถึงได้นั่งลง เกาเนี่ยงที่ก่อนหน้านี้ได้รับคาสั่งจากเจ้า ขุนเขาเฉิน หลังจากที่ได้รับโองการซึ่งกรมพิธีการต้าหลีออกให้แก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าทุกฝ่ ายก็รีบร ้อนเดินทางมาที่นี่เพื่อมา รายงานอิ่นกวานหนุ่ม ผลคือได้มาเจอกับอวี๋ฮุยถิง เกาเนี่ยงมีสีหน้า กระอักกระอ่วน ดูท่าก่อนหน้านี้เรื่องที่เขามาเยี่ยมเยือนที่นี่ ตนจะทา ผิดมาตรฐานไปเสียแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มบอกให้คนทั้งสองรอสักครู่ ตนเองไปยกโต๊ะเตี้ยตัว หนึ่งมาจากห้องครัวเอามาวางไว้ใต้ชายคา นั่งล้อมวงกัน เก้าอี้ไม้ไผ่ สามตัว บนโต๊ะตัวเตี๋ยวางชามสีขาวไว้สามใบกับกับแกล้มแกล้มเหล้า อีกสองสามจาน
มองอิ่นกวานหนุ่มที่ตั้ง โต๊ะสุรา” เรียบร ้อยแล้ว อวี๋ฮุยถิงก็หลุด หัวเราะพรืด ท าไมอยู่ดีๆ ก็ได้มาดื่มเหล้าที่นี่เสียแล้วเล่า?
ถือเป็ นเรื่องเล่าในป่าเขาเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?
เฉินผิงอันชนชามเหล้ากับเกาเนี่ยงแล้ว
เขาไม่ได้วางมาดอะไรเลยจริงๆ ในเรื่องนี้เฉินผิงอันกับอาจารย์ อาเว่ยคล้ายจะเป็ นคนประเภทเดียวกัน
อวี๋ฮุยถิงไม่ใช่สตรีที่กระบิดกระบวน ยกชามเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้า อีกใหญ่ ถามโดยตรงว่า “ปีนั้นอาจารย์อาเว่ยอยู่ที่กาแพงเมืองปราณ กระบี่ นอกจากจะหลอมกระบี่แล้วยังทาอะไรอีกบ้าง?”
ตอนที่เกาเนี่ยงก้มหน้าดื่มเหล้า เขาแอบคลี่ยิ้ม
หากจะบอกว่าวีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม ไยสาวงามจะไม่ ผ่านด่านวีรบุรุษได้ยากเหมือนกันเล่า
ด่านในใต้หล้านี้ก็เป็ นด่านแห่งความรักที่สูงที่สุด
ด่านภูเขายากจะข้ามผ่าน ขึ้นเขาง่ายลงเขายาก ไม่ใช่ว่าทาง ภูเขาเดินยากอะไร เพียงแค่เพราะตัดใจไปจากภูเขาแห่งนี้ไม่ได้ก็ เท่านั้น
เกาเนี่ยงคืบถั่วลิสงโรยเกลือขึ้นมาเม็ดหนึ่ง โยนใส่ปากเคี้ยวช ้าๆ
ผู้ชายนี่นะ ก็ไม่ใช่ว่าต้องเคยเดินผ่านกันมาทั้งนั้นหรอกหรือ มี ใครบ้างที่ไม่เคยถูกความเศร ้าระทมเกาะกุมหัวใจเบื้องหน้าบุปผาใต้ จันทราบ้างเสียเลย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เว่ยอยู่ที่นั่นมีชื่อเสียงอย่างมาก แม้ว่าเวลาปกติจะไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยเท่าใด แต่อันที่จริงกลับเข้า กับคนอื่นได้ไม่เลว และเขาเองก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่จานวนน้อยที่สามารถ พูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้”
“เซียนกระบี่เว่ยยังเป็ นลูกค้ารายใหญ่ของร ้านเหล้าพวกเราด้วย สุราที่มีเฉพาะของร ้านเหล้าซึ่งเป็ นเหล้าที่แพงที่สุด แน่นอนว่าต้อง เป็ นเหล้าที่ดีที่สุด ล้วนถูกเขาเหมาไปทั้งหมด ซื้อเหล้าว่องไว ดื่ม เหล้ายิ่งห้าวหาญ”
“เชื่อว่าเมื่อเซียนกระบี่เว่ยหวนกลับมายังแจกันสมบัติทวีปอีกครั้ง เวทกระบี่จะต้องพัฒนาไปอีกก้าวใหญ่อย่างแน่นอน พูดความจริงที่ คนทั่วไปไม่กล้าเชื่อสักประโยค เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ทุกวันนี้เวท กระบี่ขยับใกล้มรรคาแล้ว”
อวี่ฮุ่ยถิงได้ฟังอย่างนี้ก็คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบานทันใด
ต่อให้เรื่องที่เจ้าขุนเขาเฉินพูดจะเหมือนเหล้าผสมน้าเปล่า ทว่า ต่อให้เป็ นเช่นนี้เรื่องที่อาจารย์อาเว่ยได้คุยเล่นกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้ อาวุโส ก็คงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกกระมัง? ค าวิจารณ์ที่บอกว่าเวท กระบี่ขยับใกล้มรรคาก็ไม่อาจเอามาพูดส่งเดชได้ไม่ใช่หรือ?
“มิตรภาพของคนร่วมบ้านเกิด นี่ก็คือมิตรภาพของคนร่วมบ้าน เกิดที่หาได้ยากยิ่งแล้ว”
เกาเนี่ยงรีบพยักหน้าพูดคล้อยตามทันใด “หากจาไม่ผิด ผู้ฝึก ตนของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา คนที่ไปถึงกาแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วอยู่ได้อย่างยาวนานก็มีแค่เจ้าขุนเขาเฉินกับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ ยสองคนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็ นวีรบุรุษที่ถนอมเห็นค่ากันและกันเป็ น เรื่องเล่าที่งดงามจริงๆ น่าเสียดายที่เจ้าขุนเขาเฉินกับเซียนกระบี่ใหญ่ เว่ยต่างก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบชมตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าไม่ชอบให้คนอื่น พูดชมด้วย ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงจะโด่งดังไปมากกว่าเดิมอย่างน้อย หลายเท่าเลย”
อวี่ฮุ่ยถิงพูดไม่ออกไปทันที แต่ก็ไม่คิดจะโต้แย้ง
เฉินผิงอันกลั้นขา ตะโกนไปทางห้องครัว “ซู่เซี่ย ทาอาหารมื้อ ดึกมาให้พวกเราหน่อยแล้วเจ้าก็มาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่”
แล้วเฉินผิงอันก็หันมายิ้มถามคนทั้งสองว่า “ทั้งสองท่านมีอะไรที่ กินไม่ได้หรือไม่?”
อวี๋ฮุยถิงอยากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับอาจารย์อาเว่ยมากกว่านี้จึง ไม่ได้เกรงใจ บอกว่าไม่มีของแสลงอะไร
ส่วนเกาเนี่ยงเวลานี้ต่อให้ไล่เขา เขาก็ไม่ยอมไป จะอย่างไรก็ต้อง อยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ๆ ให้ได้ จึงพูดว่ากินอะไรก็ได้
แม้อวี๋ฮุยถิงจะไม่ชอบมารยาทพิธีการในวงการขุนนางสักเท่าไร แต่นางก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก ดังนั้นยามอยู่บน โต๊ะสุรา นางจึงยกชามเหล้าขึ้นเป็ นฝ่ ายดื่มคารวะเกาเนี่ยงก่อนสอง ครั้ง
หลังจากนั้นก็มีจ้าวซู่เซี่ยมาเพิ่ม
เฉินผิงอันไม่ปิดบังความชื่นชอบที่ตัวเองมีต่อจ้าวซุ่เซี่ยแม้แต่ น้อย ยิ้มพูดแนะนาว่า “พี่ใหญ่เกา แม่นางอวี๋ นี่คือลูกศิษย์ผู้สืบทอด ของข้า แซ่จ้าวนามซู่เซี่ย ทุกวันนี้เรียนวิชาหมัดวิชากระบี่จากข้า เป็ นลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจที่ข้าได้โชคช่วยถึงได้หาตัวเจอ”
ได้ยินว่าอาจารย์ถึงกับพูดถึงตนอย่างนี้ จ้าวซู่เซี่ยก็มีสีหน้าเขิน อาย
อวี๋ฮุ่ยถิงไม่ได้เห็นเป็ นจริงเป็ นจังนัก แต่เกาเนี่ยงกลับเหมือนจะ คิดเป็ นจริงเป็ นจังอย่างมาก ส่วนตัวจ้าวซู่เซี่ยเองกลับไม่กล้าเห็นเป็ น จริงเป็ นจัง
เฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรตนก็พูดความจริง
หลังจากนั้นคนทั้งโต๊ะก็พูดคุยยิ้มแย้มกันบรรยากาศปรองดอง ต่างคนต่างดื่มเหล้าไม่ต้องให้ใครยุใครดื่ม ประหนึ่งอาบไล้อยู่ ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ