กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1009.1 เหล้าเก่าแก่อายุสี่สิบปีไหหนึ่ง
อาณาเขตขุนเขาประจิมของแจกันสมบัติทวีป ท่ามกลางม่าน ราตรีของเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติมากมาย ของราชสานักต้าหลี แสงไฟงดงามเพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา นักพรตวัย กลางคนคนหนึ่งที่นอนเมาหลับฟุบอยู่บนแผงดูดวงที่ตั้งอยู่ริมทาง พลันสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้น ดวงตาสองข้างยังคงเหม่อลอยไร ้สติ คล้ายยังไม่สร่างเมา มือกลับหยิบกาเหล้าที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา ดื่ม เหล้าถอนอาการเมาเรียบร ้อยแล้วถึงได้พรูลมหายใจยาวเหยียด เตรียมจะเก็บแผงกลับบ้าน นักพรตยื่นมือควักไปในชายแขนเสื้อ แอบลองชั่งน้าหนักถุงเงินเงียบๆ ได้เศษเงินก้อนมาบางส่วน ที่ มากกว่านั้นคือเหรียญทองแดง
บนถนนมีลูกหลานตระกูลขุนนางที่เพิ่งกลับมาจากการไปเที่ยว ยั่วสันต์ พืชหญ้าเขียวขจีต้นหลิวแตกหน่ อเหลือง แม้แต่คน เหยาะแหยะก็ยังเคลิบเคลิ้มหลงใหล พวกเขาขี่ม้ากลับเข้าเมืองมา ยามค่าคืน บนกีบม้าก็ราวกับนาพากลิ่นหอมของพืชหญ้าในฤดู ใบไม้ผลิมาด้วย
นักพรตวัยกลางคนเริ่มเก็บกระบอกไม้ไผ่บนโต๊ะ คีบเงินเหรียญ ทองแดงหลายเหรียญที่ใช ้ในการทานายกลับมา เพราะเสียดสีกับมือ อยู่เป็ นประจ า ผิวด้านนอกจึงแวววาว โยนพวกมันใส่ไว้ในกระบอกไม้
/
ไผ่ จากนั้นดึงผ้าปูโต๊ะที่เขียนแซ่สกุลไว้เต็มผืนออก เวลาปกติ นักพรตที่อยู่ที่นี่จะดูใบเซียมซีเพื่อทานายดีร ้าย ดูลายมือทานาย ชะตาชีวิตคู่ให้กับผู้คน แล้วยังเสี่ยงทายโดยการใช ้ตัวอักษรจีน เขียน จดหมายทางบ้านแทนคนที่ไม่รู ้หนังสือ แค่นี้ก็สามารถเพิ่มรายรับให้ ได้แล้ว ค่าใช ้จ่ายในเมืองหลวงเทียบกับแถบอ าเภอและเขตของ แคว้นอวี้เซวียนไม่ได้ ข้าวของราคาสูงจนคนเดาะลิ้น
ส่วนการท านายแซ่สกุลให้กับผู้อื่นก็เป็ น “วิชาติดตัว” ที่เขาเรียน มาจากถ่านด าน้อยในอดีต เป็ นกลวิธีในยุทธภพที่ไม่ได้เข้าขั้นอะไร ยังจาได้ว่าหนึ่งในความฝันของนางตอนเด็กก็คือลากอาจารย์พ่อ ออกท่องยุทธภพด้วยกัน ช่วยกันหาเงินก้อนโต! หาตลาดที่ผู้คน สัญจรคึกคัก นางจะช่วยตีฆ้องร ้องป่าวให้คนมารวมตัวกันเยอะๆ ก่อน จากนั้นอาจารย์พ่อก็ร่ายกระบวนท่าดาบสองสามกระบวนท่า แล้ว ค่อยใช ้หน้าอกทุบหินใหญ่ให้แตก ขายยาหนังสุนัขแล้วก็พวกยาเพิ่ม พลังอะไรกันไป ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาช่องทางขายไม่ได้ อาชีพ พวกนี้นางคุ้นเคยดีแถมยังช านาญอย่างมาก แน่นอนว่าอาจจะ เหนื่อยอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็ นอาชีพสุจริต อาชีพสกปรก บางอย่างที่มิอาจเอาออกหน้าออกตาได้ เงินที่ได้มาอย่างผิดมโน ธรรมในใจ ไม่ได้มายังดีกว่า
เฉินผิงอันหัวเราะ คิดจะท่องอยู่ในยุทธภพกับลูกศิษย์ใหญ่เปิด ขุนเขาด้วยวิธีพวกนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็ นไปไม่ค่อยได้สักเท่าไรแล้ว ต่อ
/
ให้เขาที่เป็ นอาจารย์พ่อยินดี เกรงว่าตัวเผยเฉียนเองก็คงรู ้สึกว่าเป็ น เรื่องเหลวไหล
ทุกวันนี้แผงดูดวงนี้มีชื่อเสียงอยู่ในตลาดแถบนี้ของเมืองหลวง บ้างแล้ว
แต่แน่นอนว่าไม่อาจเข้าตาพวกขุนนางชนชั้นสูงได้ แค่หลอก พวกชาวบ้านยังพอท าได้ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริงแล้วนี่ ไม่ต่างอะไรจากพวกนักต้มตุ๋นที่หลอกเอาเงินคนอื่น
นอกจากข้าวของจุกจิกบางอย่าง เครื่องมือทามาหากินหลักๆ ก็ คือโต๊ะหนึ่งตัว ม้านั่งยาวสองตัวและธงหนึ่งผืน คาว่าโต๊ะก็คือหน้าโต๊ะ และขาโต๊ะล้วนสามารถถอดออกได้สะดวกในการเคลื่อนย้าย ด้านหลังแผงมีรถเข็นไม้คันหนึ่งจอดอยู่ วางพวกโต๊ะม้านั่งและธงลง ไปกองกันก็จากไปได้แล้ว นักพรตพเนจรไปเรื่อย คนผู้หนึ่งกินอิ่ม แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกลัดกลุ้มอีก ฟ้ าดินกว้างใหญ่ สี่มหาสมุทร ล้วนเป็ นบ้าน
แต่นักพรตผู้นี้ยังเช่าบ้านผุพังหลังหนึ่งในเมืองหลวงที่ไม่มีคนอยู่ อาศัยมานาน ไม่ใช่ว่ามีผีอาละวาด ไม่ใช่บ้านผีสิงที่กลิ่นอายอึมครึม น่าสะพรึงกลัว ก็แค่ว่าคนที่มาพักอยู่ที่นี่มักจะถูกผีอ าฝันร ้ายเป็ น ประจ า เวลานอนมักจะหลับไม่ค่อยลง นานวันเข้าก็อ่อนเพลียสีหน้า โรยรา จึงไม่มีใครยินดีมาจ่ายเงินเพื่อซื้อความทุกข์ทรมานให้ตัวเอง อยู่ที่นี่ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับฝีมือของภูตจิ้งจอกเกเรที่กล่าวถึงใน นิยายเรื่องเล่าประหลาด เจ้าของบ้านเคยเชิญนักพรตมากฝีมือให้มา
/
การาบ ทั้งได้ผลแล้วก็ไม่ได้ผล เพราะมีการตั้งปะราพิธีจึงยอมสงบ เสงี่ยมไป แต่พอผ่านไปพักหนึ่งก็ก่อกวนขึ้นมาอีก ช่วยไม่ได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าของบ้านยังมีทรัพย์สินมาก ลูกหลานมี หลายรุ่นคน ท าอาชีพให้เช่าบ้านพักในเมืองหลวงโดยเฉพาะ บ้านที่ ได้ครอบครองยังมีอีกหลายหลังจึงไม่สนใจนักว่าเรือนพักหลังหนึ่งจะ ถูกก่อกวน อีกอย่างก็ไม่เคยมีคนตายมาก่อนจึงไม่ได้สนใจมากนัก แต่พอในที่สุดก็มีคนหลอกง่ายมาเยือน เป็ นนักพรตต่างถิ่นคนหนึ่ง จึงรังแกคนแปลกหน้า ค่าเช่าไม่ได้ลดให้เพราะถึงอย่างไรก็ถูก กาหนดมาแล้วว่าเป็ นลูกค้าที่ไม่มีทางกลับมาอีก จึงให้นักพรตเฒ่า จ่ายเงินค่ามัดจาทีเดียวนานครึ่งปี ในเมื่อฟันกาไรได้เน้นๆ ก็ควรฟัน ให้เต็มที่
ภายหลังนักพรตก็เจอปัญหาเข้าจริงๆ เขาไม่พอใจทันใด ไป อาละวาดถึงที่บ้านสองครั้ง ล้วนถูกไล่กลับมาง่ายๆ ทั้งสองครั้ง เห็นว่า ตัวเองเป็ นร ้านใหญ่ก็เลยรังแกลูกค้าอย่างนั้นหรือ? กระดาษสัญญา หนึ่งแผ่น ตัวอักษรดากระดาษขาวเขียนไว้อย่างชัดเจน ต่อให้ ฟ้ องร ้องคดีใหญ่โตแค่ไหนก็ยังเป็ นฝ่ ายข้าที่มีเหตุผล เจ้าที่เป็ น นักพรตไร ้ที่พึ่งคนหนึ่งจะทาอะไรได้? แล้วนับประสาอะไรกับที่ ชาวบ้านเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนก็ขึ้นชื่อว่าไม่ต้อนรับคนนอก นักพรตคิดจะหาคนมาช่วยไกล่เกลี่ย อยากจะทวงความเป็ นธรรม จากท่านนายอ าเภอ ผลคือไม่มีใครกล้าช่วยเขียนกระดาษค าร ้องให้ ภายหลังชื่อเสียงของแผงดูดวงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เจ้าของบ้านคนนั้น
/
คงรู ้สึกว่าศัตรูคู่แค้นควรคลี่คลายปมแค้นไม่ควรผูกปมแค้นให้ลึกซึ้ง กว่าเดิม จึงบอกให้ลูกชายที่ทางานอยู่ในฝ่ ายรับส่งเอกสารของที่ว่า การอาเภอเป็ นฝ่ ายไปเชิญนักพรตให้ไปดื่มเหล้าในเหลาสุรา แล้วคืน เงินมัดจาส่วนหนึ่งไปให้ ก็ถือว่าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ยุติลงได้แล้ว เพียงแต่ว่าตอนดื่มเหล้า คุณชายที่รับหน้าที่เป็ นเสมียนผู้น้อยอยู่ใน ที่ว่าการเอาเท้าวางพาดบนโต๊ะ เรอเสียงดัง เอ่ยสัพยอกอีกฝ่ าย ประโยคหนึ่งว่า เจ้าเป็ นนักพรตที่กาจัดปีศาจปราบผีไม่ใช่หรือ ยัง ต้องกลัวสิ่งสกปรกอย่างพวกผีร ้ายอีกหรือไร?
นักพรตเพียงแค่ยิ้มเอ่ยกลับไปหนึ่งประโยคว่า มีดและสว่าง เส้นทางต่าง หยินหยางเดินคนละทาง หากว่าเอาแต่อาศัยเวทคาถา ตระกูลเซียนฆ่าแกงกันอยู่ถ่ายเดียว เดินอยู่ริมน้ารองเท้าจะไม่เปียก ได้อย่างไร ปฏิบัติดีต่อทั้งคนและผีย่อมดีที่สุด
ถึงอย่างไรคุณชายผู้นั้นก็ทางานอยู่ในที่ว่าการมานานหลายปีจึง จับผิดค าพูดของอีกฝ่ ายได้ทันใด ใช ้รองเท้าเคาะโต๊ะ ยิ้มถามว่า ประโยคนี้ของนักพรตอู๋ซุกซ่อนความนัย ไม่ทราบว่าในสายตาของ นักพรต ข้ากับบิดาเป็ นคนหรือเป็ นผี แล้วเจ้าตัวการที่ก่อกวนอยู่ใน เรือนเป็ นคนหรือเป็ นผีกันล่ะ?
คืนนี้นักพรตวัยกลางคนเข็นรถเข็นไม้กลับไปที่บ้านพัก เดินมา ที่ประตูด้านข้างของเรือน ควักกุญแจพวงหนึ่งออกมา ตรงนี้ไม่มี ขั้นบันไดจึงเข็นรถเข้าไปข้างในได้โดยตรง
/
นักพรตเพิ่งจะลงกลอนประตูก็มีผีหญิงกระโปรงสีแดงที่เท้าไม่ สัมผัสพื้นตนหนึ่ง “ลอยมา” เอ่ยสัพยอกว่า “นักพรตอู๋ เป็ นเพราะราช ส านักของพวกเราควบคุมไม่เข้มงวด ไม่อย่างนั้นนักพรตตัวปลอม อย่างเจ้าก็อย่าว่าแต่มาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงเลย แม้แต่จะ เข้าเมืองก็ยังเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้า”
แต่งกายและมวยผมอย่างคนในวัง ผิวพรรณดุจหิมะ คิ้วตางดงาม ดวงหน้าอ่อนเยาว์เส้นผมยาวเหยียด
น่าเสียดายที่สตรีไม่ใช่คน
นักพรตโต้กลับทันใด “แม่นางเซวีย คาพูดนี้เจ้าพูดผิดแล้ว ตาม กฎหมายของแคว้นอจี้เซวียน ในอาณาเขตของหนึ่งแคว้น นอกจาก หน่วยเต้าสู่ที่อยู่ในการปกครองของกรมพิธีการแห่งราชส านักแล้ว หนังสือรับรองการออกบวชส่วนตัวที่ฝ่ ายต่างๆ เป็ นผู้ออกให้ก็ถือว่า เป็ นหนังสือรับรองการออกบวชเหมือนกัน ทางราชส านักก็ยอมรับมา โดยตลอด ผินเต้าใช ้เส้นสาย สานความสัมพันธ ์ ต้องจ่ายเงินไปถึง แปดสิบต าลึงเงิน หนังสือรับรองการออกบวชที่ซื้อมาจากเงินแท้ๆ ของจริง อย่าว่าแคว้นอวี้เซวียนเลย ต่อให้เป็ นเมืองหลวงต้าหลีข้าก็ ยังกล้าไป นี่เรียกว่ามีเหตุผลก็เดินท่องได้ทั่วหล้า ตัวตรงไม่กลัวเงา เอียง”
เท่ากับว่าจ่ายเงินแปดสิบตาลึงเงินซื้อยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่ง หากว่าไม่มีสถานะชั้นนี้อยู่ นักพรตต่างถิ่นคิดอยากจะตั้งแผงหาเงิน
/
เกรงว่าคงต้องถูกพวกเสมียนฝ่ ายครัวเรือนของที่ว่าการถลกหนัง ออกไปแล้วหลายชั้น
สตรีพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ขุนนางที่ได้ตาแหน่งมาโดยมิชอบ จะไม่เรียกว่าขุนนางได้อย่างไร”
นางแซ่เซวียนามหรูอี้ เป็ นผีตนหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่มีความ เกี่ยวข้องใดๆ กับผีร ้าย ตอนกลางวันที่แดดส่องจ้าก็ยังสามารถเดิน อยู่ตามถนนได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าบารมีของเสียงเคาะไม้พลองกับ พื้นศาลของที่ว่าการอาเภอที่อยู่ใกล้เคียงทาให้นางหลบเลี่ยงเข้ามา อยู่ในบ้านแทน
นักพรตหยิบขนมที่ห่อด้วยกระดาษชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขน เสื้อ ยื่นส่งให้ผีสาวกระโปรงแดง นี่ก็คือเงินค่ามัดจาก้อนที่สองที่เขา ต้องจ่าย ทุกวันเวลาเก็บแผงกลับบ้านจะต้องจ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ ซื้อ ของกินเล่นขึ้นชื่อของเมืองหลวงมามอบให้กับ “เจ้าบ้านหญิง” ของ เรือนหลังนี้เพื่อแสดงความเคารพ ไม่อย่างนั้นนางก็จะอาละวาด ไม่ ท าร้ายคน แต่จะส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน ลอยไปลอยมาอยู่นอก หน้าต่าง ท าให้คนพักอย่างสงบไม่ได้ นักพรตคิดอยากจะหลับให้ สบายก็เป็ นเรื่องที่เพ้อฝัน
เวลานานวันเข้า เมื่อรู ้นิสัยกันดีแล้ว ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ ายจึงเป็ น ดั่งน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้าคลองจึงไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ถึงขั้นที่ว่า เวลาปกติยังคุยเล่นกันได้ด้วย นักพรตมักจะสอนกฎเกณฑ์บางอย่าง เกี่ยวกับการเดินไปบนเส้นทางของโลกมืดให้นางรู ้บ่อยๆ
/
อู๋ตีนักพรตที่รูปโฉมค่อนข้างแก่ชราผู้นี้บอกว่าเขาคิดฉายาทาง ธรรมของตัวเองในวันหน้าไว้เรียบร ้อยแล้ว จะตั้งชื่อที่มีคาพ้องเสียง กัน ชื่อว่า “อู๋ตี๋” (ไร ้ศัตรูทัดทาน/ไร ้เทียมทาน)
นางเป็ นวิญญาณหยิน ไม่จ าเป็ นต้องกินอาหาร แต่ในเรือนหลัง นี้กลับมีเพื่อนบ้านเป็ นคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องกินอาหารสามมื้อต่อ วัน นางจึงพูดเหมือนบ่น “อู๋ตี วันนี้ทาไมถึงกลับมาดึกขนาดนี้ ข้าหิว แล้ว รีบไปท ากับข้าวเร็วเข้า ท าอาหารอร่อยๆ ให้จางโหวหน่อย เขา ก าลังเติบโต จะท าอย่างสุกเอาเผากินไม่ได้ อีกเดี๋ยวจางโหวจะต้อง ร่วมสอบระดับย่วนซื่อ (คือการสอบระดับต้น เรียกอีกอย่างว่าถงซื่อ เป็ นการสอบในท้องถิ่น และถงชื่อจะแบ่งออกอีกสามระดับคือเซี่ย นซื่อ ผู้ซื่อและย่วนซื่อ) แล้ว จะสอบติดหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว หาก เขาสอบไม่ติดซิ่วไฉ ข้าจะโทษเจ้า”
นักพรตนิสัยดีมาตั้งแต่เกิด ไม่มีการวางมาด ก็ต้องมาอาศัยอยู่ ใต้ชายคาของคนอื่นนี่นะ ปากจึงตอบรับติดๆ กัน บอกว่าเดี๋ยวเอา ของไปเก็บแล้วจะเข้าครัวไปท าอาหาร
นักพรตผู้นี้เป็ นคนที่ปฏิบัติต่อตัวเองอย่างดี ชอบพิถีพิถันไม่เข้า เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นจะทาบะหมี่สักชาม นอกจากจะต้องเตรียม วัตถุดิบให้ดี มีเครื่องปรุงโรยหน้าหลากหลายแล้ว ลาพังแค่น้ามัน พริกก็มีตั้งสี่ห้าชนิด ยังมีหอมกระเทียมขิงสับเอาไว้กินคู่กันอีก…โรย พวกนี้ลงไปบนบะหมี่ ยกมากินตอนที่ร ้อนๆ รสชาติก็เลิศล้ายิ่งนัก
/
นักพรตไปที่ห้องครัว ขยับมือเท้าอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นาน ก็ทาอาหารพื้นๆ เสร็จหนึ่งโต๊ะ สตรีกระโปรงแดงช่วย “ยกอาหาร” ขึ้นโต๊ะ อาหารแต่ละจานเหมือนน้าไหลกลางอากาศที่ลอยพลิ้วไปบน โต๊ะ
จากนั้นผีหญิงก็ไปเรียกบัณฑิตเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าจางโหวใน เรือนข้างๆ กันมา การที่นางป้ วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ไม่จากไปไหนก็เพราะ ทาตามคาสัญญาบางอย่างที่ว่าจะดูแลทายาทของอีกฝ่ ายให้ดี
ส่วนสถานที่สาคัญในเมืองหลวง พูดถึงแค่ศาลเทพอภิบาลเมือง ประจาอาเภอที่อยู่ใกล้เคียง ทาไมถึงเลือกจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตา ข้างหนึ่งกับนาง นี่เกี่ยวพันไปถึงการบอกกล่าวอย่างลับๆ ที่หัวหน้า ท่านหนึ่งในศาลเทพอภิบาลเมืองเคยบอกไว้
ฝั่งตรงข้ามถนนที่กั้นขวางเรือนหลังนี้ก็คือหนึ่งในสองที่ว่าการ อ าเภอของเมืองหลวงด้านหลังที่ว่าการมีศาลหยาเสินอยู่แห่งหนึ่ง
บนโต๊ะอาหาร นักพรตโอ้อวดว่าตัวเองมีความสัมพันธ ์ที่ไม่ ธรรมดากับขุนนางเตี่ยนลี่ของห้องเกลือในที่ว่าการอาเภอ ข่าวสาร ของตัวเองว่องไวถึงเพียงใด บอกว่าเมื่อวานนี้ในศาลหยาเสินมีการ ประชุมภายในครั้งหนึ่ง อีกเดี๋ยวจะมีพวก “ตาราขาว” หลายคนที่ทา ผิดกฎซ้าซากไม่รู ้จักเปลี่ยนแปลงถูกนายท่านแห่งที่ว่าการไล่จาก ที่ว่าการไปด้วยความโกรธเคืองแน่นอนว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยน ชื่อเข้ามาทางานอยู่ในบางฝ่ ายได้ แต่หากไม่จ่ายค่าคดีเป็ นเงินสัก
/
สามสิบห้าสิบต าลึงเงินก็อย่าหวังว่าจะผ่านด่านการประชุมของศาล หยาเสินไปได้…
จางโหวมุ่งมั่นแต่การอ่านต าราอริยะปราชญ์สองหูไม่เคยรับฟัง เรื่องภายนอกทุกครั้ง ที่ได้ยินอู๋ตีพูดถึงเรื่องไร ้สาระพวกนี้ เด็กหนุ่ม จะต้องหงุดหงิดอย่างมาก ทว่าก็ได้แต่ข่มกลั้นไว้ไม่เอ่ยอะไร
ฝ่ายงานในที่ว่าการอาเภอแห่งหนึ่งนอกจากหกห้องแล้วยังมีอีกสี่ ห้องได้แก่ห้องเกลือห้องคลัง ห้องจดหมายและห้องรับรอง รวมทั้งสิ้น สิบห้อง เสมียนและนักการที่รับหน้าที่ดูแลด้านเอกสารที่ทางานอยู่ที่นี่ ก็มีการแบ่งเป็ นอยู่ในทะเบียนกับ “ไม่อยู่ในทะเบียน” ค าว่าไม่อยู่ใน ทะเบียนก็แค่เทียบกับราชสานักเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วยังมีแบ่ง ออกไปอีกสองแบบแบ่งเป็ นคนที่อยู่ในการดูแลของห้องขุนนางกับขุน นางเตี่ยนลี่ของห้องต่างๆ นี่จึงเป็ นเหตุให้จ านวนนักการมีมากหลาย ร ้อยคน เกรงว่าต่อให้เป็ นนายอาเภอที่ขยันทางานก็ยังไม่รู ้จานวนที่ แน่ชัด ต่อให้จะอิงตามจานวนที่ราชสานักกาหนดไว้ ข้าราชการที่ ดูแลการจัดการเอกสารซึ่ง ‘กินข้าวหลวง” ก็ยังไม่ถือว่ามีต าแหน่ง อะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกพนักงานในแต่ละห้องแต่ละฝ่ ายที่ถือว่าเป็ น อาชีพต่าต้อยเลย ก็ไม่แปลกที่เด็กหนุ่ มรังเกียจจะฟังข่าวลือ เล็กๆน้อยๆ ที่เป็ นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไร ้ประโยชน์ใดๆ พวกนี้
สตรีกระโปรงแดงสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของเด็กหนุ่ม นางจึงหันมาถลึงตาใส่นักพรต บอกเป็ นนัยแก่เขาว่าอย่าได้พูดเรื่อง ไร ้สาระที่ทาลายบรรยากาศพวกนี้
/
นักพรตจิบเหล้าหนึ่งคา ยิ้มเอ่ยว่า “คนที่คลุกคลีตีโมงอยู่ในยุทธ ภพอย่างข้า ข่าวสารก็คือเส้นทางแห่งการท าเงิน จึงต้องคบค้า สมาคมกับคนของสามลัทธิเก้าสาขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะว่าไปแล้ว บัณฑิตอย่างคุณชายจางของพวกเจ้าที่ตรากตราอ่านตาราอริยะ ปราชญ์แน่นอนว่าต้องมีเป้ าหมายเป็ นการบ าบัดทุกข์บ ารุงสุขให้ชาว ประชา วันหน้าแสดงปณิธานอยู่ในราชส านักและวงการขุนนาง แต่ หากรู ้วิถีทางของเบื้องล่างให้มากเข้าไว้ก็เป็ นเรื่องดีวันใดสอบติด จริงๆ แล้วยังมีชื่อติดกระดานทองคา ได้เป็ นขุนนาง ก็ไม่ต้องถึงขั้น ถูกกุนซือเบื้องหลังที่อยู่ข้างกายและพวกเสมียนชั้นผู้น้อยหลอกเอา ง่ายๆ หาไม่แล้วสิ่งกีดขวางชั้นหนึ่งที่กั้นขวางอยู่ระหว่างพวกชาวบ้าน นอกประตูที่ว่าการ มองดูเหมือนเป็ นประตูบานหนึ่งทว่ากลับแตกต่าง ราวฟ้ ากับเหว ตัวเป็ นขุนนางดุจบิดรมารดา เป็ นขุนนางที่ใกล้ชิดกับ ชาวบ้าน จะท าอย่างไรจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงความทุกข์ยากของ ชาวบ้านอย่างแท้จริงได้เล่า”
นางพยักหน้าคล้อยตามอย่างที่หาได้ยาก “นอกจากอู๋ดีจะวาด ยันต์ผีได้อย่างถูไถแล้วนักพรตตัวปลอมอย่างเขา คาดว่าแม้แต่ชื่อก็ คงจะเป็ นของปลอมด้วย ทว่าคาพูดเหล่านี้ถือว่ามีความรู ้ที่แท้จริงอยู่ บ้าง ความสามารถมากไม่ต้องกลัวว่าจะทับตัวตาย หลักการเดียวกับ เงินมากไม่กลัวทับมือ ก็เหมือนอย่างที่อู๋ตีกล่าว รู ้เรื่องราววงในใน วงการขุนนางมากหน่อย ต่อให้ไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็ นเรื่อง ร ้าย”
/
บอกตามตรง ในช่วงเวลาหลายร ้อยปีที่นางอาศัยอยู่บนถนนเส้น นี้ มีบางครั้งรู ้สึกเบื่อหน่ายก็ยังเคยไป “นั่งฟัง” การประชุมภายในของ ศาลหยาเสินหรือไม่ก็ศาลเทพอภิบาลเมืองแต่หากเป็ นเรื่องวงในของ การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนในวงการขุนนางโลกคนเป็ นอย่างแท้จริง เกรงว่าเรื่องที่นางรู ้มาคงยังไม่มากเท่านักพรตต่างถิ่นคนนี้ด้วยซ้า
เด็กหนุ่มอัดอั้นไม่พูดไม่จา ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้ฟังเข้าหู แค่รู ้สึกว่าค าพูดของนักพรตน่าร าคาญ ชอบท าตัว เป็ นอาจารย์สอนผู้อื่น
นักพรตเองก็ไม่ถือสา ใช ้สองมือชูจอกเหล้า “บนโต๊ะสุราไม่พูด เรื่องน่าราคาญใจ แม่นางเซวีย พวกเรามาดื่มกันเถอะ”
เด็กหนุ่มกินอิ่มก็จากไป บอกลาพี่หญิงเซวียคาหนึ่ง อีกเดี๋ยวเขา ก็ต้องเข้าร่วมการสอบย่วนชซื่อที่เซวี่ยเจิ้งเป็ นผู้คุมสอบด้วยตัวเอง แล้ว จึงกดดันไม่น้อย
ตอนที่นักพรตเก็บจานชามและตะเกียบได้หัวเราะร่าถามว่า “แม่ นางเซวีย เจ้าบอกว่าเพราะจางโหวคิดว่าข้าเป็ นนักต้มตุ๋นในยุทธภพ ก็เลยไม่ชอบฟังหลักการเหตุผลจากข้า แล้วยังรู ้สึกด้วยว่าสิ่งที่ข้าพูด ไร ้เหตุผล จึงไม่ฟัง หรือจะบอกว่าหากเปลี่ยนเป็ นคนที่ประสบ ความสาเร็จมีชื่อเสียงบางคนมาเป็ นคนพูด เหตุผลจึงจะเป็ นเหตุผล?”
นางขมวดคิ้ว เพียงแต่ไม่นานก็คลายหัวคิ้วออก แสร ้งพูดอย่าง ผ่อนคลายว่า “จางโหวไม่ใช่คนมากประสบการณ์ที่ขึ้นเหนือล่องใต้