กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1009.2 เหล้าเก่าแก่อายุสี่สิบปีไหหนึ่ง
นักพรตคิดดูแล้วก็เอ่ยว่า “สอบติดเป็ นจิ้นซื่อ คิดดูแล้วน่าจะไม่มี ปัญหามาก ผินเต้าเคยอ่านบทความของจางโหวมาก่อน เขียนได้ อย่างดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนด้วยตัวอักษรก่วนเกือที่เป็ น ระเบียบเรียบร ้อยแต่ไม่ขาดเสน่ห์ความงาม ไม่ว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิ ครั้งนี้ใครจะมารับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้ตัดสิน ไม่ว่าใครได้เห็นก็ล้วน ต้องชื่นชอบ”
ภายใต้คาขอร ้องจากเซวียหรูอี้ นักพรตจึงมักจะไปที่ตลาดขาย หนังสือของเมืองหลวงเพื่อช่วยซื้อตัวอย่างบทความในสนามสอบที่ เย็บเข้าเล่มมาให้เด็กหนุ่มอยู่หลายเล่ม นักพรตเป็ นคนเจ้าเล่ห์จึงได้ กาไรจากราคาส่วนต่างของตาราพวกนี้มาค่อนข้างเยอะ
นักพรตเดินไปถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง ผีสาวลอยกลาง อากาศตามหลังมาตลอดทาง นักพรตควักกุญแจออกมา แต่กลับไม่ รีบร ้อนเปิดประตู นางยิ้มเอ่ย “ในห้องมีอะไรให้คนเห็นไม่ได้กัน? คง ไม่ใช่ว่านักพรตอู๋ซ่อนสาวงามเอาไว้หรอกนะ?”
นักพรตพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ดึกดื่นค่าคืนเช่นนี้ ถึงอย่างไร ชายหญิงก็ไม่ควรอยู่ชิดใกล้ ชายหญิงอยู่ร่วมเรือนกันสองต้องสอง ไม่ดี ต้องหลีกเลี่ยงข้อครหา”
นางหัวเราะหยัน “เจ้าเป็ นนักพรต ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่ชอบ พูดจาคลุมเครือเสียหน่อย”
นักพรตเอ่ยอย่างมีเหตุผลชอบธรรม “ผินเต้าเองก็เคยอ่านต ารา อริยะปราชญ์ดีๆ มาหลายเล่ม หากไม่เป็ นเพราะตอนอายุน้อยจับผลัด จับผลูขึ้นเขา เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนป่ านนี้ก็คงช่วงชิงเอายศ ตาแหน่ง เดินสู่วงการขุนนางที่มีอนาคตยาวไกลไปแล้ว”
นางหยิบกระบอกพู่กันใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัด ข้อมือ พึมพ าพูดกับตัวเองว่า “ของตกแต่งในห้องหนังสือที่งามประณี ติเช่นนี้ ควรจะเอาไปวางไว้ที่ไหนดีนะ”
ดวงตานักพรตเป็ นประกายวาบ ใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหู เปิ ดประตูห้อง ผลักออกเบาๆ แล้วเบี่ยงกายผายฝ่ ามือข้างหนึ่ง ออกมา “ฟ้ าสว่างแสงจันทร ์กระจ่าง ขอแค่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ไยต้องกลัวค านินทา แม่นางเซวียรีบเข้ามาเถอะ”
ในเรือนหลังนี้มีห้องค่อนข้างเยอะ แต่นักพรตกลับเลือกห้องเล็ก ห้องนี้เป็ นที่พักอาศัยใช ้ค าพูดของเขาก็คือบ้านหลังใหญ่ได้ แต่ ห้องนอนต้องเล็ก จะได้รวบรวมลมปราณ
กลิ่นอายวสันต์เปลี่ยนมาเป็ นอบอุ่น เสียงแมลงดังลอดผ่านม่าน เขียวโปร่งบาง
เข้ามาในห้อง นางวางกระบอกพู่กันทรงหกเหลี่ยมฉลุลายมังกร เคลือบสีน้ามันสีแดงลงลายเส้นสีทองลายกิ่งดอกบัวกระหวัดพันลง บนโต๊ะเบาๆ
นักพรตหยิบตะบันไฟออกมา จุดไฟบนตะเกียงน้ามันดวงหนึ่งที่ อยู่บนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้ด้านข้างห้องโถงใหญ่ของเรือนหลังนี้คือห้องบุปผาที่ ใช ้รับรองแขก ในห้องวางกระบอกพู่กันใบนี้เอาไว้ นักพรตเป็ นคนที่ มองของออกจึงอยากได้มานานแล้ว
แต่ตอนนั้นปากเขากลับพูดว่าไม่ได้อยากได้ ก็แค่ว่าเห็นของดี ทุกคนล้วนมีใจรักชอบของสวยของงาม ชื่นชม เป็ นเพียงความชื่น ชมล้วนๆ
อันที่จริงยังมีขลุ่ยไม้ไผ่ที่เก็บรักษาไว้อย่างดีมานานหลายปีอีก เลาหนึ่ง มีอายุหลายปีแล้ว แกะสลักเป็ นอักษรสีเขียวในแนวตั้งคาว่า จิตใจวีรบุรุษมีท านองดุจเทพเซียน
นักพรตเห็นแล้วก็ชอบทันที ยินดีจ่ายราคาสูงซื้อมา คาว่าราคา สูงก็แค่เทียบกับค่าใช ้จ่ายของชาวบ้านร ้านตลาดเท่านั้น สองร ้อย ตาลึงเงิน นางไม่มีหูอยากจะรับฟังด้วยซ้า
บนโต๊ะวางแผ่นกระจกใสสมบูรณ์ชิ้นหนึ่งทับไว้บนหน้าโต๊ะ
เห็นเพียงว่าบนโต๊ะมีคัมภีร ์ปี กหนึ่งที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบ บรรจงขนาดเล็ก นางถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าเป็ นนักพรต คัดลอก คัมภีร ์ของลัทธิพุทธไปท าไม?”
นักพรตยิ้มเอ่ย “แค่บางครั้งเท่านั้น ใช ้ทาให้จิตใจสงบสุข”
นักพรตยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาสองตัว พวกเขานั่งอยู่ห่างกันมาก เซวีย หรูอี้นั่งลงแล้วก็โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ข้อศอกเท้าไว้กับที่พัก แขนเก้าอี้ มองนักพรตวัยกลางคนอยู่อย่างนั้น
นักพรตถูกนางมองจนรู้สึกไม่เป็ นตัวของตัวเอง ถามว่า “คืนนี้แม่ นางเซวียมาเยี่ยมเรือนโกโรโกโสของข้า มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
เชวียหรูอี้กล่าว “คาโบราณว่าไว้ ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้าน ใกล้เคียง อู๋ตี เจ้าคิดว่าคากล่าวนี้มีเหตุผลหรือไม่?”
นักพรตพยักหน้า “แน่นอน หลักการเหตุผลเก่าแก่มีเหตุผลที่สุด แล้ว มีนัยให้ขบคิดอย่างยิ่ง”
นางลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร ้อง จริงๆ หวังว่าเจ้าจะช่วยน าร่างต้นฉบับรวมบทกวีของจางโหวไปส่งต่อ ให้กับบัณฑิตท่านหนึ่งของสานักบัณฑิตฮั่นหลิน”
นักพรตหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปพักใหญ่ เหลือบตามอง กระบอกพู่กันล้าค่าบนโต๊ะ “กลัวก็แต่ว่าผินเต้าจะได้เจอแค่คนเฝ้ า ประตู ไม่ได้เจอใต้เท้าบัณฑิตที่สถานะสูงศักดิ์ท่านนั้นน่ะสิ”
เซวียหรูอี้ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
ในใจนักพรตเกิดความกังขา ท าไมนางถึงได้ร ้อนรนวุ่นวายใจ เช่นนี้ หรืออยากจะให้จางโหวสอบผ่านเคอจวี่เป็ นปลาหลีกระโดด ข้ามประตูมังกรขนาดนี้จริงๆ? หากจะบอกว่าเพื่อความสูงศักดิ์ร่ารวย ด้วยทรัพย์สมบัติที่นางมีอยู่ก็รับรองได้ว่าคนหลายรุ่นของเด็กหนุ่มจะ ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่อีกต่อไป ต่อให้จางโหวได้เป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณที่สถานะถูกอ าพรางเอาไว้แล้ว ในอนาคตบนเส้นทางการ ฝึกตน ทุกสิ่งที่จาเป็ นสาหรับก่อนหน้าที่จะเลื่อนขั้นเป็ นห้าขอบเขต กลาง นางก็สามารถรับประกันได้ว่าจางโหวจะไม่ต้องกลัดกลุ้ม อีกทั้ง จางโหวยังอายุน้อยแค่นี้ คิดอยากจะอาศัยการเลื่อนขั้นในวงการขุน นางก็ไม่จ าเป็ นต้องร ้อนใจขนาดนี้เลย
ผีสาวเซวียหรูอี้กับเด็กหนุ่มจางโหวเวลาปกติเรียกขานกันเป็ น พี่สาวกับน้องชาย มองออกว่าอันที่จริงจางโหวรู ้ถึงตัวตนผีสาวของ นางแล้ว
นางเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เป็ นข้าที่ป่ วยหนักจนหาหมอส่งเดช (เปรียบเปรยถึงการท าอะไรโดยขาดการพิจารณาหรือการตัดสินใจที่ รอบคอบ เพราะสถานการณ์เร่งด่วนหรือวิกฤต) หากจางโหวรู ้เรื่องนี้ เข้าจะต้องต าหนิข้าไปตลอดชีวิตแน่”
นักพรตมองออกว่าเด็กหนุ่มคือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอย่างไม่ต้อง สงสัย แต่กลับไม่ถือว่าเป็ นตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่ดีอะไร คุณสมบัติ
ของเขาธรรมดา หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็ยากจะเลื่อนเป็ นขอบเขต ถ้าสถิตได้
มนุษย์ธรรมดา ตระกูลสูงศักดิ์ร่ารวย มีชีวิตกินดีอยู่ดี พิถีพิถัน ในเรื่องที่ว่าพักอาศัยเลี้ยงลมปราณย้ายถิ่นฐานเลี้ยงร่างกาย (เปรียบ เปรยว่าฐานะและสภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของ คน การฝึกฝนบ่มเพาะตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของคน ได้) ย้อนกลับมามองผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่าจะเป็ นคนผีหรือภูติล้วนมี ความลี้ลับที่แตกต่างกันออกไป มีการพลิกแพลงคาว่าพักอาศัยเลี้ยง ลมปราณย้ายถิ่นฐานเลี้ยงร่างกายนามาใช ้ได้อย่างยอดเยี่ยม มองดู เหมือนท าตรงกันข้าม ต่อให้ไม่ใช่ถ้าสถิตพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่อยู่ ในภูเขาลึก แค่หาห้องแห่งหนึ่งที่เงียบสงบมานั่งเข้าฌาน เก็บรวบเอา ความคิดที่สับสนวุ่นวายให้เป็ นความคิดหนึ่งเดียวที่นิ่งสงบ เรือนกาย เส้นเอ็นและกระดูกล้วนไม่ขยับไหวเลือดลมกลับเคลื่อนที่ไปตามจิต วิญญาณ ค่อยๆ ดูดซับเอาปราณวิญญาณฟ้ าดินมาหล่อหลอมโครง กระดูกนับร ้อยให้เป็ นเหมือนกิ่งทองใบหยก นับแต่นี้กลายเป็ นความ ต่างระหว่างเซียนกับมนุษย์ธรรมดา
จวนแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ โดยเฉพาะเรือนด้านหลังที่ มีต้นไม้โบราณเต็มไปหมด ยามกลางดึกผู้คนพากันนอนหลับ บรรยากาศเงียบสงัด เสียงนกกลางคืนร ้องดังแว่วมา
ผีสาวลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “อู๋ตี เจ้าถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดถึงเรื่อง นี้ก็แล้วกัน”
นักพรตลุกขึ้นตาม “ไม่เป็ นไร หากวันใดต้องการทาแบบนี้จริงๆ แม่นางเซวียก็บอกกับผินเต้าสักคา อย่าว่าแต่จวนมหาบัณฑิตที่ธรณี ประตูสูงเลย ต่อให้เป็ นภูเขามีดทะเลเพลิงผินเต้าก็ไปให้ได้”
ผีสาวคลี่ยิ้มหวาน “นักพรตอู๋ไม่ไปเป็ นลูกสมุนให้กับพวกผู้มี อ านาจในเมืองหลวงก็ช่างใช ้ความสามารถได้ไม่เต็มที่เลยจริงๆ”
นักพรตเอ่ยอย่างจนใจ “ค าว่าลูกสมุนสุนัขรับใช ้ไม่น่าฟังเอา เสียเลย แม่นางเซวียต้องบอกว่าให้ไปเป็ นกุนซือหรือผู้ช่วยสิ”
นางยื่นมือออกไปลูบ เก็บกระบอกพู่กันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออีก ครั้ง เดินนวยนาดจากไป
นักพรตห้ามไม่ทัน จึงได้แต่เบิกตามองเป็ ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป
ผีสาวเดินลอดระเบียงไปเพียงลาพัง มาถึงเรือนด้านหลังก็เดินขึ้น ไปบนหอเรือน จากตรงนี้จะมองเห็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในเรือนติดกัน แสง สีเหลืองนวลส่องลอดหน้าต่างห้องหนังสือออกมา
แสงจันทร ์ในเมืองฉางอันสาดส่อง ทุกครัวเรือนมีเสียงทุบผ้าดัง แว่ว ปลุกให้คนนับไม่ถ้วนตื่นจากความฝันวสันต์อันงดงาม
นักพรตเก็บคัมภีร ์ที่คัดไว้เรียบร ้อยแล้วบนโต๊ะลงไป เปิดลิ้นชัก หยิบมีดแกะสลักและก้อนหินออกมา เริ่มแกะสลักตราประทับ หนึ่งใน นั้นมีตราประทับหนังสือคู่หนึ่งที่รูปร่างเหมือนกัน และตัวอักษร ด้านล่างก็แกะสลักเอาไว้เหมือนกัน ยามนี้แกะสลักตัวอักษรริมขอบ เพิ่มมาอีกสองประโยค
ผู้คนพากันทาความดี อย่าเฉียดกรายเข้าใกล้ความชั่ว ช่วยเหลืออย่าได้หวังสิ่งตอบแทน ได้รับความช่วยเหลือควรจดจ าอย่า ลืมเลือน
แกะสลักตราประทับเสร็จอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นนักพรตก็ อาศัยแสงตะเกียงอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นเล่มหนึ่ง การจัดพิมพ์ ตาราของเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก เขาจึง ได้ซื้อหนังสือดีๆ จากที่นี่ไปไม่น้อย
อ่านต าราเล่มใหม่เหมือนผืนดินแห้งแล้งมานานเจอกับฝนหวาน ฉ่า เปิดตาราเล่มเก่าเหมือนคนรักจากลากันระยะสั้นๆ หอมหวานยิ่ง กว่าเพิ่งแต่งงานใหม่
คัดตาราต้องนั่งตัวตรง อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดทาตัวตามสบายได้ นักพรตจึงนั่งไขว่ห้าง หยิบเอาเมล็ดแตงออกมาหนึ่งกามือ แทะเมล็ด แตงพลางพลิกเปิดหน้าหนังสือไปด้วย
ด้านนอกมีเสียงนกกลางคืนร ้องดังมาอีกครั้ง
นักพรตวัยกลางคนพึมพ าอยู่ในใจ ท่ามกลางกาลเวลาอัน ยาวนาน ผู้คนผลาญเวลาหมดไปกับเสียงนกร ้องไก่ขัน ขยันมานะ และผ่อนคลาย อย่าได้เหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายมากเกินไป
ออกเดินทางครั้งนี้ “นักพรต” ที่ตั้งแผงเลียนแบบลู่เฉินผู้นี้ ต้องการมาเก็บบัญชีเก่ากับครอบครัวหนึ่ง
เป็ นเหตุให้ด้านใต้ตราประทับชิ้นหนึ่ง แกะสลักสองคาว่า หลัง สารท (มาจากประโยค 秋后算帐 แปลตรงตัวว่าคิดบัญชีหลังฤดู ใบไม้ร่วง หรือคิดบัญชีย้อนหลัง)
เฉินผิงอันหยิบน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา เดินไปที่หน้าต่าง เงย หน้าอยู่นาน ก่อนจะกระดกเหล้าในกาดื่มจนหมด สายตายิ่งสว่างไสว
หลับตาลงประหนึ่งรับฟังเสียงสายฝนเทกระหน่าของเมื่อหลายปี ก่อน
ดวงดาวเจ็ดแปดดวงนอกฟ้ า
ชานเมืองหลวง ข้างทางมีร ้านเหล้าที่เป็ นกระท่อมหลังคามุงจาก คุณชายสูงศักดิ์สวมเสื้อหนังจิ้งจอกคนหนึ่งนอนเมามายแขนขากาง อ้าซ่า ในอ้อมอกกอดแล้โบยมาพันด้วยด้ายสีทองไว้ชิ้นหนึ่ง หนอน หนุนตักของสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้าง
สตรีในร้านเหล้างดงามดุจดวงจันทร์ ยามก้มตักสุราเผยข้อมือ ขาวนวลดุจหิมะน้าค้างแข็ง สาวงามนั่งอยู่บนเสื่อ ชายกระโปรงที่แผ่ปู เป็ นสีแดงสดเหมือนบุปผาสีเพลิงเจิดจ้า สองมือของนางขยับ เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน โน้มกายช่วยนวดคลึงหว่างคิ้วให้กับ คุณชาย
บนถนนทางหลวงยามราตรีมีเสียงกีบเท้าม้าดังมาเป็ นระลอก ผู้น าคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ขี่ม้าชิงชงสวยสง่าเหนือสามัญ ด้านหลังมี
เด็กสาวเรือนกายปราดเปรียวท่วงท่าองอาจติดตามมากลุ่มใหญ่ ทุก คนล้วนพกกระบี่
อีกทั้งเด็กสาวที่อายุไม่มากกลุ่มนี้ ลมหายใจของแต่ละคนล้วน ทอดยาว ต้องไม่ใช่หมอนปักลายบุปผาอย่างแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญแค่ มองก็รู ้ว่าเป็ นพวกคนฝึ กวรยุทธที่ได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ผู้มี ความสามารถ
นางพลิกตัวลงจากหลังม้า มองคุณชายสูงศักดิ์ที่มาหลบนอน เสวยสุขอยู่ที่นี่ก็ไม่รู ้ว่าโทสะผุดมาจากไหน คิ้วกิ่งหลิวตั้งชัน ชูแส้ โบยม้าในมือขึ้นสูงแล้วตวัดโบกอย่างแรง เสียงแส้ฟาดเหมือนเสียง ประทัดแตก
สาวงามที่ขายเหล้าอยู่ที่นี่เงยหน้ามองหญิงสาวที่ตามมาซักไซ ้ เอาโทษแล้วคลี่ยิ้มหวาน ยื่นนิ้วตั้งวางบนริมฝีปาก ส่งเสียงชูว์เบาๆ บอกเป็ นนัยว่าอย่าได้รบกวนการนอนหลับฝันของบุรุษ
สตรีไม่คิดจะมองนังจิ้งจอกผู้นั้น แค่มองนานหน่อยก็รู ้สึกสกปรก ลูกตาแล้ว นางเพียงแค่ก้าวเร็วๆ เดินเข้าไปในร ้านเหล้า ยกเท้า กระทืบหนักๆ ลงบนร่างของชายหนุ่มที่นอนหลับเหมือนหมูตาย เอ่ย อย่างเดือดดาล “หม่าเหยียนซาน เลิกแกล้งตายได้แล้ว!”
รูปโฉมของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้คล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน คุณชายสูงศักดิ์ที่ถูกเรียกชื่อตรงๆ ลืมตาขึ้น อ้าปากหาว ดวงตายัง ปรือปรอย ลุกขึ้นนั่งแล้วถึงยิ้มถามว่า “มีอะไรอีกล่ะ? ใครมากวนใจ
เจ้าอีกหรือ? แค่บอกกับพี่รองมาก็พอ รับรองว่าไม่มีความแค้นใดที่ ถูกทิ้งไว้ข้ามคืน”
สตรีเดือดดาลกับความไม่เอาไหนของอีกฝ่ าย หรือว่าในอนาคต ตระกูลจะต้องพึ่งพาเจ้าคนเกียจคร ้านบ้าตัณหาผู้นี้ให้แบกรับภาระ ใหญ่จริงๆ นางนึกอยากจะใช ้แส้ฟาดม้าฟาดลงใบหน้าของอีกฝ่ ายยิ่ง นัก “หม่าเหยียนซาน เจ้าดูสารรูปผีขี้เมาของเจ้าสิ ยังไม่คู่ควรจะจูง ม้าให้หม่าเชื่อเลยด้วยซ้า!”
หม่าเหยียนซานหัวเราะหน้าทะเล้น “ก็แค่ญาติผู้น้องเท่านั้น นับ แต่เด็กมาก็ดีแต่อ่านหนังสือท่องต ารา อายุสามขวบก็เห็นได้จนแก่ ไม่ใช่ว่าสาปแช่งเจ้าเด็กนี่จริงๆ นะ ข้าคิดว่าวันหน้าเขาก็คงไม่ได้ดีไป ยังไงหรอก”
“ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าเด็กนี่เล่าเรียนจนได้ดิบได้ดีจริงๆ ได้เป็ นขุนนางแล้วอย่างไร ข้าเองก็ไม่ได้เป็ นทั่นฮวาหลางเหมือนกัน หรอกหรือ? เจ้าลูกกระต่ายน้อยหม่าเช่อผู้นี้ ถ้าแน่จริงก็สอบติดสาม หยวนให้ได้สิ ข้าที่เป็ นพี่ชายจะรับหน้าที่จัดงานเลี้ยงฉลองให้เขาเอง หกกรม เก้ามนตรีเล็ก เขาอยากจะให้ขุนนางสักกี่คนมาดื่มสุรา คารวะแก่เขา? ห้าคนพอหรือไม่ หากไม่พอ ข้าสามารถเรียกมาให้ได้ สิบคน…”
พูดมาถึงตรงนี้คุณชายสูงศักดิ์ก็ชูมือข้างที่ถือแส้สีทองขึ้นโบก จากนั้นยกมืออีกข้างขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ว่าหม่าเช่อจะไม่รับ น้าใจน่ะสิ”
หม่าเช่อผู้นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็ นเด็กหนุ่มอัจฉริยะ คือบุรุษ ในชุดขาวตามแบบฉบับ และก็มีชื่อเสียงดั่งขุนนางใหญ่แล้ว
ไม่เหมือนกับ “หม่าทั่วฮวา” ที่เอ้อระเหยลอยชายผู้นี้ หม่าเช่อ เกิดมาท่ามกลางความร่ารวยสูงศักดิ์ ใช ้ชีวิตได้อย่างฟุ่ มเฟือย เด็ก หนุ่มอ่านตารามาหมื่นเล่มแล้ว
เห็นสตรีผู้นั้นจะลงมือตีคน หม่าเหยียนซานก็ได้แต่ขอร ้องว่า “หม่าเยว่เหมย น้องสาวคนดี ข้ากลัวเจ้าแล้ว ว่ามาเถอะ สรุปแล้วเป็ น เรื่องใหญ่เทียมฟ้ าถึงเพียงใดถึงคู่ควรให้เจ้าให้เกียรติมาเยือน มา ตามตัวข้ากลับบ้านด้วยตัวเองเช่นนี้”
หม่าเยว่เหมยถลึงตาตวาดใส่ “เรื่องในบ้าน กลับไปคุยกันที่ บ้าน!”
หม่าเหยียนซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็ นไร ซึ่งฮูหยินไม่ใช่คน นอก”
ใบหน้าของสตรีงดงามเต็มไปด้วยความอ่อนใจ ข้าไม่กล้ามีส่วน ร่วมกับเรื่องในบ้านของสกุลหม่าพวกเจ้าหรอกนะ
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนมีตระกูลสกุล หม่าย้ายมาอยู่ พอมาถึงเมืองหลวงก็ซื้อจวนเก่าของอัครเสนาบดี ราชวงศ์ก่อนมาในราคาสูง
ภายในหนึ่งแคว้น คาว่าตระกูลสูงศักดิ์ร่ารวยแบ่งออกเป็ นสาม ประเภท ประเภทแรกคือชาวบ้านหลายคนต่างก็รู ้จัก คนมีเงินประเภท
นี้มีจานวนเยอะมาก ประเภทที่สองก็คือชาวบ้านทุกคนเคยได้ยินชื่อ แต่กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้ และประเภทสุดท้ายก็คือชาวบ้านทุกคน และวงการขุนนางในท้องถิ่นแทบทั้งหมดล้วนไม่รู ้จัก ถึงขั้นที่ว่าไม่ แม้แต่จะเคยได้ยินมาก่อน
ตระกูลหม่าถือเป็ นประเภทสุดท้าย ทั้งๆ ที่ทั้งร่ารวยและสูงศักดิ์ แต่กลับชื่อเสียงไม่โด่งดัง มีเพียงแม่ทัพอัครเสนาบดีส่วนน้อยที่อยู่ ศูนย์กลางของราชส านักและพรรคบนภูเขาไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ถึงจะ เคยได้ยินชื่อของตระกูลที่มาจากต่างถิ่นแห่งนี้ สรุปแล้วมีความ เป็ นมาอย่างไร เรื่องราวยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังก็มีแค่ข่าวลือเล็กๆ ที่มิอาจ หาหลักฐานมาพิสูจน์ได้บ้างก็บอกว่าตระกูลหม่าแห่งนี้คือ “ถุงเงิน” ของแซ่สกุลเสาค้ายันแคว้นบางตระกูลของราชวงศ์ต้าหลี แล้วก็มี บอกว่าเพราะเจ้าประมุขคนปัจจุบันมีลูกชายคนโตที่ได้ดิบได้ดีมี อนาคตฝึกตนบนภูเขา เป็ นผู้มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง อายุน้อยๆ ก็เป็ น เทพเซียนพสุธาแล้ว
คนผู้หนึ่งบรรลุมรรคาหมาและไก่พลอยได้ขึ้นสวรรค์ ตลอดทั้ง ตระกูลจึงเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย
เหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง โรงเตี้ยมตระกูลเซียนแห่ง หนึ่ง และยังมีท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง ล้วนเป็ น กิจการส่วนตัวของตระกูลหม่า นอกจากนี้ยังมีโรงฝากเงิน ภูเขา เหมืองแร่อีกมากมาย เพียงแต่ว่าพวกมันต่างก็ถูกบันทึกไว้ในนาม ของหุ่นเชิดจากฝ่ ายต่างๆ ที่ทางตระกูลประคับประคองขึ้นมา บ้างก็
เป็ นองค์ชายบางองค์ ข้ารับใช ้ของเสี้ยนจู่บางท่าน บางทีอาจเป็ นลูก รักของเจ้ากรมบางคน หรือไม่ก็เป็ นญาติห่างๆ ของผู้บัญชาการการ ขนส่งทางน้าบางคน
ยกตัวอย่างเช่นหม่าเหยียนซานคนเอ้อระเหยผู้นี้ ตอนอายุยัง น้อยก็เคยเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ บุกตะลุยผ่านหน้าด่านมาตลอด ทาง สุดท้ายเป็ นทั่นฮวาที่ได้ขี่ม้าขาวแสดงตัวอยู่ในเมืองหลวง
แต่ในความเป็ นจริงแล้วกลับเป็ นน้องสาวหม่าเยว่เหมยที่เข้าสอบ แทน เขาที่เป็ นพี่ชายมีสถานะเป็ นทั่นฮวาเสียเปล่า ทุกวันนี้ทางานอยู่ ในสานักบัณฑิตฮั่นหลิน ก็แค่ว่าคร ้านจะไปขานชื่อเท่านั้น ส่วนเรื่อง ของการประเมินก็ประเมินมาไม่ถึงหัวเขาอยู่แล้ว ทางฝั่งของเมือง หลวงแคว้นอวี้เซวียนนี้ นับตั้งแต่กรมพิธีการจนมาถึงสานักบัณฑิต ฮั่นหลิน ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยมีข่าวใดๆ แพร่งพรายออกไป
นี่มากพอจะแสดงให้เห็นถึงบารมีของตระกูลหม่าว่ามีมากจนน่า เหลือเชื่อแค่ไหน
ปีนั้นย้ายตระกูลมาอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน ผ่านการแตก กิ่งก้านสาขามานานยี่สิบปี คนสี่รุ่นร่วมศาลบรรพชน บวกกับ ลูกหลานสายแยกอีกหลายสาย ท าเนียบล าดับวงศ์ตระกูลที่เรียบเรียง ขึ้นมาใหม่ล่าสุดเล่มนั้นจึงมีคนร ้อยกว่าคน
แม้ว่าตระกูลหม่าจะเป็ นตระกูลจากต่างถิ่น แต่หากจะพูดถึงการ ควบคุมราชส านักก็ใช่ว่าจะท าไม่ได้ แต่ตระกูลหม่ากลับไม่มีความคิด
นี้เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงนี่ต้องยกคุณความชอบให้กับมารดาผู้ เฉลียวฉลาดของคู่พี่น้องหม่าเหยียนซานกับหม่าเยว่เหมย
หม่าเหยียนซานหรี่ตาเอ่ย “ขอให้ข้าเดาก่อนนะ คงไม่ใช่ว่าใน ที่สุดเขาก็กลับบ้านมาแล้วหรอกนะ?”
หม่าเยว่เหมยเงียบงันไม่พูดตอบ
หม่าเหยียนซานพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “พวกเราสองคนมีพี่ชาย แท้ๆ อยู่แค่คนเดียวไม่ใช่ญาติผู้พี่ แต่เป็ นพี่ชายแท้ๆ เชียวนะ พี่ใหญ่ ที่พ่อแม่เดียวกันกับพวกเรา เยว่เหมย เจ้าลองว่ามาสิว่าผ่านไปนาน หลายปีขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่พวกเราสองคนเกิดมา จนกระทั่งถึงวันนี้ เขาเคยเจอหน้าพวกเราสักครั้งไหม?”
หม่าเหยียนซานส่ายหน้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ดูเหมือนว่า คล้ายกับ อาจจะ บางที น่าจะไม่เคย เลยสักครั้งเดียว”
คุณชายสูงศักดิ์ที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะทิ้งตัวลง นอนหงาย ยกขาไขว่ห้าง “พี่ชายใหญ่คนดีที่ให้ความสาคัญกับ ครอบครัวขนาดนี้จะไปหาจากไหนได้นะ”
หม่าเยว่เหมยพูดด้วยสีหน้าด าทะมึน “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว รีบไสหัวตามข้ากลับบ้านไปเดี๋ยวนี้!”