กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1010.1 ตอนยังเยาว์เคยเรียนวิชาเดินขึ้นเขา
เมื่อช่วงแมลงตื่นจากการจาศีลผ่านไป ด้ามกระบวยของดาวเป่ย โต้วชี้ไปที่ตาแหน่งติง วันวสันตวิษุวัตก าลังจะมาถึง ด้ามกระบวยของ ดาวเป่ยโต้วชี้ไปที่ตาแหน่งเหริน
ในลานเรือนเงียบสงบ สายลมโชยแผ่วแสงจันทร ์กระจ่าง ผีสาว กระโปรงแดงที่นักพรตเรียกว่าแม่นางเซวีย คืนนี้เปลี่ยนมาสวมชุด กระโปรงขาวเรียบง่าย นางมาชมบุปผาอยู่ที่นี่
เพราะถึงอย่างไรผีสาวก็เป็ นสตรี ในห้องมีชุดกระโปรงอยู่ มากมาย อัดแน่นเต็มลังใหญ่หลายใบ
แต่นางก็แค่ชมความงามของตัวเองอยู่เพียงลาพังเท่านั้น ไม่ เกี่ยวข้องอะไรกับคากล่าวที่ว่าสตรีประทินโฉมเพื่อให้คนรักดูแม้แต่ เหรียญทองแดงเดียว
เพราะถึงอย่างไรนักพรตวัยกลางคนผู้นั้น หากว่ากันด้วยรูปโฉม แล้วก็ไม่น่ามองเลยจริงๆ แถมยังเป็ นบุรุษที่ในดวงตามีแต่เงิน ธรรมดา สามัญจนแทบทนรับไม่ไหว
ดอกไม้บนผนังเบ่งบานเต็มพื้นที่ ในลานเรือนยังมีชิงช ้าอีก อันหนึ่ง
นางนั่งอยู่บนแผ่นไม้ สองมือไกวเชือก ปลายเท้าแตะพื้นแล้วลอย กลางอากาศอีกครั้งชิงช ้าก็ไหวเบาๆ
อันที่จริงก่อนที่นักพรตจะมาพักอยู่ที่นี่ เรือนหลังนี้ถูกทิ้งร ้างมา นานแล้ว พืชหญ้ารกชัฏ งูและหนูวิ่งพล่าน
ทว่าทุกวันนี้กลับเป็ นระเบียบสะอาดสะอ้าน ดอกไม้เบ่งบานเต็ม
ลานเรือน ประชันกันอวดความงาม
นักพรตวัยกลางคนที่เป็ นผู้มีคุณูปการสูงสุด เวลานี้กาลังนั่งยอง อยู่บนขั้นบันไดบนสุดมือหนึ่งถือชามขาวที่บรรจุน้าซึ่งต้มมาจาก สมุนไพรบางชนิดไว้เต็มถ้วย อีกมือหนึ่งถือด้ามไม้แปรงพัน ก าลัง แปรงฟันอยู่ตรงนั้น บางครั้งก็เงยหน้าขึ้น เสียงกลั้วน้าในลาคอดัง ขลุกขลักบ้วนน้าทิ้งก่อนจะเริ่มทาการ “แปรง” ฟันอีกครั้ง
นางถาม “ก็แค่น้าที่ต้มจากดอกผู่กงอิงเท่านั้น เอามาใช ้แปรงฟัน จะมีความลี้ลับอย่างที่เจ้าพูด สามารถช่วยรักษารากฟัน ทาให้เส้น เอ็นและกระดูกแข็งแรงได้จริงๆ หรือ?”
ผู่กงอิงก็เหมือนดอกไม้ป่ าชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หวงฮวาหลาง พวกมันเติบโตขึ้นตามร่องหินร่องอิฐ ไม่ว่าจะเป็ น ภาพวาดหรือหนังสือชุดรวมภาพดอกไม้ในใต้หล้าเล่มใดก็คล้ายจะ รังเกียจที่จะวาดดอกไม้ชนิดนี้ลงไป
“จะหลอกเจ้าไปไย จะท าให้ข้าได้เงินหรือ?”
นักพรตเพิ่งจะกรอกน้าเข้าปากหนึ่งอีก เวลานี้เขาพยักหน้าแรงๆ พูดเสียงอู้อี้ว่า “หากท าตามต ารับยาคืนความเยาว์ของตระกูลเซียน บนภูเขา คนแก่อายุเจ็ดสิบปี ที่ทั้งเส้นผมและหนวดล้วนเป็ นสีขาว โพลนกินเข้าไปยังท าให้ผมขาวกลายเป็ นผมด าได้ด้วย ฟันที่ร่วงก็ งอกขึ้นได้ใหม่ ชายฉกรรจ์กินเข้าไปก็ยิ่งยอดเยี่ยม อย่างจางโหวที่ แม้จะบอกว่าเป็ นเด็กหนุ่ม แต่มักจะจุดตะเกียงอ่านตารายามค่าคืน เป็ นประจา กินยานี้เข้าไป หูตาจะสว่างสดใส เส้นเอ็นและกระดูก แข็งแรงได้อย่างไม่เป็ นปัญหาเลย”
เซวียหรูอี้หัวเราะร่วน “บังเอิญยิ่งนัก ในมือของท่านนักพรตก็มี ยาสูตรลับที่ว่านี้อยู่ขวดหนึ่งพอดี ใช่ไหม? เพียงแค่ว่าราคาไม่ถูก แต่ คนรู ้จักสามารถลดให้ได้ห้าส่วน?”
“เปล่าสักหน่อย ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้”
นักพรตเบี่ยงหน้าบ้วนน้าทิ้ง วางไม้แปรงฟันไว้ในชามขาวเอียงๆ แล้ววางชามลงข้างเท้า ส่ายหน้ากล่าว “แม่นางเซวียยังจาโจ๊กผักที่ กินเมื่อหลายวันก่อนได้ไหม? ที่เจ้าบอกว่ารสชาติสดอร่อย ยังถาม ผินเต้าว่าท ามาจากผักอะไร แต่ตอนนั้นผินเต้าอมพะนาเอาไว้ จงใจ ไม่บอกเจ้า อันที่จริงก็ทามาจากใบอ่อนต้นฤดูใบไม้ผลิของต้นผู่กงอิง นี่แหละ แค่ใส่หม้อลวกให้สุกแล้วคลุกเคล้าด้วยน้ามันงากับน้าพริก สูตรลับของผินเต้าเล็กน้อย เอามากินคู่กับโจ๊กข้าวขาว ต่อให้เป็ น อาหารโอชะล้าค่าแค่ไหนก็เทียบไม่ติด”
เซวียหรูอี้พยักหน้ารับ ในเรื่องของการปรนนิบัติอวัยวะภายในทั้ง ห้า นักพรตคนนี้พอจะมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ อีกทั้งอาหารการกินแต่ละ อย่างยังไม่เปลืองเงินอีกด้วย
นักพรตถามหยั่งเชิง “หากแม่นางเซวียจริงใจ ข้าก็สามารถ หลอมยาเตาหนึ่งตามตารับยาสูตรนั้นได้ จางโหวคิดจะสอบผ่าน ระดับย่วนซื่อ ช่วงนี้คือช่วงที่อ่านตาราเหน็ดเหนื่อยที่สุด ต้องบารุงสัก หน่อย ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ต้นผู่กงอิงก็จะแก่แล้ว ประสิทธิผลของยา จะไม่ได้ดีขนาดนั้นอีก”
เซวียหรูอี้กลอกตามองบน อ้อมวนไปรอบใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ ว่าเจ้าอยากหลอกเอาเงินในกระเป๋ าข้าไปอยู่ดีหรอกหรือ?
ไม่จาเป็ นต้องให้มีคนมาช่วยผลัก ชิงช ้าก็แกว่งด้วยตัวเอง เดี๋ยว ลอยสูงเดี๋ยวลดต่านางมองพืชพรรณบุปผาที่เป็ นพุ่มสูงๆ ต่าๆ ไปด้วย
หวนนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ผนังแดงดอกล่าเหมยสีเหลือง งดงาม ยิ่งนัก
ตามคากล่าวของนักพรตผู้นี้ คนคนหนึ่งโชคดีได้เกิดมาในยุค แห่งสันติสุขรุ่งเรืองก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลแล้ว แต่หากยัง เชี่ยวชาญศาสตร ์ของการปลูกพืชพรรณบุปผาด้วยสี่ฤดูกาลเหมือน ฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลาก็จะทาให้คนไม่รู ้สึกถึงวัยชราที่มาเยือนแล้ว
ดังนั้นในลานเรือนจึงต้องจัดการให้เป็ นระเบียบเรียบร ้อย บ้าง เพาะลงดินบ้างปลูกลงกระถาง ดอกไม้พืชพรรณเขียวชอุ่ม กลิ่นหอม
สดชื่นโชยมาปะทะจมูก ดอกไม้ต่างชนิดทยอยกันเบ่งบาน บ้างส่ง กลิ่นหอมจรุงแต่ไม่งดงาม บ้างส่งกลิ่นอ่อนจางแต่ไม่ชืดชา
ที่ลานเรือนแห่งนี้ ลาพังแค่กระถางต้นไม้ที่ถูกนักพรตปลูกไว้ ต้อนรับวสันตฤดูก็มีมากถึงเจ็ดแปดชนิดแล้ว นอกจากต้นสน ต้นไผ่ ต้นเหมยแล้ว ยังมีดอกไม้อีกหลายกระถางที่นักพรตเรียกว่าเป็ น “แม่
ทัพหลัก’ แห่งการต้อนรับวสันตฤดู
พูดจาเสียไพเราะน่าฟัง แต่อันที่จริงกลับถูกนักพรตปลูกไว้เพื่อ เอาไปขายแลกเงินมาก็เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นดอกไม้ต้นเก่าในลานเรือนกระถางหนึ่งที่ไม่รู ้ว่า นักพรตไปขนมาจากไหน กิ่งก้านหนาเหมือนแขนสตรี มีส่วนหนึ่งที่ เปลือกหลุดเผยให้เห็นแกนในแล้ว รากปูดนูนขึ้นมาเหมือนกรงเล็บ มังกร ถูกปลูกไว้ในกระถางดินสีแดง รูปทรงบิดเอียงเหมือนต้นไม้ โบราณ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ เซวียหรูอี้ก็ยังรู ้ว่าสวน กระถางใบนี้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการหาคนซื้อในราคาที่สูงเลย
ต้นเสาเหย้าหลายต้นที่เดิมที่ถูกปลูกลงดินซึ่งนักพรตเรียกว่า “ดอกเตี้ยนชุน” ถูกปลูกไว้ในตาแหน่งที่โดดแดด หน้าหนาวยามที่ อากาศหนาวเหน็บ นักพรตยังช่วยเอาฟางข้าวมาช่วยกลบทับให้ พวกมันเป็ นพิเศษ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ นักพรตก็จะรดน้าให้ พวกมันทุกวัน ก่อนที่มันจะแตกหน่อ เขายังเคยใส่ปุ๋ ยให้เป็ นพิเศษ ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นทาเอาเซวียหรูอี้ที่มองดูอยู่ขมวดคิ้วมุ่น
เซวียหรูอี้เหลือบตามองกระถางดอกไม้ทั้งหลายที่วางไว้ในมุม ก าแพงอย่างเป็ นระเบียบ กิ่งก้านเล็กยาว ดูท่าแล้วน่าจะเป็ นไม้เลื้อย ยามออกดอก ดอกจะเป็ นสีเหลืองไข่ห่าน
สวนกระถางหลายใบในลานเรือนไปๆ มาๆ ส่วนใหญ่ต่างถูก แลกเปลี่ยนมาเป็ นเศษเงินหลายเม็ด มีเพียงดอกไม้ดอกนี้ที่หลังจาก เบ่งบานก็ไม่เคยถูกแตะต้อง บางทีอาจเป็ นเพราะนักพรตชอบมาก เป็ นพิเศษ แน่นอนว่าที่เป็ นไปได้มากกว่านั้นคือขายไม่ได้ราคาดีก็ เลยไม่ขายมันเสียเลย
นางยื่นนิ้วชี้ไป ถามว่า “เจ้าชอบ “จินเยาไต้” (เข็มขัดทอง) พวก นั้นมากที่สุดหรือ?”
ดอกไม้นี้มีชื่อที่สามัญยิ่งกว่าคือ ดอกฮิ๋งชุน (ดอกรับวสันต์)
นักพรตเงยหน้ามองไปที่มุมกาแพง พยักหน้า “ดอกไม้ต้นไม้ ส าหรับผินเต้าก็เหมือนแม่ทัพขุนพลผู้เก่งกาจ ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งมาก ประโยชน์ ใครที่มาหาก็ล้วนไม่ปฏิเสธ ดอกไม้ชนิดนี้ต้อนรับฤดูใบไม้ ผลิก่อนต้นอื่นๆ อาจผลิดอกตัดหน้าดอกเหมยด้วยซ้า อีกทั้งดอกก็ บานเยอะมาก ระยะเวลาในการบานยังยาวนาน ดังนั้นผินเต้าจึงชอบ ดอกไม้นี้ที่สุด ไม่มีหนึ่งใน”
นางถามอย่างใจลอย “อู๋ตี ชื่อเดิมของเจ้าคืออะไร?”
นักพรตวัยกลางคนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินเจี้ยนเสียน เจี้ยนที่ แปลว่าพบเจอ เสียนที่แปลว่าอริยะปราชญ์”
นางอึ้งตะลึง ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียวหรือ?
นักพรตให้คาแนะนาจากใจจริง “วันหน้าแม่นางเซวียเรียกชื่อ เต็มๆ ของข้าก็ได้”
ท่องชื่อนี้อยู่ในใจสองรอบ เฉินเจี้ยนเสียน เฉินเจี้ยนเซียน (เซียน กระบี่เฉิน)? ในที่สุดก็ขบคิดได้ถึงความนัย เซวียหรูอี้ร ้องเฟ้ ย “ปาก
สุนัขไม่งอกงาช ้าง ไม่รู ้จักพูดจริงจังสักประโยค!”
อู๋ตี อู่ตี๋ (ไร ้เทียมทาน) เฉินเจี้ยนเสียน เฉินเจี้ยนเซียน (เซียน กระบี่เฉิน)?
นักพรตวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “อยู่ดีๆ ด่ากันทาไม ทุกวันนี้ผินเต้า เองก็อายุมากแล้วอบรมบ่มเพาะนิสัยใจคอจนเชี่ยวชาญมากแล้ว หากเป็ นตอนที่ผินเต้าอายุยังน้อย คงต้องโต้เถียงกับเจ้าให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาเป็ นเด็กหนุ่มที่เกลียดชังความชั่วดุจ เกลียดชังศัตรู ฮ่า”
หลอกผีของจริงแล้วทีนี้
เซวียหรูอี้คร ้านจะสนใจเรื่องนี้อีก เพียงถามว่า “ไม่เคยถามเลย ว่า เจ้ามาทาอะไรที่เมืองหลวง?”
“ร าลึกความหลัง”
“ร าลึกความหลัง? มาหาใคร? คนในครอบครัว เครือญาติ ห่างไกล? หรือสหายที่รู ้จักในยุทธภพ? อยู่ข้างนอกไม่มีชื่อเสียงไม่มี
อนาคตก็เลยคิดจะหาสหายบนเส้นทางเดียวกันมาช่วยกันท ามาหา กิน ช่วยกันหลอกลวงคนหรือ?”
นักพรตที่บอกว่าตัวเองชื่อเฉินเจี้ยนเสียนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ใช่”
เซวียหรูอี้รู ้สึกสนใจขึ้นมาทันใด เอ่ยหยอกล้อว่า “คงไม่ได้มาแก้
แค้นหรอกกระมัง?”
นางหันหน้ามามองนักพรต บางทีอาจเป็ นเพราะรู้สึกว่าค ากล่าว นี้ของตนน่าสนใจอย่างมากจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว นางพูดไป หัวเราะไปอยู่กับตัวเอง “อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ยันต์ผีวาดที่ไม่เข้าขั้นพวก นั้น แม้แต่ข้าก็ยังหลอกให้กลัวไม่ได้ หากไปต่อยตีกับคนอื่นเข้าจริงๆ เจ้าจะเอาชนะหนุ่มฉกรรจ์ได้สักกี่คนกันเชียว?”
นักพรตยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าทุกวันตอนเช ้ากับตอนเย็นข้า จะต้องฝึ กหมัดฝึ กท่าเดิน? ไม่จ าเป็ นต้องใช ้วิชาเซียน ใช ้มือเปล่า ต่อยหนุ่มฉกรรจ์สองสามคนก็ไม่ได้เป็ นปัญหาเลยสักนิด”
นางกลอกตามองบน วิชาหมัดที่เดินกลับไปกลับมาแค่ไม่กี่ก้าว นั้น ศูนย์ฝึ กยุทธน้อยใหญ่ในเมืองหลวงมีอยู่หลายสิบแห่ง คาดว่า เลือกคนที่เรียนการต่อสู้มาสักคนก็สามารถต่อยเจ้าให้ล้มคว่าได้เลย กระมัง
“ไหนลองบอกมาสิ หากว่ามาแก้แค้นจริงๆ ข้าก็ช่วยเจ้าวางแผน ได้ ไม่แน่ว่าหากเกิดมีคนตายขึ้นมา ข้าอาจจะยังช่วยคุ้มกันให้เจ้า หนีไปอย่างลับๆ ได้”
นางเองก็แค่กลัวว่าเรื่องสนุกจะไม่ใหญ่มากพอ
นักพรตส่ายหน้า “แม่นางเซวียอย่าเดาส่งเดชเลย แค่การร าลึก ความหลังเท่านั้นเอะอะก็ฆ่าแกงกัน นั่นไม่ใช่การกระทาของ ประชาชนที่ดีที่ชาติกาเนิดสะอาดบริสุทธิ์อย่างข้า”
หากไม่เป็ นเพราะเขาล่วงรู ้แผนการยาวไกลบางอย่างของตระกูล หม่ามาล่วงหน้าคงมา “ราลึกความหลัง” ที่แคว้นอวี้เซวียนเร็วกว่านี้ แล้ว
แน่นอนว่าหากสองฝ่ ายเจอกันเร็วกว่านี้ก็ไม่มีความหมายใดๆ มี โอกาสอย่างมากว่าจะแก้แค้นไม่ส าเร็จ กลับกลายเป็ นถูกศัตรูถอน รากถอนโคนเสียสิ้นซาก
หลังจากคุ้มกันพวกหลี่เป่าผิงไปส่งที่สานักศึกษาต้าสุย ครั้งแรก ที่เดินทางล่องใต้ไปในแจกันสมบัติทวีปก็เคยได้เจอกับหม่าขู่เสวียนที่ ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งยังเคยต่อสู้กันครั้งหนง
เรื่องราวในโลกยากจะคาดเดา คิดไม่ถึงว่าครั้งที่สองที่ไปเยือน ก าแพงเมืองปราณกระบี่จะได้อยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น
รอกระทั่งหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลได้สาเร็จ ก่อตั้งสานัก สร ้างสานักเบื้องล่างขอยืมภูเขาและสายน้ามาชดเชยแผ่นดินที่ เสียหาย ไปหลอมกระบี่ที่นอกฟ้ า…
อยู่ดีๆ เซวียหรูอี้ก็เอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “หมาที่กัดคนมักจะไม่ เห่า ข้ารู ้สึกว่าคนอย่างเจ้า มองดูเหมือนก้อนแป้ งหมี่ แต่หาก ตัดสินใจจะอามหิตขึ้นมา ลองว่าได้ตวัดมีดในมือจะต้องโหดเหี้ยม อย่างถึงที่สุดแน่นอน”
นักพรตเอ่ยด้วยสีหน้าเป็ นปกติ “ความสุขความทุกข์ การพบ พรากจากลา ความรักความแค้นบนโลกใบนี้ ล้วนเหมือนเหล้าที่ถูก หมักช ้าๆ มีเพียงต้องแกะผนึกดินดื่มเหล้าเท่านั้นที่จาเป็ นต้องดื่มให้ รวดเร็ว ดื่มอย่างห้าวหาญ”
เซวียหรูอี้หันหน้ากลับไป “น่ากลัว”
นักพรตยิ้มกล่าว “คนที่ไม่กลัวฟ้ าไม่เกรงดินมีน้อยนักหรือ”
อยู่ดีๆ นางก็คิดถึงคนที่เป็ นขุนนางอยู่ในที่ว่าการอาเภอใกล้เคียง ที่มีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอย่างลับๆ ขณะเดียวกันก็ลอบขาย เกลือ แน่นอนว่าคนที่เป็ นขุนนางไม่มีทางลงมือท าเอง ล้วนเป็ น ลูกน้องคนสนิทที่ทางานสกปรกพวกนี้ อีกทั้งยังมีที่พึ่ง ที่พึ่งของที่พึ่ง คล้ายจะเป็ นรองเจ้ากรมอาญาท่านหนึ่ง ส่วนที่พึ่งของใต้เท้ารอง เจ้ากรมท่านนี้จะเป็ นใครนางกลับไม่รู ้แล้ว ใต้เท้าเจ้ากรม? ฮ่องเต้ หรือจะเป็ นเทพเซียนบนภูเขาบางท่านที่ฝึกตนประสบผลส าเร็จ?
เซวียหรูอี้ถาม “เจ้าว่าพวกเขามีเงินมากขนาดนี้แล้วทาไมถึงยัง ไม่รู ้จักพอกันเสียที? เงินที่หามาได้ใช ้หลายชาติก็ไม่หมด คงกองกัน เป็ นภูเขาเงินอยู่ในบ้านแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตระกูลที่สกัดน้าแข็ง (ในสมัยโบราณมีเพียง ตระกูลของขุนนางหรือชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะใช ้น้าแข็งในพิธีศพ ตระกูลสกัดน้าแข็งจึงเปรียบเปรยถึงตระกูลของขุนนางหรือชนชั้นสูง) หากไม่ทาแบบนี้ เอาแต่มุ่งมั่นจะรีดนาทาเร ้น ทุกวันยุ่งอยู่กับการสูบ กระดูกดูดเลือดดูดเนื้อชาวบ้าน ใช ้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไร ้ความยา เกรงใดๆ ก็คงไม่อาจกลายมาเป็ นคนที่ “มีเงินมากขนาดนี้” อย่างที่ แม่นางเซวียพูดถึงแล้ว ในนี้ซ่อนลาดับก่อนหลังเอาไว้ ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้ซับซ้อนสักเท่าไร”
เซวียหรูอี้สะอึกอึ้ง
พูดคุยกับเขา หากคุยเล่นยังดี แต่ถ้าเกี่ยวพันไปถึงหลักการ เหตุผลจะกลายเป็ นน่าเบื่ออย่างมากแล้ว
ก่อนหน้านี้นักพรตผู้นี้จะติดตามพวกชาวบ้านหลายคนไปยังลา คลองน้าแข็ง ขุดน้าแข็งมาขายแลกเงิน ดูเหมือนว่าขอแค่เป็ นอาชีพ ที่หาเงินได้ เขาก็ล้วนยินดีทาทั้งหมด อย่างสวนกระถาง เขาก็ เชี่ยวชาญอย่างมาก
จาได้ว่าตอนที่นักพรตเพิ่งมาอยู่ที่จวนได้ไม่นาน นางพอจะมอง นิสัยของอีกฝ่ ายออกแล้ว อย่าได้เห็นว่าเขาหลงใหลในเงินทองอย่าง
มาก พูดถึงแค่เรื่องของชายหญิงก็ถือว่าเป็ นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงคน หนึ่งได้เลย
ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงมักจะพูดหยอกล้อบุรุษที่มีท่าทางจริงจัง เหมือนนักปรัชญาลัทธิเต๋าผู้นี้เป็ นประจา ผลคือมีวันหนึ่งนักพรตเอ่ย มาแค่ประโยคเดียวก็ท าเอานางสะอิดสะเอียนแทบตาย หลังจากนั้นมา นางก็ไม่มีความคิดจะหยอกเย้านักพรตอีกเลย ตอนนั้นนางนั่งอยู่บน ชิงช ้า นักพรตวัยกลางคนก็นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังนาง นางหัน หน้าไปยิ้มถามอู๋ตีผู้นั้นว่ากาลังมองกันของนางอยู่หรือไม่
อันที่จริงก่อนหน้านั้นเวลานางพูดจาสัปดน นักพรตมักจะแสร ้ง ท าเป็ นไม่ได้ยินเสมอไม่เคยพูดโต้ตอบ
คงเป็ นเพราะถูกนางตอแยจนร าคาญมากแล้วจริงๆ นักพรตจึง เอ่ยประโยคหนึ่งมาว่ากันใหญ่หน่อยก็จะถ่ายอึออกมาได้หลายจินเลย ใช่ไหม?
สกปรก! ต่าช ้า!
อยู่ดีๆ เซวียหรูอี้ก็ถอนหายใจ “ดอกไม้ต้นหญ้าร่วงโรย”
ผู้ฝึกตนก็ดี ภูตผีปีศาจก็ช่าง มองการเกิดแก่เจ็บตายของล่าง ภูเขาไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดาที่มองดอกไม้ในลานเรือนนี้ ผลิบานร่วงโรย
นางหันหน้ามาถาม “เจ้ากลายเป็ นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างไร?”
นักพรตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ภายใต้โชควาสนานาพา อายุน้อยเคย เรียนวิชาเดินขึ้นเขา”
นางหันหน้ากลับมา เอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป็ นคนฉลาด คิดดูแล้วก็ น่าจะพอเดาออกแล้วข้าเป็ นผี การที่สามารถอยู่อาศัยในที่แห่งนี้ได้ นานก็ต้องมีที่พึ่งอย่างแน่นอน”
นักพรตพยักหน้า เข้าใจได้เป็ นอย่างดี เดาได้ไม่ยากเลย “เหนือ เจ้ายังมีคนอื่น”
ทางฝั่ งศาลเทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงมีขุนนางผู้ พิพากษาฝ่ ายบุ๋นที่กุมอ านาจส าคัญ ดูเหมือนว่าจะเป็ นคนรู ้จักของ นางตอนที่แต่ละคนยังมีชีวิตอยู่
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นผู้นี้เคยมาลาดตระเวนที่เรือนยามค่า คืนอยู่สองครั้ง ได้พบเจอกับนาง แต่ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการ เปลี่ยนชุดแต่งกายออกไปทางานนอกสถานที่ ไม่ได้เดินทางมาอย่าง โจ่งแจ้ง
หยินและหยางต่างก็มีวงการขุนนาง ในฐานะที่เป็ นศาลเทพ อภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวง ตามกฎแล้วจะต้องมีการจัดตั้งกองงาน ยี่สิบสี่กอง ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นท่านนี้ถือเป็ นแขนซ ้ายแขนขวา ของเทพอภิบาลเมือง จึงเป็ นหัวหน้าผู้ดูแลกองงานหกกองซึ่งมีกอง หยินหยางเป็ นหนึ่งในนั้น แต่นี่เป็ นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปแล้ว ตอน นี้น่ะหรือ บอกได้ยากแล้ว
ขอแค่เป็ นวงการขุนนาง ไม่ว่าความรู ้จะตื้นลึกความสามารถจะ สูงหรือต่า ไม่ว่าจะเป็ นโลกมืดหรือโลกสว่าง กลัวก็แต่ว่าจะไม่เข้า พวก
เซวียหรูอี้พลันหันหน้ากลับมา ใบหน้าเย็นชาดุจน้าค้างแข็ง สี หน้าดุร ้าย
นักพรตเอ่ยอย่างจนใจ “แม่นางเซวีย ล้วนเป็ นคนจริงจังกัน ทั้งนั้น คิดอะไรอยู่น่ะ”
ก็บอกแล้วว่าให้อ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉม สะคราญให้น้อยหน่อย อ่านอรรถาอธิบายคัมภีร ์ให้มากหน่อย
เซวียหรูอี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “แล้วเจ้ารู ้หรือว่าข้าคิดอะไร?!”
นักพรตกล่าว “คิดอยากจะกล่าวโทษใครไยต้องกลัดกลุ้มเรื่อง หาข้ออ้างด้วยเล่า”
เห็นว่าสีหน้าของผีสาวยังคงไม่น่ามอง นักพรตจึงได้แต่อธิบาย ว่า “เจ้าบอกว่าผินเต้าละโมบในเงินทองก็ว่าไปอย่าง แต่บ้าตัณหา? แม่นางเซวียเจ้าจะไม่เชื่อใจในนิสัยใจคอของผินเต้าก็ได้ แต่จะไม่เชื่อ สายตาในการมองคนของตัวเองก็คงไม่ค่อยดีกระมัง?”
เซวียหรูอี้รู ้สึกว่าคาพูดนี้มีเหตุผล
นักพรตถามอย่างใคร่รู ้“ขอละลาบละล้วงถามสักคาได้ไหม ที่พึ่ง ของแม่นางเซวียในวงการขุนนางคือเทพเซียนจากฝ่ ายใด? เป็ นขุน
นางที่ใหญ่แค่ไหน? ถึงสามารถให้แม่นางเซวียลงหลักปักฐานอยู่ใน สถานที่ที่ห่างจากที่ว่าการอาเภอมาแค่ไม่กี่ก้าวได้โดยที่ศาลเทพ อภิบาลเมืองประจาอาเภอไม่ส่งกุ่ยชาขุนนางในปรโลกมาเยี่ยมเยือน สักคน”