กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1010.2 ตอนยังเยาว์เคยเรียนวิชาเดินขึ้นเขา
เซวียหรูอี้หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้ากับแม่ทัพผู้สวมตรวนของศาล เทพอภิบาลเมืองประจ าอ าเภอเป็ นสหายรักกัน เจ้ากลัวหรือไม่?”
นักพรตแอบกลืนน้าลาย ลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะไกลๆ ไปยัง ศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าอ าเภอ เขย่าหมัดแรงๆ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก ว่า “ผินเต้าตั้งใจฝึกตน บนร่างมีปราณแห่งความเที่ยงตรง ไม่ข้อง เกี่ยวกับเรื่องชั่วร ้าย ไม่เคยกลัวที่จะเดินทางยามค่าคืน แล้วนับประสา อะไรกับที่แม่ทัพผู้สวมตรวนก็มีหน้าที่ลงทัณฑ์คนเลวกาจัดสิ่งชั่วร ้าย อยู่แล้ว ยึดหลักความเป็ นธรรมปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็ นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพผู้สวมตรวนประจาอาเภอของพวกเราที่ยิ่ง เป็ นขุนนางดีที่มีชื่อเสียงพอๆ กับท่านเจ็ด ท่านแปด! หากผินเต้ามี สิทธิ์มีเสียงอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงก็คงเสนอแนะ ใต้เท้าทั้งสามท่านให้ได้เลื่อนขั้นมารับหน้าที่สาคัญไปนานแล้ว”
เซวียหรูอี้นวดคลึงหว่างคิ้ว เจ้าประจบสอพลอเช่นนี้ พวกเขาก็ ไม่มีทางได้ยินอยู่ดีนี่นา
สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ นายท่านเทพอภิบาลเมือง ประจ าอ าเภอไม่คิดจะมาควบคุม
“เฉินเจี้ยนเสียน เจ้าไม่มีสตรีที่ชอบบ้างเลยหรือ?”
หาไม่แล้วจะอยู่ไม่ติดบ้านแบบนี้ได้หรือ
“มีสิ ท าไมจะไม่มีล่ะ” “มีจริงๆ หรือนี่?”
เซวียหรูอี้รู ้ว่าอีกฝ่ ายคือผู้ฝึกลมปราณที่จริงแท้แน่นอน แม้ว่า ขอบเขตจะไม่มีค่าพอให้พูดถึง ขอบเขตสอง? อย่างมากสุดก็คงเป็ น แค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามกระมัง? แต่ถึงอย่างไรก็เป็ นคนที่เท้า
ข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนภูเขาแล้ว
นางเอ่ยสัพยอกว่า “แม่นางบ้านใดกัน อายุเท่าไร อายุเท่ากับเจ้า หรือเป็ นเด็กสาว? อีกฝ่ ายคงถูกผีบดบังจิตใจสินะถึงได้มาชอบเจ้า? คนเราเมื่อถึงวัยกลางคนก็ไม่ต้องคิดจะทาเรื่องใดแล้ว เจ้าเองก็อายุ ตั้งปูนนี้แล้ว คนอายุสี่สิบกว่ากลับไม่ประสบความสาเร็จสักอย่าง อาศัยหนังสือรับรองการออกบวชส่วนตัวของลัทธิเต๋าเตร็ดเตร่ไปทั่ว หาโอกาสพานางมาให้ข้าพบหน้าบ้างสิ หึ ข้าจะต้องแยกพวกเจ้า ออกจากกันให้จงได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าไปทาร ้ายคนเขา”
อันที่จริงนักพรตที่ตั้งแผงดูดวงอยู่ทุกวันผู้นี้หาเงินได้มาไม่น้อย เทียบกับครอบครัวตระกูลเล็กๆ ทั่วไปในเมืองหลวงแล้วก็มีแต่จะ เหนือกว่า
เพียงแต่ว่าในฐานะผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งกลับไม่มากพอ ถูกลม พัดแดดส่องอยู่ทุกวันเช่นนี้ เวลาผ่านไปหลายปีเพิ่งจะสะสมเงินเกล็ด หิมะได้แค่เหรียญเดียว?
เฉินผิงอันหัวเราะ “เจ้าแยกพวกเราจากกันไม่ได้หรอก”
เซวียหรูอี้หันมาเอ่ยสัพยอก “สตรีที่ชอบเจ้าคงหน้าตาไม่ค่อยดี กระมัง?”
บุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเพียงยิ้มรับ แต่ใช ้สองแขน กอดอก เงยหน้ามองดวงจันทร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เซวียหรูอี้เบ้ปาก
โอ้ย เห็นแล้วเสียวฟัน
บางทีบุรุษที่อยู่ข้างหลังอาจจะไม่มีอนาคต บางทีสตรีที่เขาคิดถึง ค านึงหาอาจจะหน้าตาธรรมดาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็รักกัน จริงๆ
ปากของบุรุษ ผีที่หลอกคน คาลวงหวานหู
แต่สายตามิอาจหลอกกันได้
นักพรตหยิบน้าเต้าบรรจุสุราลีชาดใบหนึ่งออกมา เป็ นของ เก่าแก่แล้ว ผิวภายนอกเกลี้ยงแวววาว
เซวียหรูอี้ได้กลิ่นหอมของสุราก็อดไม่ไหวถามว่า “สุราจากบ้าน ใด ท าไมหอมขนาดนี้?”
นักพรตยิ้มกล่าว “สุราที่บ้านข้าหมักเอง ต้องอร่อยแน่อยู่แล้ว เป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นของดีราคาถูก ก็เลยต้องดื่มประหยัดหน่อย”
เซวียหรูอี้ลุกขึ้นยืนอยู่บนชิงช ้า
จาได้ว่าตอนที่นักพรตวัยกลางคนเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ชิงช ้านี้ ไกวเองได้โดยที่ไม่ต้องมีคนแกว่ง แล้วยังมีเสียงหัวเราะคิกคักดุจ กระดิ่งเงินดังลอยมา
ทาเอานักพรตที่เดินผ่านตกใจจนรีบหยิบยันต์ปีกหนึ่งออกมา จากชายแขนเสื้อ หยิบตะบันไฟออกมาจุดไฟบนยันต์แล้วก็ชูขึ้นสูง มือสั่นระริก เดินท่าเหยียบพายุย่างดารา วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ด้านหนึ่ง สะบัดเอามังกรเพลิงตัวหนึ่งออกมา ด้านหนึ่งก็วิ่งวนอุตลุดไปด้วย ปากยังท่องคาถาที่ไม่รู ้ว่าสืบทอดมาจากลัทธิเต๋สายไหน ปิดประตูลง ดังปังด้วยความว่องไวสุดขีด แล้วก็แปะยันต์กระดาษเหลืองที่ไม่มี ราคาค่างวดลงบนประตู หน้าต่างและผนังจนเต็มไปหมด
นักพรตมองแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่บนชิงช ้าแล้วถอนหายใจ ยกน้าเต้าบรรจุสุราในมือขึ้นดื่มเหล้าเงียบๆ
ภาพฉากที่คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน เป็ นชิงช ้าในกาแพง เส้นทางนอกก าแพงเหมือนกัน
เซวียหรูอี้พูดล้อเล่นว่า “ใช่แล้ว สรุปว่าเจ้ามาราลึกความหลังกับ ใครกันแน่? มาอยู่เมืองหลวงนานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้เจอหน้ากันอีก หรือ? เจอหน้าได้ยากขนาดนี้คงไม่ใช่ฮ่องเต้หรอกกระมัง?”
ดูเหมือนนักพรตจะไม่ยินดีพูดถึงเรื่องนี้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ผ่าน ไปอีกแค่ไม่กี่วันก็จะเป็ นวันวสันตวิษุวัต (เป็ นวันที่เวลาในกลางวันและ
กลางคืนเท่ากัน ตรงกับวันที่ ๒๐ หรือ ๒๑ เดือนมีนาคม) แล้ว แม่ นางเซวียต้องระวังไว้ให้มาก”
เมื่อถึงวันวสันตวิษุวัต ช่วงเวลานี้หยินและหยางจะมีอย่างละครึ่ง พอดี กลางวันกลางคืนเท่าเทียมและอากาศร ้อนหนาวก็เท่ากัน หยิน หยางมีเส้นแบ่งบางๆ กระตุ้นให้เกิดสายฟ้ าฟาดผ่า
สาหรับผีบนโลกแล้ว นับตั้งแต่หลังช่วงแมลงตื่นจากการจาศีล จนถึงก่อนวันชิงหมิงถือว่าเป็ นช่วงเวลาที่ค่อนข้างทุกข์ทรมาน ช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังช่วงวสันตวิษุวัตที่ปราณหยางจะ ค่อยๆ โชติช่วงจนโจมตีหยินได้ และสายฟ้ าก็จะบังเกิด
เห็นได้ชัดว่าเซวียหรูอี้ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แม้นางจะเป็ นผี แต่กลับ เป็ นวัตถุหยินที่ฝึ กตนประสบความส าเร็จจนแทบจะใกล้เคียงกับ วิญญาณวีรบุรุษแล้ว แน่นอนว่าไม่หวาดเกรงการผลัดเปลี่ยนของ ช่วงอากาศและสายฟ้ าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติพวกนี้
นักพรตวัยกลางคนก็พูดถึงไปอย่างนั้นเอง เขาถูมือเอ่ยว่า “วันวสันตวิษุวัต ข้าจะแสดงฝีมือท าอาหารฤดูใบไม้ผลิให้พวกเจ้าสัก โต๊ะ วันวสันตวิษุวัตกินผักฤดูใบผลิอย่างหน่อไม้ ปี้เฮา ต้นอ่อนผัก ชุน….ผินเต้าขึ้นเหนือล่องใต้ เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ มามากมาย หลังวันวสันตวิษุวัต บริเวณใกล้เคียงของแคว้นไฉ่อีมีแม่น้าเถาฮวา ในแม่น้ามีปลากุ้ย ปลาจี้ไม่ว่าจะเอามานึ่งน้าใสหรือตุ๋นน้าแดงก็ล้วน อร่อย ขยับลงใต้ไปอีก สถานที่ที่อยู่ติดกับทะเลในช่วงเวลานี้หากสั่ง ผักกุ้ยช่ายผัดหอยทรายเหลืองสักจาน จุ๊ๆ”
เซวียหรูอี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู ้จักแต่กินเท่านั้นหรือ?”
นักพรตยิ้มบางๆ “มนุษย์เราเรื่องกินเป็ นเรื่องใหญ่”
เซวียหรูอี้สะอึกอึ้ง กระโดดลงมาจากชิงช ้า สอดนิ้วทั้งสิบเข้า ด้วยกัน ยึดแขนบิดขี้เกียจ
นักพรตเงยหน้ามองฟ้ า เอ่ยเสียงเบาว่า “หลังวันวสันตวิษุวัตมีฝน ตกก็คือปีที่ผลเก็บเกี่ยวดีงาม แต่ในอาณาเขตของเมืองหลวงปีนี้เกรง ว่าคงเป็ นอากาศที่ฟ้ าใสไร ้ฝนแล้ว”
ถอนสายตากลับมา นักพรตยิ้มเอ่ยว่า “ผินเต้าลองนับนิ้ว ค านวณดู วันชิงหมิง บางทีอาจจะมีฟ้ าร ้อง อีกทั้งความเคลื่อนไหวยัง ค่อนข้างรุนแรง ถึงเวลานั้นแม่นางเซวียก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
เซวียหรูอี้เอ่ยเย้ยหยัน “ที่แท้นอกจากจะดูดวง นักพรตเฉินยังดู อากาศได้ด้วย? คนจริงไม่เปิดเผยตัวตนสินะ”
นักพรตกล่าว “ความรู ้หลากหลาย ยากง่ายตื้นลึก ก็ล้วนเป็ นแค่ การ “สั่งสมความคิดไว้ก่อนจะเข้าใจโดยพลัน” เท่านั้น จะว่ายากก็ไม่ ยาก จะว่าไม่ยากก็ยาก”
เซวียหรูอี้สะบัดข้อมือ คิดว่าจะกลับแล้ว
นักพรตชี้ไปยังห้องบุปผาด้านข้างห้องโถงหลักที่อยู่ด้านหลัง “แม่นางเซวีย หลายวันนี้ผินเต้าอาจต้องขอยืมใช ้สถานที่แห่งนี้สัก หน่อย เลยจะบอกกับแม่นางเซวียเอาไว้ก่อน”
เซวียหรูอี้พยักหน้า ถามอย่างสงสัย “จะทาอะไร? เตรียมจะจัด งานเลี้ยงเชิญสหายมา? กังวลว่าข้าจะวิ่งมาก่อกวนหรือ?”
นักพรตส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”
เซวียหรูอี้เอ่ยเตือนว่า “จัดงานเลี้ยงได้ไม่เป็ นไร แต่อย่าเรียก พวกหญิงจากหอโคมเขียวมาเพิ่มความสนุกสนาน สร้างมลพิษ
สกปรกก็พอ!”
นักพรตโบกมือปฏิเสธเป็ นพัลวัน “ต้องใช ้เงินหลายสิบตาลึง ดื่ม สุราก็คือดื่มเงินนั่นแหละ”
เซวียหรูอี้แค่นเสียงหยัน “รู ้ราคาตลาดดีเลยนะ จริงอย่างที่เขาว่า คนที่ใช ้ชีวิตหรูหราไม่ได้ก็เพราะยากจนนี่เอง”
นักพรตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บุรุษกลัวคนที่แกล้งโง่มากที่สุด มีเงิน มือไม้ไม่อยู่สุข ไร้เงินก็ใจหวั่นไหว คนที่ใสสะอาดดุจแสงจันทราอย่าง ผินเต้ากลับเป็ นคนซื่อสัตย์จริงแท้”
เซวียหรูอี้ลอยจากไป
นักพรตเดินเข้าไปในห้องข้าง มองโต๊ะตัวยาวแล้วพยักหน้า สอง มือก าเป็ นหมัดบิดข้อมือเบาๆ เตรียมจะไปเอากระดาษพู่กันแท่นฝน หมึกในห้องพักมาแสดงฝีมือลายมืออย่างเต็มที่อยู่ที่นี่
เพิ่งจะหันหน้ากลับนักพรตก็มองเห็นศีรษะหนึ่งห้อยแขวนอยู่ ตรงหน้าตัวเอง คิดจะปล่อยหมัดต่อยออกไปตามจิตใต้ส านึก แต่หมัด
พุ่งไปถึงใบหน้าผีสาวกลับหยุดยั้งตัวเองไว้ได้ เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เซวียหรูอี้ เจ้าจะทาให้คนตกใจตายเอานะ!”
ผีสาวพลิ้วกายลงพื้น นักพรตเดินก้าวใหญ่ๆ ออกจากห้อง ด้านข้างไปอย่างเดือดดาลนางตามติดไปด้านหลัง ถามว่า “จะใช ้ห้อง บุปผาท าอะไร?”
นักพรตเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เมืองหลวงอยู่ยาก หากไม่มี หญ้ากลางคืนม้าก็ไม่อ้วน ผินเต้าไม่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือไร”
ผีสาวอ้าปากหาว “ข้าล่ะแปลกใจนัก ผู้ฝึกลมปราณที่มีฝีมือเป็ น แมวสามขาอย่างเจ้าจะดีจะชั่วก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง แต่กลับ ชอบเงินขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ใช ้ชีวิตในแต่ละวัน ค่าฟืนข้าวสารน้ามันเกลือ จาเงินไม่จาคน อย่าได้มีค าว่า “แค่” ก็พอ เป็ นเทพเซียน ค าว่าเจินเหรินก็หนีไม่พ้น ยอมรับความจริงโดยไม่สนว่าเป็ นใคร อย่าได้ขาดค าว่า “แค่”
“ฝึกบาเพ็ญตน ฝึกบาเพ็ญตน เส้นทางนับร ้อยนับพันเส้น หมื่น คาถาอาคมมีแค่ค าเดียวเท่านั้นที่แก้ได้”
เซวียหรูอี้ขมวดคิ้วถาม “แก้ด้วยคาว่าอะไร?” “ใจ” “กายและใจรวมเป็ นหนึ่ง ใจและจิตผูกผสาน”
คงเป็ นเพราะเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกมานานหลายปี ออกท่องยุทธ ภพจนชินแล้ว จึงรู ้วิชานอกรีตสารพัดอย่าง สรุปก็คือนักพรตตัว ปลอมผู้นี้ตบะไม่สูง แต่ความรู ้กลับมีหลากหลาย
ถึงอย่างไรไม่ว่านางชวนคุยเรื่องอะไรเขาก็รับคาได้ทุกเรื่อง
นักพรตเดินพลางพูดเจื้อยแจ้วไปด้วย “เซียนดิน เซียนดิน เทพ เซียนพสุธา ฟ้ าดินอย่างละครึ่ง หลอมเรือนกายพักอาศัยอยู่ในโลก ประจ าการอยู่ในโลกมนุษย์ อายุขัยยืนยาวแทบจะใกล้เคียงกับค าว่า อมตะมิดับสูญ”
“ผู้ฝึกตนผีที่ฝึกบาเพ็ญตนพิสูจน์มรรคาเรียกว่าผีเซียน เพียงแต่ ว่าเมื่อเทียบกับเจินเหรินพสุธาแล้วกลับยังด้อยกว่าเล็กน้อย เพราะถึง อย่างไรก็ต้องสละจิตหยางกายนอกกายทิ้งไป เหลือไว้เพียงจิตหยินที่ ใสสะอาดเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็ นมหามรรคาที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มี รูปลักษณ์ที่แน่นอน ไร ้ชื่อเสียงในสามภูเขา แม้ว่าจะไม่ต้องเข้า สู่วัฏสังสาร แต่กระนั้นก็ยังยากที่จะถูกบันทึกลงทาเนียบ เบื้องหน้าไม่ มีที่ให้ไป เบื้องหลังไม่มีที่ให้กลับ คิดอยากจะพิสูจน์มรรคาก็ค่อนข้าง ยากแล้ว…”
เซวียหรูอี้คอยติดตามอยู่ด้านข้าง รับฟังด้วยความมึนงง เนื้อหา บางอย่างนางเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็ นครั้งแรก
ก็ไม่รู ้ว่าเขาไปยกเอามาจากนิยายหรือเกร็ดประวัติเรื่องเล่าเล่ม ไหนมาพูด
เห็นว่านักพรตวัยกลางคนหยุดเดินแล้วเริ่มควักชายแขนเสื้อ เงย หน้ายิ้มเอ่ย “แม่นางเซวีย พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว แล้วก็ถือว่า ถูกชะตากันไม่น้อย เจ้าอย่าเห็นว่าผินเต้าช่วยดูนรลักษณ์ให้คนได้ อย่างแม่นยา อันที่จริงเรื่องที่ข้าถนัดจริงๆ ยังเป็ นวิถีแห่งยันต์มากกว่า ไม่สู้เรามาท าการค้ากันดีไหม? ผู้ฝึกตนที่มีชาติกาเนิดอย่างแม่นาง เซวียจะใช ้ได้ผลดีที่สุดขอแค่หลังจากถือศีลช าระร่างกายแล้วเผา ยันต์นี้ จุดธูปอีกสามดอก ท่องคาถาอยู่ในใจสองสามรอบ บอกว่า ใครขอคารวะอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ไม่มีพิธีการซับซ ้อนอะไร ผลลัพธ ์ที่ได้จะดีอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะ!”
นางหลุดหัวเราะพรืด “เอางิ้วเรื่องเก่ามาแสดงใหม่ คิดจะเชือดคน สนิทอีกแล้วหรือ?! ไม่รู ้จักเปลี่ยนมาใช ้ลูกไม้ใหม่บ้างเลยหรือไร?”
นักพรตร ้องเอ๊ะ “ยันต์อื่นไม่ต้องพูดถึง เพราะขาดแรงไฟอยู่บ้าง จริงๆ แต่เจ้าเคยเห็นข้าเอายันต์ออกมาขายให้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มีเพียงยันต์ชิ้นนี้ที่เป็ นของแท้แน่นอน ไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ซื้อหนึ่งแผ่นได้กาไรมาเล็กน้อย ซื้อหนึ่งปีกได้กาไรก้อนใหญ่ สรุปก็ คือยิ่งซื้อมากเท่าไรก็ยิ่งได้กาไรมากเท่านั้น หากไม่เป็ นเพราะผินเต้า สนิทสนมกับแม่นางเซวียมากก็ไม่มีทางเอาออกมาให้ดูง่ายๆ เด็ดขาด”
เซวียหรูอี้หัวเราะหยัน “ดีขนาดนี้ทาไมเจ้าไม่เก็บไว้ใช ้เองเล่า?”
นักพรตมองนางด้วยสายตาเวทนา
นั่นเป็ นสายตาที่คนฉลาดมองคนโง่อย่างสมเพช
นางรู ้ตัวดีว่าพลั้งปากพูดผิดไป เพราะอีกฝ่ายก็บอกแล้วว่าเหมาะ กับผู้ฝึกตนที่เป็ นอย่างนาง ลังเลอยู่เล็กน้อย นางก็กวักมือ “เอามาให้ ข้าดูก่อน ขอตรวจสอบก่อนว่าดีหรือไม่ดี”
กระดาษยันต์สีเหลืองธรรมดา ใช ้ชาดบดผงเอามาวาดต่างหมึก ด้านบนกระดาษยันต์วาดภูเขาไว้สามลูก มองแล้วแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนยันต์ของจริงสักเท่าไร
จะไม่ยอมเป็ นคนโง่ที่ถูกหลอกง่ายเด็ดขาด แม้ว่าในใจจะ ตัดสินใจแล้ว แต่นางก็ยังถามว่า “ยันต์แผ่นหนึ่งขายกี่เหรียญ ทองแดง?”
นักพรตบ่น “คิดอะไรอยู่น่ะ กี่เหรียญทองแดง? ยังซื้อยันต์หนึ่ง แผ่นไม่ได้เลยด้วยซ้า!”
เซวียหรูอี้กล่าว “ร ้านตาเฒ่าหลิวที่อยู่ถนนติดกัน กระดาษยันต์สี เหลืองคุณภาพต่าเช่นนี้ หนึ่งมีด (ศัพท์แทนจานวนกระดาษ โดยทั่วไปหนึ่งมีดหมายถึงกระดาษหนึ่งร ้อยแผ่น) ขายแค่กี่แดงกัน เชียว? นักพรตเฉินเอากระดาษมาตัดให้เล็กลงอีกหน่อยก็จะไม่ได้ ก าไรเป็ นกอบเป็ นก าหรอกหรือ?”
มิน่าเล่าทุกครั้งที่นักพรตเจอกับตาเฒ่าหลิวถึงได้เรียกอีกฝ่ ายว่า พี่ใหญ่
“กระดาษไม่แพงแต่เวทคาถาสูงนี่นา ต่างก็พูดกันว่าภูเขาต่อให้ ไม่สูงแต่เมื่อมีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ วิชายันต์ก็เป็ นหลักการเดียวกัน วาด ยันต์ต้องดูที่แก่นของยันต์ กระดาษยันต์แพงหรือถูกล้วนเป็ นเรื่อง รองลงมา”
เห็นว่านักพรตผู้นั้นยังหยิบยันต์อีกหลายแผ่นออกมาจากชาย แขนเสื้อโดยที่หน้าไม่แดง สีหน้าไม่กระอักกระอ่วน “ช่างเถอะๆ ถึง อย่างไรแม่นางเซวียก็สายตาสูง ไม่เป็ นไร ยันต์พวกนี้ของผินเต้า ระดับขั้นดียิ่งกว่า ก็แค่ว่าราคาแพงไปสักหน่อย เป็ นสมบัติกันกรุ โดยทั่วไปแล้วไม่เอาออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ….
จุ๊ๆ ไม่เสียแรงที่เป็ นคนที่ทาการค้ามาจนชิน ร ้อยเรียงต่อเนื่องกัน แล้วยังมีทางหนีทีไล่อีกมากมาย
“อย่าเรียกตัวเองว่าผินเต้าค าแล้วค าเล่าเลย เฉินเซียนซือเจ้าไม่ อายตัวเองบ้างหรือ”
เซวียหรูอี้โยนกระดาษยันต์คืนไปให้นักพรตแล้วพลิ้วกายจากไป
วันวสันตวิษุวัต ไม่มีฝนตกลงมา บรรยากาศอบอุ่น
คนที่ออกไปเที่ยวเล่นชานเมืองหลวง นอกจากพวกลูกหลานขุน นางที่ควบม้าสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสแล้ว ริมน้ายังมีสาวงามมารวมตัว กันมากมาย ธงวสันต์โบกพลิ้วเหนือศีรษะคนงาม
ว่าวล้อลมลอยเต็มอยู่กลางอากาศ นกนางแอ่นบินโฉบแผ่วเบา ตะขาบตัวยาวต่อสู้อยู่กับเหยี่ยว ร ้านขายว่าวเก่าแก่ในเมืองหลวงต่าง ก็ได้ก าไรกันเป็ นกอบเป็ นก า
ตามระเบียบพิธีการที่ทางราชสานักกาหนด จักรพรรดิจะต้องทา พิธีบวงสรวงดวงอาทิตย์ในวันวสันตวิษุวัตนี้
หลังจากงานพิธีในวันนี้เสร็จสิ้น ฮ่องเต้แคว้นอวี้เซวียนก็ให้ที่ว่า การกรมพิธีการน าภาพวัวฤดูใบไม้ผลิที่วาดขึ้นจากในวังไปมอบ ให้กับขุนนางในเมืองหลวงที่มีตาแหน่งขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป กระดาษสี แดงลายมังกรเปิดกางออกได้สองหน้า ประทับตราเป็ นคติพจน์ค าคม ของยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลและบทกวีแต่งใหม่ที่บัณฑิตของสานักบัณฑิต ฮั่นหลินเป็ นผู้เขียน บวกกับภาพการทาไร่ไถนาที่ไต้จ้าวแห่งส านัก จิตรกรรมวาดขึ้นอย่างตั้งใจ คนที่รับผิดชอบนาภาพไปมอบให้ส่วน ใหญ่จะเป็ นขุนนางอายุน้อยที่รูปโฉมคมคาย จิ้นซื่อคนใหม่ที่รับ หน้าที่ในกองงานต่างๆ ก็มักจะเข้าร่วมด้วย ในวันนี้พวกเขาจะถูก เรียกขานว่าชุนกวน และคนเฝ้ าประตูของจวนเชื้อพระวงศ์กับจวนแม่ ทัพอัครเสนาบดีทั้งหลายก็มักจะมอบซองแดงให้ชุนกวนกลับคืนเป็ น พิธี เบื้องบนปฏิบัติเบื้องล่างทาตาม ในหมู่ชาวบ้านก็มี “ซัวชุนเหริน” (กล่าววาจาเกี่ยวกับฤดูใบไม้ผลิ) ที่สถานะคล้ายคลึงกันนี้ ขุนนาง มอบภาพวาดให้กัน พวกชาวบ้านที่หัวไว มีวิธีทาเงินก็มักจะมอบ ภาพวาดให้กับคนมีเงิน พอไปเคาะประตูบ้านแล้วก็จะเอ่ยถ้อยค า มงคลที่ไม่ขัดต่อช่วงฤดูการทาไร่ทานา อวยพรให้ฝนตกต้องตาม
ฤดูกาล ยุ่งกันมาทั้งวันแล้ว ขอแค่คนที่มือเท้าคล่องแคล่วมากพอ จานวนบ้านที่แวะไปเยือนมีมากพอก็จะได้เงินมาไม่น้อย แน่นอนว่า ต้องกินน้าแกงประตูปิดมากยิ่งกว่า ตระกูลร่ารวยบางแห่งที่ถูกเคาะ ประตูขอของแดงถี่ๆ ร าคาญมากนักก็จะบอกให้คนเฝ้ าประตูไล่คนไป โดยตรง
ในเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน ซัวชุนเหรินที่มีประสบการณ์โชก โชนบางส่วน ต่อให้เดินทางไกลหน่อยก็ยังจะต้องแวะไปที่ถนนหย่ง เจีย บนถนนสายนี้ส่วนใหญ่คือตระกูลที่ร่ารวยกันมาแต่รุ่นบรรพบุรุษ หาไม่แล้วก็ไม่มีทางเอาชื่ออาเภอมาตั้งเป็ นชื่อถนน แน่นอนว่าไม่ต้อง รอให้ซัวชุนเหรินที่เป็ นชาวบ้านร ้านตลาดอย่างพวกเขาไปส่งภาพให้ ถึงบ้าน พวกเขาแค่จะแวะไปหาตระกูลแซ่หม่าเท่านั้น เพราะไม่มีทาง ที่จะไปเสียเที่ยวแน่นอน ไม่ว่าใครก็ล้วนได้รับซองแดงของใหญ่ ว่า กันว่าคนตระกูลนี้แจกซองแดงตั้งแต่เช ้าจรดค่า ขอแค่นาภาพไปส่ง ให้ที่บ้านแล้วเอ่ยคาพูดดีๆ ทานองว่าห้าธัญพืชอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้ า ตกต้องตามฤดูกาลใครที่แวะไปก็ล้วนจะได้รับซองแดงกันมาทั้งสิ้น ในซองมีเงินมากถึงหกต าลึงเงิน! ต่อให้คนเฝ้ าประตูของตระกูลหม่า จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งให้ซัวชุนเหรินที่นาภาพมาส่งทุก คน ท่าทางกระตือรือร ้นเป็ นมิตรอย่างยิ่ง