กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1010.3 ตอนยังเยาว์เคยเรียนวิชาเดินขึ้นเขา
เมืองหลวงมีอาเภออยู่สองแห่ง โดยรวมแล้วเป็ นทางเหนือที่ ร่ารวยทางใต้ยากจน ฝ่ ายหลังหลักๆ แล้วอยู่ในการดูแลของที่ว่าการ อ าเภอฉางหนิง
ซัวชุนเหรินสองคนที่เดินทางจากทางเหนือมาหาเลี้ยงชีพทางใต้ คนแก่หนึ่งคนเด็กหนุ่มหนึ่งคน คนหนึ่งส่งมอบภาพวัวฤดูใบไม้ผลิ อีกคนพูดจามงคล ตั้งแต่เช ้าจรดค่า เดินมาทั้งวันแล้ว แล้วยังต้องเอา เงินไปแสดงความกตัญญูต่อพรรคบางแห่งในยุทธภพ อันที่จริงพวก เขาเพิ่งจะได้เงินมาแค่สามตาลึงเงินเท่านั้น ช่วยไม่ได้ อาชีพที่มองดู เหมือนชั่วคราวนี้ทาซ้าปีแล้วปีเล่าก็มีกฎระเบียบและช่องทางหลาย อย่างที่ต้องเคารพ ไม่ใช่ว่าใครก็เป็ นซัวชุนเหรินได้ ยิ่งไม่ใช่ว่าจะวิ่ง ไปเคาะประตูบ้านส่งเดชได้ หากไม่ท าตามกฎ ไม่ทันระวังก็จะถูกดัก ซ ้อมในตรอก แต่บางครั้งหากทาดีๆ ก็มีโอกาสที่จะ “เก็บตกของดี” ได้ ท่ามกลางแสงสายัณห์ คนหนุ่มยังดี แต่ผู้เฒ่ากลับเริ่มเหนื่อยแล้ว ถนนทั้งสายนี้ไม่มีใครมาเปิดประตูให้สักบ้าน ผู้เฒ่าร่างผอมบางนั่ง อยู่บนขั้นบันได มือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งทุบขา ดูจากท่าทางคงต้อง กลับบ้านมือเปล่าเสียแล้ว คนที่อาศัยอยู่ในถนนเส้นนี้ยากจนกัน ขนาดนี้เลยหรือ? ตาม หลักแล้วอยู่ใกล้กับที่ว่าการอาเภอฉางหนิง ขนาดนี้ก็ไม่ควรจะขี้เหนียวถึงจะถูก ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่ากัดฟันใช ้เงิน แปดเฉียนซื้อถนนเส้นหนึ่งมาเพื่อมอบภาพซัวขุนโดยเฉพาะ เงินตั้ง
้
แปดเฉียนเชียวนะ กลับต้องลอยหายไปตามสายน้าทั้งอย่างนี้ ผู้เฒ่า กลัดกลุ้มขมวดคิ้วมุ่น เงินที่หายไปยังไม่ทันกระเพื่อมให้เกิดริ้วน้าได้ ด้วยซ้า
เด็กหนุ่มบอกว่าจะลองไปเสี่ยงดวงที่อื่นดู ผู้เฒ่าจึงยิ้มเอ่ยว่าไม่ ต้องแล้ว เด็กหนุ่มที่สะพายตะกร ้าจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ช่วยทุบขาให้ผู้
เฒ่าเบาๆ
ประตูใหญ่ของเรือนหลังหนึ่งเปิดออกดังแอด นักพรตวัยกลางคน คนหนึ่งเดินออกมาเด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนทันใด หยิบภาพวัวฤดูใบไม้ ผลิออกมาจากในตะกร ้าไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง ท่านปู่เหนื่อยมาก แล้ว ดังนั้นเดิมทีควรเป็ นท่านปู่ ที่พูดเปิดฉาก วันนี้ทั้งวันเด็กหนุ่มที่ คอยตามมาด้านหลัง อันที่จริงก็ท่องประโยคเหล่านั้นได้ขึ้นใจแล้ว เขาจึงรับหน้าที่ทาแทน เพียงแต่ไม่รอให้เด็กหนุ่มเปิดปาก นักพรต คนนั้นก็โบกมือยิ้มเอ่ย โพล่งออกมาสองคาว่า “คนร่วมอาชีพ”
ค าว่าคนร่วมอาชีพใช ้ได้ผลยิ่งกว่าคาพูดปฏิเสธอย่างละมุน ละม่อมค าใดเสียอีก
เด็กหนุ่มผิดหวังอย่างมาก สีหน้ากึ่งเชื่อกึ่งกังขา ไม่ให้เงินก็ช่าง เถิด ไม่จ าเป็ นต้องหาข้ออ้าง เป็ นเรื่องปกติธรรมดาจะตายไป ไย นักพรตท่านนี้ต้องโกหกกันด้วย
้
นักพรตวัยกลางคนหยิบกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งออกมาจาก ชายแขนเสื้อ สะบัดเบาๆ ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ตลาดใหญ่แถบอาเภอ ฉางหนิง ต้นฉบับภาพวัวฤดูใบไม้ผลิล้วนเป็ นผินเต้าที่วาดขึ้นเอง”
ผู้เฒ่ารีบลุกขึ้นยืนทันใด กวาดตามองต้นฉบับภาพวัวฤดูใบไม้ ผลินั้นเร็วๆ สองสามครั้ง กุมมือคารวะก่อนแล้วค่อยยิ้มถามว่า “ท่าน
นักพรตวาดภาพวัวฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร?”
นักพรตก้มหน้า ท ามุทราด้วยมือข้างเดียวคารวะกลับคืน “ผิน เต้ายากจนนี่นา”
“ขอถามท่านนักพรตว่าภาพวัวฤดูใบไม้ผลิที่วาดนี้ขายภาพละ เท่าไร?”
“สิบเหวิน”
“ราคาถูกขนาดนี้เชียวหรือ?! ทาไมถึงถูกกว่าอาเภอหย่งเจียตั้ง ครึ่งหนึ่งเลยเล่า?”
การมอบภาพซัวชุนในหมู่ชาวบ้าน แต่ละภาพที่มอบให้กันล้วน วาดอย่างหยาบๆ เมื่อเทียบกับภาพวัวฤดูใบไม้ผลิที่ทางการวาดแล้ว ไม่ว่าจะเป็ นวัสดุหรือเนื้อหาก็ล้วนต่างกันราวฟ้ ากับเหว
“ผินเต้ามีคุณธรรม”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอสั่งภาพวัวฤดูใบไม้ผลิร ้อยภาพสาหรับปีหน้า จากท่านนักพรตล่วงหน้าได้ไหม?”
้
นักพรตส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่บังเอิญเลย ผินเต้าแค่เดินทางผ่าน มาที่นี่ มาพักอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้พักอยู่นาน”
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เปิ ดปากถามหยั่งเชิง “ได้ยินมาว่าบริเวณ ใกล้เคียงกับอ าเภอฉางหนิงมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่งที่ดูดวงแม่นมาก เลือกเซียมซีดูลายมือ ท านายตัวอักษรและท านายเหรียญทองแดง
ล้วนเก่งกาจอย่างยิ่ง”
นักพรตวัยกลางคนลูบหนวดยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก หากไม่ผิดไป จากที่คาดก็คงเป็ นอยู่ไกลสุดขอบฟ้ า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ก็คือผิน เต้าแล้ว”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความปิติยินดีอย่างไม่คาดฝัน “ท่านนักพรตคืออู๋เซียนจ่างที่ทานายทายทักได้อย่างแม่นยาผู้นั้น จริงๆ หรือ?!”
นักพรตหรี่ตาลูบหนวด “ผู้คนชมเชยกันเกินจริง”
ตรงหัวก าแพง ผีสาวสวมชุดกระโปรงสีสันสดใสกลอกตามองบน
ผู้เฒ่าที่อยู่บนขั้นบันไดทาท่าจะพูดแต่ไม่พูด เพียงแค่หันไปมอง เด็กหนุ่มที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน เห็นดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความ วาดหวังและเปี่ยมความฝัน เขาก็ตัดใจพูดอะไรไม่ออก
นักพรตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้จะทานายชะตาชีวิตคู่ หรือโชคลาภเงินทองล่ะ?”
้
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่าทันใด ทาไมถึงถูกเรียกว่าคุณชายได้นะ นักพรตท่านนี้ช่างมีเมตตาเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ไม่ดูดวงเรื่องพวกนี้ ข้าแค่อยาก ถามว่าจะขอให้ท่านนักพรตช่วยวาดยันต์สักสองสามแผ่นได้หรือไม่ ยันต์ประเภทที่เผาไว้ในกระถางที่วางข้างทาง สามารถเซ่นไหว้ผู้
ล่วงลับได้ไกลๆ”
นักพรตถามอย่างสงสัย “ท าไมไม่เผากระดาษยันต์ตอนท าความ สะอาดสุสานในวันชิงหมิงล่ะ?”
เด็กหนุ่มกล่าว “ข้ากับท่านปู่เป็ นคนต่างถิ่น เดินทางมาจากทาง ใต้ เดินทางมาไกลมาก ไม่มีบ้านนานแล้ว”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ อันที่จริงพวกเขาไม่ใช่ปู่ หลานกันแท้ๆ เรื่องราวที่หักเหซับซ ้อนระหว่างนั้นยากจะอธิบายได้หมดในคาเดียว
แรกเริ่มสุดเป็ นผู้เฒ่าที่ดูแลเด็กน้อยคนหนึ่ง ภายหลังเป็ นเด็ก น้อยที่ดูแลผู้เฒ่า มีชีวิตพึ่งพากันและกัน คล้ายกับใช ้หนี้ให้กันและ กัน
นักพรตถาม “หากมียันต์แบบนี้จริง เจ้ายินดีจะจ่ายเงินซื้อ เท่าไร?”
“เงินทั้งหมดที่มีอยู่บนร่าง! หากตอนนี้ยังมีไม่พอ ข้าสามารถ เขียนใบยืมหนี้เป็ นหลักฐานลายลักษณ์อักษรกับท่านนักพรตได้!”
้
“หลักฐานลายลักษณ์อักษรจะคิดเป็ นจริงเป็ นจังได้อย่างไร ตอนนี้เจ้ามีเงินสะสมอยู่เท่าไร?”
“หลายปีมานี้ข้าสะสมเงินได้เจ็ดตาลึงแปดเฉียนแล้ว และยังมีเงิน เหรียญทองแดงอีกหนึ่งกระปุก!”
“น้อยแค่นี้เองหรือ?”
เด็กหนุ่มเขินอายไม่พูดไม่จา ผู้เฒ่ารู ้สึกละอายใจ
“ผินเต้าสามารถวาดยันต์ซานกวน (เป็ นเทวดาตามความเชื่อ ของจีนและศาสนาเต๋าโดยเป็ นตรีเทพบุรุษสามองค์ได้แก่เจ้าพ่อ สวรรค์ เจ้าพ่อธรณีและเจ้าพ่อคงคา เป็ นผู้บริหารจัดการในสถาน พิภพจักรวาลอันกว้างใหญ่) ให้ได้ สามารถช่วยขอพรให้กับผู้ล่วงลับ อภัยบาปและขจัดเคราะห์ร ้าย”
นักพรตครุ่นคิดไม่เอ่ยค าใด เงียบไปพักใหญ่ก็ส่ายหน้า “เพียงแต่ว่ายันต์นี้ล้าค่าอย่างมาก เงินน้อยนิดแค่นี้อยู่ไกลเกินกว่าจะ พอนัก”
เด็กหนุ่มก าลังจะพูด นักพรตก็ท าหน้าไม่สบอารมณ์ สะบัดชาย แขนเสื้อ เริ่มออกคาสั่งไล่แขก “ไม่ต้องพูดมากแล้ว”
เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม นักพรตถามว่า “ให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้า ยินดีไปขอยืมไปขโมยไปแย่งชิง เพื่อรวบรวมเงินให้ครบหนึ่งร ้อย ต าลึงเงินหรือไม่?”
้
เด็กหนุ่มผิวคล้าร่างผอมแห้งก้มหน้าลง สีหน้าหม่นหมอง
เมื่อครู่นี้นักพรตมองเด็กหนุ่ม มองตัวเองที่อยู่ในดวงตาของเด็ก หนุ่ม
รอกระทั่งเด็กหนุ่มค้อมกายขอบคุณแล้วพาผู้เฒ่าจากไปพร ้อม กัน
คนพเนจรไร ้บ้านให้กลับ คิดถึงบ้านเกิด กลัดกลุ้มทุกข์ใจ
ผีสาวที่อยู่บนหัวกาแพงมีสีหน้ามืดคล้า
คาพูดที่ทาร ้ายคนเจ็บปวดเหมือนโดนกระบี่แทง
นักพรตพลันเรียกเด็กหนุ่มไว้ เด็กหนุ่มหันหน้ามามองอย่างมึน งง นักพรตยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “วัฏจักรฟ้ าเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่ง วิญญูชนเสริมสร ้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองไม่หยุดพัก สวรรค์จะ ช่วยเหลือคนที่ช่วยตนเอง”
นักพรตโบกมือ “ไปเถอะ”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง ก่อนจะค้อมกายคารวะอีกครั้ง
รอกระทั่งนักพรตที่เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อหมุนกาย กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
เซวียหรูอี้ที่ยืนอยู่ในประตูก็แค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “ช่างเป็ นผู้ฝึก ตนที่ดียิ่งนัก ใจดาเหลือเกิน! ช่วยไม่ได้ก็อย่าแสร ้งหลอกผีหลอกเจ้า
้
ทาเป็ นลี้ลับ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ไม่ช่วยก็ช่างเถอะ แต่ดันพล่าม ค าพูดไร ้สาระ ไม่รู ้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรือไร!”
เดิมทีส าหรับนักพรตตัวปลอมที่คิดแต่จะหาเงินผู้นี้ อยู่ด้วยกัน นานวันเข้า ความรู ้สึกที่นางมีต่อเขาก็ดีขึ้นแล้ว และยังรู ้สึกใกล้ชิด สนิทใจอยู่หลายส่วน รอกระทั่งวันนี้ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตา
ตัวเอง นางก็รู ้สึกโมโหมากจริงๆ
นักพรตยิ้มเอ่ย “ผู้ที่ถ่อมตนจริงใจจะไม่พูดโกหก” ร่างของผีสาวสวมชุดกระโปรงสดใสเปล่งวูบหายไป ทิ้งประโยค
หนึ่งไว้ว่า “ภายในสามวัน ไสหัวออกจากบ้านหลังนี้ไปซะ” นักพรตยิ้มรับ
ม่านราตรีหนาหนัก
บนถนนที่ห่างไปไกลมีเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังมา
ภาพเทพทวารบาลลงสีสองภาพที่แปะอยู่บนหน้าประตูจวนมีแสง สีทองเปล่งวาบขุนนางสูงสองท่านที่มาจากศาลเทพอภิบาลเมือง ประจ าเมืองหลวงเดินออกมาจากด้านในบุรุษแต่งกายเหมือน ปัญญาชน สตรีสวมเสื้อเกราะสีทอง สะพายกระบี่เหรียญทองแดงเจ็ด ดาว
เซวียหรูอี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติตรงหน้าประตูก็รีบลอย ออกมาจากในหอเรือน มารับรองแขกที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่
้
ในเรือนหลัก ยอบกายคารวะพวกเขาอย่างนอบน้อม เอ่ยด้วยเสียง อ่อนโยน “คารวะขุนนางผู้พิพากษาหง พี่หญิงจี้”
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นผงกศีรษะรับเบาๆ ครั้งนี้เขาออกมา จากศาลเทพอภิบาลเมืองพาคนสนิทมาแค่คนเดียว รับหน้าที่อยู่ใน กองหยินหยางมาสามร ้อยปีแล้ว
ขุนนางหลักของกองหยินหยางในศาลเทพอภิบาลเมืองแต่ละ สถานที่คือหัวหน้าของกองงานต่างๆ ถือเป็ นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของ ท่านเทพอภิบาลเมือง
วิญญาณวีรบุรุษหญิงที่มีตาแหน่งหน้าที่สาคัญยิ้มเอ่ย “หรูอี้ เหนียง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือไม่”
เซวียหรูอี้เคยเป็ นนางกานัลในช่วงก่อตั้งแคว้นแรกๆ คอยเปิดหีบ ตรวจสอบกระโปรงสีทับทิมให้กับฮองเฮาในประวัติศาสตร ์ของ แคว้นอวี้เซวียนที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถชิงอานาจนั่งครอง บัลลังก ์ได้สาเร็จผู้นั้น มีชื่อเล่นว่าหรูอี้เหนียง
นางถามเสียงเบา “อั้นโส่ว (ผู้ที่สอบได้อันดับที่หนึ่ง) ของการ สอบระดับย่วนซื่อมีการเลือกกันเป็ นการภายในไว้แล้วหรือ?”
วิญญาณวีรบุรุษที่เซวียหรูอี้เรียกว่าพี่หญิงจี้ถอนหายใจ “ไม่ เพียงแค่อั้นโส่ว แม้กระทั่งฮุ่ยหยวน (บัณฑิตก้งชื่อที่สอบได้อันดับ สูงสุดของการสอบระดับเมืองหลวง) ในการสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ ต่อจากนั้นก็ต้องยกตาแหน่งให้กับกระเป๋ าฟางคนหนึ่ง (เปรียบเปรย
้
ถึงคนไม่เอาไหน ไร ้ความสามารถ) ในความเป็ นจริงแล้วการสอบ ระดับมณฑลและการสอบหน้าพระที่นั่งรอบฤดูใบไม้ผลิของทั้งเมือง หลวง หากไม่ผิดไปจากที่คาด นอกจากหม่าเช่อจะเป็ นจ้วงหยวนแล้ว ปิ้งเหยี่ยน ทั่นฮวาและฉวนหลูระดับสองล้วนมีการปิดประตูเลือกกัน เป็ นการภายในมานานแล้ว”
เซวียหรูอี้กัดริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น “เพราะ อะไรกัน? หากจะบอกว่าเป็ นหม่าเช่อที่มีความสามารถที่แท้จริงก็ยัง พอท าเนา แต่ท าไมพวกคนเสเพลถึงต้องสอบติดด้วย?!”
ขุนนางหลักกองหยินหยางผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเปิดโปง ความลับด้วยประโยคเดียวว่า “ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบู๊เข้าร่วมด้วย”
เซวียหรูอี้เอ่ยอย่างเดือดดาล “การใช ้พิจารณาเรื่องชะตาบุ๋นใน หนึ่งแคว้น พวกเขากล้าทาเป็ นเล่นแบบนี้กันได้อย่างไร?! จี้เสี่ยวผิง เจ้ากับขุนนางผู้พิพากษาหง และยังมีท่านเทพอภิบาลเมือง ทั้งๆ ที่รู ้ดี แต่กลับไม่สนใจกันเลยหรือ?!”
จี้เสี่ยวผิงกล่าว “ทางฝั่งของขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบู๊มีคากล่าว ของเขาเอง สามารถอธิบายให้ตัวเองได้ว่าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือบิดเบือนกฎหมายเพื่อประโยชน์ ส่วนตัว นี่เกี่ยวพันกับเรื่องของร่มเงาบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครอง บวก กับกุศลกรรมในโลกคนเป็ นบางอย่าง เซวียหรูอี้ เจ้าสามารถเข้าใจ ได้ว่าเป็ นการหาช่องโหว่ของกฎข้อบังคับในโลกคนตาย อีกทั้งภูเขา
้
ทายาททั้งหลายของขุนเขาประจิมที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นอวี้เซ วียนยัง…”
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นขมวดคิ้ว “ระวังคาพูด”
จี้เสี่ยวผิงจึงได้แต่เปลี่ยนคาพูดเสียใหม่ว่า “เว้นเสียจากมี กระดาษค าฟ้ อง เผาส่งไปถึงกองรักษาความสงบของจวนซานจวิน ขุนเขาประจิม เพียงแต่ว่าการฟ้ องร ้องข้ามขั้นก็เป็ นข้อต้องห้ามใหญ่ หลวงในวงการขุนนางมาโดยตลอด”
จี้เสี่ยวผิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหลือบตามองขุนนางผู้พิพากษา ฝ่ายบุ๋นที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าซับซ ้อน
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “แม้จะบอกว่ายัง ไม่ถึงขั้นเป็ นพระโพธิสัตว์ดินปั้นข้ามแม่น้าที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัว ไม่รอด แต่ทุกวันนี้ข้าที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวง นอกจากกองหยินหยางของจี้เสี่ยวผิงแล้วก็ไม่อาจโยกย้ายก าลังคน ได้อีก บอกตามตรง แม้แต่กองชะตาบุ๋นยังหันไปเข้าพวกกับขุนนางผู้ พิพากษาฝ่ ายบู๊ผู้นั้นแล้ว ขนาดกองชะตาบุ๋นยังเป็ นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้อง พูดถึงกองงานอื่นๆ เลย หึหึ โอรสสวรรค์หนึ่งราชวงศ์ขุนนางหนึ่งรัช สมัย เส้นทางแตกต่างแต่จุดหมายเดียวกัน”
อ านาจน้อยใหญ่ในสองกองงานอย่างชะตาบุ๋นและชะตาบู๊ของ ศาลเทพอภิบาลเมืองไม่ได้มีข้อกาหนดที่แน่นอน แตกต่างกันไปตาม
้
เวลาและสถานที่ ก็เหมือนอย่างห้องเกลือในที่ว่าการอาเภอที่อยู่ ใกล้เคียงแห่งนั้น
เนื่องจากข้อตกลงที่เคยมีกับคนรุ่นก่อนของสกุลจาง ลูกหลาน รุ่นหลังของอีกฝ่ ายที่ขอแค่มีจิ้นซื่ออันดับหนึ่งที่สร ้างเกียรติแก่วงศ์ ตระกูลปรากฏขึ้นมา ก็จะถือว่านางทาตามคาสัญญาได้แล้ว
จี้เสี่ยวผิงกล่าว “เป็ นเพราะเบื้องหลังมียอดฝีมือที่จงใจทาเช่นนี้ หมายจะโยกย้ายนายท่านหงออกไปจากศาลเทพอภิบาลเมืองประจ า เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ขี้หนูก้อนเดียวทา ให้โจ๊กเสียทั้งหม้อ!”
จี้เสี่ยวผิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง อธิบายให้เซวียหรูอี้ฟังต่อ อีกว่า “นายท่านหงอาจจะต้องไปรับหน้าที่เป็ นเทพอภิบาลเมืองของ จังหวัดแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองหลวงสารองของต้าหลี”
เปลี่ยนจากขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นของศาลเทพอภิบาลเมือง ประจ าเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนไปเป็ นเทพอภิบาลเมืองประจา จังหวัดของราชวงศ์ต้าหลีย่อมไม่ถือว่าเป็ นการลดต าแหน่งแน่นอน แต่เป็ นโชคยศถาบรรดาศักดิ์ที่ราบรื่นอย่างมากแล้ว
เซวียหรูอี้รีบยอบกายคารวะ ข่มกลั้นความเดือดดาลในใจ พูด อวยพรเสียงเบาว่า “บ่าวขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่ผู้พิพากษา บุ๋นหงได้เลื่อนขั้น”
้
สีหน้าของขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นอัดอั้น “อยู่ในวงการขุนนาง แน่นอนว่าถือเป็ นการเลื่อนขั้น แต่ต้องจากไปอย่างนี้ ข้าก็ไม่เต็มใจ เลยจริงๆ”
ขุนนางในศาลเทพอภิบาลเมืองแต่ละระดับขั้นไม่ได้พิถีพิถันใน เรื่องน้าใจอย่างวงการขุนนางในโลกมนุษย์ ไม่มีเครือข่ายผู้คนหรือ ความสัมพันธ ์ควันธูปให้กล่าวถึง แล้วก็มิอาจยื่นมือเข้าแทรกกิจธุระ ในพื้นที่ที่ห่างไกลได้ หากออกไปจากสถานที่แห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้รับ อนุญาตให้ยื่นมือเข้าแทรกกิจธุระของที่เดิม นี่ก็คือกฎเหล็กแห่งโลก มืดที่ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือนเว้นเสียจากว่าคนต่างถิ่นอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง เกี่ยวพันกับเรื่องที่เป็ นคดีคนตาย ศาลเทพอภิบาลเมืองของสอง สถานที่ถึงจะสามารถร่วมมือกันจัดการคดีได้
เซวียหรูอี้ยิ้มเปื้อนเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ยังอดทนผ่านมาได้ รอไป อีกไม่กี่ปีจะเป็ นไรไป”
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นเหลือบมองไปยังลานเรือนนอก หน้าต่าง ยิ้มเอ่ยว่า “นักพรตที่มีแค่หนังสือรับรองการออกบวช ส่วนตัวผู้นี้ไม่นึกว่าจะเป็ นคนมีอารมย์สุนทรี”
จี้เสี่ยวผิงพยักหน้า “แค่ดูจากการดูแลเลี้ยงดูดอกไม้พืชพรรณ เหล่านั้นก็รู ้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เหมือนกับคนรักอิสระที่เป็ นดั่ง นกกระเรียนบนเดียวดายบนผืนนภามากกว่าต้องไม่ใช่พวกคนที่ ละโมบในทรัพย์สินทั้งตัวเหม็นสาบกลิ่นเหรียญทองแดงอย่างที่ แสดงออกภายนอกแน่นอน”
้
ในห้องเล็ก นักพรตจามติดๆ กันอยู่หลายที
พอคิดถึงเจ้าหมอนี่ เซวียหรูอี้ก็รู ้สึกโมโห พูดหน้าดา “เขาบอก ว่าชื่อจริงของตัวเองคือเฉินเจี้ยนเสียน”
จี้เสี่ยวผิงส่ายหน้า “แค่ฟังผ่านไปก็พอ อย่าได้เห็นเป็ นจริงเป็ น จัง”
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นยิ้มกล่าว “ยังคงเป็ นนามแฝงนี้ที่ดียิ่ง กว่า เห็นคนดีใฝ่เลียนแบบ (เจี้ยนเสียนซือฉี) เลือกปฏิบัติตามในสิ่งที่ ดี”
เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเป็ นมาตรฐาน เห็นคนดีใฝ่ เลียนแบบ วิญญูชน พึงระวังตนแม้ยามอยู่ล าพัง เห็นคนไม่ดีให้ทบทวนส ารวจตัวเอง
จี้เสี่ยวผิงลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “แม่นางเซวีย แขกที่มาพัก อยู่ชั่วคราวผู้นี้ ทั้งนายท่านหงและข้าต่างก็มองตบะตื้นลึกของเขาไม่ ออก บางทีอาจเป็ นยอดฝีมือที่ชอบมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ และบาง ทีก็อาจเป็ นนักต้มตุ๋น ล้วนบอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ คนในท้องถิ่นของแคว้นอวี้เซวียน พวกเราจึงมิอาจตรวจสอบเอกสาร เกี่ยวกับเขาได้ ทั้งยังไม่รู ้ภูมิลาเนาที่แท้จริงของเขา เอกสารผ่านด่าน ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือรับรองการออกบวชส่วนตัวเห็นได้ชัดว่าเป็ น ของปลอม ประเด็นสาคัญคือเขาที่อยู่เมืองหลวงกลับไม่เคยมีการ กระทาที่ละเมิดกฏใดๆ พวกเราจึงไม่อาจขออ่านเอกสารลับจากแคว้น อื่นได้”
้
นางไม่มีทางให้ศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวงไปพูดคุย กับทางราชส านักต้าหลีเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวเช่นนี้
เมืองหลวงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่อีกฝ่ ายกลับเลือกเรือนแห่งนี้ เป็ นที่พัก เซวียหรูอี้ย่อมอดสงสัยในจุดประสงค์ของอีกฝ่ ายไม่ได้ ขุน นางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นของศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ก็เคยมาเยือนที่นี่ยามค่าคืนสองครั้ง นอกจากจะมาพบคน รู ้จักเก่าแล้วก็เพื่อยืนยันในตบะขอบเขตของนักพรตตัวปลอมผู้นี้ให้ แน่ใจ รวมไปถึงดูว่าเขามีเจตนาอย่างอื่นอย่างเช่นมุ่งหมายในเรือน หลังนี้หรือสมบัติลับชิ้นนั้นหรือไม่ ผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนอิสระตามป่ าเขาที่ไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้ าหมาย ไม่ ว่าวิธีอะไรก็ล้วนเอาออกมาใช ้ได้หมด
อันที่จริงเฉินผิงอันแค่บังเอิญผ่านทางมาจริงๆ ไม่มีเจตนาหรือ จุดประสงค์อย่างอื่น
ก็แค่สมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่มีเจ้าของมานานแล้ว แม้ว่าจะมีค่า แต่ ก็ไม่ใช่ของที่ไร ้เจ้าของ หรือจะต้องให้เขาแย่งชิงมาเป็ นของตัวเอง?
จี้เสี่ยวผิงพลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เอ่ยว่า “เขามาแล้ว หรือ?”
หม่าขู่เสวียน!
นางถึงขั้นไม่กล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ ด้วยซ้า
้
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นปวดหัวอย่างยิ่ง พยักหน้ากล่าว “เพิ่ง จะเข้าเมืองมา ก่อนหน้านี้ไปดื่มเหล้าที่ตีนเขาของซ่งอวี๋เทพภูเขาเจ๋อ เอ่อมามื้อหนึ่งก็หายตัวไป ไม่รู ้ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงได้ตรงดิ่งเข้ามาใน เมือง”
ในห้องเล็ก นักพรตลืมตาขึ้นช ้าๆ เพียงแต่ไม่นานก็ส่งเสียงกรน ดังสนั่นดุจเสียงฟ้ าร ้อง