กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1011.1 ใครไม่ใช่นกขมิ้น
ยามเช ้าตรู่ ฟ้ าเริ่มสางบรรยากาศขมุกขมัว
นักพรตที่กาลังจะต้องหอบเสื่อไสหัวไปอยู่ที่อื่นก็เริ่มออกฤทธิ์ ออกเดช
เห็นเพียงว่านักพรตถือกระบี่ไม้ท้อไว้ในมือข้างหนึ่ง ก้าวเดินท่า เหยียบพายุย่างดาราปากท่อง “คาถา” บทหนึ่งที่ไม่รู ้ว่าไปหามาจาก ไหนเสียงดัง
“เชิญท่านโปรดฟังค าข้า บรรพกาลมีไท่ซวี ตะวันจันทราสลับ ส่องแสง ภูเขาสายน้าโอ่อ่าตระการตา หล่อหลอมโอสถทองไร้ช่อง โหว่ ไร ้ช่องโหว่ ไร ้ช่องโหว่ งูและมังกรผุดขึ้นจากพื้นพสุธารบรา ต่อสู้”
นักพรตทาท่าเตะกวาดพื้น (ท่าหนึ่งของวิชากังฟู ย่อตัวลงกวาด เท้าเตะเข้าที่ช่วงล่างของคู่ต่อสู้) หอบม้วนเอาใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นให้ ปลิวกระจายขึ้นมา จากนั้นตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียว ปล่อยกระบี่จาก มือขวา ปลายกระบี่พุ่งตรงไปที่ใบไม้ใบหนึ่งทาให้ใบไม้หยุดลอยนิ่ง พอดี
“ใสเบาขุ่นหนักหยินหยางเที่ยงตรง ฟ้ าสูงแผ่นดินหนาควบจิตใจ รัศมีแสงน้อยนิดก่อกาเนิดแสงเทียน ประหนึ่งก้อนเมฆผลิบานทั่วฟ้ า หมู่ดารา จงมาฟังคาสั่ง ณ บัดนี้ เก็บรวบจักรวาลไว้ในชายแขนเสื้อ”
้
นักพรตควงกระบี่ด้วยท่วงท่างดงาม มือซ ้ายสะบัดชายแขนเสื้อ บิดหมุนล าตัว ปลายกระบี่ชี้ไปที่ท้องฟ้ า ขณะเดียวกันก็พยายามจะ หอบเอาใบไม้ร่วงใบนั้นเข้ามาไว้ในชายแขนเสื้อ คงเป็ นเพราะกะ น้าหนักได้ไม่ดีพอ ใบไม้ร่วงใบนั้นจึงหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ไม่ ร่วงลงมาในชายแขนเสื้อ ไม่เป็ นไร นักพรตย่อมมีวิธีแก้ไข กระโดด ตัวเตะเท้าสูง มือซ ้ายประกบสองนิ้วชี้ไปยังจุดอื่นพร ้อมกับปลายกระบี่
“สุรานารีทรัพย์สินจงออกห่างไปไกล เมฆฝนมิตรสหายตะวัน จันทราเคียงคู่ สะสมปราณหยางสั่งสมบุญกุศล ด่านฟ้ าพลิกแกนดิน สุราเชียนเลิศรส มีอาจารย์เฟิงเซียนมาคอยช่วยเหลือ”
เซวียหรูอี้อึ้งงันพูดไม่ออกเป็ นนาน พลันรู ้สึกสงสารนักพรตที่พอ ดื่มสุราก็คล้ายจะสติเลอะเลือนผู้นี้อยู่บ้าง
นักพรตกับเด็กหนุ่มที่มาซัวชุนส่งภาพเมื่อวาน ท่าทางประจบเอา ใจเช่นนั้นย่อมต้องมีความล าบากใจไม่มากก็น้อยกระมัง?
นางถอนหายใจ “เลิกท าตัวเหลวไหลได้แล้ว ข้าไม่ไล่เจ้าออก จากเรือนก็ได้”
เห็นเพียงว่าในที่สุดนักพรตก็ยอมหยุด เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีก มือประกบสองนิ้วตั้งท่ามุทรากระบี่วางไว้เบื้องหน้าตัวเอง แค่นเสียง เย็นชาออกจากจมูก
เซวียหรูอี้ไม่สบอารมณ์ทันใด เจ้ายังกล้าได้คืบจะเอาศอกอีก หรือ คิดว่าเหล่าเหนียงอยากให้เจ้าอยู่ต่อนักหรือไร?
้
นักพรตวัยกลางคนเก็บกระบี่ไม้ท้อแล้วโยนลงไปบนพื้นดินส่งๆ เดิมคิดอยากจะแสดงเวทกระบี่ขว้างกระบี่ปักลงดินสามส่วน แต่คง เป็ นเพราะเรี่ยวแรงไม่มากพอ หรือมุมองศาไม่ถูกต้อง กระบี่ทิ่มลงได้ พื้นดินแล้วแต่กลับง่อนแง่น สุดท้ายก็ยังร่วงลงพื้นอยู่ดี
ถึงอย่างไรในใจของเซวียหรูอี้ก็ยังมีความขัดเคือง จึงถามว่า “เจ้าสามารถวาดยันต์ซานกวนได้จริงหรือ?”
เมื่อคืนวานนางถามขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นหงและจี้เสี่ยวผิง แล้ว ขุนนางใหญ่ทั้งสองท่านของศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมือง หลวงต่างก็ส่ายหน้า บอกว่ายันต์ประเภทนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมา ก่อน
สุดท้ายผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นหงพูดแค่ว่าบางทีอาจเป็ นผู้เชี่ยวชาญ ด้านยันต์บนยอดเขาที่มีวิชาลับสืบทอดต่อกันมา อีกทั้งยังจาเป็ นต้อง เป็ นห้าขอบเขตบนเท่านั้นถึงจะวาดได้หาไม่แล้วผู้ฝึ กตนสายยันต์ ทั่วไป ต่อให้เป็ นเทพเชียนพสุธาที่ตบะลึกล้าก็อย่าหวังว่าจะวาดยันต์ ออกมาแล้วได้ประสิทธิผลเช่นนี้
นักพรตส่ายหน้า ชี้ไปยังกระบี่ไม้ท้อที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น “วาดยันต์ได้ แต่ไม่มั่นใจนักว่าจะวาดได้สาเร็จ ต่อให้อาศัยยันต์นี้มา เชื่อมโยงหยินและหยางได้ส าเร็จ ข้ามผ่านพวกนายท่านเทพอภิบาล เมือง ภายหลังคิดอยากจะผ่านด่านการตรวจสอบของปรโลกก็ยัง ยากมาก ยกตัวอย่างที่ไม่เข้ากับสถานการณ์นี้ได้ดีอย่างยิ่ง นี่ก็
้
ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการใช ้กระบี่อาญาสิทธิ์ของราชวงศ์ก่อนมา สังหารขุนนางของราชวงศ์ปัจจุบันแล้ว”
เซวียหรูอี้ขนคิ้วตั้งชันทันใด เป็ นนักต้มตุ๋นจริงๆ ด้วย
นักพรตรีบเอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยคว่า “แต่ผินเต้ามีสหายรักอยู่ คนหนึ่งที่ร ้ายกาจอย่างมาก มีวิชาอภินิหารสูงส่งที่แค่ปากขยับพูด คาถาอาคมก็ตามติด ผลลัพธ ์ที่ได้ดีเยี่ยมแทบไม่ต่างจากการเรียก ยันต์ซานกวนมาใช ้”
เซวียหรูอี้หลุดหัวเราะพรีด “คุยโวโดยไม่ต้องร่างคาพูดสินะ? เจ้า จะยังรู ้จักสหายบนภูเขาที่เป็ นเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ขอเทียนจุนอ านวยพร”
นักพรตท ามุทราด้วยมือข้างเดียว “ไม่ใช่ค าพูดส่งเดช สหายบน ภูเขาของผินเต้ามีแต่คนที่เก่งกาจฝีมือล้าเลิศกันทั้งนั้น”
เซวียหรูอี้ซักถามต่อ “ยกตัวอย่างเช่น?”
นักพรตกล่าว “วันหน้าหากมีโอกาสจะแนะน าสหายแซ่จงคน หนึ่งให้แม่นางเซวียได้รู้จัก”
เซวียหรูอี้ถามอย่างสงสัย “เขาเป็ นใคร? คงไม่ใช่ผู้ฝึ กตนบน ท าเนียบของจวนเซียนบางแห่งกระมัง?”
นักพรตยิ้มเอ่ย “เจอหน้ากันก็รู ้ได้แล้ว เป็ นใครไม่สาคัญ วีรบุรุษ ไม่สนใจชาติก าเนิด ผู้กล้าไม่ถามถึงที่มา”
้
เห็นว่านักพรตไม่เหมือนล้อเล่น เซวียหรูอี้ก็เกิดคาถามอย่างใหม่ ขึ้นมาอีก “เจ้าจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นจริงหรือ? คิดจะท าอะไรกันแน่?”
นักพรตกล่าว “สิ่งที่สองตามนุษย์มองเห็นก็คือฟ้ าดิน”
เซวียหรูอี้มึนงง “หมายความว่าอย่างไร?”
นักพรตได้แต่อธิบายว่า “ยอดฝีมือบางท่านกล่าวไว้ว่าผู้ฝึกตน อย่างเราๆ ทาในสิ่งที่ความสามารถอานวย ช่วยเหลือคนตรงหน้าหนึ่ง คนก็เท่ากับช่วยเหลือคนทั้งใต้หล้า”
เดินทางไกลไปนอกฟ้ าครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้พูดคุยกับเจิ้งจวีจง หลี่ซีเพิ่งมากเข้า พอต้องมาคุยกับคนอื่นก็ย่อมมีความอดทนน้อยลง หลายส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เซวียหรูอี้เงียบไปพักใหญ่ “ใครเป็ นคนพูด?”
นักพรตยิ้มกล่าว “อยู่ไกลสุดขอบฟ้ า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า”
เซวียหรูอี้หน้าด าทะมึน
นักพรตเอ่ย “เชื่อว่าแม่นางเซวียก็น่าจะพอมองออกแล้วว่าทุก วันนี้เด็กหนุ่มคนนั้น “ชะตาชีวิตบางเบา” เพียงแค่เพราะชาติกาเนิดมี อุปสรรค ชะตาชีวิตจึงถูกหายนะน้อยใหญ่ถลกดึงสูบกินไปมากมาย ดังนั้นทุกวันนี้คนนอกมอบอะไรให้เขาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเงินทองก็ดี หรืออย่างอื่นก็ช่าง ไม่แน่เสมอไปว่าเด็กหนุ่มจะรับเอาไว้ได้ ง่ายมาก ที่จะเปลี่ยนจากโชคเป็ นเคราะห์ร ้าย มนุษย์ธรรมดายื่นมือให้ความ
้
ช่วยเหลือคนที่ลาบากยากจนได้ไม่เป็ นไร เป็ นทั้งเรื่องดีและเป็ นการ ทาความดีสะสมบุญกุศลและจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน แต่ผู้ฝึกตนผูก วาสนากับมนุษย์ธรรมดา หนึ่งเหมือนทะเลสาบใหญ่ยักษ์ อีกหนึ่ง เหมือนลาธารเส้นเล็ก น้าในทะเลสาบไหลทวนกระแสเข้าสู่ล าธาร หากฝ่ ายหลังมีชะตาชีวิตแข็งแกร่งพอก็จะเหมือนลาธารเล็กที่ท้องน้า กว้างขวาง รับได้ไหว ก็จะเป็ นโชควาสนาตระกูลเซียนอย่างที่บน ภูเขาพูดกัน แต่หากว่าชะตาชีวิตบางเบาก็จะเหมือนน้าท่วมไหลบ่า ท่วมกลบทับสองฝากฝั่งท าร ้ายไปถึงฐานกระดูกและปราณหยางของ คน ก็เป็ นดั่งคากล่าวโบราณที่ว่าไม่มีโชคพอที่จะได้เสวยสุขแล้ว หลักการเหตุผลข้อนี้ไม่ตรวจสอบให้ดีไม่ได้ ต้องระมัดระวังแล้ว ระมัดระวังอีก โชคดีที่ชะตาชีวิตหนาบาง การเพิ่มลดของโชคและ อายุขัยใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียเลย ในความเห็นของผินเต้า เด็กหนุ่มคนนั้นมีชะตาชีวิตบางเบา แต่กลับเป็ นคนที่มีโชคหนาหนัก พูดง่ายๆ ก็คือมีโชคดีในภายหลัง ไม่จ าเป็ นต้องติดค้างสวรรค์ไม่ต้อง ละอายใจแก่พื้นดิน ไม่ขอจากคนอื่นก็คือความร่ารวย ไม่ยอม ศิโรราบให้ผู้ใดก็คือความสูงศักดิ์ นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทาไมเมื่อวานผิน เต้าถึงได้เอ่ยประโยคว่า “สวรรค์จะช่วยคนที่ช่วยเหลือตัวเอง”
เซวียหรูอี้พยักหน้า แต่อันที่จริงนางมองไม่ออกเลยสักนิดว่า ชะตาชีวิตของเด็กหนุ่มคนนั้นหนาหรือบาง นางเป็ นแค่ผีตนหนึ่ง ทั้ง ไม่ใช่นักมองลมปราณ ยิ่งไม่ใช่ขุนนางของศาลเทพอภิบาลเมือง จะ มองชะตาชีวิตที่ลี้ลับมหัศจรรย์พวกนี้ออกได้อย่างไร
้
นางลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ากับจางโหวล่ะ?”
นักพรตยิ้มเอ่ย “จางโหวมีร่มเงาบรรพบุรุษคอยปกป้ อง ตัวเขา เองเหมือนคนที่อยู่ในกรงผ้าโปร่งสีเขียวมรกต แม่นางเซวียมอบโชค วาสนาตระกูลเซียนให้เขา จางโหวก็สามารถรับไว้ได้”
นางถาม “ไม่มีโรคร ้ายทิ้งไว้ภายหลังจริงๆ ใช่ไหม?”
ถึงอย่างไรนางก็เป็ นผี แต่เด็กหนุ่มกลับเป็ นคนในโลกสว่าง
นักพรตกล่าว “หยินหยางจะอยู่แค่เฉพาะสถานที่ไม่อยู่ในใจคน ได้อย่างไร? แม่นางเซวีย อย่าจัดล าดับผิด สลับหัวท้ายล่ะ”
เซวียหรูอี้โล่งอก
เป็ นครั้งแรกที่นางค้นพบว่านักพรตตัวปลอมผู้นี้คล้ายจะพอมี ความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง?
นักพรตถาม “แม่นางเซวีย ด้วยตบะของเจ้า ในเมื่อไม่กลัวสาย ลมท่ามกลางตะวันร ้อนแรง ทาไมถึงยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมจากไปไหน?”
สาหรับแคว้นเล็กห่างไกลอย่างแคว้นอวี้เซวียนนี้ ผู้ฝึ กตน ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งคิดจะหาพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่มี ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมาเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคก็มากพอเหลือแหล่
แม้ว่าเซวียหรูอี้จะเป็ นผี แต่ในเมื่อนางมีความสัมพันธ ์ที่ไม่ตื้น เขินกับขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นและขุนนางหลักกองหยินหยางของ ศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวงในแคว้นหนึ่งได้ คิดดูแล้วก็
้
ต้องไม่ขาดแคลนกุศลคุณความดี อันที่จริงหากนางจะหาสถานที่ดีๆ สักแห่งมาก่อตั้งศาล สร ้างร่างทอง จากนั้นให้ราชสานักแต่งตั้งอย่าง เป็ นทางการ เป็ นเหนียงเนียงเทพภูเขาก็คือทางเลือกที่ดีที่สุด
เซวียหรูอี้พูดอย่างคลุมเครือว่า “ตอนแรกสุดแค่เดิมพันกับคน บางคน ใช ้ใบไม้แดงมาแต่งบทกวีเลียนแบบคนโบราณ แต่บังเอิญถูก คนมาเก็บไปได้ จึงต้องเอ่ยค าสาบานอยู่ในศาลแห่งหนึ่งกับเขา”
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า พัดล้าค่าถูกวางทิ้งไว้ ผิดต่อแสงจันทร ์และ สายลม ใบไม้ผลิจากไปใบไม้ร่วงมาเยือน จักจั่นในหน้าหนาวเศร ้า ระทม ไร ้คาพูดเอื้อนเอ่ย ห่านป่าบินผ่าน ดวงจันทร ์ดุจตะขอ
นักพรตลังเลไปชั่วขณะ ใคร่ครวญหาคาพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ถามว่า “แม่นางเซวียเชี่ยวชาญการอ่าน ประโยคหรือ?”
เซวียหรูอี้ยิ้มกล่าว “พอใช ้ได้ ข้าค่อนข้างสนใจเรื่องของการให้ อรรถาธิบายความหมายของค าศัพท์โบราณ อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรท าก็ ได้อ่านผลงานของปราชญ์ผู้ล่วงลับไปไม่น้อย ท าไม เจ้าอ่านต ารา โบราณเจอจุดที่ยากจะเข้าใจเลยอยากจะขอให้ข้าช่วยแบ่งวรรคตอน ตามความหมายให้หรือ?”
หากว่าต้องการขอความรู ้เรื่องการให้อรรถาธิบายความหมาย ของค าศัพท์โบราณจากนาง เซวียหรูอี้ก็ไม่กลัวเลยจริงๆ นางคิดว่า ตัวเองคือผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง
้
นี่เกี่ยวพันไปถึงเด็กหนุ่มจางโหวที่อยู่บ้านติดกันแล้ว เขาเก็บ รักษาเทียบอักษรที่ “สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ” ไว้ชิ้นหนึ่ง มีตัวอักษร ทั้งหมดสามสิบหกตัว ไม่มีการลงนาม แต่กลับถูกผู้พิพากษาบุ๋นห งเรียกอย่างไพเราะว่าเป็ นสามสิบหกไข่มุก
เทียบอักษรนี้ก็คือรากฐานในการหยัดยืนของเด็กหนุ่ม น่า เสียดายก็แต่คุณสมบัติของจางโหวธรรมดา พัฒนาได้อย่างเชื่องช ้า ทุกวันนี้เพิ่งจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตสองเท่านั้น
และตัวอักษรสามสิบหกตัวนี้ก็สามารถแบ่งวรรคได้สองประโยค เนื้อหาของสองประโยคก็ค่อนข้างเข้าใจยาก นี่เกี่ยวพันไปถึงความ ชานาญในเรื่องการให้อรรถาธิบายความหมายของค าศัพท์โบราณ แล้ว
นางใช ้การแบ่งวรรคตอนของตัวเองมาช่วยอธิบายความหมาย ลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ให้กับจางโหว จากนั้นอิงตามวิธีการชักนาชั้นสูงบท หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวอักษรสามสิบหกตัวมาช่วยให้จางโหวเดินไปบน เส้นทางการฝึกตน
นักพรตยิ้มเอ่ย “ตอนที่อายุน้อยเคยได้ยินสหายคนหนึ่งซึ่งเป็ น กึ่งๆ ผู้อาวุโสพูดถึงความสัมพันธ ์ของตัวอักษร วลี ประโยคและ ความหมาย เขาบอกว่าตัวอักษรทุกตัวประกอบกันเป็ นประโยคล้วนมี น้าหนัก ตอนนั้นแค่ฟังแล้วจาเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้รู ้สึกอะไรลึกซึ้งนัก ภายหลังถึงเพิ่งคนพบว่าผลงานดั้งเดิมของเหวินเซิ่งมี “บทเจิ้งหมิง” (การปฏิบัติงานให้ถูกต้องกับฐานะและชื่อเสียงของตน) อยู่บทหนึ่ง ปี
้
นั้นเคยอ่านเนื้อความช่วงหนึ่งที่บอกไว้ว่าได้ยินชื่อก็รู ้ว่าเป็ นสิ่งใด นี่ก็ คือคุณประโยชน์ของชื่อ อาศัยการสะสมชื่อมาเป็ นบทความ นี่ก็คือ การผสมผสานของชื่อ เมื่อการใช ้งานและการผสมผสานของชื่อ เรียกสอดคล้องกับเงื่อนไข จึงเรียกว่ามีชื่อเสียง’ อ่านมาถึงตรงนี้ ข้า ก็เข้าใจอย่างโจ่งแจ้งในฉับพลัน”
ใบหน้าของเซวียหรูอี้เต็มไปด้วยแววลาพองใจ ชี้ไปยังกระบี่ไม้ ท้อที่อยู่บนพื้นดิน “เลิกพูดมากได้แล้ว รู ้แต่จะโอ้อวดความรู ้ เร็วเข้า ใช ้กระบี่ต่างพู่กัน เขียนเนื้อหาลงไปซะสิ เดี๋ยวข้าจะช่วยแบ่งวรรค ตอนให้เจ้าเอง”
ตอนนี้เฉินผิงอันรู ้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง ไม่รู ้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร ดี ทาเนียบอักษรที่ถูกเซวียหรูอี้และเด็กหนุ่มบูชาไว้เป็ นสมบัติล้าค่า อันที่จริงเนื้อหาไม่ซับซ ้อน ถึงอย่างไรก็มีตัวอักษรแค่สามสิบหกค า และด้านในนั้นก็ได้ซุกซ่อนคาถาชักนายุคบรรพกาลไว้บทหนึ่งจริงๆ อีกทั้งเฉินผิงอันแค่กวาดตามองทีเดียว เห็นความหมายของมันก็ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับหนึ่งในสามภูเขาและกฎระเบียบของ ศาลบุ๋น แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางละโมบอยากครอบครอง “ต ารา เต๋า” ที่มีระดับขั้นเป็ นสมบัติอาคมชิ้นนี้ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่ายอด ฝีมือด้านการให้อรรถาธิบายคาศัพท์โบราณอย่างครึ่งๆ กลางๆ เช่น เซวียหรูอี้นี้ ช่วยแบ่งวรรคตอนให้กับจางโหว พูดไม่ได้ว่านางผิด ทั้งหมด แต่ต้องมีข้อผิดพลาดอยู่แน่นอนต าราเต๋าบนภูเขาส่วนใหญ่ หากพลาดตัวอักษรเดียวก็จะห่างไกลจากหัวข้อที่แท้จริงไปหมื่นลี้
้
ไม่อย่างนั้นทาไมบนภูเขาถึงได้มีผู้ฝึกลมปราณอย่าง “อาจารย์คา เดียว” ได้เล่า?
แล้วก็เพราะเนื้อหาและคาถาที่ซุกซ่อนอยู่ในเทียบอักษรชิ้นนั้นมี ความบริสุทธิ์และเปิดกว้างอย่างมาก หากเป็ นคาถาต าราสวรรค์นอก รีตทั่วไป แล้วจางโหวอาศัยวิธีถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจจากเซวียหรู อี้ไปฝึกตนคาดว่าป่านนี้ก็คงเดินทางผิด ถูกธาตุไฟเข้าแทรกไปนาน แล้ว แม้ว่าคุณสมบัติของจางโหวจะธรรมดา ไม่ถือว่าเป็ นผู้มี พรสวรรค์ด้านการฝึ กตน อะไร ในอนาคตยากมากที่จะเลื่อนเป็ น ขอบเขตถ้าสถิตได้ แต่ภายใต้การถ่ายทอดมรรคาจากเซวียหรูอี้ เด็ก หนุ่มฝึกเวทชี้นาบทนี้มาตั้งแต่เด็ก ผลคือจนถึงทุกวันนี้เพิ่งจะเป็ นผู้ ฝึกลมปราณขอบเขตสอง นี่ก็สามารถบอกกล่าวถึงปัญหาได้อย่าง ชัดเจนแล้ว
เฉินผิงอันครุ่นคิด ช่างเถิดๆ อย่างมากก็แค่ถูกไล่ออกจากบ้าน เพราะอีกฝ่ ายเห็นว่าเขามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็เท่านั้น เขาจึงพูดอย่าง ตรงไปตรงมาว่า “แม่นางเซวีย เจิ้งซือหนง เจิ้งจังผู้นั้น แน่นอนว่าเป็ น ผู้รอบรู ้ด้านการศึกษาคัมภีร ์ที่มีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ใน ประวัติศาสตร ์ของลัทธิขงจื๊อ สายของการให้อรรถาธิบายค าศัพท์ โบราณ ในรายละเอียดหลายๆ อย่างเขามีส่วนที่ทิ้งไว้เพื่อรอการ ปรึกษาหารือค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่นการวรรคประโยคบางตอน ของเขาเคยท าให้อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นคนหนึ่งที่แซ่เจิ้งเหมือนกัน
้
ไล่โต้แย้งไปทีละคาทีละประโยค ดังนั้นหากแม่นางเซวียใช ้วิธีอ่าน ประโยคตามจังซือหนง…”
สายตาของเซวียหรูอี้ดามืด “เจ้าเคยเห็นเทียบอักษรฉบับนั้น หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยเห็น ข้ายังรู้ด้วยว่าด้านในเทียบอักษร ซุกซ่อนเวทชี้นาไว้บทหนึ่ง”
เขวียหรูอี้เงียบไป
อี่ มู่ ตั๋ว ซิว ฮว่อ จิ้น ฝาน ปัง จือ ซื่อ ปี กง จง เมี่ยว จง เจ๋อ จื๋อ จู้ ตง เจียน อวี๋ ไห่ ซี เป้ ย อวี๋ หลิว ซา ซั่ว หนัน จี้ เซิง เจี้ยว ชี่ อวี๋ ซื่อ ไห่
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปกวัก บังคับกระบี่ไม้ท้อมาไว้ในมือ แล้ว เริ่มเขียนตัวอักษรสามสิบหกค าลงไป ช่วยแบ่งวรรคให้ ขณะเดียวกัน ก็อธิบายให้นางฟังว่าท าไมถึงต้องแบ่งวรรคเช่นนี้
“เจิ้งซือหนงแบ่งสิบแปดคาแรกเป็ นสามวรรค หนึ่งในนั้นคาว่า “ฮว่อจิ้น” (ป้ องกันไฟไหม้) หากแยกกันอ่าน ความหมายจะอธิบาย ไม่ได้ ผลงานของหลี่เพิ่งจะเห็นคาว่า “ซิวฮว่อจิ้น (ระเบียบและ มาตรการป้ องกันอัคคีภัย) บ่อยๆ นี่ก็คือหลักฐานว่าสามคานี้เชื่อมต่อ กันแต่หากอิงตามค าอธิบายของเจิ้งซือหนง หน้าที่ของขุนนางใน พระราชวังสมัยโบราณตรงส่วนนี้จะกว้างเกินไป เป็ นเหตุให้การที่เจิ้ง ซือหนงอธิบายคาไว้เช่นนี้จึงถูกอริยะปราชญ์อีกท่านโต้กลับมา
้
โดยตรงว่า ไม่เป็ นคา” ไม่เป็ นคาก็คือไม่เข้าท่า สาหรับบัณฑิตแล้วนี่ เป็ นการวิจารณ์ที่แรงมากแล้ว”
“ส่วนสิบแปดตัวอักษรด้านหลัง อันที่จริงภายในศาลบุ๋นก็มีการ โต้แย้งกันมาโดยตลอด ทะเลาะกันมาหลายร้อยปีแล้วจริงๆ แต่หากอิง ตาม…ความเห็นของเหวินเซิ่งและอาจารย์สวี่ จื้อเซิ่งที่อธิบายคาว่า ‘จี้’ และ ‘ชี่’ เอาไว้ก็น่าจะไม่ผิดไปแล้ว จี้คือดวงตะวันลอยขึ้นอธิบาย ถึงแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปทั่ว ขี่มีความหมายเหมือนคาว่าซี่ที่แปลว่า เดินตรง เป็ นเหตุให้การแบ่งวรรคประโยคที่ค่อนข้างเหมาะสมควรจะ เป็ น “ตงเจี่ยนอวี๋ไห่ (ตะวันออกขยายยาวสู่มหาสมุทร) ซีเป้ าอวี๋หลิว ซา (ตะวันตกแผ่ยาวถึงทะเลทราย) ซั่วหนันจี้เซิง เจี้ยวชี่ อวี่ซื่อไห่ (ค าสอนของนิกายซั่วหนันแผ่ขยายไปทั่วสี่ดินแดน)” ด้วยเหตุนี้จึงทา ให้มีความหมายแผลงออกไปอีก ก็คือ “สถานที่ที่แสงตะวันสาดส่อง ไปถึงล้วนปฏิบัติตามค าสอนของนิกายนี้”
“ดังนั้นเวทชี้นาของจางโหว ด้านบนถ้าสถิตส่วนศีรษะ วิชาเปิด ประตูสวรรค์รับแสงตะวันเข้ามา ในฐานะวิชาเปลวเพลิงหล่อหลอม ดวงอาทิตย์ มองดูเหมือนแสวงหาภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่โอฬารที่ ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภา จากนั้นอาศัยการชักนาแสงตะวันมาเป็ น เส้นตรง เที่ยงวันของทุกวันจางโหวปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องลงกลาง กระหม่อม เพื่อเชื่อมโยงทัศนียภาพภายนอกเข้ากับภายใน แต่ แท้จริงแล้วถ้าสถิตผิดจุด เส้นทางที่แสงตะวันสาดส่องก็ผิด หากฝึก ตนหลอมลมปราณไปตามลาดับขั้นตอนเช่นนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นถูกธาตุ
้
ไฟเข้าแทรก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง หลักการเหตุผล ก็เรียบง่ายมาก ลองนึกถึงที่พักในโลกมนุษย์นอกจากบ้านซึ่งมี เพดานเหลี่ยมเปิดอ้ากลางบ้านรับน้าจากสี่ทิศไหลรวมสู่โถงเดียวกัน ซึ่งเป็ นข้อยกเว้น หาไม่แล้วมีบ้านหลังไหนที่เปิดหลังคาอ้าไว้อีก จะ บังลมบังฝนได้อย่างไร…”
เซวียหรูอี้เดี่ยวๆ ก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวๆ ก็คล้ายจะเข้าใจ
“นักพรตตัวปลอม” ที่พูดเจื้อยแจ้วเช่นนี้ อู๋ตีก็ดี เฉินเจี้ยนเสียนก็ ช่าง เป็ นแค่หนึ่งในร่างแยกของเฉินผิงอันเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันใช ้วิชายันต์แบ่งจิตวิญญาณไปสิงอยู่ใน ยันต์หุ่นเชิดแต่ละแผ่นแยกย้ายกันไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของแจกัน สมบัติทวีป
ยกตัวอย่างเช่น “นักพรต” ตัวปลอมที่อยู่ในเมืองหลวงของ แคว้นอวี้เซวียนผู้นี้ที่เวลาปกตินอกจากตั้งแผงดูดวงแล้วก็ยังศึกษา วิชาลัทธิเต๋าที่เทียนซือใหญ่ต่างแช่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ถ่ายทอดให้ กันอย่างลับๆ แล้วก็เพราะมีเทียบอักษรชิ้นนี้อยู่ เขาที่ปล่อยให้วาสนา นาพาจึงเริ่มลงมือศึกษาการให้อรรถาธิบายความหมายของคาศัพท์ โบราณอย่างลึกซึ้ง