กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1011.5 ใครไม่ใช่นกขมิ้น
เนื้อหาในสมุดบันทึกการท่องเที่ยวเล่มนั้น ยอมเชื่อว่าเป็ นจริง แต่ไม่เชื่อว่าไม่จริง
ลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ ล้วนเป็ นบุรุษเหมือนกัน ไม่ เจ้าชู้ก็ย่อมผิดต่อวันเวลายามเป็ นหนุ่ม มีสาวงามคนรู ้ใจหลายคน หน่อยก็เป็ นเรื่องปกติอย่างมาก ไม่มีสิถึงจะแปลก
ใบหน้าของกวอฮุ่ยเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย ถามอย่างใคร่รู ้ว่า “บันทึกท่องเที่ยวอะไร? เนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิ่นกวานผู้นั้นหรือ? ต ารา แบบนี้ก็จัดพิมพ์ออกขายได้ด้วยหรือไร?”
ใบหน้าแก่ๆ ของป๋ ายหนีแดงก่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ก็แค่ตารา เบ็ดเตล็ดที่ไม่รู ้ว่าใครเขียนขึ้นมาอย่างส่งเดชเท่านั้น กลิ่นอายเครื่อง ประทินโฉมเข้มข้นไปหน่อย ไม่มีอะไรให้น่าอ่านหรอก”
บนเรือลาหนึ่งในลาคลอง เซียนกระบี่ผู้อาวุโสสองคนที่มาจาก ส านักเดียวกัน แต่ล าดับอาวุโสต่างกันแค่รุ่นเดียวมารวมตัวกันอย่าง ลับๆ อยู่ที่นี่
แขวนม่านบังตาไว้แถบหนึ่ง ก็คือตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้าที่ เอาไว้ป้ องกันหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง
คือเจ้าแห่งยอดเขาสองคนของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเซี่ยหย่วน ชุ่ยแห่งยอดเขาหม่านเยว่กับเยี่ยนฉู่แห่งยอดเขาสุ่ยหลง
“เยี่ยนฉู่ เจ้ายังไม่ได้อธิบายให้เซี่ยโหวจ้านฟังอย่างชัดเจนอีก หรือ?”
“บรรพจารย์เซี่ย ลูกศิษย์ของข้าคนนี้เฉลียวฉลาดมากพอ ปาก ก็ปิ ดได้แน่นสนิท แต่ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือทาอะไรไม่ เด็ดขาดมากพอ จนถึงทุกวันนี้ที่เขายังไม่อาจเลื่อนเป็ นโอสถทองได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ความลับประเภทนี้เขาไม่มีทางช่วยได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด ปัญหาแทรกซ้อน เพราะถึงอย่างไรจู๋หวงก็ไม่ใช่คนโง่ หากเขาสังเกต พบเบาะแสก็จะไม่ดีแล้ว”
เซี่ยหย่วนชุ่ยหรี่ตามองไกลไปยังภูเขาไฉอวี้ “ก็แค่สายแร่หยก หินที่ขุดม าน านหล ายร ้อยปี สายหนึ่ งเท่านั้น ตี้ซือแห่งกอง โหราศาสตร ์ของแคว้นชิงหลิง ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ประเมินราคาของ ปริมาณแร่ที่เหลืออยู่ไปคร่าวๆ มีมูลค่าประมาณร ้อยกว่าเหรียญเงิน ฝนธัญพืช ทั้งเสียเวลาทั้งเปลืองแรง อันที่จริงหากยกให้กวอฮุ่ยเฟิง ไปก็ไม่เห็นจะเป็ นไร ถึงอย่างไรภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็ได้ส่วน แบ่งก้อนไม่เล็กมาทุกปีอยู่แล้ว ก็ถือเสียว่าให้เป็ นเงินเดือนจ้างคนมา ขุดภูเขาไปก็ได้ ประเด็นส าคัญคือกวอฮุ่ยเฟิงผู้นี้ดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่รู ้จัก เห็นแก่ส่วนรวม มักจะคิดอยากขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับภูเขา ตะวันเที่ยงอย่างชัดเจนเสมอ เอานางมาเชือดไก่ให้ลิงดูได้พอดี อาศัย
โอกาสครั้งนี้มาทาให้กวอฮุ่ยเฟิ งสูญเสียชื่อเสียง แล้วค่อย ประคับประคองสายภูเขาจีจู๋ขึ้นมา พรรคกิ่งไผ่ก็ต้องยอมทาสัญญา ภูเขาเบื้องบนภูเขาเบื้องล่างกับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราอย่าง แน่นอน พรรคใต้อาณัติที่เหลือล้วนมีแต่พวกหญ้ายอดก าแพง แค่ได้ เห็นสภาพอเนจอนาถของกวอฮุ่ยเฟิงก็จะว่าง่ายกัน มากขึ้น”
“จะบีบให้นางแตกหักกับจู๋หวงอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร?”
“ข้าย่อมมีแผนการอันแยบยล เจ้าแค่รอดูเรื่องสนุกไปก็พอ”
“บรรพจารย์เซี่ย ทางฝั่งของตีนเขายอดเขาอวี่เจี่ยวนั่น อวี่หลิ่น เชื่อถือได้หรือ?”
“ข้ารับปากว่าหากท าส าเร็จจะให้เขารับต าแหน่งเป็ นผู้คุมกฏของ พรรคกระบี่จู๋หวงภูเขาเบื้องล่าง อวี่หลิ่นย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ”
“แต่ข้ามักรู ้สึกว่าเจ้าเด็กนี่เป็ นหมาป่ าตาขาว เป็ นพวกเนรคุณ มาตั้งแต่เกิด”
“พวกเนรคุณ? ก็ไม่ได้ดีมากหรอกหรือ หลังเรื่องราวยุติลงแล้ว เขาจะเนรคุณไปได้ถึงเพียงใดกันเชียว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยิ้มมองเยี่ยนฉู่ “เนรคุณจู๋หวง ก่อนแล้วค่อยมาเนรคุณข้า? เขาที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเนี่ยนะ?”
เยี่ยนฉู่ฟังความนัยในประโยคนี้ของบรรพจารย์ออก สีหน้าจึง กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “บรรพจารย์เซี่ยประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้า
จะมีชะตาเป็ นเจ้าสานักได้อย่างไรกัน ยิ่งไม่มีความทะเยอทะยานและ ความสามารถนี้ อายุมากแล้ว ตัวเองมีความสามารถที่จินกี่ตาลึงข้า ย่อมรู ้ชัดเจนดี ในอนาคตข้าสามารถใช ้สถานะของผู้คุมกฏส านัก เบื้องบนไปรับหน้าที่เป็ นเจ้าขุนเขาของภูเขาเบื้องล่างได้ก็พอใจมาก แล้ว”
“อวี่หลิ่นเป็ นคนฉลาด บอกนิดเดียวก็เข้าใจได้กระจ่าง ข้าไม่ จ าเป็ นต้องพูดอะไรให้แจ่มแจ้งด้วยซ้า หากว่าเขาไปหาจู๋หวงแล้วใส่ ร้ายว่าบรรพจารย์เฒ่าอย่างข้าคิดวางแผนช่วงชิงต าแหน่ง ข้ากลับจะ รู ้สึกนับถือในความกล้าและความเด็ดเดี่ยวของเจ้าเด็กนี่”
เซี่ยหย่วนชุ่ยพลันยิ้มตาหยี “เยี่ยนฉู่ หากภูเขาเบื้องล่างสามารถ เลื่อนขั้นเป็ นสานักได้เจ้าต้องออกจากต าแหน่งผู้คุมกฏของส านัก เบื้องบนก่อน”
เยี่ยนฉู่เห็นว่าเซี่ยหย่วนชุ่ยไม่เหมือนพูดล้อเล่น สายตาของ ก่อกาเนิดเฒ่าผู้นี้ก็เปลี่ยนมาฉายประกายเร่าร้อนทันใด กล่าวอย่าง หนักแน่นว่า “ไม่มีปัญหา!”
เจ้าสานักของสานักเบื้องล่างแล้วอย่างไร ก็เป็ นเจ้าสานักของ สานักหนึ่งอย่างจริงแท้แน่นอนเหมือนกัน!
สามพันปีที่ผ่านมา ในแจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีสานักกี่สานักกัน เชียว แล้วมีสักกี่คนที่เคยได้รับต าแหน่งเจ้าส านัก?
ก่อนหน้านี้ในการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งหนึ่ง เซี่ยหย่วนชุ่ย พลันเสนอว่าผู้ฝึกกระบี่ในยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง ไม่ ว่าจะชายหญิงแก่หรือเด็ก ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่า ชาติกาเนิดมา จากสายใด ขอแค่ตัวเองเต็มใจก็สามารถไปสร ้างคุณความชอบออก กระบี่สังหารปีศาจอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างได้ อีกทั้งเขาเซี่ยหย่วนชุ่ย และยอดเขาหม่านเยว่ก็สามารถน าพากลุ่มคนอาศัยช่องทางกุยซวี แห่งหนึ่งโดยสารเรือข้ามใต้หล้าเดินทางไกล
พอเขาเอ่ยเช่นนี้ คนทั้งห้องโถงก็ส่งเสียงฮือฮา ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า หลายคนที่ชินกับพอมีการประชุมก็ชอบออกจากห้องประชุมกลางคัน พลันมองบรรพจารย์ที่ปิดด่านมานานหลายปีผู้นี้สูงขึ้นกว่าเดิม
ทว่าเจ้าส านักจู๋หวงกลับบอกว่านี่เป็ นเรื่องใหญ่ จาเป็ นต้อง วางแผนกันในระยะยาว
เพียงไม่นานจู๋หวงก็มาเยือนยอดเขาหม่านเยว่ บ่นอาจารย์อาว่า เหตุใดถึงตัดสินใจเองโดยพลการไม่ปรึกษากันก่อน
เซี่ยหย่วนชุ่ยจึงบอกว่าก็แค่ออกเดินทางไกลไปหาประสบการณ์ เท่านั้น ไม่ได้จะกระโจนลงสนามรบจริงๆ เสียหน่อย ต่อให้ต้องเข่นฆ่า กับเผ่าปีศาจ เขาก็มีการเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็จะ สามารถเปลี่ยนความรู ้สึกที่แจกันสมบัติทวีปมีต่อภูเขาตะวันเที่ยงของ พวกเขาได้แล้ว จู๋หวงเงียบไม่เอ่ยอะไร ตอนที่จากไปก็ยังมีท่าทางอัด อั้นอย่างเห็นได้ชัด
ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ โดยเฉพาะพวก ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่อยู่ในวัยกาลังเลือดร ้อนทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ พอใจในตัวเจ้าส านักจู๋หวงอย่างมาก รู ้สึกว่าจู๋หวงที่เป็ นเจ้าสานัก เผชิญหน้ากับการมาร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่วในครานั้นกลับ แสดงออกอย่างขลาดกลัว ยอมถอยให้อีกฝ่ ายทุกเรื่อง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งข้อตกลงตั้งป้ ายศิลาไว้ที่ริมอาณาเขตกับภูเขาลั่วพั่วที่ยิ่งถูก พวกเขามองเป็ นความอัปยศที่ไม่เคยมีมานานเป็ นพันปี ของภูเขา ตะวันเที่ยง
บวกกับเรื่องที่ภูเขาตะวันเที่ยงพยายามสร ้างสานักเบื้องล่างซึ่งก็ จบลงอย่างค้างคาเช่นกัน การจากไปอย่างกะทันหันของทูต ผู้ตรวจการเฉาผิงก็ชัดเจนว่าราชส านักต้าหลีเลือกที่จะเข้าข้างภูเขา ลั่วพั่ว
ในเรื่องของชื่อเสียง ภูเขาตะวันเที่ยงได้กลายไปเป็ นตัวตลกของ คนทั้งทวีปแล้ว สานักวิถีกระบี่ใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งที่เดิมที่ควรเป็ นตะวัน อยู่กลางนภาในแจกันสมบัติทวีป ทว่าทุกวันนี้พวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ กลับไม่มีหน้าจะลงจากภูเขาออกไปหาประสบการณ์แล้ว
ในเรื่องของผลประโยชน์ ประหนึ่งการใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า เดิม ทีมีหวังที่จะเป็ นสถานการณ์ของหนึ่งภูเขาสองสานัก กลับกลายเป็ น เพียงฟองอากาศ ข้อดีและผลประโยชน์มากมายจากการได้ ครอบครองสานักเบื้องล่างล้วนกลายเป็ นเพียงความเพ้อฝัน
พูดง่ายๆ ก็คือจู๋หวงที่นับตั้งแต่เปลี่ยนจากเจ้าขุนเขามาเป็ นเจ้า สานัก ชื่อเสียงส่วนตัวก็ดิ่งลงก้นเหวเรื่อยๆ
หากว่าภูเขาตะวันเที่ยงมีจู๋หวงเป็ นผู้ฝึกกระบี่ที่เป็ นห้าขอบเขต บนคนเดียว อันที่จริงไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ล้วนมิอาจสั่นคลอน ต าแหน่งเจ้าส านักของจู๋หวงได้
ทว่าเซี่ยหย่วนชุ่ยอาจารย์อาของจู๋หวงดันบังเอิญเป็ นเซียนกระบี่ ขอบเขตหยกดิบ
“บรรพจารย์เซี่ย ทางฝั่งเถาแยนโปว่าอย่างไร?”
“แน่นอนว่าย่อมเกิดความขัดเคืองอาฆาตต่อศิษย์หลานของข้า คนนั้น ยังไม่พูดถึงการปิดภูเขาหกสิบปี ตัวเขาเองก็ถูกบีบให้ต้องปิด ด่านทบทวนความคิด ไม่ว่าเปลี่ยนมาเป็ นใครก็ต้องรู้สึกว่าเป็ นความ อัปยศอย่างใหญ่หลวงด้วยกันทั้งนั้น นับประสาอะไรกับที่ในใจเถา แยนโปก็รู้ดีว่า หากคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาจากเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้น ขอแค่จู๋หวงยังเป็ นเจ้าขุนเขาหนึ่งวัน นั่นก็เป็ นแค่ความเพ้อฝันของ คนปัญญาอ่อน จ าเป็ นตองเปลี่ยนราชสานักเปลี่ยนรัชสมัยถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นปิดภูเขาหกสิบปี ไม่ว่าตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่คนใดก็แย่งชิง มาไม่ได้ ภูเขาชิวลิ่งก็จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ภูเขาของนังหนูจาก หอกั่วอวิ๋นผู้นั้นก็คือบทเรียนที่ดี”
เยี่ยนฉู่พยักหน้า เถาแยนโปมีเหตุผลที่จะเป็ นสุนัขจนตรอก อยากกระโดดข้ามก าแพงจริงๆ
มียอดเขาสุ่ยหลงของตน บวกกับยอดเขาหม่านเยว่ของบรรพ จารย์ขอบเขตหยกดิบตรงหน้าผู้นี้ รวมไปถึงภูเขาชิวลิ่งของเถาแยน โป เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงยอดเขาอื่นๆ แล้ว จู๋หวงที่อยู่ในภูเขา ตะวันเที่ยง นอกจากสายของภูเขาบรรพบุรุษแล้ว เขาก็แทบจะเป็ น หญิงหม้ายเด็กกาพร ้าอย่างสมชื่อแล้ว
เซี่ยหย่วนชุ่ยยิ้มกล่าว “บอกตามตรง หากว่าข้าอยู่ในตาแหน่ง ของจู๋หวง ในฐานะที่เป็ นเจ้าสานัก เผชิญหน้ากับการร่วมงานพิธีที่อีก ฝ่ ายมีการเตรียมการมาก่อนทั้งยังบุกมาด้วยพลังอานาจดุดันเช่นนั้น เกรงว่าตัวข้าเองก็คงท าไม่ได้ดีกว่าเขาไปยังไง”
ส่ายหน้าแล้วเซี่ยหย่วนชุ่ยก็จุ๊ปากกล่าว “ต้องโทษที่ชะตาชีวิต ของศิษย์หลานของข้าไม่ดี ข้าที่เป็ นอาจารย์อาก็ได้แต่ช่วยแบ่งเบา ภาระให้เขาแล้ว”
ตอนที่จู๋หวงเป็ นขอบเขตก่อกาเนิดได้เจอกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวน ลมฟ้ า รอกระทั่งเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบได้ไม่นานเท่าไรก็เจอกับ คนหนุ่มสองคนนั้นอีก
เยี่ยนฉู่ยกจอกเหล้าขึ้น “ขออวยพรล่วงหน้าให้บรรพจารย์เซี่ย ได้เปลี่ยนเก้าอี้นั่ง!”
เซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยกจอกเหล้าขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดี”
เยี่ยนฉู่พลันตบบ้องหูตัวเองเบาๆ “อันที่จริงตอนนี้ควรจะเรียกว่า เจ้าส านักเซี่ยได้แล้ว”
เซี่ยหย่วนชุ่ยแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ต่างคนต่างดื่มเหล้าในจอก จนหมด
ภูเขาจีจู๋ของพรรคกิ่งไผ่ ในเรือนพักที่เงียบสงบไม่สะดุดตาแห่ง หนึ่ง ผู้ฝึกตนหญิงวัยชราคนหนึ่งกาลังรอคอยแขกสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ให้มาเยือน
นางก็คือเจ้าแห่งยอดเขาของสายภูเขาจีจู๋ เป็ นอาจารย์ของเหลี ยงอวี้ผิง แล้วก็เป็ นบรรพจารย์ผู้คุมกฏคนปัจจุบันของพรรคกิ่งไผ่
และแขกที่ว่านั้นก็คือจู๋หวง
ในพรรคกิ่งไผ่ หลังจากที่กวอฮุ่ยเฟิงรับต าแหน่งเจ้าประมุขพรรค แล้วก็ค่อยๆ มีการแบ่งสายออกเป็ นภูเขาไฉอวี้กับภูเขาจีจู๋ ไม่อาจ บอกได้ว่าทั้งสองฝ่ ายเป็ นเหมือนน้ากับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่ก็มีคลื่น ใต้น้าอยู่ตลอด อันที่จริงความแตกแยกที่เป็ นสาเหตุสาคัญที่สุดนั้น อยู่ที่ว่าสรุปแล้วพรรคของพวกเขาจะค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากภูเขา ตะวันเที่ยง สุดท้ายหลุดพ้นจากการอยู่ใต้สังกัด หรือจะเลือกทุ่มหมด หน้าตักสวามิภักดิ์กับภูเขาตะวันเที่ยงดี
ในมือของจู๋หวงถือมีดตัดกระดาษด้ามไผ่เหลืองที่หลอมจากบน ภูเขาเล่มหนึ่ง
ตระกูลปัญญาชนล่างภูเขาส่วนใหญ่มักจะเอาไปใช ้ตัดกระดาษ เซวียนจื่อ ทว่ามีดในมือของจู๋หวงเล่มนี้กลับตัดได้ทั้งทองและหิน
จู๋หวงวางมีดตัดกระดาษใส่ไว้ในกล่องไม้ที่รูปร่างเหมือนพิณ โบราณอีกครั้ง ยื่นส่งให้ผู้ฝึกตนหญิงพร ้อมกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบ ให้เจ้าแล้ว”
นางรับมีดมา
แค่ใช ้ความคิดเล็กน้อยนางก็รู ้แล้วว่าหมายความว่าอะไร ต้องการให้นางช่วยผลักดันคลื่นนั่นเอง
เขาคิดจะยืมมีดฆ่าคน
จู๋หวงคลี่ยิ้ม “อย่าคิดมาก ของขวัญก็เป็ นแค่ของขวัญ เจ้าไม่ ต้องทาเรื่องอะไรที่เกินความจาเป็ น มิเช่นนั้นจะเป็ นการทาให้เสียเรื่อง อีกอย่างกว่าเจ้าจะมีที่ให้ลงหลักปักฐานได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กับกวอฮุ่ย เฟิงก็ยังเป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ไยต้องเข่นฆ่ากันเองด้วยเล่า ข้ากลับ หวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถช่วยกวอฮุ่ยเฟิงได้สักครั้ง หลีกเลี่ยง ไม่ให้ความวุ่นวายครั้งนี้มีจุดจบที่พลาดแล้วพลาดเลยไม่อาจแก้ไขได้ อีก คนผู้นั้น เมื่อเทียบกับเจ้า และแน่นอนว่าเทียบกับข้าด้วย ย่อม ฉลาดกว่ามากนัก”
นางประหลาดใจอย่างมาก หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ก็ใช ้เสียงในใจถามว่า “เจ้าส านักแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกวันนี้คนผู้นั้น จะต้องซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทั้งยังจะต้องมายุ่งเรื่องครั้งนี้ ด้วย?”
“ลางสังหรณ์”
“ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก คนผู้นั้นจงใจมองดูดายอยู่เฉยๆ เจ้า ส านักจะท าอย่างไร?”
จู๋หวงกล่าวอย่างเฉยเมย “ขอแค่เซียหย่วนชุ่ยตายไป พวกคนไร้ ประโยชน์อย่างเยี่ยนฉู่เถาแยนโปที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเลื่อนเป็ นห้า ขอบเขตบนได้จะสร ้างคลื่นมรสุมอะไรขึ้นมาได้อีกเล่า”
ในนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จู๋หวงไม่ได้บอกกล่าวกับผู้ฝึกตนหญิง ก็ คือภายใต้คาสั่งของเขา เถาแยนโปแห่งภูเขาชิวลิ่งถึงได้เป็ นฝ่ ายไป สมคบคิดกับอาจารย์อาท่านนั้น
กลับเป็ นอวี่หลิ่นแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยวที่ฉลาดกว่าที่จู๋หวงคิดไว้ มากนัก เขาถึงกับกล้าเป็ นฝ่ ายเปิ ดโปงการกระทาที่คิดจะช่วงชิง อ านาจของอาจารย์อาให้เขารู้
ริมล าธาร จือเค่อฝ่ายนอกที่มีชื่อว่าเฉินจิ้วกาลังเริ่มตกปลา
ป๋ ายหนีบอกลากับเจ้าประมุขแล้วก็ย้อนกลับมาที่หาดโปรย ดอกไม้เพียงล าพัง พบว่าเจ้าเฉินจิ้วผู้นี้รู ้จักแอบอู้ ถึงกับมานั่งยองอยู่ ข้างต้นดอกซิ่ง สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อกระทืบเท้าเบาๆ ข้างเท้ายังมีเหล้ากาหนึ่งที่เหลือจากในงานเลี้ยง ถูกเขาหยิบติดมือมา สายตามองจ้องเป๋ งไปที่ผิวน้า
ผู้เฒ่าก้าวเดินมาที่ริมลาธาร ยิ้มเอ่ยว่า “อย่าลืมเหล้าซงจือสอง กาล่ะ”
เฉินจิ๋วเงยหน้าขึ้น “อะไรนะ?”
ลุงป๋ ายนั่งลงด้านข้าง แล้วก็ไม่ถือสาที่เจ้าเด็กนี่แกล้งโง่ใส่ เงย หน้ามองไปที่ต้นซิ่งแล้วทอดถอนใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เฉินจิ้ว ปี นั้นตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในพรรคกิ่งไผ่ จาได้ว่าครั้งแรกที่ติดตาม อาจารย์มายังภูเขาไฉอวี้ลูกนี้ เดินเล่นไปตลอดทางก็รู ้สึกว่าดอกซึ่งที่ ผลิบานสะพรั่งอยู่ริมลาคลอง น่ามองก็น่ามองอยู่หรอก แต่พอนึกถึง ค าพังเพยประโยคหนึ่งของบ้านเกิดก็รู ้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร ท้อเลี้ยง คนซิ่งทาร ้ายคน ใต้ต้นหลีฝังคนตาย ตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องข้อห้าม อะไรจึงพูดกับอาจารย์ไปตรงๆ อาจารย์กลับบอกข้าว่าล่างภูเขามีค า กล่าวของล่างภูเขา บนภูเขากลับมีเหตุผลของบนภูเขา อีกทั้ง หลักการเหตุผลนี้ไม่เพียงแต่ไม่ผิด กลับยังมีความหมายที่ดีเยี่ยม อย่างมาก”
ลุงป๋ ายยิ้มถาม “รู ้หรือไม่ว่าหลักการเหตุผลบนภูเขาข้อนี้คือ อะไร?”
บุรุษส่ายหน้า “ท่านลุงป๋ าย ข้าจะเดาออกได้อย่างไร”
ลุงป๋ ายพยักหน้า “ปีนั้นข้าก็พูดกับอาจารย์อย่างนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภายหลังก็ได้คาตอบแล้วหรือ?”
สีหน้าของลุงป๋ ายพลันแปรเปลี่ยน สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย กล่าวอย่างเกียจคร ้านว่า “แค่บังเอิญเปิดตาราไปเจอเรื่องเล่าเรื่อง หนึ่ง เล่าลือกันว่ามีเจินเหรินกระดูกขาวคนหนึ่งที่เหนือสามัญไกล
ห่างจากผู้คนเคยนอนหลับยาวอยู่ใต้ต้นหลีต้นหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ พิสูจน์มหามรรคาของความเป็ นอมตะมิดับสูญ”
สายตาของเฉินผิงอันมองตรงไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ “เจ้าลัทธิลู่มี เวลาว่างขนาดนี้เชียวหรือ?”
ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายเห็นได้ชัดว่าถูกวิชาลับของลู่เฉินสิงร่างแล้ว
ลู่เฉินรีบยื่นนิ้วมาวางไว้บนปาก “อย่าเอะอะไป พวกเราสองคนจะ ได้คุยกันหลายๆ ประโยคหน่อย!”
“ขอถามเจ้าลัทธิลู่ หาข้าเจอได้อย่างไร?”
“เสี่ยงดวงเอา!”
“ไม่บอกก็ช่างเถอะ เชื่อว่าอีกไม่นานหลี่เซิ่งก็จะต้องมาที่นี่แล้ว จ าไว้ว่าพอไปถึงสวนกงเต๋อก็ช่วยข้าดูหน่อยว่าทุกวันนี้ฝีมือการตก ปลาของหลิวชาเป็ นอย่างไรบ้างแล้ว”
ลู่เฉินกล่าวอย่างจนใจ “การที่ผินเต้าแอบมาที่ไพศาลก็เพราะทน ไม่ไหวอยากถามเรื่องหนึ่ง จะได้ยืนยันกับเจ้าให้แน่ใจ สรุปแล้วบน โลกมีเวลาหรือไม่ เกิดจากการหยุดนิ่งจานวนนับไม่ถ้วนที่ประกอบ กันขึ้นมาเป็ นหนึ่งใช่หรือไม่?”
“ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกไม่ควรปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจ หรอกหรือ?”
“ก็ได้ ข้ากลัวเจ้าแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาหน่อย พวกเรา สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างเปิดเผย เจ้าจับกายปลอมร่างหนึ่งของข้าไป ใช่ไหม?”
“ใช่”
“…”