กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1012.1 ตะวันรอนสาดส่องหมื่นภูเขาม่วงเขียว
ช่วงเที่ยงวัน ดวงตะวันลอยอยู่กลางฟ้ า
เฉินผิงอันวางคันเบ็ดไว้บนพื้น ลุกขึ้นยืน เขี่ยปลายเท้าเกี่ยวกา เหล้าขึ้นมา จิบเหล้าดื่มหนึ่งอึก “เดินไปคุยกันไป”
ลู่เฉินจึงพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างร่างของผู้เฒ่าชั่วคราว พูดคุยพลางเดินเล่นไปกับเฉินผิงอันอยู่ริมล าธาร
ในสายตาของคนนอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะท่านลุงป๋ ายที่เป็ น ขุนนางผู้ขุดเหมืองของภูเขาไฉอวี้ก็สนิทสนมกับเฉินจิ้วจือเค่อฝ่ าย นอกอยู่แล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ก็แค่ภาพลวงตาที่เกิดจากจินตนาการเท่านั้น ไยเจ้าลัทธิลู่ต้องระดมก าลังใหญ่โต ยอมละเมิดกฎของศาลบุ๋นแฝง ตัวเข้ามาในใต้หล้าไพศาลโดยพลการ เว้นเสียจากว่า…”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยต่อประโยคจากเขา “เว้นเสียจากว่าเดิมทีผินเต้าก็มี จิตธรรมหนึ่งที่ไม่เคยได้เก็บกลับมา ล่องลอยอยู่ในไพศาลมาเนิ่น นาน ในเมื่อผินเต้าไม่ได้เดินทางมาจากป๋ ายอวี้จิงก็ไม่ถือว่าเป็ นการ ละเมิดกฎของศาลบุ๋น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เว้นเสียจากว่าเจ้าลัทธิลู่อยากจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบห้าในทันทีเพื่อเข้าแทนตาแหน่งที่ว่างลงหลังจากที่
อาจารย์สลายมรรคา และก่อนหน้าที่ศิษย์พี่เจ้าลัทธิใหญ่จะหวน กลับไปยังป๋ ายอวี้จิง เพื่อสยบสิบสี่มณฑลแห่งมืดสลัว ในเมื่อทั้ง ไพศาลและเปลี่ยวร ้างต่างก็สามารถมองเป็ นเรือลาหนึ่งที่ท่องอยู่ใน ความว่างเปล่า คิดดูแล้วมืดสลัวก็น่าจะเป็ นเหมือนกัน บังเอิญกับที่มี ค าโบราณกล่าวเอาไว้ว่า “หากท่านไม่อบรมบ่มเพาะคุณธรรม คน บนเรือล าเดียวกันก็ล้วนกลายมาเป็ นศัตรู” ส่วนผู้ไร ้เทียมทานจะใช่ผู้ ไร ้เทียมทานที่แท้จริงหรือไม่ คิดดูแล้วในฐานะคนที่มองอยู่ด้านข้าง เจ้าลัทธิลู่ก็น่าจะมีค าตอบสาหรับเรื่องนี้มานานแล้ว ผลคือพอเจ้า ลัทธิลู่ท าการอนุมาน ค้นพบว่าการฝ่ าทะลุขอบเขตในตอนนี้ โอกาส ที่จะสาเร็จกลับลดต่าลงอย่างไม่มีลางบอกเหตุ รู ้สึกว่าผิดปกติ คิดไป คิดมาก็เลยคิดมาถึงข้า ยอมกดขอบเขตใช ้วิชาลับปิดแผ่นฟ้ าข้าม มหาสมุทร เจ้าลัทธิลู่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าไร หนึ่งเค่อ? หรือว่า หนึ่งก้านธูป?”
“เฉินผิงอัน เจ้าไม่ใช่คนที่เดายากสักเท่าไร แบ่งจิตวิญญาณ ออกมากระทาเรื่องที่เสี่ยงอันตราย ต้องการจะทาให้ฟ้ าดินในหัวใจ ใกล้เคียงกับความเป็ นจริงอย่างไร้ขีดจ ากัด ใช้ทางลัดขยับเข้าใกล้ มรรคา ผลกลับถูกคนนอกมองร่างแยกออก ผู้ฝึกตนทั่วไปอาจจะยัง ถือเม็ดหมากค้างไว้อย่างลังเล อยากหาวิธีที่สามารถพบกันได้ครึ่ง ทาง แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็มีทางเลือกแค่สองทางแล้ว หนึ่งคือนิ่งสงบรอดูการเปลี่ยนแปลง ลงเดิมพันว่าจะเป็ นแค่การตกใจ ไปเอง อีกอย่างหนึ่งคือระเบิดจิตวิญญาณดวงหนึ่งทิ้งอย่างเด็ดเดี่ยว
ยอมให้รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหาย ทั้งสองฝ่ ายผูกปม แค้นเงื่อนตายกันนับแต่นี้ จากนั้นเจ้าก็แจ้งข่าวให้อริยะปราชญ์ ศาลบุ๋นที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้ าปิดประตู ช่วยจับตามองดูสิ่งกีดขวางแห่ง ฟ้ าดิน อีกด้านหนึ่งเรียกอาจารย์เสี่ยวโม่และแม่นางเซี่ยมาขวางทาง เฉินผิงอันผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่เปลี่ยน ความคิดและวิธีคิดที่หากไม่ถูกก็ต้องผิดนี้ได้อย่างสิ้นเชิงนะ”
“สหาย” สองคนที่ความสัมพันธ ์ค่อนข้างซับซ ้อนได้กลับมาพบ เจอกันอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมือง ทว่าแต่ละคนกลับพูดแต่เรื่องของ ตัวเองเหมือนไก่คุยกับเป็ ด
“ความคิดและวิธีคิดมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน?”
“ความคิดสามารถไร้ขีดจ ากัดไร้ขอบเขต วิธีคิดกลับมีเส้นสาย และมีช่องทาง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นี่ถือว่าเป็ นความแตกต่างของจิตวิญญาณ หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางเดียวกัน แต่กลับค่อยๆ มีความรู ้สึก และความเป็ นเหตุผลก่อกาเนิดขึ้นมา”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เรียนรู ้วิธีการของฟ้ ามาอบรมจิตใจ เรียนรู ้ วิธีการของคนมาอบรมร่างกาย ร่างสงบใจเป็ นสุขก็คือคนฟ้ า บางทีที่ พูดมานี้อาจจะค่อนข้างคลุมเครือ ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะยกตัวอย่าง ง่ายๆ ให้ฟัง การตั้งป้ ายวิญญาณของคนรุ่นหลังล้วนมีอยู่ทั้งในศาล บรรพจารย์บนภูเขา ศาลบรรพชนของชาวบ้านล่างภูเขาและศาลบุ
รพกษัตริย์ของแคว้น โดยทั่วไปแล้วเอาไว้ใช ้บูชาบรรพบุรุษและผู้ที่ ล่วงลับไป การตั้งป้ ายวิญญาณคือการปฏิบัติต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ใน ป้ ายวิญญาณเขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับ ตัวอักษรเล็กๆ ด้านข้างคือชื่อของ คนที่ท าพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงสวรรค์และบรรพบุรุษ กระท าอย่าง สารวมและรอบคอบ พูดเช่นนี้เจ้าคิดว่าหากจิตวิญญาณมีความ แตกต่างกันจริงๆ ใครเป็ นหลักใครจะเป็ นรองล่ะ?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “สามารถเปรียบเทียบแบบนี้ได้ด้วย หรือ?”
“แน่นอนว่า”
ลู่เฉินกล่าว “ไม่ได้!”
เฉินผิงอันหันหน้ามา หากไม่เป็ นเพราะเป็ นร่างของท่านลุงป๋ าย เขาก็อยากจะป้ อนหมัดให้อีกฝ่ ายได้กินอย่างเต็มคราบจริงๆ
ลู่เฉินกล่าว “ผินเต้าก็แค่พิสูจน์การคาดเดาของตัวเจ้าเองเท่านั้น ไม่ได้มีก าหนดเวลาเป็ นหนึ่งเค่อ หนึ่งก้านธูปอะไร ผินเต้าอยากจะอยู่ ในใต้หล้าไพศาลได้นานเท่าไรก็นานได้เท่านั้น ศาลบุ๋นไม่มีทางมา ควบคุมผินเต้าได้”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าพูดผิดตั้งแต่แรกแล้ว ความรู้สึกและความมีเหตุผลของคนเรา อันที่จริงไม่ใช่ทางสองสายที่ แบ่งแยกออกไป แต่เป็ นการสืบทอดสายเดียว มีความรู้สึกก่อนแล้ว ค่อยมีเหตุผล ไม่ถูกสิ ต้องมีเหตุผลก่อนแล้วค่อยมีความรู้สึก ความ
ต่างระหว่างหลักการแห่งฟ้ ากับความปรารถนาของคน? ก็เหมือน ป้ ายวิญญาณที่ถูกบูชาและถูกเซ่นไหว้ที่เจ้ากล่าวถึง…เมื่อสืบย้อนไป ถึงต้นก าเนิด สามารถสืบย้อนไปถึงบรรพบุรุษของแซ่หนึ่งได้ หาก ขยับขึ้นไปอีก…ก็คือเจ้าของร่างคือคน เจ้าของใจคือฟ้ า?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับรัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ทั้งยังพยัก หน้าอย่างแรง “เอ๊ะ ถึงกับสามารถอธิบายแบบนี้ได้ด้วยหรือ นี่ไม่ใช่ ว่าผินเต้าเป็ นแมวตาบอดที่มาเจอหนูตายหรืออย่างไร ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”
ลู่เฉินเงยหน้ามองฟ้ าก่อนแล้วค่อยกวาดตามองไปรอบด้าน สะบัดชายแขนเสื้อ “คาพูดยิ่งใหญ่ร้อนแรงเจิดจ้าจริงเสียด้วย ค า กล่าวถึงมหามรรคามีพลังอ านาจดุจเปลวเพลิงร ้อนแรง ชื่อเสียงของ นิกายซั่วหนันระบือไปสี่ทิศ หึ ไม่มีอะไรไม่ครอบคลุม ไม่มีที่ให้ หลบหนี”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เจ้าลัทธิลู่ร้ายกาจจริงๆ หาร่าง แยกร่างที่สองของข้าเจอเร็วขนาดนี้”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าว “ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทา ไม่สู้ทาย ปริศนาเล่นๆ”
ร ้องเอ๊ะหนึ่งที ลู่เฉินเบี่ยงตัวเดินในแนวขวาง มองใบหน้าด้านข้าง ของเฉินผิงอัน “จือเค่อเฉินจิ้วของสถานที่แห่งนี้ อู๋ตีนักพรตแคว้นอวี้ เซวียน บวกกับร่างแยกที่เรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว นี่ก็เป็ นจิต
วิญญาณสามส่วนแล้ว หากบวกกับ “ป้ ายวิญญาณ” (เสินจู่ หาก แปลตรงตัวจะหมายถึงดวงจิตหลัก) ที่สอนหนังสือให้เด็กประถมอยู่ใน โรงเรียนหมู่บ้านตีนเขาของอวิ้นโจวอีก คิดดูแล้วคงไม่ค่อยไปไหนมา ไหนมากนัก คงจะไม่ขยับดุจภูผา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเหมือนดาวเหนือ บนท้องฟ้ าแล้ว มีการชักนาเป็ นเส้นตรงอยู่ไกลๆ เส้นหนึ่ง หรือว่าร่าง แยกร่างอื่นที่เหลือจะใช ้วิธีแบ่งหนึ่งออกเป็ นเจ็ด? อืม ในที่สุดผินเต้าก็ เข้าใจแล้ว ถึงกับเป็ นค่ายกลเจ็ดดาวเป่ ยโต้วที่เป็ นหลักฟ้ า ปรากฏการณ์ดิน เจ้าขุนเขาเฉินได้รับแรงบันดาลใจมาจากอารามจิ นติ่งของใบถงทวีปหรือ? แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเลียนแบบมา จากผินเต้าอยู่ดี เป็ นเกียรติยิ่งนัก เป็ นเกียรติยิ่งนัก ในเมื่อโลกมนุษย์ ใช ้ตะวันจันทราลอยขึ้นฟ้ าและตกลงดินมาเป็ นตัวกาหนดสิ่งของ ใช ้ ดาวจื่อเวยตัดสินเหนือใต้ นี่ก็หมายความว่าร่างแยกที่มีจิตวิญญาณ เจ็ดดวงสิงอยู่ในยันต์ของเจ้าขุนเขาเฉิน นอกจากตรงปากกระบวยที่ จาเป็ นต้องชี้ไปที่ร่างหลักในโรงเรียนตลอดเวลาแล้ว การเคลื่อนไหว ในขอบข่ายของแจกันสมบัติทวีปก็ต้องมีขีดจากัดที่แน่นอนอยู่? สถานที่ซ่อนตัวของร่างแยกอีกสามร่างที่เหลือ ขอให้ผินเต้าเดาดู หน่อยเถอะ อวี๋โจวต้าหลี แถบแคว้นชิงซิ่งทางทิศใต้ของลาน้าใหญ่ สุดท้ายอันนี้เดายากอยู่สักหน่อย…ไม่ว่าจะอย่างไร เพื่อป้ องกันไม่ให้ จิตวิญญาณทั้งเจ็ดดวงถูกผู้ฝึกตนมาดักคว้าเอาไป แยกกันโจมตีจน แหลกสลาย เจ้าขุนเขาเฉินก็ทุ่มเทความคิดจิตใจไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
สร ้างค่ายกลเช่นนี้ การแบ่งจิตวิญญาณที่เดิมที่ถือว่าเป็ นการ กระทาที่เสี่ยงมากของเฉินผิงอันก็จะมั่นคงกว่าเดิมมากแล้ว อาศัย การชักน าจากค่ายกลก็เหมือนกับว่าจิตวิญญาณทั้งเจ็ดดวงที่ กระจายกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ได้ตั้งวางตะเกียงต่อชะตาชีวิตดวง หนึ่งไว้ใน “ศาลบรรพจารย์” แห่งเดียวกัน
เว้นเสียจากว่าถูกผู้ฝึกตนใหญ่ที่ทานายล่วงหน้าได้พุ่งเป้ าเล่น งาน หาไม่แล้วพวกเซียนดินของแจกันสมบัติทวีปก็ยากที่จะถลกดึง กักขังจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างแยกร่างหนึ่งได้ หากมีการประลอง คาถาเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ผู้ฝึกตนที่เป็ นศัตรูคว้าชัยชนะไป ได้ก็มีแต่จะประหลาดใจว่าเหตุใดผู้ฝึ กลมปราณที่เป็ นคนตัวเป็ นๆ กลับไม่มีแม้แต่จิตวิญญาณรอกระทั่งจิตวิญญาณดวงนั้นของเฉินผิง อันถอยออกมาแล้วหายตัวไปอย่างไร ้ร่องรอย กลับคืนสู่ “ศาลบรรพ จารย์” อีกครั้ง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยันต์หุ่นเชิด ผู้ฝึกตน เหล่านั้นก็จะเข้าใจเองว่าตัวเองมามีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงยังมีดาวอาพรางที่คอยช่วยเหลืออีก สองดวง รับผิดชอบคอยให้การประสานงานอยู่ด้านข้าง หลีกเลี่ยง ไม่ให้ถูกเซียนดินท าลายกระดาษยันต์บางแผ่นได้ง่ายเกินไป กลายเป็ นว่ากระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ทุกสิ่งที่ทามาล้วน เสียเปล่า เป็ นเหตุให้ข้าจาเป็ นต้องถอนยันต์ร่างแยกทั้งหมดกลับคืน มา”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “มิน่าเล่าปีนั้นอยู่ในตรอกหนีผิง เจ้า ถึงได้พูดกับผินเต้าว่าตัวเองความจ าดีมาก เห็นอะไรผ่านตาแล้วไม่ เคยลืม”
เด็กหนุ่มรองเท้าสานแห่งตรอกหนีผิงในเวลานั้นยังเรียกขานตน อย่างเคารพนอบน้อมว่าเจ้าลัทธิลู่ ช่างเป็ นช่วงเวลาที่ทาให้คนคิดถึง จริงๆ
จากนักพรตลู่ ลู่เฉิน เจ้าตะพาบ จนถึงเจ้าลัทธิลู่ในทุกวันนี้ น่า เสียใจยิ่งนัก
ตอนนี้ลู่เฉินรู ้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้มาเสียเที่ยว การมาเยือนครั้งนี้ ไม่ได้เสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน เฉินผิงอันในเวลานี้ถือว่าขึ้นเขาฝึก ตน เดินมาได้ถึงครึ่งภูเขาแล้ว คาว่าครึ่งภูเขาของลู่เฉินไม่เหมือนกับ ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป นั่นคือคนที่อยู่ในตาแหน่งซึ่งสามารถมองเห็น ทัศนียภาพบนยอดเขาได้แล้วถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าอยู่กึ่งกลาง ภูเขา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่าแม้แต่น้อย ยกตัวอย่าง เช่นผู้ฝึ กตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยหา โอกาสในการผสานมรรคาได้เจอ ในสายตาของลู่เฉิน พวกเขาก็คือ คนไร ้ความชานาญที่ยังเดินไปไม่ถึงกลางภูเขา
ทุกวันนี้เฉินผิงอันอาศัยการทับซ ้อนกันของวิชาอภินิหารจาก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ก็ได้หา “วิถีกระบี่” ที่กว้างขวางมาก เส้นหนึ่งเจอแล้ว อาศัยวิธีการสารพัดอย่างซึ่งมีตาเห็น หูฟัง และสิ่งที่ ได้ยินได้ฟังมา รวมไปถึงการจินตนาการเป็ นหนึ่งในนั้นมารวบรวม
ขึ้นเป็ นสหัสสีโลกธาตุ หากจะบอกว่าก่อนจะออกจากก าแพงเมือง ปราณกระบี่กลับมายังใต้หล้าไพศาล เป็ นแค่แนวความคิดที่ยัง ค่อนข้างไม่เป็ นประสา ถ้าอย่างนั้นรอกระทั่งเฉินผิงอันเริ่มอาศัยเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองมาหลอมแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางกลับจากนอกฟ้ ามาครั้งนี้ ยกระดับขั้น ของกระบี่บิน “จันทร ์กลางบ่อ” ขึ้น สูง “เฉินผิงอัน” เจ็ดคนซึ่งเป็ นร่าง แยกของเฉินผิงอันในสถานที่ต่างๆ สิ่งที่ได้เห็นได้ยินได้คิดได้ จินตนาการทุกอย่างอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกันของแจกันสมบัติทวีป ล้วนเป็ นการ “หลอมกระบี่” อย่างหนึ่งที่ราวกับว่าใช ้ฟ้ าดินที่แท้จริง มาเป็ นแท่นสังหารมังกรขัดเกลาคมกระบี่อยู่ตลอดเวลา
วิถีแห่งการฝึกกระบี่เช่นนี้ทาให้ลู่เฉินรู ้สึกว่าตัวเองได้เปิ ดโลก กว้างครั้งใหญ่
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่จือเค่อเฉินจิ้วได้เห็นในงานเลี้ยงสุราของ วันนี้ ป๋ ายหนี เซี่ยโหวจ้าน และเหลียงอวี้ผิง รูปโฉมหน้าตา น้าเสียง จังหวะการพูด ท่วงท่า สีหน้าของคนทั้งสาม ล้วนถูกจือเค่อเฉินจิ้ว “จดลงในบันทึก” ไปทั้งหมด และได้ผสานรวมเข้าไปในฟ้ าดินเวท กระบี่แห่งนั้นของร่างหลักเฉินผิงอันอย่างเงียบเชียบแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือบุคคลและทัศนียภาพทั้งหมดต่างก็เป็ น “คา” หรือ “วลี” บนเส้นทางสายนี้ที่เฉินผิงอันเดินไป ถ้าอย่างนั้นงานเลี้ยงสุรา ในหาดโปรยดอกไม้ของภูเขาไฉอวี้ครั้งนี้ก็คล้ายกับการรวมค าให้ กลายเป็ น “ประโยคหนึ่ง
คาศัพท์ที่เอามารวมเป็ นประโยคนี้ ยิ่งจานวนมีมากก็ยิ่งถี่แน่น เนื้อหาก็จะยิ่งละเอียดแล้วก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้ “ภาพจริง” ซึ่งอยู่ตรง ข้ามกับ “ภาพลวงตา” มากขึ้นทุกขณะ
ก็เหมือนอย่างที่ลู่เฉินถามไปก่อนหน้านี้ว่า สรุปแล้วบนโลกนี้มี เวลาหรือไม่? ใช่เกิดจากการหยุดนิ่งนับไม่ถ้วนประกอบรวมกันเป็ น หนึ่งหรือไม่? คากล่าวนี้ของลู่เฉินเท่ากับว่ามองใต้หล้าทั้งแห่งเป็ น ตาราเล่มหนึ่งที่หยุดนิ่งไม่ขยับ รอกระทั่งลู่เฉินมั่นใจใน “หนึ่งนั้น” แล้วเขาก็เริ่มเปิดตารา บุคคลและทัศนียภาพในตาราถึงได้ “รู ้สึกตัว” และ “ถูกกระท า” ขยับเคลื่อนไหว และคากล่าวนี้ของลู่เฉินก็เห็นได้ ชัดว่าถือเป็ นต้นก าเนิดเดียวกันแต่ไหลแยกไปคนละสายกับความคิด นั้นของหลี่ซีเซิ่ง
จู่ๆ ก็ลืมคาบางคาไป แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ ราวกับ ว่าเคยผ่านมันมาก่อน…
มนุษย์เรามีชีวิตอยู่บนโลก ช่างเจ็บปวดทุกข์ทนเสียเหลือเกิน คนของรัฐฉี่กลัวว่าท้องฟ้ าจะตกลงมาร่าไห้เพียงเพราะไร ้เส้นทางให้ รถได้เคลื่อนต่อ สิ่งเหล่านี้ล้วนเคยทาให้ลู่เฉินรู ้สึกเศร ้าใจ
แล้วก็เหมือนก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่นอกฟ้ า ระหว่างทาง ที่ทะยานลมหวนกลับมายังไพศาลพร ้อมกับเสี่ยวโม่และป๋ ายจิ่ง ป๋ า ยจิ่งโยนกระดาษปึ กใหญ่ที่วาดทัศนียภาพยุคบรรพกาลมาให้เขา ตอนนั้นเฉินผิงอันก็รู ้สึกว่ามันเหมือนหนังสือภาพคนจิ๋วเล่มหนึ่ง ยิ่ง เหมือนคนจิ๋วบางคนที่เผยเฉียนวาดไว้ในมุมหนึ่งของหนังสือยามอยู่
ในห้องเรียน รูปร่างต่างกันไป เมื่อพลิกเปิ ดหน้าหนังสือเร็วๆ ก็จะ เคลื่อนไหวเป็ นการกระทาที่ครบชุดสมบูรณ์