กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1012.2 ตะวันรอนสาดส่องหมื่นภูเขาม่วงเขียว
นี่จึงเป็ นเหตุให้รอกระทั่งเฉินผิงอันที่เป็ นคนเขียนตาราดึงเอา “ประโยคนี้” ออกมาเพียงลาพัง ใส่ไว้ในแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาที่อยู่ ในนกในกรง ในอนาคตเมื่อคนนอกมาเห็นเข้าก็จะยิ่งรู ้สึกสมจริงได้ มากกว่าเดิม
หากจะบอกว่างานเลี้ยงในวันนี้เป็ นประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่ง ถ้า อย่างนั้นนักพรตอู๋ตี ทีอยู่ในเรือนของอาเภอหย่งหนิงแคว้นอวี้เซวียน ผีสาวเซวียหรูอี้ เด็กหนุ่มจางโหว และยังมีดอกไม้พืชพรรณทั้งหลาย ที่อยู่ในลานบ้าน บวกกับการเลี้ยงเหล้าเสมียนในที่ว่าการทั้งหลายทุก วันที่ออกไปข้างนอก การคุยเล่นกันบนถนน การตั้งแผงดูดวงทานาย ชะตาให้ผู้อื่น…ก็คือ “ประโยคยาว ที่ถูกลากยาวไปนานหลายเดือน อยู่ในแม่น้าแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง
และ “กายลวง” นั้นของลู่เฉินก็คือต้นตารับแห่งหมื่นคาถาอาคม ประหนึ่ง…ป้ ายวิญญาณชิ้นแรก
แต่ตอนที่เฉินผิงอันคุยเล่นกับหลี่ซีเซิ่ง ยามที่ทั้งสองฝ่ ายพูด ถึงโจวจื่อ สิ่งที่เฉินผิงอันคิดในใจ เขาเคยมีความคิดหนึ่งที่เป็ นดั่ง สมอเรือซึ่งกาหนดตาแหน่งในลาคลอง ไม่มีทางเป็ นลู่เฉินไปได้
นี่ ก็ คือ ก า ร ห ล อ ก ค น อื่น ห ล อ ก ตัว เ อ ง อ ย่ า ง ห นึ่ ง จ า ก ‘แนวความคิด’ ที่คล้ายกับเป็ นแรงเฉื่อยของเฉินผิงอัน
และวิธีการที่หลอกตัวเองก่อน แล้วค่อยหลอกคนอื่น จากนั้นจึง หลอกสวรรค์ต่อแน่นอนว่าเฉินผิงอันเรียนรู ้มาจากชุยฉาน น่า เสียดายที่ไม่อาจเรียนรู ้มาได้ทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ เรียนรู ้ด้วยตัวเอง ล้วนอาศัยการคลาทางของตัวเองทั้งหมด เหมือน หัวข้อวิชาคณิตข้อหนึ่งที่รู ้คาถามรู ้คาตอบ แล้วค่อยอนุมานย้อน ทวนถึงขั้นตอนที่ยิบย่อยระหว่างการไขปัญหา ขณะเดียวกันก็บังเอิญ ที่การหลอกคนอื่นหลอกตัวเองซึ่งเหมือนการวาดงูเติมขาประเภทนี้ เฉินผิงอันมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็เท่ากับว่าในใจได้เอ่ยเรียกชื่อของลู่ เฉิน นี่จึงทาให้ลู่เฉินที่เดินทางไกลอยู่นอกฟ้ ามองเหตุการณ์อยู่ ด้านข้างอย่างดูดายพลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาเองก็เริ่ม อนุมานย้อนกลับไป…แล้วก็ต้องรู ้สึกหวาดผวาอีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่า ความรู ้สึกหวาดผวานี้ไม่เป็ นรองครั้งที่ถูกซุ่มสังหารซึ่งเกือบจะ เกิดขึ้นจริงตอนไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่ครานั้นเลย และหาก ลู่เฉินไม่ได้ออกจากใต้หล้ามืดสลัว ไม่ได้มาร่วมวงความครึกครื้นครั้ง นี้ แต่ถูกฟ้ าดินกว้างใหญ่สกัดกั้นความลับฟ้ านี้เอาไว้บางทีเขาก็ อาจจะพลาดเบาะแสเส้นนี้ไป
ครั้งนี้ลู่เฉินหวนกลับมายังไพศาลไม่ใช่การ “ลักลอบเข้าเมือง” ที่ผิดกฎจริงๆ แต่ได้บอกกล่าวกับหลี่เซิ่งไว้ก่อนแล้ว
เขามาเพราะมีธุระส าคัญจริงๆ ส่วนการมาพบเฉินผิงอันก็แค่ บังเอิญผ่านทางพอดีเท่านั้น
“ผินเต้าลองค านวณดูอีกที วันชิงหมิงของปีนี้ ปากกระบวยของ ค่ายกลเจ็ดดาวนี้ของเจ้าขุนเขาเฉิน ชี้ไปที่…ถนนหย่งเจียของเมือง หลวงแคว้นอวี้เซวียน?!”
ลู่เฉินที่เดินหันข้างเหมือนปูอยู่ตลอดเวลา ตามฝีเท้าของเฉินผิง อันไปเรื่อยๆ ถามว่า “แค่หม่าขู่เสวียนคนเดียวเท่านั้น ควรค่าให้เจ้า แบ่งสมาธิไปรับมือด้วยหรือ?”
ค าว่ารับมือของลู่เฉิน เขาใช ้ค าว่าเฟิ งเสิน เฟิ งที่ไม่ได้แปลว่า แต่งตั้ง แต่เป็ นเฟิงที่แปลว่าปิดผนึก ผนึกภูเขา
เฉินผิงอันกับหม่าขู่เสวียน สองฝ่ ายต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่ามี บัญชีเก่าก้อนหนึ่ง มีคนที่จะมาทวงหนี้ และมีคนที่ต้องใช ้หนี้
บางทีอาจเป็ นสองคน บางทีอาจเป็ นสามคน หากหม่าขู่เสวียนจะ ขัดขวางให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อาจเป็ นสามหรือสี่คน
ที่ล้วนต้องตาย
ลู่เฉินหันตัวกลับ เท้าหนึ่งเตะก้อนหินที่อยู่บนพื้นให้ร่วงลงไปใน น้า “ตามหลักแล้ว ต่อให้พ่อแม่ของหม่าขู่เสวียนสามารถกลายเป็ น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า ได้รับการปกป้ องจากวิถีแห่งเทพจาก จวนซานจวินมหาบรรพตประจิมได้อย่างที่มองไม่เห็น แต่แล้วจะ อย่างไร? จะขัดขวางการแก้แค้นของเจ้าได้หรือ?”
“ใช่แล้วๆ ที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง ค่อนข้างรับมือได้ยากอยู่บ้าง จริงๆ”
“สามีภรรยาคู่นี้ถึงกับต้องการเลื่อนเป็ นเทพอภิบาลเมืองเพื่อให้ ได้รับยันต์คุ้มกันกายจากป้ ายขุนนางแห่งโลกมืด นี่เป็ นทางแยกที่ แยกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าไปอีกทางแล้ว หึ เป็ นแค่ยันต์ คุ้มกันกายเสียที่ไหน คือยันต์ช่วยชีวิตที่สมชื่อที่สุดบนโลกแล้วจริงๆ”
“น่าประหลาดนัก พวกเขาท าได้อย่างไรกันนะ ด้วยพฤติกรรมชั่ว ร ้ายของพ่อแม่หม่าขู่เสวียน ต่อให้พวกเขาอยากจะอาศัยการท าบุญ ทากุศล สะสมคุณความดีเลื่อนมาอยู่ในอันดับนี้จริงๆ ทว่านับแต่ โบราณมานครเฟิงตูของปรโลกก็มีกฎเหล็กที่ว่า “ทาความดีโดยหวัง ผลไม่ได้รับผลตอบแทน” ต่อให้คนในโลกคนเป็ นจะเข้าใจกฏใน ปรโลกเป็ นอย่างดี อยากจะสะสมบุญกุศลแล้วหาช่องโหว่ของ กฎเกณฑ์พวกนั้น ถ้าอย่างนั้นลาพังแค่ธรณีประตูบานนี้ พวกเขาก็ ถูกก าหนดมาแล้วว่าจะข้ามผ่านไปไม่ได้ คิดจะมารับต าแหน่งเป็ น เทพอภิบาลเมืองต าแหน่งสูงก็เป็ นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อน โดยแท้”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “หม่าขู่เสวียนฉลาดมาก จง ใจอ้อมผ่านพวกเขาสองคน จัดวางกาลังคนไว้ในเมืองหลวงแคว้นอวี้ เซวียนอย่างลับๆ แค่บีบให้พ่อแม่ของเขาจาต้องทาเรื่องบางอย่าง แต่ จงใจไม่อธิบายสาเหตุอย่างชัดเจน ถึงขั้นที่ว่าไม่อนุญาตให้พวกเขา ซักถามว่าทาไม เคยกล่าวเตือนด้วยคาพูดที่เข้มงวดอย่างมาก หรือ อาจเรียกได้ว่าข่มขู่พ่อแม่ของเขา”
“มอบปลาให้คนไม่สู้สอนให้คนตกปลา หม่าขู่เสวียนกลับท า ตรงกันข้าม อาจจะช ้าหน่อย แต่ก็ได้ผล”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “หม่าขู่เสวียนน่าจะเริ่มวางแผนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่น่าจะช้าเกินไปนัก แล้วก็ไม่น่าจะเร็วเกินไป ปี นั้นญาติร่วมสกุลหม่าของตรอกซิ่งฮวาได้ย้ายออกจากเมืองเล็กมา ด้วยกัน ย้ายออกไปจากราชส านักต้าหลีในเวลานั้นโดยตรง ไปอยู่ที่ แคว้นอวี้เซวียนซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตขุนเขาตะวันตก หม่าขู่เสวียน ในเวลานั้นเย่อหยิ่งทระนงตน ไม่คิดว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็ นศัตรูคู่ แค้นของเขาได้ด้วยซ้าดังนั้นการที่ให้พ่อแม่ของเขาย้ายออกจาก บ้านเกิด อย่างมากก็น่าจะกังวลว่าจุดจบของพวกเขาจะค่อนข้าง เหมือนไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัว เพราะถึงอย่างไรเขาฝึ กตนอยู่ที่ ภูเขาเจินอู่ก็ไม่สามารถคอยจับตามองถ้าสวรรค์หลีจูตลอดเวลาได้”
“รอกระทั่งข้าออกจากกาแพงเมืองปราณกระบี่มาครั้งแรก กลับ มาถึงแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ออกจากทะเลสาบซู เจี่ยนมาแล้ว หม่าขู่เสวียนอาจจะรู ้สึกระแวงภัย แต่ความเป็ นไปได้ มากกว่าคือเขาต้องการท าให้ข้าสะอิดสะเอียน จงใจให้ข้ารู้สึกว่ามีใจ อยากแก้แค้นแต่กลับแก้แค้นไม่ได้สักที ถึงขั้นที่รู ้สึกว่าชั่วชีวิตนี้หมด หวังที่จะได้แก้แค้นแล้ว ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่กับความแค้นและ ความละอายใจ รอกระทั่งข้าได้เป็ นอิ่นกวานแห่งก าแพงเมืองปราณ กระบี่ ข่าวแพร่กลับมาที่ใต้หล้าไพศาล หม่าขู่เสวียนถึงได้มองข้าเป็ น ภัยคุกคามอย่างแท้จริง ข้าเคยศึกษาการกระทาทุกอย่างทั้งเบื้องหน้า
และเบื้องหลังของสกุลหม่าในแคว้นอวี้เซวียนอย่างละเอียดมาก่อน ในเวลาไม่กี่ปีนั้น ลูกหลานของแต่ละบ้านเริ่มลงมือกันถี่มากขึ้น ถึง ขั้นที่ว่าเริ่มพยายามจะอาศัยการกระทาต่างๆ มากมายเช่นอาศัยการ สอบเคอจวี่ของลูกหลานมาช่วงชิงตาแหน่งเก้ามิ่ง สร ้างเกียรติยศ ให้กับวงศ์ตระกูล วันหน้าค่อยพยายามจะขอสมัญญานามให้กับใคร บางคนหรือหลายๆ คน หรือไม่ก็ขอยศถาบรรดาศักดิ์ย้อนหลังให้กับ ทางตระกูล แต่ละอย่างเริ่มลงมือไปตามลาดับขั้นตอนแล้ว เรื่องไม่ คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวก็คือหม่าขู่เสวียนคิดไม่ถึงว่าข้าจะไล่ตาม ขอบเขตของเขามาได้เร็วขนาดนี้”
คราวก่อนที่ภูเขาลั่วพั่วไปร่วมงานที่ภูเขาตะวันเที่ยง หม่าขู่ เสวียนก็เคยฟังค าเสนอแนะจากอวี๋สืออู้แห่งภูเขาเจินอู่ ฝ่ ายหลังบอก อย่างตรงไปตรงมาว่าหากยังไม่ลงมืออีกก็จะไม่มีโอกาสแล้ว
น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันแทบจะรื้อถอนภูเขาตะวันเที่ยงออกมา หมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มอบโอกาสให้หม่าขู่เสวียนได้ลงมือ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รอกระทั่งพ่อแม่ของหม่าขู่เสวียน กลายเป็ นเทพอภิบาลเมืองของแคว้นอวี้เซวียนแล้ว เชื่อว่าคนแรกที่ พวกเขาจะเก็บกวาดก็คือคนในตระกูลหม่าที่กระทาเรื่องชั่วร ้ายไว้ มากมาย อาศัยสิ่งนี้มาสร ้างความมั่นคงให้กับร่างทอง ขุนนาง พิพากษาฝ่ ายบุ๋นของศาลเทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงได้เลื่อน ต าแหน่งสูงโยกย้ายออกจากเมืองหลวงของแคว้นอวี้เซวียนไป จี้เสี่ยว ผิงขุนนางหลักของกองหยินหยางเดิมก็ได้เลื่อนขั้นกลายเป็ นขุนนาง
พิพากษาฝ่ายบุ๋นแทน กองหยินหยางกับต าแหน่งขุนนางของบางกอง ว่างลง คนทั้งสองก็จะใช ้สถานะของเทพอภิบาลเมืองประจาท้องถิ่น เข้าเมืองไปรายงานผลปฏิบัติการ และได้เลื่อนขั้นรับตาแหน่งตาม ผลงานที่สร ้างไว้”
ลู่เฉินหัวเราะร่วน “ไม่เสียแรงที่เป็ นหม่าขู่เสวียน ทุ่มเทความคิด จิตใจจริงๆ”
เทพอภิบาลเมืองแต่ละระดับขั้นในหนึ่งแคว้นไม่เหมือนกับสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า แม้ว่าชานจวินของห้ามหาบรรพตจะมี อานาจในการปกครองทั้งสองฝ่ าย แต่การเลื่อนขั้นที่แท้จริงของฝ่ าย แรกยังคงเป็ นนครเฟิงตูที่เป็ นผู้ตัดสินใจ พูดง่ายๆ ก็คือซานจวินห้าม หาบรรพตสามารถตัดสินการเลื่อนขั้นหรือกระทั่งตัดสินความเป็ น ความตายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าในเขตการปกครองได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเทพอภิบาลเมืองแต่ละระดับขั้น ตามกฎแล้ว จ าเป็ นต้องส่งมอบให้นครเฟิ งตูเป็ น ผู้ตัดสินโทษทัณฑ์ นี่ ก็ หมายความว่าจวนซานจวินห้ามหาบรรพตมีอ านาจในการก าหนด โทษให้กับเทพอภิบาลเมืองแต่ละระดับขั้นส่วนหนึ่ง แต่กลับไม่มี อ านาจในการลงมือ
ในวงการขุนนางของภูเขาสายน้า ศาลเทพอภิบาลเมืองก็เหมือน ฝ่ ายตรวจการของราชสานักในหนึ่งแคว้น ฐานะโดดเด่น สถานะสูง ศักดิ์ สามารถตรวจสอบขุนนางนับร ้อยทว่ากรมขุนนางกลับไม่ สามารถตัดสินว่าจะเลื่อนขั้นหรือลดขั้นผู้ตรวจการคนหนึ่งได้
แน่นอนว่าหม่าขู่เสวียนสามารถทาเรื่องนี้ได้สาเร็จก็เพราะวิถี สวรรค์ที่โคจรได้ด้วยตัวเองของถ้าสวรรค์หลีจู ในอดีตความเป็ น ความตายโชคและเคราะห์ของชาวบ้านในเมืองเล็กล้วนไม่อยู่ในการ ควบคุมของฝ่ายต่างๆ ในปรโลกซึ่งมีนครเฟิงตูเป็ นหนึ่งในนั้น ลู่เฉินถาม “มีวิธีคลี่คลายหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มี”
“คือวิธีที่บางครั้งผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้าก็ไม่ใช่เหตุผลน่ะหรือ?”
“ตรงกันข้ามกันเลย ท าไปตามกฎเกณฑ์ อย่าว่าแต่ศาลเทพ อภิบาลเมืองของแคว้นอวี้เซวียนเลย ต่อให้เป็ นนครเฟิงตูของปรโลก ก็ไม่อาจหาข้อตาหนิได้แม้แต่น้อย ในเมื่อหาข้อต าหนิไม่ได้ ก็ไม่อาจ ใช้กฎระเบียบของปรโลกมาคุ้มครองพ่อแม่ของหม่าขู่เสียน สุดท้ายก็ ได้แต่ยึดหลักความเป็ นธรรม ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น ไม่ทาแบบนี้ก็มีแต่ จะพัวพันกันไม่เลิกรา ไม่เด็ดขาดแล้วความแค้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด บุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน คนรุ่นพวกเราควรคลี่คลายให้ หมดอย่างสมบูรณ์ มีบุญคุณตอบแทนบุญคุณ มีความแค้นช าระ ความแค้นไม่เหลือทิ้งไว้ให้คนรุ่นถัดไป”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “หม่าขู่เสวียนวางแผนทุกย่างก้าวแต่กลับต้องแพ้ ทั้งกระดาน จะไม่ถูกเจ้าท าให้โมโหตายหรอกหรือ”
เฉินผิงอันเอ่ย “จิตแห่งมรรคาของเขาแข็งแกร่ง ไม่มีทางท าให้ เขาโมโหตายได้หรอก”
ลู่เฉินจนค าพูด
ผินเต้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เจ้าต้องโต้กลับทุกคาด้วยหรือ
ลู่เฉินเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่ชวนให้อารมณ์ดี “เฉินผิงอัน เจ้ามา เป็ นจือเค่อจริงๆ หรือนี่”
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินเคยเสนอแนะเฉินผิงอันว่าหากมีโอกาสจะต้อง เป็ นจือเค่อที่ทาหน้าที่ต้อนรับขับสู้ผู้คน จะต้องสนุกมากอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รับความคิดเห็นที่ดีเหมือนกระแสน้าที่ไหล จากที่สูงลงสู่ที่ต่า”
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สิ่งที่สองตามองเห็นก็คือ ฟ้ าดิน ความทรงจ าของคนคนหนึ่งล้าค่าถึงเพียงนั้น แต่ก็เปราะบาง ถึงเพียงนั้น”
ดวงอาทิตย์ก าลังจะตกดิน สีม่วงสีเขียวสารพัดรูปแบบ การ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีอย่างไร ้เบาะแส ประหนึ่งภาพฝัน ประหนึ่งภาพลวงตา
ไม่ถูกสิ เพิ่งจะเที่ยงวันไม่ใช่หรือ ทาไมถึงมีแสงตะวันรอนแล้ว เล่า?
ประมาทใหญ่แล้ว ประมาทใหญ่แล้ว ลู่เฉินรู ้ว่าท่าไม่ดีแล้ว รีบ หลับตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เดินริมน้าเป็ นประจารองเท้าจะไม่เปียกเลยได้อย่างไร อนาถนัก
เฉินผิงอันเจ้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ ์ในวันวานบ้างเลย ผินเต้า คือผู้เฒ่าจันทราที่ช่วยผูกด้ายแดงให้เจ้ากับแม่นางหนิงเชียวนะ!
ริมล าคลอง ลุงป๋ ายนั่งอยู่ข้างต้นดอกซิ่ง ถามว่า “ตกปลาได้กี่ตัว แล้ว?”
เฉินผิงอันที่นั่งยองถือคันเบ็ดตกปลายิ้มเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่ได้สัก ตัว มีแค่ปลาใหญ่มางับเหยื่อ ทว่าต่อให้ติดเบ็ดก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะ ลากขึ้นฝั่งได้”
ลุงป๋ ายยิ้มเอ่ย “จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ยังลาก ปลาตัวเดียวขึ้นฝั่งไม่ได้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ปลาฉลาดมากเกินไป”
ลุงป๋ ายหลุดหัวเราะพรืด เจ้าเด็กหน้าเหม็นผู้นี่เข้าใจพูดตลก
ในดินแดนประหลาดที่เต็มไปด้วยแสงสีแปลกตาแห่งหนึ่ง ลู่เฉิน มองหน้ากับลู่เฉินอีกคนตาปริบๆ เหมือนก าลังส่องกระจก เป็ นเหตุให้ ในดวงตาของทั้งสองฝ่ายมีลู่เฉินอยู