กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1013.1 จุดที่เมฆขาวก่อกาเนิดมีบ้านคน
หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว หมี่ลี่น้อยนั่งตัวตรงอย่างสารวม คานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวต่างก็วางไว้บนโต๊ะ
นักพรตเซียนเว่ยกาลังคุยกับนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวาน ดอกบัวบนศีรษะอย่างเพลิดเพลิน ถูกชะตากันอย่างยิ่ง
อีกฝ่ ายบอกว่าตัวเองพบเจอกับเจ้าขุนเขาโดยบังเอิญ แล้วยัง เป็ นสหายรักของสหายจิ่งชิง
แม่นางน้อยชุดดาจับจ้องถ้วยชาของนักพรตทั้งสองคนอยู่ตลอด เห็นเพียงว่าพวกเขาดื่มชา แต่น้าชากลับไม่ได้ลดลงไปถึงก้นถ้วย โอกาสในการช่วยเติมน้าชาจึงไม่มี
นางเบื่อหน่ายอย่างยิ่งจึงยื่นมือออกมาตามจิตใต้สานัก ขยับไม้ เท้าเดินป่ าสีเขียวให้กลิ้งอยู่บนโต๊ะเบาๆ เสียงดังกุกกัก นางรีบหยุด การกระทานี้ทันที แล้วก็เห็นว่านักพรตต่างถิ่นคนนั้นหันมามองจริง ดังคาด หมี่ลี่น้อยรีบเอ่ยขออภัย แล้วจึงยึดเอวขึ้นตรง ผายมือข้าง หนึ่งไปข้างหน้า บอกเป็ นนัยว่าพวกท่านทั้งสองเชิญถูกมรรคากันต่อ ได้เลย
นักพรตผู้นั้นนิสัยดีอย่างมาก ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็ นไร ในพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมก็มักจะมีพวกยอดฝีมือที่เรือนกายผอมบางเหมือน กระเรียนป่ าคุยเล่นและทะเลาะกันเป็ นประจ าหากว่ามีใครพูดถึงจุดที่
สนุกสนานก็ยังมีเสียงตีอวี้ซิ่ง (เครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง) ดัง ขึ้นมา เสียงใสกังวานเสนาะหูอย่างยิ่ง”
บนภูเขา เด็กชายชุดเขียวคนหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อก้าวเดิน อาดๆ เดินจากเส้นทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวบนภูเขาเข้ามาใน บันไดเส้นทางเทพที่ในอดีตมุ่งตรงไปยังศาลที่ตั้งอยู่บนยอดเขา คิด ว่าจะไปสูดอากาศบนยอดเขาสักหน่อย พอเดินไปถึงขั้นบันไดก็แค่ คิดว่าจะมองมาทางเซียนเว่ยคนเฝ้ าประตูว่าแอบอู้หรือไม่ เฉินหลิง จวินยกสองมือเท้าเอว ทอดสายตามองมาที่ประตูภูเขา แล้วหัวใจก็ พลันบีบรัดตัว รีบยื่นมือข้างหนึ่งมาป้ องเหนือคิ้ว เจ้าชาติสุนัข ไม่ผิด แน่ ไม่ผิดแน่ เป็ นเจ้าคนที่สมควรโดนแทงพันครั้งผู้นั้นจริงๆ ถึงกับบุก มาฆ่าถึงหน้าประตูบ้านตนแล้ว พอคิดถึงว่าร่างจริงของนายท่านยัง เป็ นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน เฉินหลิงจวินก็รีบหดคอ เขย่ง เท้าเตรียมกลับไปยังที่พัก พอไปถึงเรือนก็จะกระโดดขึ้นเตียง เอาผ้า ห่มคลุมหัว ต่อให้ฟ้ าผ่าก็อย่าหวังว่าจะปลุกเขาให้ตื่นได้
“สหายจิ่งชิง อย่าแสร ้งทาเป็ นมองไม่เห็นผินเต้าสิ มาดื่มชา ด้วยกันที่ตีนเขาหน่อย”
เฉินหลิงจวินยกสองมืออุดหู แสร้งเป็ นไม่ได้ยินเสียงในใจ เอาแต่ ก้มหน้าก้มตาวิ่งตะบึงไปตลอดทาง พึมพากับตัวเองว่า “เมื่อคืนวาน ฝนตกกระหน่าราวฟ้ ารั่ว ฟ้ าร ้องฟ้ าแลบเสียงดัง ลมพัดต้นไม้โค่น หอ เรือนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ เจ้าตัวดี พลังอานาจนี้ช่างน่ากลัวเกินไป แล้ว ทั้งเตียงและที่พักประหนึ่งเรือน้อยที่อยู่ท่ามกลางคลื่นถาโถม
สั่นสะเทือนแก้วหูมิน่าเล่าวันนี้ถึงไม่ได้ยินอะไรเลยทั้งวัน ที่แท้ก็ถูก สะเทือนจนหูหนวกไปแล้ว จะท าอย่างไรดีนะ แบบนี้จะทาอย่างไรดี…”
ผลคือมีมือข้างหนึ่งกดลงบนศีรษะ เฉินหลิงจวินเงยหน้าขึ้นมอง คือนายท่านบ้านตนที่คลี่ยิ้มอบอุ่นมาให้ “ลงจากภูเขาไปรับรองแขก ด้วยกัน”
เด็กชายชุดเขียวกระแอมหนึ่งที ความกล้าหาญพลันบังเกิด “ก็ดี เหมือนกัน ต้องไปเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญเสียหน่อย เกลียดขี้หน้าเขา ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว อดทนจนแทบจะทนไม่ไหวเต็มที”
แม้ว่าเจ้าขุนเขาที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ใช่ร่างจริงของนายท่าน แต่ แล้วจะอย่างไรเล่า?!
คราวก่อนไปร่วมงานพิธีเปิดยอดเขาของพรรคหวงเหลียง ตอนที่ อยู่บนภูเขาโหลวซาน นายท่านเจ้าขุนเขาไม่อยู่ข้างกาย เจอกับเจ้า คนแซ่ลู่ผู้นี้แล้วรับมือไม่ค่อยดี เสียหน้าไปบ้างเล็กน้อย วันนี้จะต้อง กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา
ลู่เฉินหันหน้ามามอง เห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวเดินลงภูเขา มา ในมือยังมีคราบน้าหมึกเปื้อนอยู่เล็กน้อย
วิญญาณหลักอยู่ในโรงเรียนตรงตีนเขาใกล้กับต้นก าเนิดล าธาร ซี่เหมย เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือหนึ่งในร่างแยก รับหน้าที่ “คัด ตารา” จดรวบรวมสิ่งที่อีกหกคนที่เหลือได้เห็นและได้ยินมา
ลู่เฉินพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เฉินผิงอัน วันนี้ผินเต้าแวะมาเยี่ยม เยียน ก็แค่มามือเปล่าไม่ได้พกของขวัญมาด้วย ท าไมเจ้ายังโกรธอยู่ อีกเล่า”
ที่แท้ลู่เฉินได้สูญเสียการเชื่อมโยงบนมหามรรคากับดวงจิตของ ตัวเองที่อยู่หาดโปรยดอกไม้ภูเขาไฉอวี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หากจะบอกว่าตนไม่ระวัง หลงกลอีกฝ่ าย ปล่อยให้เกากูแห่ง ต าหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ยทาเรื่องนี้ได้สาเร็จก็ยังพอทาเนา แต่เฉิน ผิงอันทุกวันนี้ยังมีขอบเขตแค่ก่อกาเนิดเท่านั้น
หากเฉินผิงอันเลื่อนเป็ นบินทะยานเมื่อไหร่จะไม่ยิ่งร ้ายกาจหรอก หรือ?
เฉินหลิงจวินถลึงตากล่าว “บังอาจ สามหาวยิ่งนัก ถึงกับกล้า เรียกชื่อของนายท่านเจ้าขุนเขาบ้านข้าตรงๆ เชียวหรือ?!”
ขอแค่มีเจ้าขุนเขาคนดีอยู่ข้างกาย เฉินหลิงจวินก็เหมือนคนที่ ดื่มเหล้าจนเมามาย สุราปลุกความกล้าของคน เจอใครก็ไม่ขี้ขลาด
“สหายจิ่งชิงเจ้ารอก่อนเถอะ พวกเราสองพี่น้องต้องมีวันที่ได้ กลับมาพบเจอกันอีกครั้งแน่”
ลู่เฉินยกนิ้วโป้ งให้เด็กชายชุดเขียว “ถึงเวลานั้นผินเต้าจะมอบ ชามให้เจ้าหนึ่งใบ คนบ้านเดียวกันเจอคนบ้านเดียวกันน้าตาไหล อาบสองแก้ม เจ้าร ้องไห้คร่าครวญก็สามารถเลี้ยงสุรารสขมชามหนึ่ง ให้ผินเต้ากลับคืนได้แล้ว”
เฉินหลิงจวินสีหน้ากระอักกระอ่วน ยื่นมือมากาชายแขนเสื้อของ เฉินผิงอัน เพราะนึกถึงคาพูดติดปากประโยคหนึ่งของป๋ ายเสวียนขึ้นมาได้ เวลาเดินตอนกลางคืนอย่าเดินเพียงล าพัง เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ เอามือกดหัวเด็กชายชุดเขียว “จะ ดีจะชั่วก็เป็ นในถิ่นบ้านตัวเอง แพ้คนไม่แพ้มาด”
มีคนช่วยหนุนหลังให้ก็ดีอย่างนี้เอง เฉินหลิงจวินยกสองมือเท้า เอวฉับ ปากขยับน้อยๆ ดูท่าน่าจะก าลังครุ่นคิดว่าจะออก “ท่าไม้ตาย” อย่างไร
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเดือดดาล “หากเจ้ากล้าพ่นน้าลายก็อย่าโทษว่า ข้า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม แหงนหน้าขึ้นดื่ม อีกๆๆ หมดแล้ว ลู่เฉินก็โคลงศีรษะ ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย “ถ้า อย่างนั้นก็อาศัยความสามารถมาต่อสู้กันสักตั้ง!”
เฉินหลิงจวินคิดแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจ
หมี่ลี่น้อยรีบวิ่งมาข้างกายเฉินผิงอัน เขย่งปลายเท้า เอามือป้ อง ข้างปาก รายงานข่าวเสียงเบา “เจ้าขุนเขาคนดี เมื่อครู่นี้นักพรตลู่ บอกว่าพวกท่านเคยหาประสบการณ์อยู่ข้างนอกด้วยกัน ขึ้นเขาลง ห้วย ไม่รู ้ว่าเดินผ่านภูเขาสายน้ามามากน้อยเท่าไร ผ่านอันตรายมา นานัปการ โชคดีที่พี่น้องร่วมแรงร่วมใจกันแม้แต่ทองก็ยังตัดให้ขาด
ได้ ทุกครั้งจึงมีแต่เรื่องน่าตกใจทว่าไร ้อันตราย จากนั้นมีครั้งหนึ่งอยู่ ในสถานที่ที่ชื่อว่าภูเขาไฉอวี้ เขาควักกระเป๋ าเลี้ยงสุราท่าน ในงาน เลี้ยงท่านยังชมเทพธิดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าเหลียงอวี้ผิง ฉายาว่า “เจียวเย่ ต่อหน้านางบอกว่านางงดงามด้วยนะ”
“ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว ไม่เชื่อเลยสักนิดเดียว! นักพรตเซียนเว่ย …น่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกระมัง”
“นักพรตเซียนเว่ยยังถามด้วยว่าแม่นางเหลียงคนนั้นอ้วนหรือ ผอม นักพรตลู่บอกว่าพี่หญิงเทพธิดาคนนั้นหน้าตางดงามปานบุป ผาเช่นไร ใช ้คาพังเพยมาบรรยายตั้งหกเจ็ดประโยค นักพรตเซียนเว่ ยฟังอยู่นานก็พูดแค่ว่า “นึกไม่ออก” นักพรตลู่จึงรีบเปลี่ยนคาพูดให้ ธรรมดาสามัญ บอกว่าแม่นางเหลียง มองด้านหน้ากับมองด้านหลัง ล้วนดีเยี่ยม ก็แค่หากมองด้านข้างออกจะแบบราบไปสักหน่อย นักพรตเซียนเว่ยได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด ยกถ้วยชาขึ้นมา ท่าทางเซื่องซึม ต่อจากนั้นนักพรตทั้งสองคนก็เหมือนต่อโคลงคู่กัน คนหนึ่งบอกว่าเดินไปสุดปลายทางท่ามกลางหิมะ อีกคนก็บอกว่า พักแรมใกล้ภูเขาไฟ…ยังมีเรื่องอื่นอีก แต่ก็พูดอย่างวกวนอ้อมค้อม ข้าจาไม่ค่อยได้แล้ว เจ้าขุนเขาคนดีตอนที่ท่านเดินมาถึงหน้าประตู ภูเขา เมื่อครู่นี้นักพรตลู่บอกว่าวิถีแห่งเทพเสื่อมถอยต้องเคารพ โชคชะตา โชคชะตาเสื่อมถอยควรเคารพสิ่งใด…”
เฉินหลิงจวินเงี่ยหูฟัง มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? คิดดูแล้วหากนาย ท่านเจ้าขุนเขาจะพูดบนโต๊ะสุราสักสองสามประโยคให้พอเป็ นพิธีก็ สามารถเข้าใจได้ สามารถเข้าใจได้
เซียนเว่ยท าหน้ามึนงง
หมี่ลี่น้อยที่แท้เจ้าตั้งใจฟังขนาดนี้เชียวหรือ?
ก่อนหน้านี้เจ้านั่งหาวอยู่ตรงนั้น ทาท่าง่วงงุน สัปหงกเหมือน ลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก หรือว่าเป็ นแค่ภาพลวงตา?
เพียงแต่ว่าผินเต้ากับนักพรตลู่พูดคุยเรื่องความรู ้ที่เป็ นการเป็ น งานกันมากขนาดนั้นท าไมไม่เห็นเจ้าจะจ าได้ ดันมาจดจ าหัวข้อ พูดคุยที่ไม่สาคัญพวกนี้ได้แม่นยาถึงเพียงนี้
หมี่ลี่น้อยยังไม่ลืมหันมายิ้มกว้างให้นักพรตเซียนเว่ย ยกนิ้วโป้ ง ให้ ทั้งพูดจาดีๆ ทั้งไม่ลืมทวงคุณความชอบ “เจ้าขุนเขาคนดี นักพรต เซียนเว่ยของพวกเรารับรองแขกได้อย่างรอบคอบรัดกุม ข้าล้วนเห็น อยู่ในสายตา แม้แต่น้าสักหยดก็หลุดรอดไปไม่ได้ พูดจาลงมือท า ล้วนมั่นคงหนักแน่น”
เฉินผิงอันเดินไปอยู่ด้านหลังเซียนเว่ยที่ถูกพูดชม สองมือกดลง บนไหล่ของคนเฝ้ าประตูบ้านตน บ่นเสียงเบาว่า “นิสัยใจคอของข้าผู้ แซ่เฉิน คนนอกไม่เชื่อ ถึงอย่างไรก็เป็ นคนนอก ปล่อยพวกเขาไป แต่นักพรตเซียนเว่ยเป็ นคนกันเอง จะแค่กึ่งเชื่อกึ่งกังขาได้อย่างไร?”
เซียนเว่ยโอดครวญ “นี่ข้าก็ถูกลากลงคลองไปด้วยไม่ใช่หรือ?”
ลู่เฉินจับประคองกวานดอกบัว ยิ้มเอ่ย “หมี่ลี่น้อย นักพรตเซียน เว่ย ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรของพวกเจ้าแล้ว ขอให้ผินเต้าได้ระลึก ความหลังอันหวานชื่นขมขื่นกับเจ้าขุนเขาเฉินและสหายจิ่งชิงสัก หน่อยเถอะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า หมี่ลี่น้อยลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย กลับขึ้นไป บนภูเขา คิดจะเอาไปเล่าให้พี่หญิงหน่วนซู่ฟังว่าเจอกับนักพรตหนุ่ม แซ่ลู่ที่ตีนเขา พูดจาตลกขบขัน เป็ นมิตรอย่างมากเลยล่ะ
เซียนเว่ยเอ่ยขอตัวลาแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตู หยิบตารา เล่มหนึ่งที่ถูกเสียดสีอย่างหนักออกมาจากสาบเสื้อ เอ๊ะ หยิบผิดเล่ม รีบเปลี่ยนเป็ นตาราจริงจังใหม่เอี่ยมเล่มใหม่ทันที
เฉินหลิงจวินนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเจ้าขุนเขาคนดี แต่ กลับสังเกตเห็นว่าเมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิลู่ รู ้สึกว่า ไม่เหมาะสม จึงขยับกันไปเล็กน้อย ค่อยๆ ย้ายไปนั่งอีกด้านหนึ่งของ เก้าอี้ยาว แต่ก็ยังรู ้สึกว่าไม่มั่นคงเท่าไร จึงยกสองเท้าขึ้น พลิกตัวหัน หน้าไปนอกภูเขา คราวนี้รู ้สึกว่าทัศนียภาพของที่นี่ช่างงดงามไม่ เหมือนใคร
ลู่เฉินมองแผ่นหลังของเด็กชายชุดเขียวแล้วคลี่ยิ้มพลางหยิบ ถ้วยขาวขึ้นมา คว่าปากถ้วยลงด้านล่าง น้าชาหยดหนึ่งหยดลงบน โต๊ะ ทันใดนั้นเมฆหมอกก็ลอยอวล เผยให้เห็นภาพภูเขาสายน้าภาพ หนึ่ง
คือเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง ยอดบนสุดของภูเขาบรรพบุรุษมี ที่ราบลุ่มระหว่างภูเขาในที่ราบมีสะพานเล็กๆ และสายน้าไหล และยัง มีศาลเก่าแก่ตั้งอยู่แห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันเหลือบตามอง ถามว่า “ขาดต้นไม้อีกต้นหรือไม่?”
ลู่เฉินสะบัดข้อมือ หยดน้าชาอีกหยดหนึ่งลงบนโต๊ะ เอ่ยด้วย ใบหน้าตกตะลึงว่า “เจ้าขุนเขาเฉินคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียม ประเพณีในใต้หล้ามืดสลัวของพวกเราขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใต้หล้ามืดสลัวมีลักษณะชัยภูมิเป็ นเก้า ภูเขาหนึ่งสายน้า ปี นั้นหากเฉินหลิงจวินติดตามเจ้าไปอยู่ที่นั่น ราชวงศ์อวี๋ฝูคิดจะทาเรื่องให้สาเร็จก็คงยากมากกระมัง?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เรื่องราวอยู่ที่การกระทาของคน อีกทั้งยังมีผิน เต้าคอยชูธงร ้องให้ก าลังใจ ตีกลองสร ้างความฮึกเหิมอยู่ด้านข้าง เรื่องการเดินลงน้าของสหายบางคนก็ไม่กล้าพูดจริงๆ ว่าจะต้องสาเร็จ แน่นอนหรือจะต้องไม่ส าเร็จแน่นอน”
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็รีบหันกลับมาทันที วางสองมือทาบไว้ บนโต๊ะ “พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน?”
ภาพที่อยู่บนโต๊ะนี้มีตาแหน่งตั้งอยู่ที่ชายแดนของมณฑลยงโจว และมณฑลเพ่ยโจวของใต้หล้ามืดสลัว มณฑลทั้งสองถูกแบ่งด้วยลา น้าใหญ่เส้นหนึ่ง
และในอาณาเขตของมณฑลยงโจว ยอดเขาของเทือกเขาที่ ตั้งอยู่ใต้น้าสายนี้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกอักขรานุกรมท้องถิ่นบันทึก ว่าชื่อโต๊ะเครื่องแป้ ง เรียกบ้านๆ ว่า “อ่างล้างหน้า” มีสะพานหินพาด ผ่านลาธาร มีชื่อว่าสะพานมังกรหวน
ข้างสะพานมีศาลเทพภูเขาตั้งอยู่ ซ่อนหนึ่งในผู้ “ร่วมสังหาร” ของครั้งนั้นเอาไว้ นอกศาลมีต้นการบูรเก่าแก่อายุหมื่นปีต้นหนึ่ง เล่า ลือกันว่าเป็ นผู้ควบคุมโชคชะตาของสี่มณฑลในมืดสลัว
ฮ่องเต้หญิงจูเสวียนแห่งราชวงศ์อวี๋ฝูต้องการจัดงานพิธีผู่เทียน ที่นี่ ด้วยนิสัยของนางลู่เฉินใช ้กันคิดก็ยังรู ้ได้ว่านางจะต้องฟันกิ่งไม้สี่ กิ่งอย่างแน่นอน
ปีนั้นก่อนที่ลู่เฉินจะเดินทางไกลไปยังถ้าสวรรค์หลีจู เคยตอบตก ลงกับจูเสวียนผู้นี้ว่าจะพาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาให้นางกับ ราชวงศ์อวี๋ฝู ผลคือเจ้าลัทธิลู่ของพวกเราพูดจาเหมือนผายลม ถ่วง เวลาแล้วถ่วงเวลาอีก คราวก่อนลู่เฉินถึงกับยังมีหน้าไปที่ศาลเทพ ภูเขาแล้วยังเปลี่ยนสีหน้าไม่ยอมรับเรื่องที่ตัวเองพูดไป
ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันพูดไว้ โชคชะน้าของใต้หล้ามืดสลัว แร้นแค้นไม่เหมือนใต้หล้าไพศาลที่มีโชคชะตาน้าเปี่ยมล้น เมื่อเป็ น เช่นนี้หากคิดจะเลี้ยงมังกรที่แท้จริงสักตัวก็ยากราวเดินขึ้นสวรรค์