กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1013.2 จุดที่เมฆขาวก่อกาเนิดมีบ้านคน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ก่อนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าจะ ออกไปจากใต้หล้าไพศาลได้นาน้าทะเลมหาสมุทรบูรพาไปด้วยเยอะ มาก นับตามลาดับศักดิ์ เจ้าอารามผู้เฒ่าถือเป็ นอาจารย์อาของเจ้า ลัทธิลู่ได้ เอาโชคชะตาน้าเหล่านี้ไปเทใส่ในต้นกาเนิดของลาน้าใหญ่ เฉินหลิงจวินค่อยอาศัยสิ่งนี้มาเดินผ่านลาน้าใหญ่เข้าสู่มหาสมุทร โอกาสในการกลายเป็ นมังกรก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ เพราะถึงอย่างไร การเดินลงน้าประเภทนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อน วันหน้าก็น่าจะยิ่งไม่มีได้อีก เจ้าอารามผู้เฒ่ามอบโชคชะตาน้าให้ มีคุณความชอบครั้งหนึ่งช่วย เพิ่มพลานุภาพน้าให้แก่ลาน้าใหญ่ไหลเชี่ยวกรากลงสู่มหาสมุทร หากเจ้าลัทธิลู่เจรจากับอาจารย์อาได้ส าเร็จก่อนล่วงหน้าแล้วยัง สามารถส่งมอบคุณความชอบส่วนหนึ่งให้กับเฉินหลิงจวิน จากนั้น ค่อยให้ผู้ถวายงานของราชวงศ์อวี๋ฝูทุ่มเทก าลังปกป้ องมรรคาให้ ระหว่างสองฝากฝั่ง เจ้าลัทธิลู่คอยจับตามองอย่างลับๆ คอยขจัดเรื่อง ไม่คาดฝันทั้งหมดทิ้งไป”
เจ้าลัทธิลู่มองเด็กชายชุดเขียวแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก “สหายจิ่ง ชิง ได้ยินแล้วหรือยัง?! ยังจะชักสีหน้าท าหน้าตาบูดบึงใส่ผินเต้าอีก หรือ เจ้าลองถามมโนธรรมในตัวเองดูเถอะว่าเจ้าควรอวดเก่งกับ ใคร?”
มารถามันเถอะ เจ้าลูกกระต่ายน้อยโง่เงาผู้นี้เนรคุณกันเกินไป แล้ว ปีนั้นหากติดตามเขาไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวก็จะมีโชควาสนาใหญ่ แค่ไหนรอคอยเขาอยู่? แค่นอนเสวยสุขไปก็พอ
มีเขาลู่เฉินคอยสานสะพานความสัมพันธ ์ให้ จากข้อตกลงก็คือ ช่วงชิงเอาต าแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาจากราชวงศ์อวี๋ฝูก่อน ฮ่องเต้จูเสวียนคือสตรีที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างมาก ต่อให้ ต้องทุ่มเงินในท้องพระคลังของแคว้นจนหมดก็ต้องรับประกันว่าเฉิน หลิงจวินจะเดินลงน้าในลาน้าใหญ่ได้สาเร็จอย่างแน่นอน ทุกอย่าง ล้วนเพื่อช่วยให้เขาได้กลายเป็ นมังกร หากไม่ผิดไปจากที่คาด เขา ยังสามารถช่วงชิงโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้ าในการเป็ นมังกรที่แท้จริง อันดับหนึ่งบนโลกกับหวังจูแห่งตรอกหนีผิงได้ด้วยซ้า เมื่อโลกมนุษย์ มีมังกรที่แท้จริงโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง เฉินชิงหลิวที่เป็ นคนพิฆาตมังกร คิดจะอาศัยสิ่งนี้หวนคืนสู่ขอบเขตสิบสี่ก็ต้องข้ามใต้หล้ามายังใต้หล้า มืดสลัว สืบเสาะให้รู ้เรื่องราว ต่อให้ผู้ฝึ กกระบี่ท่านนี้ไม่เข้าร่วม สงครามระหว่างไพศาลกับเปลี่ยวร ้าง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะพิฆาต มังกรแต่ด้วยนิสัยของเฉินชิงหลิวแล้วก็มีความเป็ นไปได้แปดเก้าใน สิบส่วนว่าจะต้องเกิดข้อขัดแย้งกับจูเสวียน ศาลเทพภูเขาแห่งนั้น หรือไม่ก็อู๋โจวนักพรตหญิงที่พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในมณฑล ยงโจว ถึงเวลานั้นต้นการบูรเก่าแก่อายุหมื่นปีต้นนั้นก็จะถูกการถาม กระบี่ฟันโค่น จูเสวียนยังจะทานายอะไรได้อีก ถ้าอย่างนั้น
สถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ว่าจะเกิดความวุ่นวายของหลายมณฑลในใต้ หล้าทุกวันนี้ก็จะคลี่คลายไปได้
แม้จะบอกว่าเป็ นวิธีการที่รักษาปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ แต่อย่าง น้อยลู่เฉินก็ช่วยถ่วงเวลาให้ป๋ ายอวี้จิงและศิษย์พี่อวี๋ได้หกสิบปี
ในช่วงเวลาระหว่างนี้คนที่ได้ผลประโยชน์ไปมากที่สุดก็ยังคงเป็ น งูน้อยแห่งแม่น้าอวี้เจียงอย่างเฉินหลิงจวิน ไม่ต้องให้เขาท าอะไร ทั้งนั้น อีกทั้งยังถูกกาหนดมาแล้วว่าจะมั่นคงปลอดภัย ไม่มีภัยร ้าย อะไรทิ้งไว้เบื้องหลัง ถึงขั้นที่ว่ายังมีผู้พิทักษ์มรรคาที่มองไม่เห็นเพิ่ม มาอีกคน เพราะถึงอย่างไรขอแค่เฉินชิงหลิวยืนกรานอยากจะรักษา ขอบเขตสิบสี่เอาไว้ บนโลกนี้ก็จาเป็ นต้องมีมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง อีก ทั้งยังมีได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น อีกอย่างดูจากสถานการณ์ในการอยู่ ร่วมกันระหว่างเฉินหลิงจวินกับคนพิฆาตมังกรผู้นั้นตลอดหลายปีมา นี้ เชื่อว่าอยู่ในราชวงศ์อวี๋ฝูมณฑลยงโจวก็จะยังเรียกตัวเองเป็ นพี่เป็ น น้องกับเฉินชิงหลิว เข้ากันได้ดีอย่างมาก น่าจะมาจิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกันทุกสามวันห้าวันเลยกระมัง?
ส่วนขั้นตอนของการเดินลงลาน้าก็เป็ นเหมือนอย่างที่เฉินผิงอัน กล่าวไว้ น้าของทะเลบูรพาที่ทุกวันนี้อาจารย์อาปี้เซียวยังใส่ไว้ใน น้าเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นคือกุญแจสาคัญขั้นตอนหนึ่งที่มิอาจขาดไป ได้
หาไม่แล้วต่อให้เป็ นช่วงเวลาที่ลู่เฉินดูแลป๋ ายอวี้จิงก็ไม่มีทางรื้อ ก าแพงตะวันออกไปซ่อมก าแพงตะวันตก ฝ่ าฝืนกฏต่อต้านผู้คน เอา
โชคชะตาของตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวมาเทเอียงให้เฉินหลิงจวินเพียง ผู้เดียว
เฉินหลิงจวินขมวดคิ้ว ยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้น พูดด้วยสีหน้า เคร่งเครียด “ขอข้าหายใจหายคอสักครู่ ตอนนี้ใช ้สมองไม่ทัน ข้า ต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ…
ลู่เฉินกลอกตามองบน “หัวสมองที่มีแต่แป้ งเปียก เจ้าจะคิดผาย ลมอะไรออกมาได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความหมายคร่าวๆ ของเจ้าลัทธิลู่ก็คือขอแค่ ปีนั้นเจ้าติดตามเขาไปอยู่ยงโจวก็มีความมั่นใจอย่างมากว่าจะเดินลง น้ากลายเป็ นมังกรได้ส าเร็จ มีความเป็ นไปได้ไม่น้อยที่เจ้าจะได้ กลายเป็ นมังกรที่แท้จริงตัวแรกบนโลกมนุษย์ก่อนหน้าหวังจูแห่งใต้ หล้าไพศาล เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ ต้องกังวลว่าจะถูกคนพิฆาตมังกรหมายหัว ขอบเขตบินทะยาน มังกร ที่แท้จริง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์อวี๋ฝูสถานะแทบไม่ต่าง ไปจากผู้ครองชะตาน้าของสิบสี่มณฑลในใต้หล้ามืดสลัว อีกทั้งที่ ส าคัญที่สุดก็คือยังมียันต์คุ้มกันภัยที่ใหญ่ที่สุดอีกแผ่นหนึ่ง เพราะ เท่ากับว่าเจ้าจะได้รับการปกป้ องมหามรรคาจากป๋ ายอวี้จิง อยู่ในใต้ หล้าแห่งหนึ่ง จวนเซียนบนภูเขา ราชวงศ์ล่างภูเขา ไม่ว่าจะเดินไปที่ ไหนก็ล้วนเป็ นแขกผู้สูงศักดิ์ ล้วนต้องเรียกขานเจ้าว่าบรรพบุรุษจิ่ง ชิง คือวีรบุรุษผู้ร ้ายกาจแล้ว”
เด็กชายชุดเขียวกะพริบตาปริบๆ นายท่านเจ้าขุนเขาพูดแบบนี้ ถึงจะฟังเข้าใจ เขานิ่งคิดไปนาน สุดท้ายก็ถามว่า “แล้วยังไงต่อ?”
อยู่ต่างบ้านต่างเมือง เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า คบค้าอยู่กับความ ร่ารวยสูงศักดิ์ มีสหายใหม่อยู่เต็มใต้หล้า แต่ต่อให้ไม่พูดถึงเพื่อนกิน ที่เรียกขานกันเป็ นพี่เป็ นน้องบนโต๊ะเหล้าเท่านั้น ในบรรดานั้นอาจยัง มีสหายรักที่จริงใจต่อกันซึ่งเรียกได้ว่ามีทุกข์ร่วมต้านได้อย่างแท้จริง แต่ทางฝั่งนี้ ภูเขาลั่วพั่วจะท าอย่างไร? เฉินหลิงจวินเงยหน้ามองไป บนภูเขา มีนังเด็กโง่ มีหมี่ลี่น้อย พ่อครัวเฒ่า แล้วหันหน้ากลับมามอง นักพรตเซียนเว่ยตรงหน้าประตู…ห่างไปไกลอีกหน่อยก็ยังมีพี่น้องเว่ย ที่ขี้เหนียว ชอบทาให้ตนขายหน้าเป็ นประจา แต่แท้จริงแล้วกลับดีต่อ ภูเขาลั่วพั่วราวกับสวมกางเกงตัวเดียวกัน?
เฉินผิงอันมองสบตากับลู่เฉิน
เป็ นอย่างไรเล่า?
ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
จริงดังคาด
คนอื่น “พูด” เช่นนี้ หรือควรจะพูดให้ถูกว่าคิดเช่นนี้ บางทีในใจ อาจเสียใจจนไส้เขียวทั้งที่รู ้ดีว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังแสร ้งทาเป็ น พูดจาผ่อนคลาย อย่างน้อยก็ต้องตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็ นคนอ้วน ไม่ยินดียอมรับว่าตัวเองพลาดโชควาสนาครั้งหนึ่งไป
แต่เฉินหลิงจวินกลับไม่เหมือนใครจริงๆ
แค่ดูจากที่หลายปีมานี้เฉินหลิงจวินยังคงคิดถึงพี่น้องเทพวารี แม่น้าอวี้เจียงไม่เสื่อมคลาย คอยให้ความช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ รู ้แล้วว่าเด็กชายชุดเขียวที่เรียกตัวเองว่า “งูขาวน้อยในคลื่นแม่น้าอวี้ เจียง ราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว” ให้ความส าคัญกับคุณธรรม น้ามิตรแค่ไหน
สหายผิดต่อข้าเป็ นเพราะเขามีความล าบากใจ แต่กลับมิอาจไร ้ คุณธรรมต่อสหายได้ข้าไม่อาจท าให้สหายรู ้สึกว่าคบหาข้าเป็ นสหาย เป็ นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า หาไม่แล้วก็คือการ วางตัวของข้าที่มีปัญหา
นี่น่าจะเป็ นจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวยามท่องยุทธภพในชีวิตนี้ ของเฉินหลิงจวินแล้ว
ก็เหมือนหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่พูดกับคนร ้อยคน เก้าสิบแปด คนอาจเข้าใจ แต่มักจะต้องมีคนสองคนที่ไม่เข้าใจ บางทีคนหนึ่งอาจ ยืนกรานที่จะสงสัยผู้พูด และยังมีอีกคนที่เข้าใจหลักการเหตุผลแต่ กลับไม่เห็นเป็ นส าคัญ
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะเฉินหลิงจวินตัดใจจากทุกคนและ ทุกเรื่องราวของภูเขาลั่วพั่วไปไม่ได้นั่นเอง
ลู่เฉินม้วนชายแขนเสื้อ เก็บภาพขุนเขาสายน้าบนโต๊ะมา เฉินผิง อันจึงบอกให้เฉินหลิงจวินไปเอากาต้มน้าที่เตาไฟมา
ปีนี้พ่อครัวเฒ่าเก็บใบชามาจากต้นชาเก่าแก่ทั้งหลายที่อยู่ใน ภูเขาหวงหูแล้วผัดด้วยตัวเอง ชาก่อนฝนต้มดื่มได้ดี หากยังใช ้น้าพุ ในภูเขาด้วย ดื่มแล้วรสหวานจะค่อยๆ ซ่านในปาก
เฉินหลิงจวินเทน้าร ้อนลงในถ้วยสองใบบนโต๊ะ มีเพียงถ้วยของ ตัวเองที่คล้ายกับลืมไปเฉินผิงอันจึงบอกให้เขาวางกาน้าไว้ตรงนี้ ตัว เขาอยากไปท าอะไรก็ไปได้
เวลาเดินรู ้สึกเหมือนตัวลอยๆ ไม่รีบร ้อนขึ้นเขา เฉินหลิงจวินเดิน สองมือไพล่หลังไปหานักพรตเซียนเว่ยก่อน ตบไหล่อีกฝ่ าย เอ่ย ประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดีสองสามประโยคแล้วค่อยเดินขึ้นเขา ไปช ้าๆ
“อยู่ในยุทธภพ คาว่าคุณธรรมมาเป็ นอันดับหนึ่ง ความยากจนมิ อาจท าให้คุณธรรมสั่นคลอน อานาจไม่สามารถทาให้ยอมจานน หากสถานการณ์บีบบังคับ โขกหัวเป็ นบางครั้งก็ไม่ได้น่ าอาย ลูกผู้ชายต้องยึดได้หดได้”
“เจ้าลู่เฉินสารเลวผู้นี้เห็นข้าโง่หรือไร เป็ นมังกรที่แท้จริง คน พิฆาตมังกรจะไม่มาฟันข้าถึงบ้านเลยหรอกหรือ?”
“หัวสมองแบบใดกัน ไร ้ไหวพริบเสียจริง ขอแค่ฉลาดสักหน่อย ย่อมไม่มีทางพูดจาคุยโวโดยไม่ต้องร่างคาพูดเช่นนี้ออกมาได้ แล้ว ยังบอกว่าตัวเองเป็ นเจ้าลัทธิสามของป๋ ายอวี้จิงอีก ถ้าให้ข้าเป็ น ข้าก็ เป็ นได้เหมือนกัน ขอร ้องข้าข้าก็ไม่ไปหรอก”
เห็นหมี่ลี่น้อยที่บนบ่าแบกคานหาบสีทองในมือถือไม้เท้าเดินป่าสี เขียว เฉินหลิงจวินที่เอาสองมือไพล่หลังก็พยักหน้า พูดเหมือนคนแก่ ว่า “หมี่ลี่น้อยอ่า ลาดตระเวนภูเขาหรือ”
หมี่ลี่น้อยไม่หยุดเดิน เพียงแค่มองเขา นางถอนหายใจแล้ว ลาดตระเวนภูเขาต่อ จิ่งชิงดีก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าหัวสมองนี้ของ เขา เฮ้อ กลุ้มจัง
เฉินหลิงจวินที่เดิมทีอยากจะคุยโวให้หมี่ลี่น้อยฟังสักสองสาม ประโยคหมดอารมณ์ทันใด ไม่คุยเรื่องที่ไร ้แก่นสารพวกนั้นแล้ว เฉิน หลิงจวินรีบเดินตามหมี่ลี่น้อยไป สะบัดชายแขนเสื้อสองข้างดังพึ่บ พั่บ ลาดตระเวนภูเขาไปด้วยกัน ถามเสียงเบาว่า “ที่นั่นยังมีใบชาอยู่ ไหม? เมื่อหลายวันก่อนเห็นว่ายังมีอีกไม่น้อย ใส่ได้เต็มกระเป๋ าไม่มี ปัญหา ไม่ได้ถูกพ่อครัวเฒ่าขโมยกินไปแล้วใช่ไหม?”
หมี่ลี่น้อยรีบเม้มปากทันใด ลูกตากลอกกลิ้ง แล้วทันใดนั้น ดวงตาก็พลันสว่างวาบ ร ้องโอ้ยหนึ่งที กระทืบเท้าเอ่ย “ก็ว่าแล้วเชียว ว่าจะนอนสักตื่นแล้วค่อยไปดู แต่นึกจะหมดก็หมดเสียอย่างนั้น!”
เฉินหลิงจวินแสร ้งพูดอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่าเจ้าโจรตะกละ ไร ้ชื่อไร ้แปใหญ่แล้ว! ไป พวกเราไปฟังคาชี้แจงจากเขากัน!”
หมี่ลี่น้อยรีบดึงชายแขนเสื้อของเฉินหลิงจวินเอาไว้ ขมวดคิ้วสี เหลืองอ่อนจางทั้งสองข้าง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จิ่งชิง จิ่งชิง ข้ารู ้ ว่ายังมีสถานที่ดีๆ อีกแห่งหนึ่ง มีใบชาเยอะเลยล่ะ!”
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็โพล่งขึ้นมา “รวมคาสร ้างประโยค ทับซ ้อนกันเป็ น ชั้นๆ มีแต่เพิ่มไม่มีลดมากเกินไปก็ไม่ดี”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ร่างแยกพวกนั้นไม่มีทางอยู่ข้างนอกนาน เกินไปนัก”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ต้องใช ้ต้นฉบับประมาณเท่าไร? สามสิบ หรือว่า รวบรวมให้ครบร ้อยหรือเพื่อความมั่นคงต้องมีสักสามร ้อยห้าร ้อย?”
ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่พูดคุยกับผู้อื่น ถ้อยคาที่ต้องใช ้อย่าง แท้จริง อันที่จริงก็เป็ นแค่คาที่ใช ้บ่อยๆ ไม่กี่ร ้อยคาเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นที่พรรคกิ่งไผ่ภูเขาไฉอวี้ เฉินผิงอันคัดลอก บุคคลที่สาคัญไว้อย่างละเอียด นอกจากตัวช่วยทั้งหลายอย่างสาย ของจือเค่อฝ่ ายนอกแล้ว ช่างหินของภูเขาไฉอวี้และยังมีท่านลุงป๋ าย ขุนนางขุดเหมือง เซี่ยโหวจ้านแห่งยอดเขาสุ่ยหลิงและเหลียงอวี้ผิง แห่งภูเขาจีจู๋ รวมกันแล้วก็มีบุคคลรูปแบบต่างๆ อย่างน้อยสามสิบคน แต่บุคคลที่เรียกว่าเป็ น “ต้นฉบับ” อย่างที่ลู่เฉินกล่าวถึงได้อย่าง แท้จริง พูดถึงแค่ในพรรคกิ่งไผ่ คาดว่าน่าจะไม่เกินสองมือนับ ต้นฉบับประเภทนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับว่าตัวตนของพวกเขาเป็ น ผู้ฝึกตนหรือไม่ ขอบเขตสูงหรือต่า
แต่ลู่เฉินมักมีความรู ้สึกว่าเฉินผิงอันที่อยู่ที่ภูเขาไฉอวี้ คล้ายจะมี เจตนาอย่างอื่น อีกทั้งเจตนานั้นยังถูกเก็บซ่อนเอาไว้ลึกมาก
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กที่อาศัยพรรคกิ่งไผ่มาจับตามองภูเขา ตะวันเที่ยง ดังนั้นเมื่อลู่เฉินตัดสินใจว่าจะลองอนุมานให้ดีๆ ดูสักครั้ง ตอนที่อยู่หาดโปรยดอกไม้ก็ถูกเฉินผิงอันที่น่าจะใช ้ตราผนึกที่ฝูลู่ อวี๋เสวียนร่ายไว้ หรืออาจจะใช ้สัญชาตญาณบางอย่าง จับได้คาหนัง คาเขา แล้วจึงผลักเรือตามน้า โยนดวงจิตดวงหนึ่งของลู่เฉินไปไว้ใน “กรงขัง” แห่งนั้น ใช่ว่าลุ่เฉินไม่สามารถฝ่าตราผนึกนั้นมาได้ แต่หาก ทาเช่นนี้ก็จะเท่ากับผูกปมแค้นกับเฉินผิงอันอย่างแท้จริงแล้ว ลู่เฉิน ไม่เคยกลัวใคร เขากลัวแค่สิ่งที่ ไม่ใช่คน” ลู่เฉินฝึกตนแทบจะไม่มี ความดีหรือความเลว เป็ นทัศนียภาพที่แตกต่างจากเส้นความดีความ เลวสองเส้นที่อยู่ใกล้กันมากในใจของเฉินผิงอันในตอนนั้นอย่าง สิ้นเชิง สภาพจิตใจของเฉินผิงอัน หรือควรพูดว่าความรู ้ความเข้าใจ ของเขาเหมือนฟ้ าดินที่ยังไม่เปิดออก จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งของลู่ เฉินเหมือนความต่างราวฟ้ ากับเหวที่แตกต่างอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็ นการตัดขาดฟ้ าดินที่บริสุทธิ์บนมหามรรคาในอีก ความหมายหนึ่ง
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ฝื นบังคับ ถึงอย่างไรวันหน้าก็ยังต้องไป เยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “วิถีกระบี่เส้นนี้ของเจ้าลี้ลับก็ลี้ลับอยู่ แต่เมื่อ เทียบกับห้าร ้อยหลิงกวนที่ศิษย์พี่อวี๋ต้องการตามหาแล้วยังเรียบง่าย กว่าเยอะมาก
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าลัทธิลูลู่ไม่ต้องเตือนให้รู ้ถึงความต่างระหว่าง ข้ากับเขาหรอก ข้อนี้ข้ารู ้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร”
ลู่เฉินถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับมรรคกถาและเวท กระบี่ของศิษย์พี่อวี๋กับตัวเองมาก่อนเสียหน่อย กล้าพูดได้อย่างไรว่ารู ้ ดีถึงความต่างนี้?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าข้าคุยโวก็แล้วกัน”
ลู่เฉินดื่มชาหนึ่งอึก เคี้ยวใบชาที่อยู่ในปาก