กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1013.3 จุดที่เมฆขาวก่อกาเนิดมีบ้านคน
เฉินผิงอันกล่าว “ร่างแยกอยู่ข้างนอก อันที่จริงนอกจากฝึกตน แล้วก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ขึ้นเขาฝึกตนมานานแล้วก็ง่ายที่จะ หลงลืมตัวเองในอดีต”
นั่นก็คือตอนที่อยู่ตรงตีนเขามองไปยังทัศนียภาพบนภูเขา
ลู่เฉินพยักหน้า “ความเคยชินทุกอย่างก็คือการหลงลืมที่เลือก เอง”
เฉินผิงอันยกถ้วยขึ้นชนกับของลู่เฉินเบาๆ ต่างก็ดื่มชาแทนสุรา
พูดถึงแค่ประโยคนี้ของลู่เฉิน คนบนภูเขาทั่วไปไม่มีทางพูดได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นับตั้งแต่เริ่มเป็ นเด็กหนุ่ม ทุกครั้งที่ออกจาก บ้านเดินทางไกลตอนอ่านหนังสือจะมีความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ อย่าง หนึ่ง นั่นคือจะเอาบุคคลที่อยู่ในตาราเล่มต่างๆ มานับเป็ นจ านวน ใน จานวนสิบคนแรก เจ้าลัทธิลู่เรียกได้ว่าทิ้งไปไม่เห็นฝุ่ นอันดับที่สี่ถึง อันดับที่สิบ รวมกันแล้วก็ยังสู้ “ลู่เฉิน” คนเดียวไม่ได้”
ลู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ “หากรวมอันดับสามเข้าไปด้วย เล่า?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็ยังสู้เจ้าลัทธิลู่คนเดียวไม่ได้”
ลู่เฉินถามอีก “รวมอันดับสองด้วย?”
“ก็ยังสู้ไม่ได้”
ลู่เฉินถอนหายใจ “ที่แท้ผินเต้าก็ร ้ายกาจถึงเพียงนี้”
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะเงยหน้ามองไปยัง ภูเขาลั่วพั่ว
จุดที่เมฆขาวก่อก าเนิดมีบ้านคน
กลีบดอกบัวกลีบหนึ่งบนกวานเปล่งแสงวาบ ดวงจิตดวงนั้น กลับคืนมา
มือหนึ่งของลู่เฉินถือถ้วยชา สองนิ้วประกบกันเคาะโต๊ะเบาๆ “ท่านไม่เห็นหรือว่าโลกมนุษย์ก็เหมือนภาพวาดฝาผนัง น้าเป็ นสีวาด ภูเขาเป็ นกระดาษ เทพผีเดินกันเต็มผนัง ลมวสันต์พัดโชยแสงกระบี่ เปล่งจ้า ผินเต้าเคยได้ยินเซียนเหรินยุคโบราณกล่าวไว้ว่า ท้าวจตุ โลกบาลแบ่งแยกกันดูแลสี่ใต้หล้า ตาหนักสุ่ยจิงหลังคากระเบื้องสี เขียวมรกต ธงหลากสีชูสูงพัดขนนกยูงคันใหญ่ นางฟ้ าแต่งกาย งดงามเฉิดฉัน โบกแส้สีทองถี่ควบม้าพันธ ์ดี ตะวันตรงข้ามกับจันทรา หยินตรงข้ามกับหยาง เทพสวรรค์กับเทพแห่งปฐพี สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับ เซียนเจิน สายฟ้ ากับพายุลมกรด ศาลบุ๋นฝั่งซ ้ายกับศาลบู๊ฝั่งขวา ตรงกลางยังมีศาลเทพอภิบาลเมือง ดอกบัวในภูเขาภูษาลายเมฆ แจกันเครื่องประดับนั่งในศาลาลม ใครแสดงการคารวะต่อเทพธรรม บาล เสียงระฆังทองซึ่งหยกดังก้องภูเขา คนรัฐนี่ขี่รถม้าถึงกลางภูเขา
ก็ย้อนกลับทางเดิม ใต้ต้นหลี่นอนหนุนกระดูกขาว กังวลว่าภาพฝา ผนังจะมีเมฆหมอกผุดลอย เปิดประตูภูเขาลอยขึ้นฟ้ าไกล…”
และเวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากบนภูเขาหัวเราะร่า เสียงดัง “นักพรตลู่มาตั้งแผงเอาเปรียบผู้อื่นอีกแล้วหรือ?! ปีนั้นอยู่ใน เมืองเล็ก แม่นางหน้าตางดงามที่ส่งสายตาให้พวกเราสองพี่น้อง ทุก วันนี้แต่งงานเป็ นภรรยาของผู้อื่นไปนานแล้ว ไป ข้าจะน าทางให้เอง ทุกวันนี้ที่ตัวเมืองมีแม่นางหน้าตาดีๆ เยอะเลย คนเดิมแก่แล้วก็มีคน ใหม่มาแทน เทียบกับในอดีตแล้วก็มีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า!”
ลู่เฉินสูดปากหนึ่งที ได้ยินเสียงนี้ก็รู ้สึกหัวโตแล้ว เพิ่งจะเตรียม ยกเท้าเผ่นหนี ผลคือถูกชายฉกรรจ์คนนั้นคว้าไหล่เอาไว้ ทั้งยังออก แรงเพิ่มน้าหนักมือ “จะหนีไปไหนเล่า สหายเก่ากันทั้งนั้น พี่น้องร่วม ใจ กิจการเจริญรุ่งเรือง ปีนั้นเจ้าได้อาศัยใบบุญของข้า ทาให้ได้เงิน ไปไม่น้อยเลย…”
ลู่เฉินได้แต่วางกันกลับไปบนม้านั่งยาว เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “พี่ น้องต้าเฟิง คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ปีนั้นขอแค่มีเจ้านั่งยอง อยู่ข้างแผงของผินเต้าก็ไม่มีการค้าอะไรให้ท าแล้วจริงๆ แทบไม่ต่าง จากการขวางเส้นทางทามาหากินเลย พูดถึงแค่พวกแม่นางทั้งหลาย แต่ละคนต่างก็มาเพราะผินเต้ากันทั้งนั้น ผลคือพอเห็นเจ้าก็เดินอ้อม ผ่านแผงกันไปหมด ผินเต้าเคยว่าอะไรสักค าไหม? มีน้าใจพี่น้องมาก พอไหม?!”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่วนเอ่ยว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วจะยกมาพูดอีก ท าไม?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ ไหล่เอียงไปข้าง ร้องโอดครวญไม่หยุด “เจ็บๆๆ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ เรื่องที่พวก เจ้าคุยกัน ข้าน่าจะฟังไม่เข้าใจ”
ลู่เฉินร้อนใจทันใด “อย่านะ พวกเราสามคนล้วนเป็ นคนคุ้นเคย กัน จะคุยก็อยู่คุยด้วยกันนี่แหละ!”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ถามว่า “ครั้งนี้เจ้าลัทธิลู่มาเยือน ใต้หล้าไพศาลมีธุระส าคัญอะไรหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะแห้ง “หากเจ้าขุนเขาเฉินมีธุระต้องไปท าก็ไปก่อน ได้เลย ที่นี่มีพี่น้องต้าเฟิงคอยรับรองดูแล เพียงพอแล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ต้องการตามหาตัวผู้ฝึกตนบางคน หรือ?”
ในความเป็ นจริงแล้ว ฝูเหยาทวีปก าลังตามหา ใบถงทวีปก าลัง ตามหา แจกันสมบัติทวีปเองก็กาลังตามหา “ผู้ฝึกตน” ที่แฝงตัวอยู่ผู้ นี้เช่นกัน
ตามการอนุมานของชุยตงซาน อีกฝ่ ายคือทายาทของผู้ฝึกตน เผ่ามนุษย์ไพศาลกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างบางคน
ชุยตงซานอยากจะหาตัวคนผู้นี้ให้เจอก่อน ทว่าก็ได้แต่เหนื่อย เปล่า ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาอยากจะตามหาแม่นางน้อย “หยวน เซียว” แห่งใต้หล้าห้าสีผู้นั้นที่ถูกกาหนดมาแล้วว่าจะหาไม่เจอ
แม้เฉินผิงอันจะพูดจาซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าประหลาดมาก ลู่เฉิน กลับยังพยักหน้ารับเอ่ยอย่างเป็ นกังวลว่า “ยุ่งยากมาก ยุ่งยากอย่าง ยิ่ง! หากว่ากันในบางความหมาย อันที่จริงเคยมาตามหาสองครั้งแล้ว แต่กลับจับตัวไม่ได้ ส่วนท าไมถึงจับไม่ได้ก็ดูกุ่ยเค่อแห่งใต้หล้า เปลี่ยวร ้างผู้นั้นก็จะรู ้ได้แล้ว ดังนั้นทางฝั่งของศาลบุ๋นเองก็ปวดหัว มากเหมือนกัน ครั้งนี้ผินเต้าเสนอตัวมาช่วยเหลือ ศาลบุ๋นไม่ได้ ขัดขวาง อยู่ในไพศาลก็คือเผือกร ้อนที่ลวกมือ ทั้งไม่มีปัญญาถอน รากถอนโคน ไม่สอดคล้องตามหลักมารยาท แต่ก็ไม่อาจจับอีกฝ่ าย มาขังเอาไว้ เพราะตอนนี้อีกฝ่ ายก็ไม่เคยท าความผิดอะไร แล้วก็ไม่ อาจปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ หากปล่อยให้เรื่องนี้พัฒนาต่อไปก็มีแต่เกิด เองแต่มิอาจดับได้เอง ตัวอ่อนผู้ฝึกตนแต่ก าเนิดรับรองว่าไม่ว่าจะเดิน ไปที่ไหนก็ล้วนเก็บเงินบนถนน ขึ้นภูเขารอบหนึ่งก็เก็บตาราลับมาได้ หากว่าถูกผู้ฝึกตนใหญ่บางคนหมายหัวเอาไว้แล้ว ก็เหมือนกับรอให้ อีกฝ่ ายท าความผิดจากนั้นฆ่าทิ้ง ก็ยังไม่ถือว่าฆ่าโดยปราศจากการ อบรมสั่งสอนอยู่ดีไม่ใช่หรือ? หากจะบอกว่าให้เอาบทกวี ธรรมสัจจะ และหลักการเหตุผลอริยะปราชญ์มาสอนอีกฝ่ าย ใครเล่าจะยอมรับ ผลกรรมที่ใหญ่เทียมฟ้ าเช่นนี้เอาไว้? ต่อให้มีคนมารับเรื่องเละเทะ ครั้งนี้ไปจัดการ คิดว่าแค่เปลี่ยนวิถีโคจรก็จะสามารถเปลี่ยนผลลัพธ ์
ได้แล้วหรือ? หากผินเต้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ในใจของเด็กคนนั้นได้เกิด ความเป็ นศัตรูอย่างมหาศาลต่อตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลแล้ว ยกตัวอย่างเช่นว่า…ได้เห็นบิดาที่ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร ถึงขั้น ที่ว่า…เป็ นคนดีคนหนึ่งถูกผู้ฝึกตนของไพศาลฆ่าตายเพียงแค่เพราะ คิดจะช่วงชิงคุณความชอบทางการสู้รบ ไม่ถามหาต้นสายปลายเหตุ ก็ฆ่าทิ้งแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเด็กผู้นั้นยังไม่ทันรู ้ด้วยซ้าว่าบิดาของตนคือ เผ่าปี ศาจของเปลี่ยวร ้าง และมารดาก็ติดร่างแหเดือดร ้อนไปด้วย หากรูปโฉมของสตรีงดงามหน่อย แล้วพวกผู้ฝึ กตนของไพศาล ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ใช่คนล่ะ? การคาดเดานี้ของผินเต้าเป็ นแค่ ความเป็ นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น ในความเป็ นจริงแล้วมีสถานการณ์ และผลลัพธ ์ที่เลวร ้ายกว่านี้อีกนับไม่ถ้วน ความเกลียดแค้นลึกล้าเข้า กระดูกที่เขามีต่อใต้หล้าไพศาล เมื่อกาลเวลาผ่านพ้น รวมไปถึงการ เดินขึ้นสู่ที่สูงบนเส้นทางการฝึกตนของเขาจะทาให้เขามีความชิงชัง อาฆาตมากกว่าเดิม ความเคียดแค้นบริสุทธิ์ทั้งหมดของเผ่าปีศาจ และผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างที่ตายอยู่ที่นี่จะใช ้วิธีการ ประหลาดอย่างหนึ่งที่ยากจะอนุมานและตรวจสอบมาส่งต่อและทับ ซ ้อนอยู่บนร่างของผู้ฝึ กตนคนนี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงวันหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นว่าเมื่อเขาเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานแล้ว อารมณ์ เหล่านี้จึงจะเป็ นดั่งน้าลดหินผุด แต่เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็น่าจะอยู่ในใต้ หล้าเปลี่ยวร ้าง ยืนอยู่ข้างเดียวกับเฝ่ ยหรานและโซ่วเฉินแล้ว มีความ เป็ นไปได้อย่างมากว่าครั้งนี้ที่สองใต้หล้าเกือบจะพุ่งชนกัน การที่ขาด อีกแค่นิดเดียวก็น่าจะเป็ นความตั้งใจของคนบางคน เพียงแค่เพื่อให้
เด็กคนนี้ได้ใช ้วิธีการที่ลึกล้าอาพรางยิ่งกว่าเติบโตได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทุกสิบปีหลี่เพิ่งจะต้องออกจากใต้หล้าไพศาลครั้งหนึ่งเพื่อไปยังนอก ฟ้ า โชคชะตาที่อยู่บนร่างของคนผู้นี้ก็จะแข็งแกร่งเพิ่มส่วนหนึ่ง อีก ทั้งขอบเขตจะไม่มีทางไต่ทะยานขึ้นเร็วนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็ นการ เผยพิรุธ โชคดีที่เจ้าไม่ได้วู่วามลงมือท าอะไร หากหอดูดาวและป้ อมจื อหลันของสกุลลู่แผ่นดินกลางถูกทาลาย….หากแค่นี้ก็ยังพอท าเนา เพราะเรื่องของการซ่อมแซมก็แค่ต้องทุ่มเงินมากหน่อยเท่านั้น แต่ หากผู้พิศฟ้ าและผู้ตรวจสอบดินของส านักหยินหยางสกุลลู่ต้อง บาดเจ็บล้มตายเพราะการถามกระบี่ครั้งนี้ เหลืออยู่กันแค่ไม่กี่คน บวกกับที่ลู่เสินผู้เป็ นเจ้าประมุขถูกฟันจนขอบเขตถดถอย ถ้าอย่าง นั้นผลลัพธ ์ที่ตามมาก็จะเลวร ้ายเกินกว่าจะคาดคิดแล้ว ทุกวันนี้สกุล ลู่มีชายหญิงคู่หนึ่งที่ถือเป็ นคู่สวรรค์สรรค์สร ้าง จิตแห่งมรรคาบริสุทธิ์ ไร ้มลทิน ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ไม่อาจพูดได้ว่ามีเพียงพวกเขาที่ สามารถหาผู้ฝึกตนคนนั้นเจอ ทางฝั่งของศาลบุ๋นยังมียอดฝีมือคอย นั่งบัญชาการณ์ แต่มีหรือไม่มีพวกเขาก็คือความแตกต่างกันอย่าง มากจริงๆ หากคืนนั้นพวกเขาสองคนต้องประมือกับเจ้า อาจารย์เสี่ยว โม่และยังมีแม่นางเซี่ย จะท าอย่างไร? จะไม่กลายเป็ นบัญชีเลอะเลือน ใหญ่เทียมฟ้ าครั้งหนึ่งหรอกหรือ?”
พูดร่ายยาวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ลู่เฉินรีบดื่มชา ถ้วยหนึ่งให้หมด “นานแล้วแล้วที่ไม่ได้พูดรวดเดียวเยอะขนาดนี้ ผิน เต้าเกือบจะหายใจไม่ทันจนสะอึกเลยนะ”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะนับเจ้าเป็ นบิดา รีบทิ้งคาสั่ง เสียเอาไว้ มรดกทั้งหมดตกเป็ นของข้า”
ใบหน้าของลู่เฉินฉายความไม่พอใจ “พี่น้องต้าเฟิง นี่ใช่คาพูด ของคนหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “ถอยไปพูดหมื่นก้าว สมมติว่าไม่ว่าอย่างไร ศาลบุ๋นก็หาตัวคนผู้นี้ไม่เจอ นับตั้งแต่วันนี้ไป ห่างจากการที่คนผู้นี้ จะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่อย่างน้อยที่สุดเป็ นเวลากี่ปี?”
ลู่เฉินกล่าว “ผินเต้าแค่คาดเดาเท่านั้น อาจไม่แม่นยานัก บอกไว้ ก่อนว่าแค่ใช ้อ้างอิงได้เท่านั้นนะ สมมติว่าหกสิบปีผ่านไปคนผู้นี้ถึงจะ เป็ นถ้าสถิต แต่ในร ้อยปี กลับเป็ นบินทะยาน ส่วนหลังจากเป็ น ขอบเขตบินทะยานแล้วต้องใช ้เวลาอีกเท่าไรถึงจะผสานมรรคา ขอบเขตสิบสี่ได้ นี่ก็บอกได้ยากแล้ว สั้นสุดคือร ้อยปี ยาวสุดคือพัน ปี? พี่น้องต้าเฟิง ผินเต้าจะเอ่ยประโยคนี้แทนเจ้าก็แล้วกัน ผินเต้าพูด ไปแล้วก็เท่ากับไม่ได้พูดจริงๆ”
เฉินผิงอันถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะหาคนผู้นี้ เจอ?”
“ผลทานายที่ออกมาประหลาดมาก”
ลู่เฉินยกมือขึ้น สองนิ้วทาท่าเหมือนกาลังลูบหนวด “บอกตาม ตรง ขาดอีกแค่นิดเดียวอีกแค่เสี้ยวเดียวจริงๆ ก็จะถูกผินเต้าพบ
เบาะแสแล้ว ผลคือรอกระทั่งเท้าของผินเต้าเหยียบลงที่แจกันสมบัติ ทวีป เบาะแสเส้นนั้นก็ขาดไปทันที”
ลู่เฉินโบกมือ “ก็แค่ฟังเหมือนจะน่ากลัวเท่านั้น ถอยไปพูดกัน ก้าวหนึ่งก่อน จะว่าไปแล้วก็แค่ขอบเขตบินทะยานร ้อยปี คนหนึ่ง เท่านั้น หากจะนับกันขึ้นมาจริงๆ เอาชีวิตของคนไปใส่ไว้บนกระดาษ ขาว ความเป็ นความตายของขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งจะเป็ น อย่างไรได้เล่า ส่วนอีกร ้อยปีหรือหลายร ้อยปีให้หลัง หรือพันปีให้หลัง อย่างมากสุดก็แค่ว่าบนโลกมนุษย์มีขอบเขตสิบสี่เพิ่มมาคนหนึ่ง ตอนนี้ผินเต้าหาตัวเขาเจอหรือไม่เจอก็ดูเหมือนว่า….จะมีแค่นั้นแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ในอนาคตรอให้คนผู้นี้เปิดฉาก สังหารอย่างก าเริบเสิบสานอยู่ในใต้หล้าไพศาล เมื่อเขาใช ้ความแค้น ตอบแทนความแค้นอย่างไม่รู ้สึกละอายใจ จะมีสักกี่คนที่จาสายตาที่ มองโลกใบนี้ของเด็กคนหนึ่งในอดีตได้ บางที…แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจ ลืมไปด้วยกระมัง”
นักพรตหนุ่มเงียบงัน
เฉินผิงอันสีหน้ามืดทะมึน
ลู่เฉินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย พึมพ าว่า “จะท าอย่างไรดี ล่ะ”
ได้แต่ปล่อยให้เป็ นไปตามธรรมชาติ ทาเท่าที่ความสามารถจะ เอื้ออานวยแล้วก็ปล่อยให้เป็ นไปตามธรรมชาติอีกครั้ง
ลู่เฉินโยกกายเบาๆ พลันถามว่า “เฉินผิงอัน หากเจ้าเจอคนผู้นี้ จะท าอย่างไร?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ใจที่สงบเป็ นกลาง”
ลู่เฉินหันหน้าไปมองแผ่นหลังของคนชุดเขียวที่เดินขึ้นบันไดไป
เจิ้งต้าเฟิงตบโต๊ะ “นักพรตลู่ พวกเราสองพี่น้องจะไปตั้งแผงที่ตัว เมืองเมื่อไหร่ดี?”
ลู่เฉินตกใจสะดุ้งโหยง พูดติดๆ ขัดๆ ไม่คล่องแคล่วแล้ว “พี่ น้องต้าเฟิง ข้าว่าไม่…ไม่จาเป็ นต้องทา…เรื่องเกินความ…จาเป็ นหรอก นะ”
ก่อนหน้านี้ไปดื่มเหล้ากับอาจารย์และอาจารย์อาปี้เซียวมามื้อ หนึ่ง ภายหลังลู่เฉินก็รีบไปเยือนถ้าแยนเสียตาหนักเจิ้นเยว่ของป๋ า ยอวี้จิงทันที
แล้วก็ได้ผลเก็บเกี่ยวมาดังคาด เจ้าเด็กจางเฟิ งไห่ผู้นั้นมี ความสามารถอย่างยิ่ง ถึงกับอนุมานออกมาเป็ นคาทานายที่จริงแท้ แน่นอนเกินครึ่งประโยค
มรรคาเสื่อมถอยสามร ้อยปียังได้มีท่านผู้นี้ เพียงแต่ว่าผ่านการ อนุมานของลู่เฉินแล้วประโยคที่ใกล้เคียงความเป็ นจริงมากกว่ากลับ เป็ น มรรคาเสื่อมถอยห้าร ้อยปียังได้มีท่านเฉิน
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเฉินผิงอันแซ่เฉิน แต่ในความเป็ นจริงแล้ว ทุกวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็แซ่เฉินเหมือนกันนี่นา!