กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1014.1 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1014.1 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ฟังลู่เฉินคุยเล่นอยู่กับเจิ้งต้าเฟิง
“หากพี่ใหญ่เจิ้งอยู่ในลัทธิขงจื๊อ ตบะก็ไม่เป็ นรองเจ้าลัทธิต่งและ หันสองคนเลย”
“คาพูดนี้เจ้าไปโหวกเหวกที่หน้าประตูศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง ดูสิ แบบนั้นถึงจะดูว่ามีความจริงใจ เจ้ากล้าหรือไม่?”
“ลัทธิขงจื๊อมีกฎระเบียบมากมาย พี่ใหญ่ต้าเฟิ ง ยินดีไปรับ ตาแหน่งที่เหนือกว่าอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งในใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่? ผินเต้ายินดีช่วยแนะน าให้เจ้าอย่างสุดก าลัง ไม่ว่าจะในหรือนอกป๋ า ยอวี้จิงก็เลือกได้ตามสบายเลย”
“อู๋โจวผู้นั้นเป็ นสตรีที่นิสัยดุร ้ายเกินไป อายุมากไปสักหน่อย ไม่ แน่เสมอไปว่าข้าจะก าราบนางได้อยู่ เจาเกอก็มีคนรักนานแล้ว หาก จ าไม่ผิดดูเหมือนว่าจะจัดงานมงคลไปแล้วด้วย ภูเขาเหลี่ยงจิงกับ สานักต้าเฉาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ ์กัน จะให้ข้าเป็ นมือที่สามไป แทรกแซงพวกเขาก็ไม่เหมาะเลยจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้สวีเจวี่ยนต้อง เจ็บปวดกับความรัก นับแต่นี้ไปห่อเหี่ยวแล้วลุกไม่ขึ้นอีก หรือจะเป็ น ราชวงศ์อวี๋ฝูของพี่หญิงจูเสวียน?! หรือจะเป็ นราชวงศ์ชิงเสินของ น้องป๋ ายโอ่วดีล่ะ?”
คุยกันไปคุยกันมา ทั้งสองฝ่ ายก็มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกัน เริ่มเอนหัวเข้าหากันแล้วซุบซิบกันเสียงเบา คิดดูแล้วปี นั้น ความสัมพันธ ์ของทั้งสองฝ่ายน่าจะไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เฉินผิงอันกาลังจะลุกขึ้นยืน ลู่เฉินก็รีบหยิบกระปุกดีบุกใบหนึ่งที่ แกะสลักตัวอักษรไว้เต็มแน่น ลงนามไว้หลากหลายลานตา เปลี่ยนใบ ชาให้กับทั้งเจ้าขุนเขาและเจิ้งต้าเฟิง จากนั้นเทน้าร ้อนลงไป เอ่ยว่า “ลองชิมชาเมฆาของภูเขาควางหลูดู ผินเต้าต้องสิ้นเปลืองกาลัง มากมายกว่าจะขโมยมาได้น้อยนิดแค่นี้ ต้องจ่ายราคาไปไม่น้อย ทุก วันนี้ที่หน้าประตูภูเขายังตั้งป้ ายศิลาไว้ให้ผินเต้าโดยเฉพาะ ทุกคน ต่างก็เป็ นผู้ฝึกตน ไยต้องอารมณ์ร ้อนฉุนเฉียวกันถึงขนาดนี้ แค่ชา ไม่กี่จินเท่านั้นเอง เฉินผิงอัน ต่อจากนี้เจ้าคิดจะทาอย่างไรต่อ หาก ประจวบเหมาะพอดีพวกเราก็สามารถเดินทางไปด้วยกันระยะทางหนึ่ง ได้ มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยก็จะได้ไม่น่าเบื่อเกินไป”
เฉินผิงอันเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการถามว่า “จางเฟิงไห่ของนครอวี้ ซู่ออกมาจากถ้าแยนเสียตาหนักเจิ้นเยว่แล้วใช่ไหม?”
ลู่เฉินพยักหน้า “เขาจะเข้าร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิ ป๋ ายอวี้ จึงมีเมตตาต่อเขามากเป็ นพิเศษ แต่เจ้าเด็กนี่เจ้าอารมณ์ แล้วยังเป็ น คนดื้อดึง ได้ออกจากทาเนียบเต้ากวานของป๋ ายอวี้จิงแล้ว ถึงขั้นที่ว่า แม้แต่ทาเนียบเต๋ของนครอวี่ซู่ก็ไม่ต้องการเหมือนกัน ศิษย์พี่เจ้านคร สองคนที่แต่ไหนแต่ไรมาเห็นเขาเหมือนลูกชายแท้ๆ มาโดยตลอด ทั้ง มีความสุขทั้งโมโห ไม่เจอร่องรอยของศิษย์น้องอย่างจางเฟิงไห่ก็รู้จัก
แต่จะบีบมะพลับนิ่ม ดีแต่จะมาระบายอารมณ์ใส่ผินเต้า ไปอาละวาดที่ นครหนันหัวมารอบหนึ่ง คิดว่าผินเต้ากินหญ้าจริงๆ หรือไร เอ็ดตะโร เป็ นสตรีปากตลาดใครบ้างทาไม่เป็ น ผินเต้าตั้งแผงอยู่ที่อาเภอไหว หวงมาตั้งสิบปีเชียวนะ!”
เพราะลู่เฉินพูดถึงเรื่องการด่าทอ เฉินผิงอันจึงถามว่า “เฉิง เฉวียน?”
ปีนั้นตอนที่อยู่บนหัวกาแพงเมือง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสองคนอย่างเฉิง เฉวียนและจ้าวเก้ออี๋ต่างก็นับถือเถ้าแก่รองอย่างมาก ไม่เกี่ยวข้องกับ เวทกระบี่สูงต่าเลยแม้แต่น้อย ในฐานะอิ่นกวานหนุ่มที่มาจากต่างถิ่น แต่กลับสามารถบดขยี้พวกเขาในเรื่องที่พวกเขาเชี่ยวชาญมากที่สุด ได้พอดี
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เขากับน่าหลันเซาเหว่ย ทุกวันนี้ได้เอาหินพัก มังกรที่อยู่ตรงกลางน้าของต าหนักสุ้ยฉูเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม มี ชีวิตที่ดีมาก ตาหนักสุ้ยฉูขึ้นชื่อเรื่องผลักไสคนนอกและเข้าข้างคน กันเองอย่างมาก ในอนาคตเมื่อออกไปหาประสบการณ์ภายนอกก็ สามารถเดินกร่างในสิบสี่มณฑลได้เลย ส่วนพวกต่งถ่านดากับเจ้า อ้วนเยี่ยน เจ้าก็ยิ่งไม่ต้องเป็ นห่วง ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ขอแค่มีสิง กวานหาวซู่คอยควบคุมดูแล ก็มีแต่พวกเขาที่จะรังแกคนอื่น”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินพลันเอ่ยเสียงเบา “เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามร้อย เหรียญที่เจ้าติดค้างอวี๋เสวียน ผินเต้าพอจะมีเก็บสะสมไว้อยู่บ้าง ชีวิต นี้มิอาจทนเห็นสหายเป็ นหนี้แล้วไม่ใช ้คืนได้มากที่สุด แค่คิดถึงเรื่องนี้ ก็รู ้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากแล้ว จึงได้ช่วยจ่ายสารองให้ภูเขาลั่วพั่วไป ก่อนแล้ว ด้วยมิตรภาพของพวกเราสองคน เงินทองเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ จ าเป็ นต้องพูดถึงอีกเลย!”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ก็ได้ บอกกับเจ้าตามตรงก็ได้ อันที่จริง ผินเต้าต้องพูดกับเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋อยู่นาน ใช้คารมคมคายไปไม่ น้อยถึงช่วยสะสางหนี้ก้อนนี้ให้กับภูเขาลั่วพั่วได้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นอกจากเจ้าลัทธิลู่จะชอบยุ่งเรื่องคน อื่นแล้ว ความสามารถในการฉกฉวยคุณความชอบก็ไม่น้อย เหมือนกันนะ”
ลู่เฉินถามอย่างสงสัย “ซิ่วไฉเฒ่าบอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
ลู่เฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ได้แต่บอกต้นสายปลายเหตุให้อีก ฝ่ ายฟังแต่โดยดี “ผินเต้าออกมาจากป๋ ายอวี้จิง ก่อนจะมาที่ไพศาล เคยไปเยือนทางช้างเผือกนอกฟ้ ามาก่อนรอบหนึ่งจริงๆ พูดคุยกับ อวี๋เสวียนอย่างถูกคอ เทพเชียนผู้เฒ่าเป็ นฝ่ ายพูดถึงเรื่องเงินเหรียญ ทองแดงแก่นทองสามร ้อยเหรียญขึ้นมาก่อน บอกว่าซิ่วไฉเฒ่าได้นั่ง
ลงถูกมรรคากับเขาไปรอบหนึ่ง ทาให้เขาได้ผลประโยชน์บนมหา มรรคาอย่างมหาศาล เขาหน้าบาง เมื่อเทียบกับเงินเหรียญทองแดง แก่นทองแล้วก็นับเป็ นอะไรไม่ได้เลย จึงให้ถือว่าหายกัน “เงินทอง เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จาเป็ นต้องพูดถึงอีก” เป็ นผินเต้าที่ช่วยนาความมา บอกแทนเทพเขียนผู้เฒ่าอวี๋เท่านั้น เขายังบอกอีกว่าคราวหน้าที่เจ้า ขุนเขาเฉินไปเป็ นแขกที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่อให้เขาอวี๋เส วียนไม่อยู่ในส านักก็สามารถไปขอยืมเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง จากยอดเขาเถียนจินอีกสามห้า…ห้าหกร ้อยเหรียญได้เลย เขาบอก กล่าวกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่ดูแลเงินของสานักดั้งเดิมและ สานักเบื้องบนเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าขุนเขาเฉินแค่เปิดปากก็เอา เงินไปได้ทันที”
ตอนที่พูดคาว่าสามห้า เห็นสายตาของเฉินผิงอันคล้ายจะ ผิดปกติ ลู่เฉินที่รู ้ใจก็รีบเปลี่ยนคาพูด เปลี่ยนจานวนเป็ นห้าหกร ้อย เหรียญโดยตรง
ผินเต้าเป็ นคนมีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้ า ยินดีช่วยเหลือพี่น้อง ของตนเท่าที่ทาได้ บาปนี้ผินเต้าจะแบกไว้เองก็แล้วกัน!
ลู่เฉินถามหยั่งเชิง “ร่างแยกหกร่างมีขีดจากัดอยู่ที่ระดับขั้นของ กระดาษยันต์ ดูเหมือนว่าขอบเขตต่างก็ไม่สูง ต้องการให้ผินเต้าช่วย ปกป้ องมรรคาให้หรือไม่?”
“ไม่คุยเรื่องนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวลา เดินขึ้นเขาจากไปเพียงลาพัง
หากลู่เฉินไม่ได้พูดจาเหลวไหล ก็เท่ากับว่าจวนเฉวียนฝู่ ของ ภูเขาลั่วพั่วมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเพิ่มมาอีกสามร ้อยเหรียญ หากหลอมทั้งหมดให้เสร็จ แม้จะไม่อาจเลื่อนระดับขั้นของกระบี่บิน “จันทร ์ปากบ่อ” ได้ แต่จานวนกระบี่บินที่จาแลงออกมาก็สามารถ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การเดินทางไปเยือนอวี๋โจวในตอนหลัง นอกจากจะไปพบฮ่องเต้ ของต้าหลีแล้ว ก็ไม่รู ้ว่าทุกวันนี้ในท้องพระคลังของต้าหลีมีเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองเหลืออยู่อีกกี่มากน้อย
แน่นอนว่ายังต้องไปศูนย์ตัดต้นไม้ที่เขตอวี้จางรอบหนึ่ง หลังจาก แน่ ใจว่าบิดาของหลินโส่วอีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในบุญคุณ ความแค้นครั้งนั้น ความโล่งใจของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็เป็ นสิ่งที่คน นอกมิอาจเข้าใจได้เลย
วันเทศกาลชิงหมิงของปีนี้ เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน หากหม่าขู่ เสวียนอยากจะขัดขวาง เขาก็สามารถลองท าดูได้
ไม่ว่าจะเกี่ยวพันไปถึงภูเขาเจินอู่ จวนซานจวินมหาบรรพต ประจิมของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ ล้วนไม่ใช่ปัญหา
อีกอย่างก็คือก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอันตอบ ตกลงกับจางไช่ฉินและหงหยางโปว่าช่วงกลางปีจะเข้าร่วมงานพิธี ของแคว้นชิงซิ่ง
ส่วนเรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่ที่ใบถงทวีป เฉินผิงอัน ตัดสินใจว่าจะโยนภาระทิ้งไม่ถามไถ่แล้ว มอบให้ชุยต่งซานและส านัก กระบี่ชิงผิงไปร่วมมือกับกองกาลังจากฝ่ายต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
ก่อนหน้านี้ไปที่นอกฟ้ า เฉินผิงอันแน่ใจแล้วว่าศาลบุ๋นจะแต่งตั้ง ห้ามหาบรรพต่ของแจกันสมบัติทวีป ซานจวินห้าท่านซึ่งมีเว่ยป้ อและ จิ้นชิงเป็ นหนึ่งในนั้น อีกเดี๋ยวก็จะได้ฉายาเทพกันแล้ว
ส่วนการโต้วาทีของสามลัทธิ เฉินผิงอันยังลังเลว่าจะเข้าร่วมฟังดี หรือไม่ หากเข้าร่วมควรจะพาเซียนเว่ยไปด้วยดีไหม
ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนก็คือควรจะหวนกลับสู่ขอบเขตหยกดิบได้แล้ว
หลังจากนั้นก็จะออกเดินทางท่องใต้หล้าไพศาลไปพร ้อมกับ เซียนสุราหลิว เดิมทีตระกูลสกุลหลิวของธวัลทวีปและศาลเหลยกง ของเพ่ยอาเซียงเป็ นสถานที่ที่เขาต้องไปเยี่ยมเยือน แต่ตอนนี้เฉินผิง อันคร ้านจะไปเยือนตระกูลสกุลหลิวแล้ว ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น เป็ นแค่เค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเท่านั้น
ที่หน้าประตูภูเขา พอเจ้าขุนเขาจากไป เพียงไม่นานเสี่ยวโม่ กับเซี่ยโก่วก็พากันมาถึง
ลู่เฉินมองเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว เด็กสาวสวมหมวกขน เตียวงอสองนิ้วชี้ไปที่ดวงตา บอกเป็ นนัยแก่นักพรตหนุ่มที่สวมกวาน ดอกบัวผู้นี้ว่าให้ควบคุมดวงตาสุนัขวาวโรจน์คู่นั้นของตัวเองให้ดี
ลู่เฉินใช ้เสียงในใจกล่าว “สรรพสิ่งมีขึ้นมีลงเป็ นไปตามกลไก ธรรมชาติ ของเก่าย่อมมิอาจสู้ของใหม่ เพียงแต่แม่นางเซี่ยอยากจะ ขโมยฟ้ าเปลี่ยนตะวัน อาศัยสิ่งนี้มาผสานมรรคาผินเต้าเห็นว่าไม่ใช่ เรื่องง่ายเลยนะ”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “ความสาเร็จอยู่ที่คน”
จากนั้นเซี่ยโก่วก็เปิ ดปากพูดอย่างน่ าสงสารว่า “เสี่ยวโม่ นักพรตผู้นี้แอบเกี้ยวพาข้าเมื่อครู่นี้คาพูดในใจของเขาหยาบโลน อย่างมาก”
เจิ้งต้าเฟิงรีบยกถ้วยขาวขึ้นทันใด “ข้าสามารถเอาหัวสุนัขของ นักพรตลู่มารับประกันได้เลยว่าเป็ นเรื่องที่นักพรตลู่ทาได้แน่นอน”
เสี่ยวโม่หัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดเป็ นจริงเป็ นจัง “อาจารย์เจิ้ง อย่าได้พูดล้อเล่นอีกเลย ข้าเชื่อใจนักพรตลู่”
ลู่เฉินยกนิ้วโป้ งให้อาจารย์เสี่ยวโม่ ดื่มชาระงับความตกใจ “จะ บอกอะไรให้ กินคาวปากท่องพระธรรมถึงอย่างไรก็ยังดีกว่ากินเจแต่ ปากด่าคนนะ”
เซี่ยโก่วหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเป็ นนักพรตยังจะท่องพระธรรมกิน เจด้วยหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้า “ผินเต้าเจอกับด่านยากหรืออุปสรรคที่ข้ามผ่าน ไปไม่ได้ก็มักจะท่องอยู่ในใจว่าขอพระพุทธเจ้าช่วยคุ้มครอง อามิตตา พุทธ”
เซี่ยโก่วรู ้สึกสงสัยอยู่บ้าง นักพรตตรงหน้าผู้นี้ก็คือลู่เฉินเจ้าลัทธิ สามแห่งป๋ ายอวี้จึงผู้นั้นน่ะหรือ?
ฆ่ายากมากหรือ? ยากแค่ไหนกัน?
ลู่เฉินกลับหันหน้ามองไปในภูเขาลั่วพั่ว
บนภูเขามีผู้เฒ่าหลังค่อมที่เผยเฉียนบอกว่า “ต่อสู้ได้เก่งที่สุดใน ห้องครัว เป็ นผู้ฝึกยุทธที่ฝีมือทาอาหารยอดเยี่ยมที่สุด” กาลังยิ้มตา หยีมองมาที่ตีนเขา
หลังจากลาไม่รู ้ว่าท่านอยู่ไกลหรือใกล้ ยามเมามายกลับลืม เส้นทางที่จากมา
ฟ้ าดินเงียบสงัด มีเพียงตรงเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตูภูเขาเท่านั้นที่มี เสียงเปิดหน้าหนังสือดังเบาๆ
ในห้องไม้ไผ่ เฉินผิงอัน ‘คัดลอกตารา” ต่ออีกครั้ง
ริมทะเลสาบหัวใจในร่างหลักของเฉินผิงอันมีคนยืนอยู่หลายสิบ คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโหวจ้าน เหลียงอวี้ผิง ท่วงท่าสีหน้าของ พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปช ้าๆ เหมือนกระแสน้าที่ไหลริน เสื้อผ้า เครื่องประดับที่พวกเขาสวมใส่ปรากฏชัดเจน ต่อให้เป็ นผู้ฝึกตนใหญ่ คนหนึ่งที่เพ่งสายตามองไป ต่อให้จะเป็ นความเสียหายบนเส้นด้ายทุก เส้นบนชุดคลุมอาคมก็ยังสอดคล้องกับ “หลักการเหตุผล” ในเมื่อเดิม ทีก็เป็ นวัตถุที่จับต้องได้จริงซึ่งผ่านการชาระล้างซ้าแล้วซ้าเล่าจาก แม่น้าแห่งกาลเวลา แน่นอนว่าย่อมไม่มีช่องโหว่ใดๆ ให้กล่าวถึง และ
ทุกคาพูดที่พวกเขาพูดออกมา ตัวอักษรล้วนล่องลอยอยู่กลาง อากาศ ประหนึ่งฝูงนกที่บินวนล้อมภูเขาสูง ป้ วนเปี้ยนไม่จากไปไหน
……
ภูเขาลั่วพั่วและสานักกระบี่ชิงผิง
สานักเบื้องบนมีพื้นที่มงคลรากบัวที่อยู่บนยอดเขาจี๋หลิง สานัก เบื้องล่างมีถ้าสวรรค์ฉางชุนที่อยู่บนยอดเขามี่เซวี่ย
ในถ้าสวรรค์มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่าชื่อซง (ต้นสนแดง) แน่นอนว่า เป็ นเพราะบนภูเขามีต้นสนโบราณอยู่มากมาย ตามค าอธิบายของ ชุยตงซาน เนื่องจากเจ้าของคนก่อนรักความสงบ ไม่ชอบเสียงดัง อึกทึก จึงร่ายวิชา “ผนึกภูเขา” ที่เป็ นวิชาชั้นสูง เป็ นเหตุให้จนถึงทุก วันนี้ในภูเขาก็ยังไม่มีภูตพืชพรรณที่สติปัญญาเปิดออกปรากฏสัก ตน แน่นอนว่าทุกวันนี้ได้ถูกชุยตงซานคลายตราผนึกนี้ออกแล้ว เชื่อ ว่าอีกไม่นานเท่าไรในภูเขาจะต้องทยอยมีภูตต้นสนโบราณที่ สติปัญญาเปิดกว้างโผล่ออกมาอย่างแน่นอน แต่ว่าแม้จะมีสติปัญญา ก็ยังอยู่ห่างไกลจากการหลอมเรือนกายได้สาเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็ นพวกเผ่าพันธ์พืชหญ้าด้วยแล้วระดับความยากมีไม่น้อย
เดิมทีในภูเขาแห่งนี้มีอวี๋เสียหุยและเหอกูมาสร้างกระท่อมฝึกตน อยู่ ทุกวันนี้พวกเขาออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกแล้ว ต่างก็ยุ่งกับ ธุระสาคัญ บอกว่าด้วยเรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่ พวกเขา สามารถทุ่มเทสุดพลังความสามารถอันน้อยนิดที่มี
ทิ้งพวกไฉอู๋ ป๋ ายเสวียน ซุนซุนหวังและเฉิงเฉาลู่ให้อยู่ที่นี่
ไฉอู๋เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบแล้ว ทุกวันนี้จึงเป็ นคนที่ว่างงาน ที่สุด
วันนี้พวกป๋ ายเสวียนหาเวลาว่างจากการฝึกกระบี่มารวมตัวกัน อย่างที่หาได้ยาก
ไฉอู๋สัมผัสได้ถึงการชุมนุมกันของพวกเขาจึงแวะมาร่วมวงความ ครึกครื้นด้วย
เห็นแม่นางน้อยที่หิ้วกาเหล้ามาในมือ ป๋ ายเสวียนก็ทั้งกุมหมัดทั้ง ประสานมือคารวะ “โอ้โห นี่ไม่ใช่ท่านเซียน “มีนั่น” หรอกหรือ ลม อะไรหอบท่านผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ อุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน ช่างเป็ น เกียรติยิ่งนัก ขอบเขตของผู้เยาว์ต่าต้อย กระท่อมโกโรโกโสไร ้สุรา รับรองได้ไม่ดีพอ ขออภัย ขออภัย พ่อครัวน้อยเฉิง มัวยืนอึ้งอยู่ทาไม รีบโขกหัวขออภัยท่านเซียนมีนั่นของพวกเราสิ…”
ซุนซุนหวังที่นั่งอยู่ด้านข้างเหล่ตามองป๋ ายเสวียนที่พูดจา แดกดันคนอื่น ทุกครั้งต้องเป็ นแบบนี้ ไม่รู ้จักจบจักสิ้นสักที โชคดีที่ ไฉอู๋นิสัยดี หากเปลี่ยนเป็ นนางจะไม่ปล่อยตามใจป๋ ายเสวียนจริงๆ
อันที่จริงป๋ ายเสวียนก็แค่รู ้สึกอัดอั้นในใจ พูดแล้วมันปากก็ เท่านั้น หากจะบอกว่าเขาอิจฉาไฉอู๋ เห็นนางได้ดีไม่ได้ ก็ไม่ถึงขั้น นั้นจริงๆ
เห็นนายท่านใหญ่ป๋ ายที่ปณิธานอยู่ที่การพิสูจน์มรรคาเป็ นบิน ทะยานเช่นเขาเป็ นคนอย่างไร?!
เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่ไฉอู๋เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบ ป๋ ายเสวียน ก็รู ้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่อาจเป็ นญาติกับค าว่า “ผู้มีพรสวรรค์” ได้อย่าง สิ้นเชิงแล้ว
เพราะถึงอย่างไรกับเฉินหลี่ที่มีฉายาว่า “อิ่นกวานน้อย” ป๋ าย เสวียนก็ไม่รู ้สึกว่าทั้งสองฝ่ ายอยู่ห่างกันสักเท่าไร แค่เพิ่มแรงฮึดให้ มากเข้าหน่อย ขยันมากกว่านี้สักเล็กน้อย ขอบเขตของตนก็ สามารถแซงหน้าอีกฝ่ายไปได้แล้ว
ผลคือไฉอู๋กระโดดทีเดียวก็เลื่อนจากขอบเขตสามขอบเขตหลิ่ว รั้งคนของผู้ฝึกลมปราณไปเป็ นขอบเขตหยกดิบโดยตรง จะให้นาย ท่านใหญ่ป้ ายท าเช่นไร?
หรือว่าจะต้องให้เขาใจเด็ดสักหน่อย บอกให้ใต้เท้าอิ่นกวานฟัน ตนสักสองสามกระบี่ ฟันกลับจากขอบเขตถ้าสถิตไปที่ขอบเขตสาม ก่อน? ปัญหาคือต่อให้ทาเช่นนี้ นายท่านใหญ่ป๋ ายอย่างเขาก็ได้แต่ ทาเลียนแบบตามกันนังหนู “พืชหญ้า” เท่านั้น ในเรื่องของพลัง อ านาจก็ยังแพ้ให้นางไปก่อนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เบื่อหน่ายมากเข้าจริงๆ ป๋ ายเสวียนก็หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา จากสาบเสื้อ วางลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเคร่งขรึม ถูมือ ก่อนจะเปิด ตาราวีรบุรุษเล่มนี้ช ้าๆ
หน้าแรกก็มีพี่น้องที่รัก ชิวจื๋อผู้ฝึกกระบี่แห่งยอดเขาจิ๋วอี้ที่เพิ่ง รู ้จักได้ไม่นาน
มิน่าเล่าใต้เท้าอิ่นกวานถึงได้ชอบออกจากบ้านเดินทางไกล ท่อง ไปในยุทธภพ น่าจะได้สหายมาเพราะอย่างนี้ ไม่มีใครหล่นลงมาจาก ฟ้ า ต้องอาศัยบุพเพ ต้องไปหาด้วยตัวเองคบหาด้วยตัวเอง
ป๋ ายเสวียนหันหน้ามาเอ่ย “พ่อครัวน้อย เจ้าเองก็เรียนวิชาหมัด …”
เฉิงเฉาลูรีบส่ายหน้าเป็ นกลองป๋ องแป๋ งทันใด พูดอย่างเด็ดเดี่ยว ว่า “ข้าไม่เอาด้วยหรอก คุณสมบัติในการเรียนหมัดแย่เกินไป ไม่มี ฝีมือมากพอ คงไม่ร่วมประสมประเสให้ครบจ านวนให้เสียเปล่าแล้ว!”
เห็นแก่ที่เป็ นคนบ้านเดียวกัน ป๋ ายเสวียนจึงพูดโน้มน้าวต่อว่า “พ่อครัวน้อย เป็ นคนไยต้องดูถูกตัวเองด้วยเล่า คอยร ้องตะโกนดังๆ อยู่ข้างๆ สักสองสามประโยคก็ยังดีนะ”
ป๋ ายเสวียนเห็นว่าเจ้าอ้วนยังคงส่ายหน้าอยู่ตลอด
ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรขาดเฉิงเฉาลู่ไปคนเดียวก็ไม่เป็ นไร เป็ น พวกขี้ขลาดไร ้ความกล้าหาญพอๆ กับป๋ ายโส่วแห่งยอดเขาเพียน หรานเลย
โดยเฉพาะป๋ ายโส่วที่แซ่ป๋ ายเสียเปล่า บุรุษตระกูลป๋ ายล้วนเป็ น วีรบุรุษห้าวหาญ คราวหน้าที่เจอหน้ากันจะต้องโน้มน้าวเขาสักหน่อย ให้เขาเปลี่ยนแซ่ไปใช ้แซ่อื่นดีกว่า
……
ท า ง ทิ ศ ใ ต้ข อ ง แ จ กั น ส ม บั ติ ท วี ป ช า ย แ ด น ทิ ศ ตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์อวิ๋นเซียว
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่คิ้วเข้มตาโต ข้างกายมีนักพรตหญิงที่ในมือ ถือแส้ปัดฝุ่ นติดตามมาด้วย พวกเขามาหยุดเท้าอยู่ที่ตีนเขาของ ภูเขาลูกหนึ่ง
นักพรตหญิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สุ่ยจิ่ง สหายคนนั้นของเจ้าทาไม ถึงเลือกมาตั้งพรรคในสถานที่ที่ปราณวิญญาณบางเบาเช่นนี้เล่า?”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าว “นับแต่เด็กมาเขาก็มีนิสัยเช่นนี้ ไม่ชอบความ คึกคัก ไม่อยากให้ใครรู ้จักเขาทั้งนั้น ชอบหาเงินเงียบๆ อย่างเดียว”
หนึ่งเจ้าประมุขหนึ่งผู้คุมกฏผู้เป็ นเจ้าของภูเขาลูกนี้พร ้อมใจ กันลงจากภูเขามาต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ