กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1014.2 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1014.2 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
ระหว่างที่ลงจากภูเขา อู๋ถีจิงเอ่ยหยอกล้อว่า “ไม่มีเรื่องก็ไม่ไป เยือนต าหนักซานเป่ าเจ้าประมุใหญ่หู เจ้าต้องระวังไว้หน่อยนะ ระวัง ว่าถูกหลอกแล้วยังต้องช่วยเขานับเงินด้วย”
หูเฟิงกล่าว “ในเรื่องของการปฏิบัติต่อทรัพย์สินเงินทอง ต่งสุ่ยจิ่ง ไม่ต่างจากเจ้าสักเท่าไร ล้วนไม่ละโมบ เชื่อใจได้”
ชั่วชีวิตนี้หูเฟิงมีสหายแค่หนึ่งคนครึ่งเท่านั้น อู๋ถีจิงที่อยู่ข้างกาย คือคนหนึ่ง ต่งสุ่ยจิ่งคนบ้านเดียวกันที่ตีนเขาคือครึ่งหนึ่ง
อู๋ถีจิงผงกปลายคาง “นักพรตหญิงที่อยู่ข้างกายต่งสุ่ยจิ่ง มองดู แล้วบุคลิกไม่ธรรมดาเลยนะ”
หูเฟิงกล่าว “หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็ นเจ้าตาหนักหลิง เฟยคนปัจจุบัน”
แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่ทั้งสองฝ่ ายได้เจอหน้ากัน ต่งสุ่ยจิ่งก็ แนะน านักพรตหญิงที่เดินทางมาด้วยกันให้คนทั้งสองรู ้จัก หวงลี่เจ้า ต าหนักหลิงเฟยคนปัจจุบัน ฉายา “ต้งถิง
ตาหนักหลิงเฟยที่ก่อนหน้านี้ยังเป็ นของราชวงศ์ป๋ ายซวงเก่า ถูก กองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้โจมตีเมืองหลวง ชะตาแคว้น
ขาดสะบั้น ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็ นของราชวงศ์อวิ๋นเซียวที่อาณาเขต ค่อนข้างเล็กแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่นานอารามหลิงเฟยก็ได้เลื่อนขั้นเป็ นตาหนักหลิง เฟย เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์อวิ๋นเซียว
หรือควรจะพูดว่าก็เพราะการด ารงอยู่ของอารามเต๋าแห่งนี้ รวม ไปถึงการที่นางรับหน้าที่เป็ นเงินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น หาไม่แล้ว ราชวงศ์อวิ๋นเซียวที่ก็สามารถฮุบกลืนแคว้นเล็กๆ แห่งนี้ไปได้อย่าง สิ้นเชิง
เล่าลือกันว่านักพรตหญิงขอบเขตหยกดิบผู้นี้เชี่ยวชาญเรื่อง การเขียนค าเขียวค าอวยพรอย่างมาก ฝึกวิถีลิ่วเจี่ย สามารถอัญเชิญ เทพให้ลงมาจุติ บังคับควบคุมผีทั้งหลายบงการกองทัพหยิน
ในชายแดนของสองแคว้นนอกต าหนักนางได้สร ้างสนามรบ โบราณแห่งหนึ่งที่มีจ านวนของกองทัพหยินปักหลักอยู่มากมายให้ เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งที่สองของนางทุกวันนี้มีชื่อเสียงอย่าง มาก และราชวงศ์อวิ๋นเซียวก็ต้องปวดหัวกับเรื่องนี้ไม่น้อย
คู่ค้าคนแรกของต่งสุ่ยจิ่ง อันที่จริงก็คือหูเฟิง
ในอาณาเขตของฉู่โจวใหม่หลงโจวเก่า ต่งสุ่ยจิ่งมีฉายาว่า “ต่ง ครึ่งเมือง” การที่เขาสามารถร่ารวยขึ้นมาได้ หูเฟิ งเองก็มีคุณ ความชอบไม่น้อย
เจอหน้ากัน ต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ได้โอภาปราศรัยอะไรมากมาย แต่พูด เข้าประเด็นหลักโดยตรง “หูเฟิง ยังจารายการบัญชีเงินต้นเล่มที่เจ้า มอบให้ข้า รวมไปถึงข้อตกลงการแบ่งรายได้ของพวกเราในเวลานั้น ได้หรือไม่?”
หูเฟิงพยักหน้า
มีชาติกาเนิดยากจน ทั้งยังไม่ใช่พวกคนที่ใช ้เงินมือเติบ ไม่เห็น เงินเป็ นเงิน ดังนั้นถึงแม้หูเฟิงจะไม่ได้ใส่ใจในทรัพย์สินเงินทองก้อนนี้ มากนัก แต่ก็ต้องจ ารายการบัญชีได้อย่างชัดเจนแน่นอน เขาก็แค่ คร ้านจะไปเร่งรัดเท่านั้น
คนสองกลุ่มเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เดินไปคุยกันไป
ตอนนั้นหูเฟิงเก็บหินดีงูระดับขั้นดีเยี่ยมได้จากลาคลองหลงซวี แปดก้อน แยกกันขายให้กับสกุลหลี่ถนนฝูลู่และผู้เฒ่าคนหนึ่งของ ตรอกเถาเย่ แม้ว่าหูเฟิงจะอายุน้อย แต่กลับมีประสบการณ์โชกโชน แบ่งหินดีงูออกเป็ นอย่างละครึ่ง ไม่ล่วงเกินใครทั้งนั้น ได้ตั๋วเงินมาสอง ปีกใหญ่ ภายหลังหูเฟิ งแค่จ่ายเงินก้อนเล็กก้อนหนึ่งก็สามารถซื้อ เรือนที่ตั้งอยู่บนถนนทั้งสายของตัวเมืองมาได้ ได้โฉนดที่ดินที่ฝ่ าย ครัวเรือนของที่ว่าการส่งมอบให้มาสามสิบกว่าแผ่น ตอนนั้นบ้านใน ตัวเมืองยังมีราคาถูกมาก บวกกับที่ราชสานักต้าหลีจงใจให้สถานที่ ทั้งหลายอย่างหงโจวอวี้นโจวมา ‘ช่วยเสริม’ หลงโจวเก่า เพื่อส่งเสริม ให้ชนชั้นสูงและชาวบ้านของจังหวัดอื่นย้ายมาอยู่ที่นี่ กลยุทธ มากมายของที่ว่าการหลงโจวล้วนเป็ นการยอมเสียกาไรยก
ผลประโยชน์ให้กับชาวบ้าน หูเฟิงจึงยกทรัพย์สินส่วนที่เหลือให้ต่งสุ่ ยจิ่งไปจัดการ ถือว่าเข้าร่วมเป็ นคู่ค้า นอกจากนี้เนื่องจากตอนที่อายุ ยังน้อยหูเฟิงมักจะติดตามท่านปู่เดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ เป็ น ประจ า หูเฟิงจึงเก็บรวบรวม “ของแตกพัง” มาได้กองใหญ่ ส่วนใหญ่ ล้วนเป็ นของที่ไม่สะดุดตาอย่างพวกกระจกทองแดง เหรียญเงิน โบราณ สิ่งเหล่านี้ล้วนมอบให้ต่งสุ่ยจิ่งช่วยเอาไปขายให้ทั้งหมด ขาย ราคาสูงหรือราคาต่า หูเฟิงไม่เคยถามมากความ ถึงอย่างไรต่งสุ่ยจิ่งก็ แค่ท าการค้าไปก็พอ หากขาดทุนก็ไม่เป็ นไร แต่หากได้ก าไรมาวัน หน้าทั้งสองฝ่ายก็ค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กัน
ปีนั้นต่งสุ่ยจิ่งนา “ของผุพัง” พวกนี้ขายไปในราคาสูง หักออกมา เป็ นเงินเกล็ดหิมะแล้วเงินเทพเซียนสองก้อนของหูเฟิงก็เท่ากับทรัพย์ สมบัติสามส่วนของต่งสุ่ยจิ่งได้เลย
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มเอ่ย “ตอนนี้มีสองวิธี อย่างแรก พวกเราแยกย้ายกัน ไปนับแต่นี้ เจ้าเก็บเงินทุนและผลกาไรกลับไป อย่างที่สอง เอาเงินทุน ไว้ที่ข้าต่อ เก็บผลกาไรก้อนแรกไปก่อน วันหน้าข้าจะให้คนน ามาส่ง ให้เจ้าถึงบ้านทุกปี หากรังเกียจว่ายุ่งยาก สิบปี หกสิบปี ก็ได้ เหมือนกัน”
หูเฟิงกล่าวอย่างไม่ลังเล “อย่างที่สอง สิบปีแบ่งผลกาไรกันครั้ง หนึ่งก็ได้”
อู๋ถีจิงถามชวนคุยว่า “หากว่าเจ้าประมุขหูเลือกวิธีอย่างแรก จะ ได้เงินฝนธัญพืชมาเท่าไร?”
หูเฟิ งเองก็อยากรู ้เหมือนกัน กี่สิบเหรียญ? หากน้อยไปก็คงจะ เป็ นร ้อยเหรียญ หลายร ้อยเหรียญ?
ถึงอย่างไรขอแค่มีเงินฝนธัญพืชหนึ่งร ้อยเหรียญขึ้นไปก็พอแล้ว ถ้าอย่างนั้นทางพรรคก็จะสามารถข้ามผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปได้ อย่างสบายๆ แล้ว
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มพลางบอกตัวเลข สองพันสองร ้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช |
หูเฟิงนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
ส่วนอู๋ถีจิงมีแค่ความรู ้สึกเดียว หรือว่าเรื่องการหาเงินเป็ นเรื่องที่ ง่ายดายอย่างมาก? พี่ต่ง วันหน้าพาข้าไปด้วยสิ?
ต่งสุ่ยจิ่งหยิบวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ คือ พัดพับเล่มหนึ่งที่หุบรวบเข้าด้วยกัน “ด้านในนี้มีเงินฝนธัญพืชสอง ร ้อยเหรียญ ส่วนวัตถุฟางชุ่นชิ้นนี้ก็ถือเสียว่าเป็ นของขวัญร่วมแสดง ความยินดีที่เจ้าประมุขหูและผู้คุมกฏอู๋เปิดภูเขาก่อตั้งพรรคก็แล้วกัน พัดเล่มนี้ไม่ได้ร่ายตราผนึกเอาไว้ เปิดออกก็คือการเปิดประตู พัดมี บุญสัมพันธ ์ คล้องเสียงกับคาว่าทาดีได้ดี (ทั้งสองประโยคอ่านว่าซ่าน โหย่วซ่านหยวน แต่เขียนกันคนละแบบ) ถือเสียว่าให้เป็ นนิมิตหมาย ที่ดี หวังว่าการร่วมมือกันของพวกเราสองฝ่ ายจะเป็ นเหมือนน้าเส้น เล็กไหลยาวที่ดารงอยู่ได้อย่างยาวนาน”
หูเฟิงก็ไม่ได้เล่นตัวอะไร รับพัดพับเล่มนั้นมาโดยตรง
อู๋ถีจิงมีความประทับใจที่ดีต่อสุ่ยจิ่งมากขึ้นอีกหลายส่วน เป็ นคน รวดเร็วตรงไปตรงมาคนหนึ่งจริงๆ
หูเฟิ งเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “หากรู ้ว่าหาเงินแบบนี้ได้ ด้วย ปีนั้นข้าคงไม่จ่ายเงินซื้อบ้านในตัวเมืองพวกนั้นมาแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งสัพยอก “ดูจากการแบ่งผลกาไรในตอนนี้ ปีนั้นเจ้าน่าจะ ใช ้จ่ายเงินฝนธัญพืชเป็ นเงินเกล็ดหิมะแล้วล่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้ ต่งสุ่ยจิ่งก็ยกนิ้วโป้ ง “ไม่เสียแรงที่เป็ นเจ้าประมุข ตอนอายุน้อยก็แสดงมาดของคนใจกว้างออกมาได้อย่างเต็มที่”
ต่งสุ่ยจิ่งถาม “หูเฟิง เศษกระเบื้องที่เจ้าเก็บมาจากภูเขาเครื่อง กระเบื้องในปีนั้น ยินดีขายหรือไม่?”
หูเฟิงส่ายหน้า
จากนั้นหูเฟิ งก็ยิ้มเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “หากเจ้าพูดถึง เรื่องนี้ก่อนโดยที่ยังไม่พูดถึงส่วนแบ่ง ต่อให้ต้องกัดฟัน ข้าก็จะขาย ให้”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “ทาการค้ากับคนอื่นอาจจะใช ้วิธีเช่นนี้ แต่กับ เจ้าคงไม่ใช ้วิธีที่ไร ้สาระพวกนี้แล้ว มิตรภาพของคนร่วมบ้านเกิด ถึง อย่างไรก็ยังต้องมีกันบ้าง”
หูเฟิงเองก็ยิ้มตาม มิตรภาพของคนร่วมบ้านเกิด บางทีหลายๆ คนฟังแล้วอาจรู ้สึกตลก แต่หูเฟิ งกลับไม่คิดเช่นนั้น ต่งสุ่ยจิ่งใส่ใจ จริงๆ และหูเฟิงก็เห็นเป็ นจริงเป็ นจังเช่นกัน
ต่งสุ่ยจิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปรึกษากันอีก สักเรื่อง ข้าอยากซื้อถ้าสวรรค์ฉานทุ่ยจากเจ้า”
แม้ว่าจะหายสาบสูญไปนานแล้ว แต่ถ้าสวรรค์แห่งนี้ก็ยังคงติด หนึ่งในสามสิบหกถ้าสวรรค์เล็กอยู่ตลอด
หูเฟิงส่ายหน้า
ส่วนเรื่องที่ว่าต่งสุ่ยจิ่งรู ้ได้อย่างไรว่าถ้าสวรรค์นี้อยู่ในมือของตน หูเฟิงไม่อยากถามมาก และเขาก็เชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งไม่มีเจตนาร ้าย
มักจะมีคนบางคนที่ดูเหมือนว่าเกิดมาก็สามารถทาให้คนเชื่อใจ ได้
อันที่จริงหูเฟิงมองต่งสุ่ยจิ่งเช่นนี้ ต่งสุ่ยจิ่งกับอู๋ถีก็มองเขาหูเฟิง เช่นเดียวกัน
หาไม่แล้วหากเป็ นผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ป่านนี้ก็คงรู ้สึกระแวงแล้ว และหากเป็ นระหว่างผู้ฝึกตนอิสระก็น่าจะเริ่มดีดลูกคิดว่าควรจะฆ่าคน ปิดปากอย่างไรแล้ว
อู๋ถีจิงเหลือบมองนักพรตหญิงที่อยู่ข้างกายต่งสุ่ยจิ่ง
หวงลี่จึงคลี่ยิ้มบางๆ กลับคืนให้กับเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “ยังไม่ต้องรีบร ้อนปฏิเสธ ลองฟังเงื่อนไขและ ราคาที่ข้าจะเสนอให้ดูก่อน ข้อแรก ข้าเปิดราคาไว้ที่หนึ่งหมื่นเหรียญ เงินฝนธัญพืชเพื่อซื้อถ้าสวรรค์ฉานทุ่ย”
“ข้อสอง พูดให้ถูกก็คือ ข้าแค่จะซื้ออานาจทั้งหมดของถ้าสวรรค์ ฉานทุ่ยจากเจ้าภายในหกร ้อยปี จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอานาจในการ น าไปใช้งานของพวกเจ้า ต่อให้พวกเจ้าเอาสมบัติวิเศษแห่งฟ้ าดินใน ถ้าสวรรค์ไปใช ้จนหมด ข้าก็ไม่สนใจ ต่อให้เหลือแค่เปลือกที่ว่าง เปล่าก็ยังไม่เป็ นปัญหา หกร ้อยปีให้หลัง ข้าถึงจะเก็บถ้าสวรรค์แห่งนี้ กลับมา แน่นอนว่าหากพวกเจ้ารู ้สึกว่าระยะเวลาสั้นเกินไปก็พูดคุย กันได้อีก แปดร้อยปีก็ได้”
“ข้อที่สาม แน่นอนว่าข้าไม่มีเงินสดมากขนาดนี้ ถึงอย่างไรหนึ่ง หมื่นเหรียญเงินฝนธัญพืชก็ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ ดังนั้นจะแบ่งจ่ายเป็ น สามครั้ง ก้อนแรกคือเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญ สามารถมอบให้ พวกเจ้าตอนนี้ได้เลย ก้อนที่สองจ่ายให้อีกหนึ่งร ้อยปีให้หลัง สี่พัน เหรียญ ก้อนที่สาม สามร ้อยปีให้หลัง จ่ายครบทั้งหมด ในเวลาสี่ร ้อย ปี นี้ก็ถือเสียว่าข้าชาระเงินล่วงหน้า ดอกเบี้ยคิดคนละส่วน เป็ น อย่างไร?”
อู๋ถีจิงตกตะลึงอย่างหนัก ต่อให้ไม่เห็นเงินเป็ นส าคัญแค่ไหนก็ยัง ตกตะลึงไปกับความมือเติบของต่งสุ่ยจิ่งอยู่ดี อดไม่ไหวใช้ข้อศอก ถองชายโครงของหูเฟิ ง อู๋ถีจิงคร้านจะใช้เสียงในใจพูดคุยด้วยซ้า เขาพูดออกมาโดยตรงว่า “หูเฟิง ข้าคิดว่าสามารถพูดคุยกันได้!”
อย่าว่าแต่แปดร ้อยปีเลย หกร ้อยปี ด้วยคุณสมบัติด้านการฝึกตน ของตนกับหูเฟิง ต่อให้ไม่ไปแตะต้องคราบเซียนกระบี่พวกนั้น แต่จะ ยังเรียนรู ้ปณิธานกระบี่มาไม่ได้อีกหรือ?
หูเฟิงส่ายหน้ากล่าว “ไม่คุยเรื่องนี้”
ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ไม่บังคับฝื นใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็ นไร หากวันใด เปลี่ยนใจแล้วจาไว้ว่าให้มาหาข้าเป็ นคนแรก เรื่องนี้เจ้าน่าจะตอบตก ลงกระมัง?”
หูเฟิงพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”
คนทั้งกลุ่มยังไม่ทันเดินไปถึงกระท่อมสองหลังที่ตั้งอยู่คู่กันตรง กลางภูเขา ต่งสุ่ยจิ่งก็หยุดเดิน กุมหมัดเอ่ยอ าลาแล้ว “กลับแล้ว เจ้า ต าหนักหวงยังมีกิจธุระอีกมากรอให้ไปจัดการ หูเฟิง พูดจริงๆ นะ ข้า ไม่อยากจะมองด้วยซ้า ขนาดคนที่ไม่พิถีพิถันอะไรอย่างข้ายังรู้สึกว่า พรรคของเจ้าแร ้นแค้นเกินไป พูดถึงแค่ร ้านขายเกี๊ยวน้าของข้าในปี นั้นก็ยังดีกว่าพรรคของพวกเจ้าเสียอีก”
หูเฟิ งยิ้มกล่าว “คราวหน้าที่พวกเจ้ามาที่นี่อีกครั้ง ต้องไม่ เหมือนเดิมแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งคุยธุระเสร็จ ไม่ได้ดื่มน้าสักคาก็พานักพรตหญิงหวงสี่ลง จากภูเขาไปด้วยกันไปถึงตีนเขานางก็เรียกเรือยันต์ลาหนึ่งออกมา ทะยานเมฆขี่หมอกจากไป
เรียกได้ว่ามาอย่างรีบร ้อนและจากไปอย่างรีบร ้อน รวดเร็วปาน สายฟ้ าแลบ
น้อยครั้งนักที่อู๋ถีจิงจะให้การยอมรับใคร “ต่งสุ่ยจิ่งผู้นี้เป็ นคนมี คุณธรรมจริงๆ”
หูเฟิงพยักหน้ารับ “ท่านปู่ของข้าเคยบอกว่า เฉียบแหลม เฉลียว ฉลาด มีสติปัญญาสามอย่างนี้อยู่กันคนละขอบเขต ยังบอกอีกว่าคน คนหนึ่งที่เกิดมาพร ้อมกับรากแห่งสติปัญญา แม้จะถูกฝุ่ นแดงในโลก โลกีย์แปดเปื้อนได้ง่าย แต่ขอแค่มีรากแห่งสติปัญญาก็จะ “เปลี่ยน ความคิด” และ “หันหลังกลับ” ได้ง่ายยิ่งกว่า ปีนั้นท่านปู่ ไปหาข้าที่ ภูเขาเครื่องกระเบื้อง เห็นหน้าของต่งสุ่ยจิ่งครั้งแรกก็บอกว่าสามขวบ มองเห็นได้จนแก่ ในอนาคตจะต้องเป็ นคนที่มีเงินไม่ขาดมืออย่าง แน่นอน อีกทั้งความสามารถที่ใหญ่ที่สุดก็คือหาเงินก้อนใหญ่ได้ แล้ว ยังเก็บรักษาเงินไว้ได้ด้วย”
“อันที่จริงต่งสุ่ยจิ่งออกจากโรงเรียนมานานมากแล้ว แล้วก็อาศัย การเปิดร ้านเกี๊ยวน้ากับขายเหล้าหมักทาให้ร่ารวยขึ้นมา”
“ก่อนหน้านั้นข้ายังเคยโน้มน้าวเขาว่าให้เรียนหนังสืออยู่ข้าง กายอาจารย์ฉี แต่ต่งสุ่ยจิ่งยืนกรานในความคิดของตัวเองบอกว่าถึง อย่างไรเรียนไปก็เป็ นอย่างหลินโส่วอีไม่ได้ ไม่สู้หาเงินให้ได้เร็วๆ ดีกว่า”
อู๋ถีจิงยิ้มกล่าว “มองออกว่าหวงสี่ที่มาจากตาหนักหลิงเฟยผู้นั้น เกรงใจต่งสุ่ยจิ่งมาก”
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนจวินเฉาหรง ทั้งยังเป็ นผู้ดูแล ต าหนักหลิงเฟย ตามการค านวณล าดับอาวุโสในระบบสายเต๋าแล้ว นางถือเป็ นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิง ด้วยซ้า
สามารถทาให้เขียนหญิงแห่งลัทธิเต๋าที่หากต้องการที่พึ่งก็มีที่พึ่ง ต้องการขอบเขตก็มีขอบเขตเช่นนี้ติดตามเขาขึ้นเขามาเหมือนองค์ รักคนหนึ่งได้
นี่แสดงให้เห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งร่ารวยแล้วจริงๆ
ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ด้านบนเรือยันต์ นักพรตหญิงยิ้ม ถาม “สุ่ยจิ่ง จะไม่ไปดูอารามจินเซียนบนยอดเขาชิงเหมี่ยวกับข้า จริงๆ หรือ?”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า “ข้าจะไปที่ภูเขาเหมียวซานรอบหนึ่ง” “คนเชื่อดาบมักจะยุ่งอยู่เสมอ”
“ตัวคนยุ่งแต่ใจไม่ยุ่ง” …….
ในอาณาเขตของอวี๋โจวต้าหลี ริมตลิ่งลาธารจิงซีมีวัดโบราณที่ ควันธูปธรรมดาอยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่มานานนับพันปี แต่เพราะเป็ น
สายนิกายวินัยที่พิถีพิถันกับระเบียบข้อบังคับตายตัวมากที่สุดของ พระพุทธศาสนา ต่อให้เป็ นวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า คนที่มาทาบุญก็ มีไม่มากนัก
นี่ยังเป็ นเพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ราชสานักต้าหลีเริ่มสั่งให้สร ้าง วัดไว้ในสถานที่ต่างๆ เผยแพร่หลักพุทธศาสนาให้แพร่หลาย คิดดู แล้วก่อนหน้านี้ควันธูปของวัดคงจะอยู่ในสภาพการณ์น่าอนาถที่ดิ่ง ลงเหวเลยจริงๆ
แต่หากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหรือในหลิวเสียทวีปที่ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ด้วยฐานะสูงศักดิ์ที่ถูกเรียกขานให้เป็ น ภูเขาอันดับหนึ่งของนิกายวินัยในแจกันสมบัติทวีปของวัดแห่งนี้แล้ว ความโชติช่วงของควันธูปจะมีมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
จาได้ว่าตอนที่อายุยังน้อยเคยขึ้นเขาไปหาดินเผาเครื่องปั้น พร ้อมกับช่างเหยา ผู้เฒ่าเคยพึมพากับตัวเองประโยคหนึ่งว่า ต้นไม้ ย้ายที่ตายคนย้ายที่รอด ดินย้ายรังกลายเป็ นพุทธะ
บัณฑิตวัยชราคนหนึ่งที่จอนผมสองข้างเป็ นสีดอกเลา รูปโฉม เหมือนคนวัยเจ็ดสิบ รูปร่างผอมบาง อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว มักจะไปถามความรู ้เรื่องนิกายวินัยจากหลวงจีนใหญ่ท่านหนึ่งเป็ น ประจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “จตุรงควินัย”
ว่ากันว่าบรรพจารย์เปิดภูเขาของวัดแห่งนี้เคยรับหน้าที่เป็ นซ่าง จั้วของวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง และ ยังเคยเข้าร่วมการแปลพระคัมภีร ์ของตรีปิฏกาจารย์ท่านหนึ่งด้วย
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเก็บดวงจิตกลับคืน “อุบาสก” ท่านนี้ไม่ ยินดีเผยตัวในวัดจึงร่ายเวทหลบหนี ไปหา “คราบร่าง” ในถ้ากลางป่า แห่งหนึ่งซึ่งเป็ นยันต์กระดาษแผ่นหนึ่ง รอกระทั่งเฉินผิงอันแผ่ดวงจิต ออกมาอีกครั้งก็ค่อยกลับไปที่วัดเงียบๆ เดินผ่านประตูภูเขา เข้าไปใน ห้องรับรองแขก จุดตะเกียงคัดคัมภีร ์
ตอนกลางวันของวันนี้ เมฆทะมึนแผ่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้ า ฝน ก าลังจะตกลงมา กลางวันมืดสลัวดั่งกลางคืน
ปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ปักปิ่นไม้ไว้บนศีรษะนั่งอยู่บนเบาะ รองนั่งใบหนึ่งกลางระเบียง ในมือถือลูกประคาเส้นหนึ่ง นิ้วมือขยับ เคลื่อนลูกประคาเบาๆ
มาอยู่ที่วัดโบราณแห่งนี้ได้หลายเดือนแล้ว ข้างกายของ ปัญญาชนไม่มีเด็กรับใช ้หรือผู้ติดตามใดๆ แค่พกสัมภาระบาง อย่างเช่นเสื้อผ้า กล่องตารามาด้วยเท่านั้น เน้นความเรียบง่ายเป็ น หลัก
ในวัดมีตาราเก็บสะสมไว้หลากหลาย น่าเสียดายที่ครึ่งหนึ่งถูก มอดกัดท าลายไปแล้วด้านหน้าตาหนักต้าสงมีสระน้าเล็กๆ อยู่แห่ง หนึ่ง ในสระมีปลาหลีสีทองและปลาจี้สีทองอยู่หลายตัว เกล็ดปลาส่อง
ประกายระยิบระยับ ตามบันทึกในจารึกภูเขา ในประวัติศาสตร ์เคยมี เซียนจวินต่างถิ่นเลี้ยงมังกรน้อยไว้ในสระแห่งนี้อยู่หลายตัว ทุกตัว ล้วนยาวจื่อกว่า มีหัวเป็ นงูมีสี่กรงเล็บ ผู้แสวงบุญที่อยู่ใกล้เคียงทั้งเด็ก และคนแก่ ทุกครั้งที่มาจุดธูปที่วัดตลอดเวลาหกสิบปีจะต้องแวะมาดูที่ สระน้า ไม่เห็นพวกมันมีลางว่าจะป่วยจะตาย เคยมีข่าวลือแพร่ออกไป ทาให้โจรจากต่างถิ่นที่ได้ยินข่าวแฝงตัวเข้ามาในวัดยามค่าคืน จับ มังกรน้อยใส่ลงไปในขวดใบเล็กแล้วพาออกไปจากวัด ทว่ามังกรน้อย กลับหนีมากลางทาง แล้วกลับเข้ามาในสระของวัดด้วยตัวเองโดยที่ ปากขวดยังปิดแน่นอยู่เหมือนเดิม น่าเสียดายที่หลังจากฝนกระหน่า ครั้งหนึ่งผ่านพ้นไป มังกรน้อยล้วนลอยขึ้นกลางอากาศไปตามก้อน เมฆแล้วหายเข้ากลีบเมฆไป ทุกวันนี้ปลาหลีสีทองปลาจี้สีทองที่อยู่ใน น้า ว่ากันว่าเป็ นเพราะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของมังกรถึงได้เปลี่ยน จากสีด าในตอนแรกมาเป็ นสีทอง พวกมันได้ฟังเสียงสวดภาษา สันสกฤตมานาน ได้ยินระฆังเช ้าระฆังเย็น จึงเริ่มฝึกตนหมายจะกลาย ร่างเป็ นคน
ปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อคือผู้ศรัทธารายใหญ่ ภิกษุในวัด เห็นว่าอีกฝ่ ายพูดจาไม่ธรรมดา อีกทั้งยังพูดด้วยน้าเสียงของคนเมือง หลวง สงสัยว่าคนผู้นี้อาจจะเป็ นขุนนางหรือชนชั้นสูง จึงมักจะมาตี สนิทมาชวนคุยด้วยเป็ นประจ า ภายหลังปัญญาชนอธิบายอยู่หลาย ครั้งว่าตนไม่ได้มาจากตระกูลขุนนาง นานวันเข้าสีหน้าเคารพนอบ น้อมของพวกภิกษุก็เริ่มจืดจางไป กลายเป็ นสีหน้าเย่อหยิ่งที่เข้มข้น
แทน มีสามเณรคนหนึ่งที่มั่นใจว่าคนผู้นี้คือพ่อค้ารายใหญ่ จึงมักจะ ถามเรื่องของเขตการปกครองและจังหวัดต่างถิ่นมากมาย ชอบมา ชวนปัญญาชนเดินขึ้นเขาไปชมทัศนียภาพด้วยกัน เนื่องจากบน ยอดเขามีหน้าผาอยู่แห่งหนึ่งที่มีเมฆขาวลอยอ้อยอิ่ง มองเห็นเป็ น ทะเลเมฆกว้างใหญ่ สีขาวประหนึ่งไขหยก ดุจทะเลดอกหลิงจือหิมะ มี เพียงภูเขาที่ตั้งตระหง่านมิเคลื่อนไหว แค่สามเณรมาเคาะหน้าต่าง แล้วเอ่ยค าว่า “เมฆลอยขึ้น” ปัญญาชนก็จะเปลี่ยนมาสวมรองเท้า สาน ในมือถือไม้เท้าส าหรับเดินขึ้นเขาที่ทามาจากไม้ไผ่ของภูเขา ด้านหลังสองอัน ให้เณรน้อยยืมหนึ่งอัน ไม้เท้านั้นเบาและเกลี้ยงเกลา เดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เมฆหมอกลอยอวลแผ่เต็มภูเขา ยามขึ้นเขาก็ ไม่รู ้เลยว่าเป็ นภูเขาที่สูงทะลุชั้นเมฆหรือเป็ นเมฆที่ลงมารับภูเขากัน แน่