กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1014.3 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1014.3 คอกท้อดอกหลีกลัวลมฝนพัดผ่าน ดอกจี้ใช่ ริมธารกลับเบ่ง บานอย่างทระนง
ข้างวัดมีน้าพุที่ใสสะอาดและเยียบเย็น ภิกษุบนภูเขาตัดกระบอก ไม้ไผ่เขียวลาเลียงน้าเข้ามาใช ้ในห้องครัว ต้มชาก็ได้รสหวาน ปัญญาชนอายุมากผู้นั้นมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาว ทุกวันจะต้อง คัดคัมภีร ์ พกจานฝนหมึกโบราณชิ้นหนึ่งไว้ติดตัว ปัญญาชนมักจะ ถือจานฝนหมึกของตัวเองไปตรงกระบอกไม้ไผ่เขียว ใช ้จานฝนหมึก บรรจุน้าพุกลับมาแล้วเอามาใช ้ฝนหมึก ด้านหลังภูเขามีศาลาอวี้เปย เป็ นศาลาที่ถูกสร ้างขึ้นเพื่อไทเฮาซิวฝูของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน ข้าง เส้นทางนอกศาลามีป้ ายหินอีกหลายสิบป้ าย ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นขุน นางในท้องถิ่นที่มาตั้งเอาไว้ยามขอฝน เนื้อหาของป้ ายศิลาล้วน กล่าวว่าการมาขอฝนที่วัดแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก จึงส่งฎีกาขอ พื้นที่ให้วัดเพิ่มอีกหลายๆ ไร่
ในอาณาเขตของอวี๋โจว ร ้อยลี้ล้วนมีสภาพอากาศไม่เหมือนกัน นับแต่โบราณมาตอนกลางวันก็มักจะมีฟ้ าร ้องเกิดขึ้นเป็ นประจา อีก ทั้งกลิ่นอายน้าที่เปี่ยมล้นเจอกับภูเขาสูงขัดขวาง ประหนึ่งกองกาลัง สองฝ่ ายเจอกัน คุมเชิงกันอยู่บนสนามรบ เป็ นเหตุให้วัดโบราณใน ภูเขามักจะเจอกับฝนฟ้ ากระหน่าน่าหวาดกลัวเป็ นประจ า หากเจียว หลงหน้าแล้งกระโจนเข้าสู่หุบเขาอย่างรีบร ้อน เวลาสั้นสุดก็คือหนึ่ง
ถ้วยชา ยาวหน่อยก็หนึ่งมื้ออาหาร ก็จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง คน ในท้องถิ่นมักจะพูดว่ามีมังกรมาโปรยฝนสู่โลกมนุษย์ สะบัดหางลาก ผ่านภูเขาแห่งนี้
ในประวัติศาสตร ์วัดโบราณแห่งนี้เจอกับหายนะทางการทหาร และฟ้ าผ่าอยู่หลายครั้งถูกทาลายทอดทิ้งและถูกสร ้างขึ้นใหม่ครั้งแล้ว ครั้งเล่า โชคดีที่ศิลาบันทึกคุณูปการในวัดล้วนบันทึกเอาไว้อย่าง ชัดเจน
เคยมีคนที่เดินทางตอนกลางคืนเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาด กับตาตัวเอง สายฟ้ าและเปลวเพลิงตัดสลับกันเป็ นก้อนแล้วผลุบหาย เข้าไปในบ้านเรือน แสงไฟสว่างวาบไต่ไปตามหลังคาเรือนหลังต่างๆ เปลวไฟเผาไหม้ใบหน้าพระพุทธรูปสีทองที่อยู่ในห้อง หลังจากไฟ มอดดับ ใบหน้าของพระพุทธรูปก็เหมือนมีคราบน้าตา อีกทั้งเสาคาน และหน้าต่างของตาหนักใหญ่ล้วนไร ้ความเสียหาย ยังมีเทวรูปขี่สิงโต อีกรูปหนึ่งที่ก็มีรอยแตกร ้าวเช่นกัน ผงทองที่ทาไว้ล้วนหลอมละลาย กลายมาเป็ นน้า สีอื่นๆ ล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลง
รอกระทั่งมาถึงเจ้าอาวาสคนปัจจุบันที่มาจาวัดอยู่ที่นี่ก็เริ่มมีการ ตั้งธรรมมาสน์บรรยายธรรม หลังจากนั้นเพียงไม่นานทุกครั้งที่เจอกับ ค่าคืนที่มีฟ้ าร ้องฟ้ าแลบ บนยอดเจดีย์แห่งหนึ่งก็มีแสงสีทองสว่างวาบ ประหนึ่งดาวตกที่กระจายไปทั่วสี่ทิศ
แต่สถานที่แห่งอื่นกลับไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดใดๆ อีก ควันธูปในวัดโชติช่วงอย่างยิ่ง ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาทยอยกันมา
เยือนไม่ขาดสาย ยินดีอ้อมผ่านอารามและวัดวามากมายเพื่อมาจุด ธูปคารวะที่นี่
คิดไม่ถึงว่าหลวงจีนท่านนี้จะช่วยอธิบายให้กับภิกษุและนักแสวง บุญทุกคนฟังอย่างละเอียดว่าทาไมหลังคาหางหงส์ที่เขาวาดเป็ นภาพ แล้วสร ้างขึ้นด้วยตัวเองถึงสามารถป้ องกันฟ้ าผ่าและเปลวเพลิงจาก ฟากฟ้ าได้ ท าไมตรงยอดเจดีย์ในวัดถึงต้องทาเงินและทองลงไป ชั้นหนึ่ง รวมถึงเสากลมใจกลางเจดีย์ที่ทอดยาวไปถึงใต้ดินทามาจาก วัสดุอะไร ท าไมในตาราโบราณถึงเรียกว่าเสาเหลยกง จุดประสงค์ที่ สร ้าง “ถ้ามังกร” ไว้ใต้ดินคืออะไร…สรุปก็คือตามค ากล่าวของหลวง จีนเฒ่าก็คือแท้จริงแล้วไม่ได้มีความลี้ลับอะไรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ ภูตผีที่ออกอาละวาดหรือนิมิตหมายอันเป็ นมงคลอะไร
หลังจากนั้นมาคนทั้งในและนอกวัด ไม่ว่าจะฟังอย่างเข้าใจกึ่ง สงสัยหรือฟังเข้าใจทั้งหมดแล้ว ต่างก็รู ้สึกว่าต่อให้มีสายฟ้ าและมี เปลวเพลิงจากฟากฟ้ าเกิดขึ้นอีกก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ แล้ว
เรื่องราวแปลกประหลาดทั้งหลาย หากพูดออกมาให้กระจ่างก็ไม่ ประหลาดอีกต่อไปความลี้ลับมหัศจรรย์ หากมองเห็นอย่างทะลุปรุ โปร่งแล้วก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว
เพียงแต่ว่าหลวงจีนเฒ่าทาเช่นนี้กลับทาให้ควันธูปซึ่งเดิมทีดีขึ้น แล้วให้กลายมาเป็ นซบเซาไปอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ภิกษุในวัดใช่ว่าจะไม่มีคาบ่นเสียเลย เพียงแต่ว่าหลวง จีนเฒ่าเป็ นเจ้าอาวาสที่ราชส านักต้าหลีเลือกมา เชิญเทพมาง่ายส่ง เทพจากไปยาก
อุบาสกเฉินที่มาพักอาศัยอยู่ในวัดผู้นี้ก็เคยถามอย่างใคร่รู ้ว่าเหตุ ใดเจ้าอาวาสถึงได้ “ทาสิ่งที่เกินความจาเป็ น” เช่นนี้
ค าอธิบายของภิกษุเฒ่าก็เรียบง่ายอย่างมาก “หลักค าสอนของ พุทธศาสนาไม่ใช้การแสดงปาฏิหาริย์หรือความลี้ลับ”
หากจะพูดให้ตรงไปตรงมาและไม่น่าฟังสักหน่อยก็น่าจะทิ้ง ประโยคหนึ่งไว้โดยตรงว่าไม่ใช้การ ‘มอมเมาใจคน
อุบาสกจึงถามอย่างใคร่รู ้ “พระพุทธศาสนามีวิชาอภินิหารก็ ไม่ใช่เพื่อให้สะดวกแก่แนวทางในการปฏิบัติหรอกหรือ?”
ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่วิธีปฏิบัติที่สะดวก ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุด
บัณฑิตที่จอนผมสองข้างเป็ นสีดอกเลาพยักหน้ารับ “ประเสริฐ
“ในเมื่ออุบาสกก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ มีค าถามแล้ว
“เชิญท่านเจ้าอาวาสถามได้เลย
“เจ้าคิดว่าวิถีทางธรรมคือวิถีที่เบื่อหน่ายโลกหรือไม่?”
“หรูไหลกล่าวว่าโลกไม่ใช่โลก เพียงแต่ชื่อว่าโลก
อุบาสกเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยสามประโยคที่นามาใช ้ปลุกความ กล้าเป็ นยาสงบใจ “หากมีขีดจากัดอยู่แค่โลกที่พวกเราพักอาศัยอยู่ วิถีทางธรรม…ย่อมเบื่อหน่ายโลก
ภิกษุเฒ่าพยักหน้าเบาๆ ครั้นจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
ฝนใหญ่กาลังจะมาถึง ปัญญาชนลุกขึ้นยืนคารวะ
ภิกษุเฒ่าหยุดเท้าคารวะกลับคืน เดินเข้าไปในระเบียง
ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “ที่แท้อุบาสกเฉินก็คือผู้ฝึ กตน ฝึ กวิชา สายฟ้ าหรือ?”
ปัญญาชนพยักหน้ารับ ไม่กล้าพูดว่าชานาญเข้าขั้น แค่พอจะ เข้าใจได้อย่างผิวเผินเท่านั้น
“นิทานเรื่องเล่าประหลาดมีบันทึกไว้มากมาย ไฟและสายฟ้ า สามารถหลอมกระบี่วิเศษโดยที่ฝักไม่มอดไหม้ ใน “ผีหยา” มีบันทึก ไว้ว่า หยินหยางกระตุ้นกันและกัน แสงของมันคือสายฟ้ า เสียงของ มันคือฟ้ าร ้อง หนึ่งเสียงหนึ่งลมปราณ ช่วยส่งเสริมกันและกันให้ ส าเร็จ
ภิกษุเฒ่ายิ้มเอ่ย “หากอุบาสกเฉินมาเพื่อฝึกตน ไม่ว่าจะเป็ นการ ชักน าสายฟ้ าหรือหลอมวัตถุ อุบาสกเฉินจะไม่มาเสียเที่ยวหรือ?”
เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ในวัดก็มีแต่จะหลบเลี่ยงสายฟ้ าไม่มีการ ชักน าสายฟ้ าแล้ว
ในประวัติศาสตร ์มีภิกษุฝ่ ายบู๊ที่ฝึ กวิชาอภินิหารเป็ นจินกัง หน้าตาดุดันออกไปก าจัดปีศาจข้างนอก ทางวัดได้สร ้างห้องแห่งหนึ่ง เพื่อชักนาสายฟ้ าให้เขาโดยเฉพาะ มีดาบและกระบี่หลอมร ้อยรอบที่ อยู่ในฝักไม้ ทุกครั้งที่สายฟ้ าฟาดผ่าน ดาบและกระบี่มักจะหลอม ละลายกลายเป็ นน้าอยู่ในฝัก ส่วนฝักดาบกลับยังคงสมบูรณ์ นอกจากนี้ก็ยังมีภาชนะที่ทาด้วยน้ามันเคลือบเงินเคลือบทองอีก หลายชนิด เงินและทองที่อยู่ด้านนอกล้วนหลอมละลายเข้าไปใน ภาชนะมากมายซึ่งตั้งวางไว้โดยเฉพาะ หลอมละลายกลายเป็ นน้า แล้วค่อยมารวมตัวขึ้นใหม่ หากใช ้เวทลับในการหล่อหลอมบนภูเขา มาหลอมเป็ นดาบและกระบี่เล่มใหม่ หรือหลอมพวกมันเอามาเป็ น ‘ชาด” วาดยันต์ ก็จะสามารถสยบการาบสิ่งชั่วร ้ายได้อย่างราบรื่นทุก ครั้ง
ปัญญาชนส่ายหน้ากล่าว “แค่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียง อยากขอความรู ้ด้านหลักพระธรรมจากท่านเจ้าอาวาสเท่านั้น
ภิกษุเฒ่าถาม “ศาสนาพุทธมีแปดหมื่นสี่พันธรรมทวาร มีเพียง นิกายวินัยที่ฝึ กบาเพ็ญตนได้ยากลาบากที่สุด ในเมื่ออุบาสกเฉิน ไม่ใช่คนของลัทธิพุทธ ไฉนถึงสนใจแค่นิกายวินัยของพวกเรา เท่านั้น?”
นิกายวินัยนั้นเรียกได้ว่ามีกฎระเบียบเคร่งครัดอย่างมาก ถือศีล ฝึกบาเพ็ญเพียร เป็ นที่ยอมรับว่ายากลาบากมากที่สุด
“ยากก่อนค่อยง่าย จากยากก็กลายเป็ นง่าย ไม่กล้าพูดปดต่อ ท่านเจ้าอาวาส แม้จะฝึกตนอยู่ในวัดอย่างยากล าบาก แต่ออกจาก ประตูวัดไปกลับมีวิธีฝึกตนอีกอย่างหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าได้ยินแล้วก็พยักหน้า “เคยจุดธูปคารวะพระพุทธรูป ออกจากประตูภูเขาไปก็คือการฝึกตนเช่นกัน
ปัญญาชนถาม “สรรพชีวิตมีมากมาย แต่ละคนมีกรรมต่างกัน ไป จะสอนให้พวกเขารู ้จักกฎแห่งกรรมได้อย่างไร?”
ภิกษุเฒ่ายิ้มตอบ เรื่องของกรรม นับแต่โบราณมาอริยะปราชญ์ ก็ไม่จาเป็ นต้องเชื่อคนเขลาเบาปัญญาไม่ยอมเชื่อ คนถ่อยที่เฉียบ แหลมไม่กล้าเชื่อ คนธรรมดากลับไม่กล้าไม่เชื่อ ยอมเชื่อว่ามีดีกว่า เชื่อว่าไม่มี
ฟ้ าแลบแปลบปลาบอยู่ตรงสายฟ้ า ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็เท กระหน่าลงมา ราวกับว่าบนฟ้ ามีทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ห้อยลอย อยู่ น้าจึงสาดเทลงมาในโลกมนุษย์อย่างกาเริบเสิบสาน
ภิกษุเฒ่านั่งขัดสมาธิ หลับตาทาจิตใจให้สงบ
ปัญญาชนขยับเคลื่อนลูกประคาเม็ดแล้วเม็ดเล่า
เสียงสายฝนกระทบชายคาเหมือนเสียงน้าตก ม่านฝนเหมือน ม่านแห่งฟากฟ้ า
น้าลึกไร ้เสียง ฝนแรงตกไม่นาน
ท้องฟ้ าหลังฝนตกใหม่ๆ แสงแดดอบอุ่นและสายลมเย็นฉ่า หยด น้าคั่งค้างบนต้นไม้เขียวในภูเขาจะหยดมิหยดแหล่
ภิกษุเฒ่าลืมตาขึ้น พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ดอกท้อดอกหลีในเมือง กลัวลมฝนพัดผ่าน
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับเอ่ยอย่างรู ้ใจ “ดอกจี้ไช่ริมธารกลับเบ่ง
บานอย่างทระนง” …… |
ในอาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันเคยไป เยือนมาหลายสถานที่แล้วจริงๆ นอกจากคราวก่อนที่เดินทางผ่าน ขุนเขาสายน้ากับผู้อาวุโสซ่งมาระยะทางหนึ่งทุกครั้งที่เดินทางลงใต้ เฉินผิงอันจะต้องนั่งโดยสารเรือข้ามฟากไปที่นครมังกรเฒ่า ก่อน หน้านี้ตอบตกลงกับจางไช่ฉินและหงหยางโปว่าจะไปเข้าร่วมพิธีสวม กวานของรัชทายาทแห่งแคว้นชิงซิ่ง เฉินผิงอันอยากจะทาความ เข้าใจเกี่ยวกับสภาพการณ์ของแคว้นชิงซิ่งให้มากขึ้น ท่าเรือภูเขาตี้ หลงซึ่งเป็ นที่ตั้งของหอชิงฝูเป็ นของสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่ง เนื่องจาก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของลาน้าฉีตู้จึงหลุดพ้นจากสถานะแคว้นใต้อาณัติ ของต้าหลีไปแล้ว ได้รวบรวมขุนเขาสายน้าเก่ากลับคืนมา ทุกวันนี้ ฮ่องเต้สกุลหลิ่วอายุไม่น้อยแล้ว ใกล้เจ็ดสิบปีแล้ว เดิมควรจะแต่งตั้ง บุตรชายคนโตให้เป็ นรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท าไม ฮ่องเต้สกุลหลิ่วถึงได้แต่งตั้งลูกชายคนเล็กเป็ นรัชทายาทแทน แล้วยัง
แหกกฎจัดงานพิธีสวมกวานที่เชื้อเชิญคนนอกมาร่วมงานให้กับรัช ทายาทหนุ่มผู้นี้ด้วย ถือเป็ นการช่วยปูทางอย่างหนึ่ง
ราชครูคนใหม่คือสหายเก่าบนภูเขาอย่างหงหยางโป ทว่าจางไช่ ฉินผู้ฝึกกระบี่หญิงเจ้าของหอชิงฝู ตระกูลของนางกลับไม่ได้อยู่ใน อาณาเขตแคว้นชิงซิ่ง แต่อยู่ที่แคว้นเหมยจี้ซึ่งอยู่ทางใต้ยิ่งกว่า ถือ เป็ นตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งที่มีแม่ทัพอัครเสนาบดีอยู่ในตระกูล
สกุลจางแห่งเขตการปกครองเทียนเฉาของแคว้นเหมยจี้ เมื่อก่อนอยู่ในอาณาเขตทางภาคกลางค่อนไปทางทิศใต้ของแจกัน สมบัติทวีป คือจวนตระกูลเซียนที่มีรากฐานแน่นหนามากแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของสกุลจางบนภูเขาโด่งดังกว่าในหมู่ชาวบ้าน
ร่างแยกร่างหนึ่งของเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ก็เข้าพักอยู่ใน โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งที่เป็ นของสกุลจาง โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง รายงานขุนเขาสายน้าย่อมให้สิทธิ พิเศษแก่เรื่องราวและบุคคลประหลาดในจวนเซียนของแคว้นตัวเอง อีกทั้งแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นชิงซิ่งนี้มักจะเชื้อเชิญนักเขียนในวงการ การประพันธ ์ให้มาประเมินด้วยการชื่นชมและวิจารณ์บุคคล หรือไม่ก็ ด่าเพื่อนบ้านใกล้เคียง แล้วยังจะคัดลอกตาราหมากล้อมระหว่าง นักเล่นระหว่างแคว้น แล้วก็มีเรื่องราวความรักความแค้นของเทพธิดา บางคนกับบุรุษมากความสามารถบางคน สรุปก็คือมีสารพัดอย่าง ไม่ ว่าเนื้อหาอะไรก็มีหมด
หลังจากแสงเงินแสงทองสลายหายไปหมด พระจันทร ์กลมโต สาดส่องแสงสีทองทาทับ เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งที่มีสีหน้าเฉยชาเดินอยู่ท่ามกลาง แสงจันทร ์ในป่าชานเมืองพียงล าพัง อาศัยแสงจันทร ์ที่ส่องสว่างและการมองเห็นที่ไม่ธรรมดาสามัญ เด็กหนุ่มก าลังอ่านตาราพิชัยยุทธเล่มหนึ่ง
นี่คือซากปรักสนามรบแห่งหนึ่งที่ถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างหยาบๆ
ในอดีตราชสานักแคว้นชิงซึ่งจัดพิธีทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ ล่วงลับ เงินที่กรมคลังแจกจ่ายมาถูกหักออกเป็ นชั้นๆ เงินเนื้อดีแปด หมื่นตาลึง สุดท้ายเอามาใช ้ที่นี่ได้จริงๆ เกรงว่าน่าจะไม่ถึงแปดพัน ตาลึงด้วยซ้า
ฟ้ าไม่สนดินไม่สน ราชส านักอยากจะสนแต่ก็ควบคุมอะไรไม่ได้ ผู้ฝึกตนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวยังจะต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเถื่อน ภูตแห่งป่าเขาลาเนาไพร ผีดุร ้าย วิญญาณหยินเสนียดจัญไรก็ได้พากันมารวมตัวอยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ ในรัศมีพันลี้
ดูเหมือนว่าสกุลจางแห่งเขตการปกครองเทียนเฉาจะเคยส่ง ลูกหลานสกุลจางกลุ่มหนึ่งมาอย่างลับๆ แต่ต้องกลับไปพร ้อมกับ ความเสียหาย เป็ นเหตุให้อาณาเขตแห่งนี้มีพวกคนชั่วร ้ายเลวทราม ที่ได้ยินข่าวมารวมตัวกันเยอะมากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่สวมรองเท้าสานคนนี้เดินไปถึงตรงตีน เขาของยอดเขาสูงตระหง่านเดียวดายแห่งหนึ่งก็ปิดตาราลง สอด กลับไว้ในชายแขนเสื้อ เดินเลียบเส้นทางสายเล็กเหมือนไส้แกะขึ้น เขาไปเพียงล าพัง
แต่ไหนแต่ไรมาการเดินขึ้นสู่ที่สูงทาให้มองเห็นฟ้ าดินกว้างใหญ่ สีสันยามวสันตฤดูของโลกมนุษย์สงบเยือกเย็น
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นจากยอดเขาแห่งนี้ ฟ้ าดินรอบด้านล้วนมีแต่ ภาพบรรยากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยมลพิษสกปรกล่องลอย
สุดสายตาของการมองเห็น ห่างไปไกลคือพื้นที่ราบรกร ้าง หมอก ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา พอจะมองเห็นยอดเขาสองแห่งหนึ่งสูงหนึ่ง ต่า คล้ายกับอิงแอบแนบชิดกัน
ในภูเขามีแสงไฟสองกอง เกินครึ่งน่าจะเป็ นจวนในภูเขาที่จุดไฟ ให้ความสว่าง
บนพื้นดินก่อนถึงภูเขาสองลูกนั้นยังมีเส้นสีแดงเส้นหนึ่งที่ขยับ เคลื่อนช ้าๆ น่าจะเป็ นกองกาลังกองหนึ่งที่กาลังออกเดินทางอย่าง เอิกเกริก จุดคบเพลิง ห้อยโคมแดงใบใหญ่ไว้สูง
รอกระทั่งเด็กหนุ่มสะพายกระบี่เดินเข้าไปในเนินหินใหญ่ที่ ราบเรียบบนยอดเขาก็เห็นว่ามีนักเดินทางมาพักเท้าอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว พวกเขาก่อกองไฟ ตั้งหม้อใบใหญ่ น้าเดือดส่งเสียงปุดๆ ในหม้อมี สิ่งของลักษณะคล้ายเครื่องในสัตว์ที่กาลังกลิ้งไหวไปตามน้าเดือด
เรือนกายผอมแห้งของคนผู้หนึ่งที่หันหลังให้เด็กหนุ่มกาลังนั่ง ยองอยู่บนพื้น ในมือถือช ้อนหนึ่งคัน ชิมรสน้าแกงแล้วส่ายหัว ก่อน จะหยิบขวดและกระปุกที่วางอยู่ข้างเท้าเทลงไปในหม้อ
และยังมีสตรีคนหนึ่งที่แบกร่มกระดาษน้ามันไว้บนไหล่ หันหน้า ออกนอกหน้าผา มองไม่เห็นหน้าตา
คนที่อยู่ใกล้กับเด็กหนุ่มมากที่สุดคือชายหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวไร ้ สีเลือด คล้ายกับคนขี้โรคที่อ่อนแอมิทานแรงลม วางหาบไว้ด้านข้าง ด้านในบรรจุคนกระดาษที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้ารูปแบบต่างๆ และ กระดาษเงินก้อน กระดาษเงินหยวนเป่าไว้จนเต็มหาบ
พวกเขาไม่สนใจการมาเยือนของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มี ท่าทีว่าจะทักทาย
ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็มีคนแบกเกี้ยวสี่คนแบกเกี้ยวหยาบๆ เดิน มา พวกเขาเปล่งเสียงสัญญาณเบาๆ บนเกี้ยวที่ทามาจากไม้ไผ่คือ ปัญญาชนวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมขนห่านคนหนึ่งนั่งอยู่
ลงมาจากเกี้ยวแล้ว คนแบกเกี้ยวร่างกายกายาทั้งสี่คนยืนอยู่ที่ เดิม สองตาไร ้แวว
ปัญญาชนคนนั้นผูกตราขุนนาง ตราทหารที่ทาจากหยก หลากหลายสีสันละลานตาไว้ตรงเอวเต็มไปหมด
ปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่านมองเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย ซึ่งเป็ นคนแปลกหน้าก็อดประหลาดใจนิดๆ ไม่ได้ ลังเลเล็กน้อยก็เปิด
ปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “น้องชายคนนี้เป็ นยอดฝีมือใจกล้า ไม่หวาดเกรงกลิ่นอายสกปรก หรือเพราะโชคไม่ดีพลัดหลงเข้ามาใน สถานที่แห่งนี้ หรือจะเป็ นคนบนเส้นทางเดียวกันกับพวกเรา ตั้งใจมา เพื่อโชคด้านความรักที่ภูเขาเหอฮวานแห่งนั้น?”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะเป็ นคนนิสัยเจ้าอารมณ์ ได้ยินก็พูดแค่ค า เดียวว่า “ไสหัวไป”
ปัญญาชนสะอึกอึ้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เด็กหนุ่มสมัยนี้ แต่ละคนความสามารถไม่มาก แต่อารมณ์ร้ายไม่เบา”
คนขายของหัวเราะเสียงดัง ไม่รู ้ว่าตั้งใจจะข่มขวัญให้กลัวหรือมี เจตนาอย่างอื่น “หากไม่ใช่ลูกหลานสกุลจางเขตเทียนเฉา ถ้าอย่าง นั้นเจ้าที่อายุน้อยๆ ก็คงคิดไม่ตกจริงๆ กล้าพูดกับเจ้าจวนป๋ ายพวก เราเช่นนี้ อยากรีบๆ ตายรีบๆ ไปเกิดใหม่หรือ?”
ปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่านรีบโบกมือ “น้องชายอย่าได้กลัว อย่าได้ฟังเจ้าคนขี้โรคผู้นี้พูดจาเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้ ใครเชื่อคน นั้นก็ต้องตาย”
เด็กหนุ่มหยิบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งออกมาจากชายแขน เสื้อ หรี่ตาลง ชูเหรียญทองแดงเหรียญขึ้น มองลอดผ่านช่องบน เหรียญทองแดงเหรียญไปยังปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่าน แล้วก็ ได้เห็นว่าอีกฝ่ ายคือโครงกระดูก พอขยับเหรียญทองแดงเหรียญไป เล็กน้อย ตรวจสอบดูคนขายของ เป็ นคนของโลกคนเป็ น
คนขายของรู ้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง หัวเราะฮ่าๆ “เจ้าจวนป๋ ายเผยพิรุธแล้วล่ะสิ คิดไม่ถึงว่าน้องชายผู้นี้จะ มีวิชาเช่นนี้ติดตัวสินะ?”
ปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่านยิ้มกล่าว “ออกจากบ้านมาอยู่ ข้างนอก ขึ้นเขาลงห้วยใครเล่าจะไม่มีวิชาแมวสามขาติดตัวบ้างเลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้นานหรอก”
คาพูดดีๆ ยากจะโน้มน้าวผีที่รนหาที่ตาย
เด็กหนุ่มที่ยังไม่รู ้ว่าเป็ นใครผู้นี้ หากรู ้สึกว่าคนขายของเป็ นคนดี ก็ไปตายเสียเถอะ
คนขายของยิ้มกล่าว “เจ้าหนุ่ม ในเมื่อมีวิธีการเช่นนี้ก็ไม่ลองดู ของที่ต้มในหม้อว่าเป็ นสิ่งใดดูเล่า แล้วยังมีแม่นางที่กางร่มผู้นั้น หน้าตาของนางงดงามหรือไม่?”
สตรีที่หันหลังให้กับทุกคนบิดด้ามร่ม ร่มกระดาษน้ามันก็พลิก หมุนเบาๆ
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่เอ่ยว่า “พวกเขาไม่มีจิตสังหารต่อข้า มอง อะไร คิดจะท้าทายหรือ?”
คนขายของร ้องเอ๊ะหนึ่งที “คิดไม่ถึงว่าจะรู ้กฏในยุทธภพด้วย เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ต้องไม่ใช่ลูกหลานสกุลจางเขตเทียนเฉาแน่นอน พวกเขาล้วนเป็ นทายาทเซียนที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น”
ปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่านพยักหน้า “ทาเอาข้าตกใจแทบ แย่ เกือบจะนึกว่าเป็ นลูกหลานสกุลจางหรือไม่ก็เซียนซือบนท าเนียบ ของพรรคจินแชวที่กินอิ่มว่างงานเลยมาช่วยผดุงความเป็ นธรรมแทน สวรรค์ที่นี่เสียแล้ว”
บุรุษที่รอให้เครื่องในต้มเปื่อยหัวเราะเบาๆ “กลัวอะไรเล่า สกุล จางเทียนเฉาก็เพิ่งจะหน้าม้านกันไปไม่ใช่หรือ หึ คนเสียใจจ าคน เสียใจ” (ในประโยคนี้คาว่าเสียใจหากแปลตรงตัวจะแปลว่าไส้ขาด)
ปัญญาชนสวมเสื้อคลุมขนห่านถอนหายใจ “เพื่อบีบสกุลจาง เทียนเฉา ทางฝั่งของภูเขาเหอฮวานก็ต้องเสียพลังชีวิตกันไปมาก ข้า มีสหายคนหนึ่งที่ทางานอยู่ในจวนเทพภูเขานึกจะตายก็ตายไปทั้ง อย่างนั้น”
เด็กหนุ่มคนนั้นถาม “ทางฝั่งของภูเขาเหอฮวานมีโชคด้านความ รักอย่างไร?”