กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1015.1 เยาว์วัยมองฟ้ าจากก้นบ่อน้า
เทพภูเขาที่สวมชุดขุนนางสีดาคนหนึ่งบุกมาด้วยพลังอานาจน่า ครั่นคร ้าม แม้ว่าจะเป็ นเทพของศาลเถื่อน แต่กลับจัดขบวนเดินทาง อย่างเอิกเกริก นั่งอยู่บนเกี้ยวแปดคนหามระหว่างที่เดินทางเขาใช ้ หยกหลิงจือสีมรกตด้ามหนึ่งเลิกผ้าม่านเบาๆ มองเห็นแสงกระบี่ที่ เปล่งวูบวาบอยู่ตรงจุดนี้กับตาตัวเองก็ปล่อยม่านลงช ้าๆ สีหน้าของ นายท่านเทพภูเขาท่านนี้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน เป็ นเหมือน อย่างที่กล่าวในรายงานของจวนซานจวินจริงๆเด็กคนนี้เป็ นผู้ฝึ ก กระบี่ห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว สกุลจางแห่ง เขตเทียนเฉาเก็บได้สมบัติไปจริงๆ
ด้านข้างเขายังมีสตรีอีกคนหนึ่งที่สวมหมวกคลุมใบหน้า เรือน กายอรชร สวมชุดสีแดงสดขี่ม้าดอกท้อ (ม้าดอกท้อหรือม้าเถาฮวา คือม้าสีขาวที่มีสีแดงเหมือนสีดอกท้อแซม) หนึ่งคนหนึ่งม้าควบขี่ เคียงคู่ไปกับเกี้ยวสีดาทองหลังนั้น
เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับยันต์พาหนะของเด็กหนุ่มเด็กสาวก่อน หน้านี้ ม้าดอกท้อตัวนี้สามารถทะยานเมฆขี่หมอก คือม้าวิเศษของ แท้แน่นอน
ด้านหลังพวกเขายังมีมัลละตัวสูงสองจั้งติดตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง บ้างก็มีงูฮุยที่มีชีวิตห้อยอยู่เต็มร่าง บ้างก็มีโครงกระดูกขาวร ้อยเป็ น
พวงห้อยคอ มองดูแล้วพวกเขาทั้งไม่ใช่คนในโลกมนุษย์ แล้วก็ไม่ เหมือนพวกคนดี แต่ละคนคิ้วหนาคมดุจเหล็กหมาด แปลกประหลาด จนท าให้คนขนลุกชัน
เทพภูเขาเอ่ยเตือนเสียงเบา “คุณหนูสี่ อีกเดี๋ยวพอไปถึงยอดเขา โพโม่อย่าได้พูดกันไม่เข้าหูค าเดียวก็ตีกับพวกเขาจนท าให้ผู้น้อย ลาบากใจล่ะ หากไม่ทันระวังถ่วงเรื่องใหญ่ของฝู่ จวินเข้า ผู้น้อยตาย ร ้อยรอบก็มิอาจไถ่โทษได้”
สตรีเอ่ยด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา “เซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ คุณสมบัติดีเยี่ยมอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลยนะ ข้าจะกล้าไปหาเรื่องได้ อย่างไร หลี่หยวนไหว้วางใจได้เลย ไปถึงที่นั่นแล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่ พูดไม่จา”
นายท่านเทพภูเขาที่ถูกเปิดโปงสีหน้ามืดทะมึนราวกับสายน้า แต่ ปากกลับหัวเราะร่ากุมหมัดเขย่าอยู่สองสามที “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็ ขอขอบคุณคุณหนูสี่ไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ขบวนเดินทางขบวนนี้หยุดอยู่ห่างจากหน้าผามาหลายสิบจั้ง ทันใดนั้นเมฆสีดาก็กลิ้งหลุนๆ ประหนึ่งพรมที่ปูแผ่อยู่บนฟ้ า เกี้ยว ม้า และผีล้วนยืนอยู่บนนั้น คุมเชิงอยู่กับยอดเขาโพโม่ไกลๆ
สตรีมองผ่านม่านของหมวกคลุมหน้าไปจับจ้องลูกหลานสกุล จางที่รูปโฉมหล่อเหลา รอกระทั่งนางขยับเข้ามามองเซียนกระบี่เด็ก หนุ่มคนนี้ใกล้ๆ ก็ยิ่งรู ้สึกว่าละสายตาไปไม่ได้
หากนางสามารถแต่งงานกับเด็กหนุ่มผู้นี้ก็จะประชันกับพี่ใหญ่ และพี่สามได้แล้วสินะ? พี่ใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึง เดิมทีก็แต่งให้คนที่ ต่ากว่า น่าสงสารนางยิ่งนัก ส่วนพี่สามถือว่าเป็ นการแต่งงานที่ดีครั้ง หนึ่ง หมั้นหมายอยู่กับทายาทสายตรงของสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบใหญ่ ในแคว้นเจี้ยงซาน บอกว่ารับสมัครลูกเขย แต่แท้จริงได้มีการเลือก ลูกเขยที่ถูกใจนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าบิดาของนางชอบความ ครึกครื้นมากที่สุด อีกทั้งคลังสมบัติของภูเขาเหอฮวานทุกวันนี้ก็ขาด แคลนเงิน คราวก่อนถูกสกุลจางเขตเทียนเฉามาหาเรื่องไปรอบหนึ่ง คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก แทบจะไม่มีเงินพอส าหรับเสบียง กองทัพแล้ว บิดาค่อนข้างกริ่งเกรงผู้ฝึกตนเซียนดินที่ทยอยกันได้รับ ต าแหน่ งขุนนางของราชส านักในแต่ละแคว้นพวกนั้นอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉิงเฉียนที่บิดาขาดก็แค่ไม่ได้ทาหุ่นคุณไสยเอา เข็มทิ่มใส่ ช่วงนี้ภูเขาเหอฮวานยังยุ่งอยู่กับการสร ้างค่ายกลใหญ่ พิทักษ์ภูเขา เงินไหลหายไปราวกับสายน้า ขาดเงิน ขาดเงินมากเลย จริงๆ ดังนั้นจึงคิดจะหาส่วนชดเชยมาจากของหมั้นและของขวัญ แสดงความยินดีจากการรับสมัครลูกเขย ว่ากันว่านี่ยังเป็ นเพราะก่อน หน้านี้ไม่นานบิดาได้ข่าวบางอย่างจากรายงานขุนเขาสายน้าฉบับ หนึ่งแล้วเกิดแรงบันดาลใจ มารดายังเป็ นคนที่หลงใหลในนิยาย ประเภทบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญของหมู่ชาวบ้านด้วย อะไรที่บอกว่าโยนลูกกลมปักลาย เล่นทายค าปริศนา เคล้าคลอแนบ ชิดกันเบื้องหน้าบุปผาภายใต้แสงจันทร ์…ล้วนเป็ นสิ่งที่นางชอบทั้งนั้น
เกี้ยวส่ายเล็กน้อย นายท่านเทพภูเขาที่เรือนกายอ้วนฉุยื่นมือ ออกมาเลิกผ้าม่าน ค้อมเอวก้มหัวเดินออกมา พูดด้วยน้าเสียงกังวาน เขาไม่ได้พูดไร ้สาระ แต่เลือกจะพูดเรื่องเป็ นการเป็ นงานก่อน “ข้าน้อยหลี่ถิ่ง เทพภูเขาในศาลใต้การดูแลของภูเขาเหอฮวาน ควบ ต าแหน่งผู้ตรวจตรากองทัพก าลังพลสามพันนายของภูเขาเหอฮวาน นาความที่ใต้เท้าฝู่ จวินสองท่านฝากมาบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย”
เทพภูเขากระแอมสองสามทีให้ลาคอชุ่มชื้น เบี่ยงตัวหันข้าง เล็กน้อย กุมหมัดชูขึ้นสูงเปลี่ยนมาพูดด้วยน้าเสียงทุ้มหนักที่เปี่ยม บารมี “จางอวี่เจี่ยวผู้ฝึกกระบี่แห่งเขตเทียนเฉา จินหลวี่แห่งยอดเขา ฉุยชิงพรรคจินแชว ผู้ที่มาล้วนเป็ นแขก เชิญท่องเที่ยวได้ตามสบาย ต่อให้ไปเดินเที่ยวในเมืองเล็กก็ยังไม่เป็ นไร เพียงแต่พวกเจ้าสองคน จงจาไว้ว่าต้องหยุดเท้าที่ตีนเขา ห้ามเดินขึ้นเขา หาไม่แล้วจะถูกมอง ว่าต้องการท้าทายต่อสองจวนของเหอฮวาน ถึงเวลานั้นข้าผู้เป็ นฝู่ จวินจะไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่ที่มีต่อเฉิงเฉียนที่อยู่ในโลกคนเป็ น อีกแล้ว หากกล้าเดินข้ามเขตเข้ามาแม้แต่ครึ่งก้าว ประหารทันทีไม่มี ละเว้น!”
จางอวี่เจี่ยวกระตุกมุมปาก ไม่ปิดบังสีหน้าเหยียดหยันของตัวเอง แม้แต่น้อย
เรียกตัวเองว่าข้าผู้เป็ นฝู่ จวินคาแล้วคาเล่า ช่างมีบารมียิ่งใหญ่ นัก คิดว่าตัวเองเป็ นฮ่องเต้ในถิ่นฐานที่สกปรกโสมมแห่งนี้จริงๆ หรือ ไร ท าไมไม่เรียกตัวเองว่ากว่าเหริน (ค าเรียกแทนตัวที่ฮ่องเต้
สมัยก่อนเรียกตัวเอง) แล้วลงท้ายประโยคด้วยค าว่าจบราชโองการไป ด้วยเลยเล่า
เทพภูเขาที่เป็ นเหมือนคหบดีผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่นป่ าว ประกาศ “พระราชโองการ” นี้จบก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ ใบหน้าแฝงไว้ ด้วยแววประจบ กุมมือยิ้มกล่าว “คาสั่งของฝู่ จวินมิอาจฝ่ าฝืน หวังว่า เซียนกระบี่จางและแม่นางจินจะไม่เก็บไปใส่ใจ”
ไม่พูดถึงจางอวี่เจี่ยว พูดถึงแค่แม่นางน้อยที่ผิวละเอียดอ่อนเยาว์ อายุไม่มากผู้นั้นล าดับอาวุโสของนางในพรรคจินแชวสูงจนน่าตกใจ เพียงแค่เพราะอาจารย์ของนังหนูผู้นี้คือเฉิงเฉียนที่แม้แต่ฝู่ จวินสอง ท่านบ้านตนก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน ทุกวันนี้เฉิงเฉียนมี สถานะสูงศักดิ์เป็ นถึงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของแคว้นชิงซิ่ง คือเทพ เขียนพสุธาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาเนิ่นนาน เชี่ยวชาญสามวิชาอย่าง น้าไฟและสายฟ้ า ในมือได้ครอบครองยันต์เทพซึ่งเป็ นของตกทอด ของเซียนสมัยโบราณมาจากบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขา อีกทั้งยังถูก เขาเอามาหลอมเป็ นกระพรวนเพลิงทอง ใช ้ขับไล่สิ่งชั่วร ้ายได้ ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ ามือเชี่ยวชาญคาถาน้า สามารถสูบดึงน้าจาก แม่น้าลาธาร มีจูปิงเป็ นผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่หลายร ้อยคน ล้วนเป็ น ยอดฝีมือที่เป็ นกึ่งคนกึ่งวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาอสนีของ เจินเหรินที่พลานุภาพสวรรค์เกรียงไกร ปีศาจและภูตผีชั่วร ้ายล้วนไม่ มีที่ให้หลบเลี่ยง…ฝึ กตนมาได้ห้าร ้อยปี ทิ้งเรื่องราวมหัศจรรย์ไว้
มากมาย สหายบนภูเขามีมาก ศัตรูกลับมากยิ่งกว่า สรุปก็คือ ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก
หลี่ถิ่งใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางจิน หลังจากท่องเที่ยวไป แล้ว กลับไปยังจวนเซียน โปรดทักทายอาจารย์ของท่านแทนข้าน้อย ด้วย”
เด็กสาวพยักหน้ายิ้มกล่าว “จะต้องนาความไปบอกแทน ผู้ตรวจการหลี่แน่นอน”
แม้ว่าเด็กสาวจะออกจากบ้านมาหาประสบการณ์ครั้งแรก แต่ หลักการวางตัวในสังคมตื้นเขินแค่นี้ นางยังเข้าใจอยู่บ้าง
ได้ยินแม่นางน้อยเรียกขานว่า “ผู้ตรวจการ” แทนเทพภูเขา หลี่ ถิ่งก็ยิ้มหน้าบานทันใดรู ้สึกถูกชะตากับผู้ฝึ กตนหญิงของพรรคจิน แชวผู้นี้อยู่หลายส่วน
น าความมาบอกเรียบร ้อยแล้ว เดิมทีหลี่ถิ่งคิดจะกลับแล้ว เพียงแต่ว่าคุณหนูบ้านตนยังจ้องจางอวี่เจี่ยวเป๋ งอยู่อย่างนั้น ในใจหลี่ ถิ่งรู ้สึกจนใจอย่างมาก ผู้ฝึ กกระบี่เด็กหนุ่มที่มาจากสกุลจางเขต เทียนเฉา ต่อให้กองกาลังของภูเขาเหอฮวานจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะลักพาตัวเขากลับไปเป็ นฮูหยินของหมู่บ้านโจรได้ อีก อย่างต่อให้เจ้าโชคดีลักพาตัวจางอวี่เจี้ยวกลับภูเขาได้ จะจัดการชาย บาเรอที่อยู่ในจวนของเจ้าอย่างไร?
หลี่ถิ่งได้แต่ช่วยแนะน าให้รู ้จักกัน “ท่านผู้นี้คือคุณหนูสี่ของ ภูเขาเหอฮวานพวกเรา ใต้เท้าฝู่ จวินทั้งสองท่านชอบนางมากที่สุด อยากได้เดือนอยากได้ดาวก็เต็มใจเด็ดมาให้นาง”
ภูเขาเหอหวานตอนนี้ บุตรสาวคนโตออกเรือนไปแล้ว บุตรชาย คนรองชอบออกเดินทางไกล และครั้งนี้คนที่ป่ าวประกาศรับสมัคร บุตรเขยก็คือคุณหนูสามของภูเขาเหอฮวาน
ฝู่ จวินแซ่จ้าวแซ่อวี๋สองท่านของภูเขาเหอฮวานถือเป็ นยวนยาง ครึ่งทาง ก่อนหน้านั้นต่างคนต่างมีคนรักบนภูเขาและทายาท เป็ นเหตุ ให้บุตรคนที่สามารถเรียกได้ว่าทั้งสองฝ่ ายให้ก าเนิดอย่างแท้จริงก็มี แค่สตรีสวมชุดสีแดงสดที่สวมหมวกคลุมหน้าตรงหน้านี้เท่านั้น หาไม่ แล้วภูเขาเหอฮวานก็ไม่มีทางมอบม้าดอกท้อตัวนั้นให้นางเป็ นพาหนะ หากเปลี่ยนมาเป็ นแคว้นเล็กห่างไกลที่ไม่มีทางมีผู้ฝึกลมปราณห้า ขอบเขตกลางได้ ป่ านนี้มันคงหลอมเรือนกายได้ส าเร็จนานแล้ว สามารถยึดครองภูเขาตั้งตัวเป็ นราชาได้อย่างง่ายดาย
โชคดีที่คุณหนูสี่ไม่ได้ตอแยจางอวี่เจี่ยวไปมากกว่านั้น นางเพียง แค่จ้องมองสตรีเอวบางข้างกายเขาแวบหนึ่งแล้วพ่นเสียงหัวเราะ จากนั้นนางก็ยื่นนิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมสองข้างเลิกมุมหนึ่งของผ้า คลุมหน้า ยืดอกขึ้นคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา พูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายจาง ข้ามีนามว่าเสี่ยวเหมย หากมีโอกาสหวังว่าจะได้พบกัน อีก”
จางอวี่เจี่ยวแสร้งท าเป็ นไม่ได้ยิน
หนึ่งม้าหนึ่งเกี้ยวพาผู้ติดตามกลุ่มใหญ่ไปจากยอดเขาโพโม่ช ้าๆ
จินหลวี่ยิ้มหวานถามว่า “อวี่เจี่ยว ต่อจากนี้พวกเราจะทาอะไรกัน ต่อ?”
จางอวี่เจี่ยวกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูเมืองเล็กตรงตีนเขากันก่อน จะขึ้นเขาหรือไม่ ดูสถานการณ์ของที่นั่นก่อนค่อยตัดสินใจอีกที”
จินหลวี่พยักหน้า ดูจากท่าทางแล้ว ขอแค่จางอวี่เจี่ยวเลือกที่จะ ขึ้นเขา นางก็จะตามเขาบุกผ่านประตูภูเขาเข้าไปอย่างไม่ลังเลด้วย
เจ้าจวนป๋ ายที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตั้งแต่ต้นจนจบรู ้สึกปลงอนิจจัง เป็ นอย่างยิ่ง ความกล้าหาญของเซียนซื่อทาเนียบเหล่านี้ไม่ เหมือนกับผีเร่ร่อนอย่างพวกเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ไม่กลัว ฟ้ าไม่เกรงดิน พูดถึงแค่เด็กสาวแห่งยอดเขาฉุยชิงผู้นี้ที่ทั้งเกิดมาใน ครรภ์ที่ดีแล้วก็กราบอาจารย์ที่ดี ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอก ข้างกายไม่ใช่ผู้ติดตามจูปิงที่ทางสานักมอบให้ก็เป็ นเซียนกระบี่เด็ก หนุ่มที่มาจากจวนเซียนชั้นสูงที่เดินทางมาเป็ นเพื่อนกัน
จางอวี่เจี่ยวมองไปยัง “ชาวบ้าน” ในพื้นที่แล้วถามว่า “ขอถาม ทุกท่านหน่อยว่า การรับสมัครบุตรเขยมาแต่งงานกับบุตรสาวของ ภูเขาเหอฮวานจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เวลาที่แน่ชัดคือ?”
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ยกสองแขนกอดอก
เจ้าจวนป๋ ายแสร ้งทาเป็ นหูหนวก กลัวว่าหากพูดผิดไปคาหนึ่งจะ มีจุดจบที่ต้องถูก “ฆ่าได้”
มีเพียงผีสาวไร ้หัวกางร่มเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หวาดกลัว เซียนกระบี่เด็กหนุ่มสักเท่าไร นางหยิบใบหลิวสีเขียวปลั่งราวกับจะ คั้นน้าได้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เมื่อใบหลิวหมุนคว้างก็มี เสียงใสกังวานของสตรีดังลอยมา “เรียนเซียนกระบี่ อีกประมาณสอง ชั่วยามครึ่ง”
จางอวี่เจี่ยวพยักหน้ารับ พูดกับเด็กสาวที่อยู่ข้างกายว่า “ถ้า อย่างนั้นก็เดินเท้าไปที่ภูเขาเหอฮวานกัน”
ยามเด็กสาวอยู่กับเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดง่ายไป หมด นางแค่พยักหน้ารับอย่างเดียวเท่านั้น
จางอวี่เจี่ยวมองมายังผีสาว “หากแม่นางยินดีก็สามารถเดินทาง ไปกับพวกเราได้เงื่อนไขก็คือไม่กลัวว่าจะถูกภูเขาเหอฮวานเข้าใจ ผิด หลังจบเรื่องถูกอีกฝ่ายคอยหาเรื่องเล่นงาน”
นางแบกร่มกระดาษน้ามัน เบี่ยงตัวยอบกายคารวะ
จางอวี่เจี่ยวกับจินหลวี่พา “แม่ทัพเทพจูปิง” ที่มีเฉพาะในพรรค จินแชวผู้นั้นลงภูเขาจากไป
ผีสาวกางร่มเดินจากไปอย่างเนิบช ้า ทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไม่ ไกลและไม่ใกล้
ยอดเขาโพโม่แห่งนี้จึงเหลือแค่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กับเจ้าจวน ป้ ายที่จ้องตากันอยู่
“เจ้าจวนป๋ ายไม่รีบเดินทางหรือ?”
“ไม่รีบร ้อน ห่างจากพิธีรับสมัครลูกเขยอีกตั้งสองชั่วยาม เจ้าล่ะ จะอยู่ทาอะไรที่นี่?”
“ชมจันทร์ต่อ”
คนทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ยังเป็ นป๋ ายเหมาที่เปิด ปากเอ่ยก่อนว่า “พ่อค้าหาบเร่และคนกินไส้ผู้นั้น พวกเขาต่างก็เป็ นผี ยากจน คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระที่ฆ่าคนชิงทรัพย์ อีกคนหนึ่งคือภูต ที่เพิ่งหลอมเรือนกายได้สาเร็จ พอจะมีทรัพย์สมบัติหากกินได้ก็จะกิน ทันทีเหมือนอย่างเงินเกล็ดหิมะที่ข้าโยนไปให้ก่อนหน้านี้ ล้วนเอาไว้ ใช ้เพิ่มพูนตบะและชดเชยปราณวิญญาณ หวังเพียงว่าจะได้ผลทัน ตา ของนอกกายสะสมมากเข้ากลับจะกลายเป็ นเคราะห์ร้าย ไม่มี ภูเขาหรือที่พึ่งก็ง่ายที่จะชักนาหายนะถึงตายมาสู่ตัว เป็ นการตัดชุด แต่งงานให้คนอื่น แบบนั้นก็ไม่คุ้มค่าแล้ว ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเซียน กระบี่สังหารแล้วสังหารอีก ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็หายไปสิ้นแล้ว ไม่ เหลือแม้แต่ซาก หม้อน้ามันใบนั้นเดิมทีเป็ นสมบัติวิเศษที่ค่อนข้างชั่ว ร ้ายซึ่งพอจะมีค่าอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ถูกทาลายไปพร ้อมกับหาบเร่ แล้ว ก็เหลือแค่กระดาษเงินที่อยู่บนพื้นพวกนั้น…”
เด็กหนุ่มกล่าว “พูดเหลวไหลอะไร ใครที่เห็นล้วนมีส่วนแบ่ง แบ่ง กันคนละครึ่ง”
เจ้าจวนป๋ ายมั่นใจได้แล้ว “น้องเฉินเป็ นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ตกลงตามนี้!”
เพียงแต่ว่าผีที่แต่งตั้งยศ “เจ้าจวน” ให้ตัวเองผู้นี้กลับรู ้สึกกังขา ขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มผู้นี้ตอบตกลงรวดเร็วถึงเพียงนี้คงจะไม่ใช่พวกผู้ ฝึกตนอิสระที่อาพรางตัวตนอย่างลึกล้าหรอกกระมัง?
คือพวกคนดุร ้ายที่เชี่ยวชาญเรื่องการแย่งผลประโยชน์กันเอง?
ดังนั้นป๋ ายเหมาจึงทิ้งระยะห่างกับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ ยิ้มถาม ว่า “จอมยุทธน้อยอายุน้อยแค่นี้ก็มีศักยภาพเท่าเทียมกับขอบเขต หลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธแล้ว หากไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ หาไม่ แล้วจะมีผลส าเร็จด้านการเรียนวรยุทธที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้อย่างไร คิดดูแล้วน่าจะเป็ นลูกหลานชนชั้นสูงที่ออกมาหาประสบการณ์ข้าง นอกสินะ? จอมยุทธน้อยไม่พาผู้ติดตามหรือองค์รักษ์มาด้วยหรือ?”
ผู้ฝึกลมปราณยังมีผู้ฝึกตนอิสระและเซียนอิสระ แต่ในกลุ่มของผู้ ฝึกยุทธ ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธทุกท่านล้วนมีประวัติความเป็ นมากัน แทบทุกคน มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาที่แน่ชัด นี่คือความรู ้ที่บนภูเขา เห็นพ้องต้องกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสงครามใหญ่ที่แผ่นดินครึ่งทวีปจม ดิ่งปิดฉากลง ชนชั้นสูงทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่เผชิญกับ ความยากลาบากกันมาอย่างเต็มกลืนยิ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจบ่มเพาะ นักฆ่าและนักรบพลีชีพให้กับทางตระกูลเพิ่มมากขึ้น กว้านหาและ
คัดเลือกเด็กๆ ที่มีฐานกระดูกดี ให้ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่เป็ นผู้ถวาย งานในตระกูลมาถ่ายทอดวิชาหมัดให้ตั้งแต่เด็กๆ โดยไม่เสียดาย ต้นทุน วันหนึ่งกินอาหารที่เป็ นยาสามมื้อ ทุกวันจะต้องแช่ตัวในถังยา เพื่อขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก ต่อให้เป็ นการดึงหญ้าช่วยให้เติบโต ก็ยังยินดีจะใช ้วิธีที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงอย่างไรก็ต้องเลื่อนสาม ขอบเขตของหลอมเรือนกายให้เป็ นขอบเขตหลอมลมปราณได้ โดยเร็ว หวังเพียงว่าอายุยี่สิบสามสิบปีก็สามารถรับภาระด้านหนึ่งแต่ ผู้เดียวได้ หากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่จงใจร่ายเวทอา พรางตาแสร ้งเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถ้าอย่างนั้นอายุและขอบเขตของ อีกฝ่ายก็สอดคล้องตรงกันแล้ว
เมื่อนึกถึงการ “พูดน้าไหลไฟดับ” ของเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ ป๋ าย เหมาก็คิดว่าการคาดเดานี้ของตนน่าจะเป็ นความจริงแล้ว
ถึงอย่างไรขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึ กตนอิสระที่อารมณ์แปรปรวนก็พอ ตอนมีชีวิตอยู่ป๋ ายเหมาเคยเป็ นขุนนาง รู ้ดีว่าอีกฝ่ ายรับมือได้ยากถึง เพียงใด