กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1015.2 เยาว์วัยมองฟ้ าจากก้นบ่อน้า
“จอมยุทธน้อยอะไรกัน เพิ่งจะลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้ แค่ไม่กี่วัน ยังไม่ได้สร ้างเรื่องดีๆ ที่วีรบุรุษเขาทากันเลย”
เด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าสานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หากไม่เรียกชื่อ ข้าตรงๆ ก็เรียกข้าว่าคุณชายเฉิน”
ป๋ ายเหมานินทาในใจไม่หยุด เป็ นเพราะก่อนหน้านี้คุณหนูสี่แห่ง ภูเขาเหอฮวานเรียกจางอวี่เจี่ยวว่าคุณชายจาง เจ้าก็เลยอิจฉางั้น หรือ?
เดินไปที่ริมหน้าผาด้วยกัน บนพื้นมีกระดาษเงินและกระดาษที่ พับเป็ นรูปบ้าน รถ คนงาม ฯลฯ ของพ่อค้าหาบเร่กระจายอยู่เต็มพื้น ส่วนทองหยวนเป่าและเงินก้อนมีส่วนที่ไม่เหมือนกับกระดาษเงินที่ร ้าน ขายของงานอวมงคลขายกันก็ตรงที่ถูกพ่อค้าหาบเร่ใช ้ชาดเขียนชื่อ รัชสมัยของแคว้นลงไป
ไม่เหมือนกับผู้ฝึ กลมปราณที่จะเลือกเงินเหรียญทองแดง บางส่วนมาท าเป็ น “สมบัติอาคม” ซึ่งการเลือกเหรียญทองแดง จาเป็ นต้องหาชื่อรัชสมัยของราชวงศ์ที่กองกาลังแคว้นรุ่งโรจน์ มี ความหมายงดงาม ว่ากันว่าหากทาเช่นนี้จะทาให้ปราณหยางเข้มข้น ยิ่งเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งผ่านมือคนมากเท่าไร ปราณหยาง ที่ถูกสัมผัสมาก็จะมากขึ้นเท่านั้น หันกลับมามองด้านล่างของ
กระดาษเงินพวกนี้ ส่วนใหญ่กลับเป็ นชื่อรัชสมัยของแคว้นที่มีกอง กาลังอ่อนแออย่างถึงที่สุด เป็ นเหตุให้ถูกสร ้างขึ้นในตอนที่จักรพรรดิ แคว้นล่มสลายขึ้นครองราชย์ กลิ่นอายหยินจะเข้มข้นมากกว่า ซึ่ง พ่อค้าหาบเร่ไปเก็บเอามาจาก “กระดาษแขวน” ของสุสาน หรือไม่ก็ ตอนที่มีคนเผากระดาษอยู่หน้าหลุมศพ พ่อค้าหาบเร่ก็จะใช ้เวทอ า พรางตาบางอย่าง มองดูเหมือนเผาเสร็จหมดแล้ว แต่แท้จริงแล้วกลับ ถูกพ่อค้าแย่งชิงไปกลางทาง
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่แซ่เฉินกับเจ้าจวนป๋ ายที่ตรงเอวห้อยตรา ขุนนางตราทหารแยกกันเก็บกระดาษเงิน เป็ นน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้า คลอง
ป๋ ายเหมาจงใจเลือกกระดาษที่พับเป็ นรูปรถม้า หอเรือนและสาว ใช ้ที่งามประณีติรวมๆ แล้วน่าจะได้สักหนึ่งร ้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
เห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่นั่งยองอยู่บนพื้น หยิบตะบันไฟออกมา จากชายแขนเสื้อเผากระดาษเงินกองใหญ่ที่เพิ่งจะได้มาอยู่ในมือทิ้ง ทั้งหมด
เจ้าจวนป๋ ายมึนงง อดไม่ไหวถามว่า “น้องชาย นี่เจ้ากาลังทา อะไร?”
กระดาษเงินพวกนี้ หากเจอกับคนมีเงินในหมู่ชาวบ้านที่ดูของ ออก บางทีอาจขายได้เงินจริงๆ มาไม่น้อย หักลบกันแล้ว ไม่ว่า อย่างไรก็น่าจะขายได้สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
เด็กหนุ่มกล่าว “ค าโบราณกล่าวไว้ว่าทรัพย์สินเงินทองเหมือน น้าไหลผ่าน ล้วนเป็ นของที่ผ่านมือไปแล้วก็ไม่อาจรั้งไว้ได้อีก พูดถึง แค่กระดาษเงินพวกนี้ เดิมทีก็ควรเผาให้คนตาย หากเผาไปตั้งแต่ปี นั้น เมื่อไปถึงปรโลกก็ขาดน้าหนักไปแล้ว ตอนนี้มาเผาทิ้ง คนที่อยู่ ด้านล่างก็จะเท่ากับว่ามีทรัพย์สินที่เดิมทีควรเป็ นของพวกเขาเพิ่มมา ก้อนหนึ่ง”
เจ้าจวนป๋ ายอึ้งงันพูดไม่ออก เงียบไปนานก่อนจะโพล่งประโยค ว่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะมีเมตตา”
เด็กหนุ่มแก้ไขให้ถูกต้อง “อย่างข้านี้เรียกว่ายอดฝี มือมีความ กล้าหาญ ไม่กลัวว่าต้องเดินทางตอนกลางคืน เงินที่ได้มาโดยไม่ ชอบน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็ นอะไรได้ จิ๊บจ๊อย”
เขาลุกขึ้นยืน ถามว่า “ลงจากเขาไปด้วยกันไหม?”
ป๋ ายเหมาพยักหน้า
มักจะรู ้สึกว่าเจ้าคนมุทะลุที่ไม่รู ้ว่าโผล่มาจากมุมไหนผู้นี้ แม้จะโง่ ไปสักหน่อย แต่กลับโชคไม่เลวเลยจริงๆ ถึงได้ข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ มาได้
เด็กหนุ่มพลันเอ่ยว่า “ดูเหมือนข้าจะติดเงินเกล็ดหิมะเจ้าสอง เหรียญ”
ป๋ ายเหมาสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “ล้วนนับรวมอยู่ในนี้แล้ว”
ผลคือเด็กหนุ่มชาเลืองตามองเครื่องประดับบนร่างของเจ้า จวนป๋ าย เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็ นขุนนางเมล็ดงา ไม่เคยเป็ นขุนนางใหญ่สินะ”
ป๋ ายเหมายิ้มฝืดเฝื่อน แต่ก็ไม่ได้เถียง พวกเขาเดินไปทางเกี่ยวคันนั้นด้วยกัน ยังมีคนแบกหามสี่คนที่ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
เด็กหนุ่มหัวเราะร่วน “ต่างก็บอกว่าของเปรียบของต้องโยนทิ้ง คนเปรียบคนชวนให้คนโมโหตาย เมื่อก่อนไม่รู ้สึกอะไร วันนี้ในที่สุด ก็เข้าใจถึงความยอดเยี่ยมของคาโบราณประโยคนี้แล้ว ลองดูเซียน กระบี่จางแห่งเขตเทียนเฉานั่นสิ แล้วลองมองเกี้ยวแปดคนหามของ นายท่านเทพภูเขา สุดท้ายมามองเจ้า ข้ารู ้สึกปวดใจแทนเจ้าแล้ว ด้วยซ้า คนเขาออกจากบ้านมีเงินหมื่นก้วนร ้อยเอว สวมทองใส่หยก พี่ใหญ่ป๋ ายเจ้ากลับดีนัก ตรงเอวมีเงินสิบเหวินก็สะบัดเสื้อดังได้แล้ว แล้วยังเป็ นเจ้าจวนด้วยนะ ทาไมเจ้าไม่ตั้งประตูจวนไว้เป็ นประตูภูเขา อยู่ตรงตีนเขาของภูเขาเหอฮวานไปเลยเล่า?”
ป๋ ายเหมายิ้มกระอักกระอ่วน ยื่นมือมาทามุทรา ปากท่องพึมพา เสกเกี้ยวและคนแบกหามให้กลายเป็ นกระดาษที่ถูกพับหลายแผ่น แล้วจึงยื่นมือไปคว้า กระดาษขาวลอยเข้ามาในชายแขนเสื้อ
แต่งกายเช่นนี้ออกจากบ้าน เป็ นเพราะซื้อมาจากคนหาบเร่ผู้นั้น เมื่อนานมาแล้ว ใช ้เงินเกล็ดหิมะของเจ้าจวนป๋ ายไปหลายเหรียญ
ส่วนเด็กหนุ่มบุ่มบ่ามไม่รู ้ประสาผู้นี้ แม้จะพูดจาไม่น่าฟัง แต่ตัว คนกลับไม่เลว
เพียงแต่ยิ่งคิดเจ้าจวนป๋ ายก็ยิ่งโมโห คาพูดของเขาไม่ใช่แค่ไม่ น่าฟังธรรมดาเท่านั้นน่ะสิ ดูเหมือนจะแทงใจด าอยู่ตลอดเลยด้วย
เขามาจากไหนกันแน่นะ ตระกูลใหญ่นอกจากจะถ่ายทอดวร ยุทธแล้วยังสอนวิชาด่าคนด้วยหรือ?
เด็กหนุ่มถาม “แม่นางถือร่มหน้าตาดีที่มองดูแล้วน่าจะเป็ น คุณหนูใหญ่ที่รู ้หนังสือรู ้ธรรมเนียมข้างหน้านั้น เจ้าจวนป๋ ายรู ้หรือไม่ ว่านางมีความเป็ นมาอย่างไร?”
ป๋ ายเหมามองร่มกระดาษน้ามันและรองเท้าปักลายบุปผาที่อยู่ ตรงหน้า เพียงแต่ว่าเจ้าหนูเจ้าใช้ตาข้างไหนมองถึงมองออกว่าผีสาว ไร้หัว “หน้าตาดี” กันนะ?
ตอนนี้เจ้าจวนป๋ ายยังไม่รู้ว่าบุญกุศลจากการเผากระดาษเงิน ของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วล้วนถูกบันทึกลงใน นามของเขาป๋ ายเหมาทั้งหมด
ป๋ ายเหมาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเลือกพูดเรื่องบางอย่างที่ไม่ผิด ต่อกฎ “รู้แค่ว่านางแซ่หลิ่ว แน่นอนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเชื้อ พระวงศ์สกุลหลิ่วของแคว้นชิงซิ่ง ต่างก็พูดกันว่านางตายเพื่อบูชารัก ให้แก่บัณฑิตคนหนึ่ง ถูกเพชรฆาตตัดหัวต่อหน้าชาวบ้านมากมาย
ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยถูกรับเข้าท าเนียบตระกูล ตายไปแล้วแน่นอนว่า ไม่ถูกฝังอยู่ในสุสานของบรรพบุรุษ เป็ นคนน่าสงสารคนหนึ่ง”
“ม้าที่อยู่ใต้กันของคุณหนูสี่ใช่ม้าจริงไหม?”
“จริงแท้แน่นอน ภูตในภูเขาที่สามารถทะยานลมได้ประเภทนี้ ตบะและขอบเขตจะสูงแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็ น ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่หลอมเรือนกายได้นานแล้วและบรรลุมรรคาได้ แล้ว จะไม่ใช่ขอบเขตถ้าสถิตเลยหรือ? แล้วก็มีแต่คุณหนูของฝู่ จวิน จ้าวอวี่สองคนของภูเขาเหอฮวานเท่านั้นที่ถึงจะเอามันมาเป็ นพาหนะ ได้ คุณหนูใหญ่ คุณชายรองและยังมีคุณหนูสามที่ออกเรือนในคืนนี้ ดูเหมือนว่าต่างก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้”
ป๋ ายเหมานึกถึงสถานการณ์อันตรายก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึง ถามว่า “เจ้ายากจนขนาดที่แม้แต่กระบี่เหล็กสักเล่มก็ซื้อไม่ไหวหรือ? ได้แต่แสร ้งเอาด้ามกระบี่มาติดไว้ เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“มีเงินหรือไม่มีเงิน เกี่ยวผายลมอะไรกับเจ้าด้วย”
“แค่ฟันต้นท้อสักต้นเอามาทาเป็ นกระบี่ไม้ท้อก็ได้แล้วไม่ใช่ หรือ?”
“ประสบการณ์ในยุทธภพของเจ้าตื้นเขิน อย่างข้านี้เรียกว่าแสร ้ง ท าเป็ นอ่อนแอให้ศัตรูดู”
“…”
ป๋ ายเหมาที่เงียบไปพักใหญ่ผงกปลายคางไปทางเงาร่างของคน ทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้า “พูดจริงๆ นะ เจ้าเองก็ถือว่าโชคดีและชะตา แข็งมากถึงมาเจอกับพวกเขาได้ หากว่าช ้ากว่านี้สักครู่เดียว ผลลัพธ ์ ที่ตามมาจะเลวร ้ายเกินกว่าจะคาดเดา พ่อค้าหาบเร่กับเจ้าคนที่ชอบ กินไส้ผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรเลย ขอบเขตไม่ต่า พวกเขาสองคนร่วมมือ กัน ต่อให้อยู่ในอาณาเขตแถบนี้ก็ยังมีชื่อเสียงดุร ้ายเลื่องลือ”
“ก็ยังถูกเด็กหนุ่มที่ขนยังขึ้นไม่ครบฆ่าทิ้งอยู่ดีไม่ใช่หรอกหรือ”
ป๋ ายเหมาเอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุน “เซียนกระบี่ คุณชายจางที่มา จากเขตเทียนเฉาผู้นั้นคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ถูกเรียกขาน ว่าเซียนกระบี่ คือผู้มีพรสวรรค์ในบรรดาวัตถุดิบแห่งเซียน! เจ้ารู้ หรือไม่ว่าอะไรคือเซียนกระบี่? ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าแบ่งออกเป็ น แค่สองประเภทเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณที่นอกเหนือจากผู้ ฝึกกระบี่!”
เด็กหนุ่มรองเท้าสานกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่ จะ ไม่รู ้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เจ้าโง่หรือ?”
ป๋ ายเหมาโมโหจนควันผุดเกือบจากทวารทั้งเจ็ด
เด็กหนุ่มยกสองแขนกอดอก ถามว่า “ในเมื่อสุกลจางเขตเทียน เฉาร ้ายกาจขนาดนี้ท าไมไม่จัดการภูเขาเหอฮวานให้ราบคาบ คืน พื้นที่ที่สะอาดสว่างไสวให้กับฟ้ าดินไปเลยเล่านี่ก็ถือเป็ นคุณ ความชอบครั้งใหญ่เหมือนกัน”
ป๋ ายเหมาหลุดหัวเราะพรืด “ในเมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในยุทธภพ โชกโชน ยังจะถามคาถามปัญญาอ่อนแบบนี้ทาไม?”
เด็กหนุ่มกล่าว “ไม่ละอายที่ต้องลดเกียรติลงไปไต่ถามผู้ที่มีฐานะ ต่ากว่า”
ป๋ ายเหมานวดคลึงหว่างคิ้ว ลังเลว่าควรจะสลัดเจ้าตะพาบน้อยผู้ นี้ทิ้ง ติดตามผีสาวถือร่มแช่หลิ่วไปแทนดีหรือไม่
เด็กหนุ่มหยิบห่อกระดาษน้ามันห่อหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พอเปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อหมักเต้าเจี้ยวก็ลอยอบอวล หากไม่ใช่ ร้านเก่าแก่ไม่มีทางมีฝี มือเช่นนี้ได้ เขาแบฝ่ ามือ ยื่นส่งไปให้เจ้า จวนป๋ ายที่อยู่ข้างกาย
“น้าใจรับไว้แล้ว”
ป๋ ายเหมาหัวเราะ ยื่นมือมาผลักกลับไป “เพียงแต่คนและผีเดิน กันคนละเส้นทาง ตอนนี้ข้ายังไม่อาจกินเจ้านี่ได้”
รอกระทั่งเลื่อนเป็ นขอบเขตถ้าสถิต กลายเป็ นราชาผีของพื้นที่ หนึ่งที่มีตบะห้าขอบเขตกลางแล้ว คิดดูแล้วก็น่าจะมีความรู้สึกอยาก อาหารกลับคืนมา
แต่ก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น เป็ นคนก็มีครั้งแรก เป็ นผีก็ยิ่งไม่ใช่แบบเดียวกันหรอกหรือ?
จางอวี่เจี่ยวและจินหลวี่ที่เดินนาอยู่ด้านหน้าสุด อันที่จริงต่างก็ได้ ยินบทสนทนาระหว่างเด็กหนุ่มรองเท้าสานและผีที่อยู่ด้านหลังสุด อย่างชัดเจน ลาพังแค่ตบะขอบเขตสี่ของนางย่อมท าไม่ได้ เพียงแต่ ว่านางมียันต์มหัศจรรย์แผ่นหนึ่งที่อาจารย์มอบให้ พอเรียกออก มาแล้วจะถูกอ าพรางไว้เป็ นอย่างดี สามารถท าให้นางได้ยินเสียงแผ่ว เบาในรัศมีหนึ่งลี้อย่างชัดเจน
จางอวี่เจี่ยวใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เด็กหนุ่มที่ไม่รู ้ความเป็ นมาผู้นี้ คือผู้ฝึกยุทธ อาจขอบเขตสามไม่ก็ขอบเขตสี่ หากดูจากอายุของเขา ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว อีกทั้งอันที่จริงเขายังเป็ นอาจารย์ค่ายกลอย่าง ครึ่งๆ กลางๆ ด้วย แม้จะไม่ใช่อาจารย์ค่ายกลบนภูเขาอย่างจริงจัง แต่ ก็พอจะเป็ นวิชาจัดวางค่ายกลฉีเหมินที่ไม่ต้องใช ้ปราณวิญญาณอยู่ บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนยอดเขาโพโม่ เจ้าอาจจะไม่ทัน สังเกตเห็น กิ่งไม้ที่อยู่บนพื้นมีการจัดวางต าแหน่งอย่างพิถีพิถัน หาก เจ้าเจอกับเขาเพียงล าพังแล้วไม่ทันระวัง ปล่อยให้เขาแอบชิงความ ได้เปรียบไปก่อน อีกทั้งหากเขาออกหมัดประชิดตัว เจ้าอาจจะต้อง เสียเปรียบครั้งใหญ่”
จินหลวี่กล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าหมอนี่คงไม่ใช่ยอดฝี มือนอก โลกที่มีศาสตร ์คงความเยาว์หรอกนะ?”
จางอวี่เจี่ยวส่ายหน้า “ต้องไม่ใช่แน่ ในร่างกายของเขาไม่มี ปราณวิญญาณไหลเวียนคือผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวคนหนึ่งอย่างไม่ต้อง
สงสัยแล้ว ดูจากท่าทางและการพูดจา เกินครึ่งน่าจะมีชาติก าเนิด พอๆ กับข้า”
ล้วนถูกตระกูลใหญ่หมายตาและตั้งใจอบรมปลูกฝัง
จินหลวี่ยิ้มเอ่ย “เขาจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”
จางอวี่เจี่ยวพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “แค่บอกว่าชาติก าเนิด คล้ายคลึงกัน ไม่ได้พูดถึงชะตากรรมในภายหลังและตบะขอบเขตเสีย หน่อย”
จินหลวี่พลันพูดด้วยน้าเสียงขุ่นเคือง “ภูเขาเหอฮวานแห่งนี้ช่าง ขวัญกล้าเทียมฟ้ าจริงๆ วางอานาจบาตรใหญ่ คิดว่าไม่มีคนที่ สามารถจัดการกับพวกเขาได้จริงๆ หรือ? คอยดูเถอะ สักวันหนึ่ง จะต้องถูกอาจารย์ยกพลมากวาดล้างจนราบคาบแน่!”
จางอวี่เจี่ยวเพียงยิ้มรับ
ผู้ฝึ กตนทาเนียบที่ชาติกาเนิดดีเยี่ยมพวกนี้ ดูเหมือนมักจะไร ้ เดียงสาและไม่รู ้ความเช่นนี้เสมอ
หลายปีมานี้ภูเขาเหอฮวานสามารถตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ไม่ล้มลง รากฐานแน่นหนาลึกล้า นอกจากกาลังการต่อสู้ที่จงใจแสดงออกมา ภายนอกแล้วก็ยังมีท่าไม้ตายบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้ รวมไปถึง ความสัมพันธ ์ระหว่างสี่แคว้นที่พัวพันกันอย่างลึกล้าซึ่งรวมถึงแคว้น ชิงซิ่งเป็ นหนึ่งในนั้นด้วย ดังนั้นคราวก่อนที่พวกเขาสามารถ ต้านทานโจมตีผู้ฝึ กลมปราณเกือบสามสิบคนที่สกุลจางเขตเทียน
เฉาส่งตัวมาไว้ได้อย่างง่ายดาย ถึงขั้นที่ว่ายังไม่ทันเดินไปถึงเมืองเล็ก ตรงตีนเขาของภูเขาเหอฮวานพวกเขาก็สูญเสียพลังต้นก าเนิดกันไป อย่างมหาศาลแล้ว ระยะทางภูเขาสายน้าหกร ้อยลี้ การลอบโจมตีสอง ครั้ง ครั้งหนึ่งคือการเปิดฉากเข่นฆ่ากันอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าสกุล จางเสียหายอย่างหนัก โชคดีที่นอกจากผู้ฝึ กตนสองคนจะรบตาย แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็แค่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าวัตถุวิเศษก็พังยับเยิน ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช ้ในการโจมตีและ ป้ องกันของผู้ฝึกตนสิบกว่าคนที่ต่างก็เสียหายในระดับที่ไม่เท่าเทียม กัน ล าพังแค่ค่าชดเชยในการซ่อมแซมและหล่อหลอมหลังการต่อสู้ สกุลจางที่เปิดการประชุมศาลบรรพจารย์ในภายหลังลองคานวณ คร่าวๆ ก็เป็ นเงินมากถึงเจ็ดสิบสองเหรียญเงินฝนธัญพืช! และความ จริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสกุลจางเทียนเฉายังคงดูแคลนภูเขาเหอฮ วานที่เดิมทีพวกเขานึกว่าเป็ นพวกหัวมังกุฎท้ายมังกรและทหาร แตกทัพไร ้สังกัดเกินไป
ต้องรู ้ว่าล าพังแค่เซียนซือสกุลจางที่เป็ นผู้ฝึ กลมปราณซึ่งเข้า ร่วมการล้อมปราบผู้ฝึกลมปราณภูเขาเหอฮวานครั้งนี้ก็มีถึงหกคน แล้ว ผู้อาวุโสสองคนในนั้นยังเป็ นผู้ถวายงานและเค่อชิงที่ทางตระกูล ให้ความสาคัญอย่างยิ่ง ล้วนเป็ นเขียนดินโอสถทอง คนหนึ่งยังเป็ น เจินเหรินสายยันต์ที่มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว มีวิชาอภินิหารที่สาด ถั่วให้กลายเป็ นทหาร ผลคือในการประมือสามครั้งกับภูเขาเหอฮวาน
เทพเซียนผู้เฒ่าต้องใช ้ยันต์ระดับขั้นที่แตกต่างกันหมดไปเกือบสาม ร ้อยแผ่น
โชคดีที่สกุลจางเขตเทียนเฉามีผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่างทองคน หนึ่งคอยบัญชาการณ์สนามรบ หาไม่แล้วคิดจะได้ผลลัพธ ์ที่พอจะถือ ว่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัยก็ยังเป็ นเรื่องยาก
เมื่อครู่หลี่ถิ่งที่มีฉายาว่าหลี่หยวนไหว้ ตอนมีชีวิตอยู่คือพ่อค้า คหบดีที่มีชื่อเสียงร่ารวย หลังจากตายไปก็ไม่รู ้ว่ากลายมาเป็ นเทพ ภูเขาของหนึ่งในสองศาลเถื่อนของภูเขาเหอฮวานได้อย่างไร ในเมื่อ เป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเถื่อน ทุกวันนี้ย่อมไม่มีระดับขั้นท าเนียบใน วงการขุนนางให้กล่าวถึง
หากอยู่ทางเหนือของลาน้าใหญ่ เทพภูเขาที่ไม่เข้าขั้นอย่างหลี่ ถิ่ง ไหนเลยจะกล้ายืดภูเขาสร ้างศาล รนหาที่ตายหรือ? ราชส านักต้า หลีเคยตั้งป้ ายศิลาไว้บนกลุ่มยอดเขาในทวีปเป็ นเรื่องเล่นๆ เสียที่ ไหน?
ปีนั้นในอาณาเขตของหนึ่งทวีป มีศาลเถื่อนของแคว้นเล็กใต้ อาณัติกี่มากน้อยที่ถูกราชสานักต้าหลีสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด? ไม่ใช่ แค่หลายสิบแห่งหรือหลายร ้อยแห่งเท่านั้น แต่มากเกินพัน ถึงขั้นที่มี คนบอกว่าสองพัน แล้วก็มีคนบอกว่าสามพัน
ปัญหาคือทางทิศใต้ของล้าน้าใหญ่ทุกวันนี้ต่างก็ไม่อยู่ในการ ปกครองของราชส านัก