กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1015.4 เยาว์วัยมองฟ้ าจากก้นบ่อน้า
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กล่าว “ต่างก็พูดกันว่าต้นไม้ย้ายที่ตาย คน ย้ายที่รอด หากแม่นางหลิ่วมีความตั้งใจเช่นนี้ก็สามารถไปเสี่ยงดวงที่ พรรคห้าเกาะได้จริงๆ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าวันใดอาจถูก กองทัพของราชส านักต้าหลีร่วมมือกับเซียนซือบนภูเขามากวาดล้าง ก็ได้”
ป๋ ายเหมากระแอมหนึ่งที “อย่าพูดจาอัปมงคล”
แต่นางกลับไม่ถือสา “เป็ นผียังต้องกลัวความอัปมงคลอะไรอีก เล่า”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาท่ามุทราคานวณอยู่ในใจ พยักหน้าพึมพา กับตัวเอง “แม่นางหลิ่ว ข้าลองทานายจากแซ่หลิ่วของเจ้าแล้ว ไปที่ พรรคห้าเกาะสามารถท าได้!”
ผีสาวไร ้หัวยกมือขึ้นทาท่าปิดปากหัวเราะคิก “คุณชายเฉิน ข้า ไม่ได้แซ่หลิ่ว แซ่หลิ่ว กับเรื่องการตายเพื่อบูชารักล้วนเป็ นโลก ภายนอกที่เล่าลือกันไปเอง”
ป๋ ายเหมากลั้นขา
เด็กหนุ่มหดมือกลับมาช ้าๆ กินเนื้อหมักเต้าเจี้ยวต่อ กินชิ้น สุดท้ายหมดแล้วก็ขย ากระดาษน้ามันเป็ นก้อนยัดใส่ชายแขนเสื้อ ปัด
มือ ทาเพียงว่าบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่นี้ปลิวหายตามลมไป แล้ว ถามว่า “เจ้าจวนป๋ าย แม่นาง…หลิ่ว พาหนะจากกระดาษยันต์ ก่อนหน้านี้ มองดูแล้วทั้งแปลกใหม่ทั้งใช ้ได้จริง ซื้อมาจากไหนหรือ หลังจากได้มาแล้ว เวลาปกติมีค่าใช ้จ่ายเยอะหรือไม่?”
ป๋ ายเหมากล่าว “ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป แพงมากเลยล่ะ ว่ากัน ว่าของเล่นที่สามารถถือเป็ นเรือยันต์ส่วนตัวได้ประเภทนี้ หากเป็ น ท่าเรือเล็กที่อยู่ห่างไกลไปหน่อยก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีขาย ต่อให้ เป็ นท่าเรือตระกูลเซียนขนาดใหญ่ก็ยังต้องไปเสี่ยงดวงดู เป็ นของดีที่ พอมีก็ขายหมดทันที มีเงินก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาซื้อได้ ส่วนคน อย่างพวกเรา แค่มองดูก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มกล่าว “ข้าแค่ถามถึงยันต์ม้ายันต์นกหลวนที่ขี่ได้ไกล พันลี้ ต้องใช ้เงินเทพเซียนกี่เหรียญ”
ป๋ ายเหมาส่ายหน้า “ความลับประเภทนี้ จะรู ้ได้อย่างไร”
ผีสาวถือร่มยิ้มกล่าว “หากไม่เจอกับลมแรงและกระแสลมปราณ ที่พัดมาปะทะใบหน้าไม่จาเป็ นต้องทวนกระแสลมไกลเป็ นพันลี้เป็ น เวลานาน ค่าใช ้จ่ายก็ประมาณสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
ป๋ ายเหมาจุ๊ปาก ให้ตายเถะ นี่คือการใช ้เงินราวกับน้าไหลจริงๆ เลยนะ มือเติบเช่นนี้ไม่ค่อยคุ้มค่านัก ป๋ ายเหมาที่เพิ่งรู ้สึกตัวอย่าง เชื่องช ้า ถามว่า “ทาไมเจ้าไม่ถามว่าราคาขายของกระดาษยันต์แผ่น หนึ่งคือกี่บาทล่ะ?”
เด็กหนุ่มหัวเราะหยัน “โง่หรือไร ในกระเป๋ าข้าผู้อาวุโสมีเงินแค่กี่ แดงเอง จะซื้อได้หรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถามเรื่องค่าใช ้จ่ายเวลาปกติไปทาไม?”
“ก็เผื่อเก็บยันต์พาหนะที่เป็ นกระดาษถูกพับได้จากกลางทาง อย่างไรเล่า?”
ป๋ ายเหมาอดทนแล้วอดทนอีก
ผีสาวถาม “คุณชายเฉิน ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ เจ้าคือผู้ ฝึกยุทธเต็มตัวหรือ?”
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่จริงใจอย่างยิ่ง พยักหน้ารับโดยตรง “บอก ตามตรง เรียนวรยุทธฝึกหมัดมาตั้งแต่ตอนเป็ นเด็กหนุ่มแล้ว เพราะ คุณสมบัติพอใช ้ได้ อีกทั้งยังมีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ ดังนั้นจึง เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้สารพัดวิชา หลังจากฝึกวิชาหมัดได้สาเร็จ แล้วก็เริ่มเพิกเฉยแล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้จึงทุ่มเทกาลังไว้กับการฝึก วิชากระบี่ชั้นสูงมากกว่าใคร่ครวญว่าจะสร้างกระบวนท่ากระบี่ที่ยอด เยี่ยมมาได้อย่างไร ต้องการแบ่งแพ้ชนะกับคนวัยเดียวกันที่เป็ นทั้ง จุดอ่อนและเป็ นทั้งสหาย ขณะเดียวกันก็ควบฝึกวิชาสายฟ้ าและวิชา ค่ายกลไปด้วย แต่พูดได้แค่ว่าประสบผลสาเร็จเล็กน้อยเท่านั้น ยัง ไม่ได้เดินเข้าห้องอย่างแท้จริง ในสถานการณ์ทั่วไป ข้าไม่มีทางโอ้ อวดเรื่องพวกนี้กับคนนอกง่ายๆ การพูดคุยอย่างลึกซึ้งกับคนที่ไม่ สนิทสนมกันคือข้อห้ามใหญ่หลวงของคนในยุทธภพ แล้วนับประสา
อะไรกับที่ก็กลัวด้วยว่าหากไม่ทันระวังจะทาให้คนอื่นตกใจ เพียงแต่ เห็นว่าเจ้าจวนป๋ ายหน้าตาเหมือนคนดี แม่นางหลิ่วก็เป็ นคนจิตใจดี ก็ เลยไม่คิดมากอีก”
ป๋ ายเหมาอดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า “ทุกวันนี้เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน เชียว สิบสี่สิบห้า? ท าไมถึงบอกว่า “ฝึ กวรยุทธตอนเป็ นเด็กหนุ่ม” พูดว่า “ฝึกวรยุทธมาตั้งแต่ตอนเด็ก” จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?”
ส่วนวิชาสายฟ้ าอะไรนั่น เจ้าจวนป๋ ายไม่แม้แต่จะอยากถามด้วย ซ้า เขาเริ่มเคยชินเสียแล้ว เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานแซ่เฉินผู้นี้อ้า ปากได้ก็ชอบพูดไปเรื่อย
ผีสาวเองก็แค่ยิ้มรับ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
นางแค่รู ้สึกสงสัยว่าหากเด็กหนุ่มคนนี้เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่ ในขอบเขตหลอมลมปราณจริงๆ เหตุใดปราณหยางทั่วร่างที่โชติช่วง ถึงได้ถูกเก็บรวบไว้ภายใน แม้แต่นางและป๋ ายเหมาก็ยังแทบจะสัมผัส ได้ไม่ถึง?
นี่เกรงว่าคงจะเป็ นขอบเขตที่มีเพียงปรมาจารย์ผู้ฝึ กยุทธสาม ขอบเขตของหลอมจิตวิญญาณเท่านั้นที่ถึงจะทาได้กระมัง?
นางเคยโชคดีได้เจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตรร่างทองคนหนึ่งใน เมืองเล็กตีนเขา เดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรี ต่อให้ไม่ได้จงใจ ปลดปล่อยพายุลมกรดซึ่งเป็ นปณิธานหมัดของทั่วร่างออกมา แต่ สาหรับผีอย่างนางแล้วก็ยังเหมือนดวงตะวันเจิดจ้าที่กลิ้งอยู่บนพื้น!
ท าให้นางไม่กล้ามองสบตรงๆ เป็ นเหตุให้ในเมืองเล็กที่มีทั้งคนดีและ คนเลวปะปนกันแห่งนั้น คนหลายคนต่างพากันหลบเลี่ยงประกายคม กริบ ต่างก็ปิดประตูเรือน ไม่มีใครกล้าทิ้งถ้อยคาอามหิตไว้แม้แต่ครึ่ง ประโยค แต่รอกระทั่งคนผู้นี้เดินเข้าไปในร ้านเหล้าร ้านหนึ่ง สั่งเหล้า ชามหนึ่งมาดื่ม ภาพบรรยากาศของผู้ฝึกยุทธที่เหมือนดั่งดวงตะวัน แผดเผากลับหายวับไปในชั่วพริบตา กลายมาเป็ นว่าแทบไม่ต่างอะไร ไปจากมนุษย์ธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่เอ่ยเย้ยหยัน “ปัญญาชนยากจนคร่าครึ อาจารย์ผู้มีความรู ้งูๆ ปลาๆ รู ้แต่จะตีความหมายอักษรอย่างเคร่งครัด กับข้าผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้เจอกับเซียนกระบี่จางแห่งเขตเทียนเฉา ท าไมไม่เห็นเจ้าพูดอะไรสักค าเลยเล่า”
ป๋ ายเหมาอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เฉิน เหริน! ต่อให้เป็ นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะได้สามส่วน เจ้า เลิกพูดจาเหน็บแนมข้าผู้เป็ นขุนนางเสียที ไม่รู ้จักจบจักสิ้น ไม่กลัว ว่าข้าผู้เป็ นขุนนางจะแตกหักกับเจ้าจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอาจไม่ใช่ขุนนางที่ดีเสมอ ไป แต่กลับเป็ นคนดีทุกวันนี้ก็ได้แต่ถือว่าเป็ นผีที่ดีกระมัง อีกอย่าง พวกเราสองคนยังเป็ นพี่น้องที่แค่เห็นหน้าก็เหมือนรู ้จักกันมานาน คาพูดไม่น่าฟังแค่ไม่กี่ประโยค ทาไมถึงทนฟังไม่ได้เล่า การฝึ ก บ าเพ็ญตนในวงการขุนนางคือการฝึกบ าเพ็ญตน การฝึกบ าเพ็ญตน ในวันปกติก็เป็ นการฝึกบาเพ็ญตนเหมือนกัน พักอาศัยกินอยู่ กินดื่ม
ขับถ่ายล้วนเป็ นการฝึกบาเพ็ญตน ผู้ที่ฝึก บาเพ็ญตน จิตแห่งมรรคา จะยืนหยัดหนักแน่นหรือไม่ เป็ นสิ่งที่สาคัญอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ล่ะ?”
หากพูดถึงแค่ตรงนี้ ป๋ ายเหมาอาจจะยังฟังเข้าหูจริงๆ ปัญหาคือ ไอ้หมอนี่ยังมีคาพูดจากใจประโยคหลังตามมาด้วย “ข้าคือผู้ฝึกยุทธ เต็มตัว แน่นอนว่าไม่ต้องฝึกตนเช่นนี้ สิ่งที่ขัดเกลาในทุกช่วงเวลา ล้วนเป็ นวิชาหมัดเท้า ดังนั้นเจ้าอย่าพูดจาแปร่งหูที่วกวนไปมากับข้า หาไม่แล้วจะทาร ้ายมิตรภาพของพี่น้องกันเอง คนฝึ กวรยุทธอย่าง พวกเรา โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิชาหมัดนอกล้วนนิสัยเจ้าอารมณ์กัน ทั้งนั้น”
ผีสาวถือร่ม “มอง” เจ้าจวนป๋ ายด้วยสายตาที่คล้ายจะเวทนา ฝีเท้าที่เดินเนิบช ้าของนางเพิ่มความเร็วมากขึ้น เท้าไม่ติดพื้น ลอย ห่างเหยียบกลางอากาศไปไกล
เด็กหนุ่มเห็นว่าเจ้าจวนป๋ ายถูกโน้มน้าวด้วยหลักการเหตุผลของ ตัวเองแล้วก็พยักหน้า เอ่ยว่าเป็ นเด็กที่สามารถสั่งสอนได้ จากนั้นก็ ถามชวนคุยว่า “เจ้าประมุขพรรคจินแซวมีมรรคกถาเป็ นเช่นไร? เป็ น ขอบเขตหยกดิบเหมือนกันหรือ?”
“เจ้าคิดว่าขอบเขตหยกดิบคือผักกาดขาวที่ขึ้นข้างทางหรือไร?”
ใบหน้าของป๋ ายเหมาเต็มไปด้วยความจนใจ เหลือบตามอง จินหลวี่ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง กดเสียงต่าเอ่ยว่า “แต่เฉิงเจิน เหรินท่านนั้นของพวกเรา ได้ยินว่ามีรากฐานเป็ นหยกดิบจริงๆ ใน
อาณาเขตของภูเขาเหอฮวานต่างพูดกันว่าเจินเหรินลัทธิเต๋าที่วิชา อภินิหารยิ่งใหญ่ผู้นี้ไปถึงขอบเขตลี้ลับที่ “สลายมรรคาแยกร่าง จิตห ยางบัญชาการณ์ฟ้ าดินเล็ก จาแลงกายได้ดั่งใจ จิตหยินเดินทางไกล พันหมื่นลี้” แล้ว ขุนเขาสายน้าของหลายแคว้นที่อยู่ใกล้เคียงมีคน มหัศจรรย์นับไม่ถ้วน มีเพียงบรรพบุรุษสกุลจางเขตเทียนเฉากับจ้าว ฝู่ จวินแห่งภูเขาเหอฮวานสองคนเท่านั้นที่สามารถนั่งทัดเทียมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาสายฟ้ าอันเป็ นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาจาก ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุที่ยิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ พลานุภาพยิ่งใหญ่จนเกินกว่าจะคาดการณ์ได้
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “แนวทางการฝึกตนของวิชาสายฟ้ า บนโลกใบนี้มีอะไรลี้ลับกัน หากไม่พูดถึงวิชาห้าอสนีดั้งเดิมที่สืบทอด อย่างลับๆ ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ก็แค่ว่าหากในร่างกายมีฝนที่ตกถูก เวลา อวัยวะภายในต่างก็มารวมตัวกันกลายเป็ นเมฆผืนหนึ่ง หลังจาก นั้นก็แยกออกไปสามสาย วิชาระดับล่างคือหลอมดวงตาทั้งคู่ให้คัน ยิบๆ เป็ นประกายเหมือนสายฟ้ าแลบ สามจุดของตันเถียนเชื่อมโยง กันเป็ นเส้นเส้นหนึ่ง ชักนาอวัยวะภายในให้มีเสียงดังเหมือนเสียง ฟ้ าผ่ากะทันหัน วิชาระดับกลางก็หนีไม่พ้นว่าลมปราณหยินหยาง กระตุ้นกันและกัน ประหนึ่งการหลอมกระจกลอยสามบาน คาถาที่ แตกต่างสร ้างสายฟ้ าขึ้นมา สามารถส่องแสงตะวันจันทรา เปิดเผย ความลับสวรรค์อยู่ในถ้าสถิตที่เป็ นห้องโอสถประหนึ่งตัวอักษรที่อยู่ บนผนัง มองเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนวิชาระดับสูงจะว่ายากก็ไม่ได้
ยากอะไร ก็แค่หลอมเรือนกายของตัวเองให้กลายเป็ นฟ้ าดินขนาด ใหญ่ ถ้าสถิตทุกแห่งล้วนเป็ นบ่อสายฟ้ า ควบคุมหยินหยาง กุมแกน ส าคัญของฟ้ าดินเอาไว้ให้ดี เรียกเทพออกมาใช ้งาน ปล่อยสายฟ้ า ฟาด…”
ป๋ ายเหมาแสร ้งทาเป็ นคล้อยตามด้วยการหันหน้ามายกนิ้วโป้ ง ให้กับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่
ไม่ไปเป็ นนักเล่านิทานอยู่ใต้สะพานหรือตั้งแผงอยู่ข้างทางก็ช่าง น่าเสียดายจริงๆ
ผีสาวถือร่มท าท่าครุ่นคิด แต่นางกลับอดทนไว้ไม่หันกลับมา
จางอวี่เจี่ยวขมวดคิ้วน้อยๆ ใช ้เสียงในใจสอบถามว่า “จินหลวี่ วิธี ที่คนผู้นี้อธิบายถึงเวทสายฟ้ าสามชนิด มีหลักฐานบนภูเขาหรือไม่?”
“พูดจาเหลวไหล? ค าพูดใหญ่โตแต่ไร ้เหตุผล?”
จินหลวี่ยิ้มเอ่ย “เอาเป็ นว่าเนื้อหาที่ถูกเขาลดค่าให้เป็ นวิชาระดับ ล่าง พอจะมีความเกี่ยวข้องกับเวทสายฟ้ าดั้งเดิมอยู่บ้าง ผู้ฝึ ก ลมปราณที่ฝึ กตนได้ถึงระดับที่แน่นอนก็จะมีขั้นตอนที่ดวงตาคัน เหมือนมีฝนตกอยู่ในอวัยวะภายใน ส่วนหลอมออกมาเป็ นกระจกส่อง ตัวอักษรของสายฟ้ าปรากฏอยู่บนผนังในถ้าสถิตอะไรนั่น ข้าไม่เคย ได้ยินมาก่อน อย่างน้อยสายวิชาอสนีของยอดเขาฉุยชิงพรรคจิน แชวของพวกเราก็ต้องไม่มีคากล่าวนี้แน่นอน…”
ป๋ ายเหมายิ้มถาม “คุณชายเฉิน ไปเรียนรู ้คาพูดคาจาที่สูงส่งเลิศ ล้าพวกนี้มาจากไหน?”
เด็กหนุ่มยกสองแขนกอดอก ฝีเท้าก้าวเดินเร็วราวกับบิน เอ่ยว่า “ในต าราล้วนเขียนเอาไว้เช่นนี้”
จินหลวี่ที่อยู่ห่างจากเด็กหนุ่มระยะทางหนึ่งหลุดเสียงหัวเราะ ออกมาอย่างอดไม่ไหว
เดิมทีนางยังคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งแล้วจะ สอบถามศิษย์พี่หญิงขอบเขตถ้าสถิตเสียหน่อย ตอนนี้น่ะหรือ อย่า ดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนางหัวเราะเยาะ
มุ่งหน้าไปยังภูเขาเหอฮวาน อันที่จริงไม่มีเส้นทางอะไรให้เดิน ทางหลวงในอดีตและทางเล็กในชนบทถูกหญ้ารกชัฏปกคลุมไปนาน แล้ว ระหว่างทางมีต้นไม้แห้งเหี่ยวอยู่มากมาย บางช่วงก็มีซากผนัง ก าแพง ยังพอจะมองเห็นรูปร่างของหมู่บ้านในอดีตได้อย่างเลือนราง ระหว่างนั้นได้เจอกับภูตและผีที่มาเข้าร่วมงานรับสมัครลูกเขยที่ภูเขา เหอฮวานสองกลุ่ม อีกฝ่ ายเป็ นฝ่ ายอ้อมไปทางอื่นอย่างรู ้กาลควร ได้ แต่ซุบซิบกันอยู่ไกลๆ ท่ามกลางม่านราตรี หนึ่งเพราะเด็กหนุ่มเด็ก สาวที่คล้ายคู่กุมารทองกุมารีหยกสะดุดตาเกินไปจริงๆ ที่สาคัญยิ่งไป กว่านั้นก็คือชายฉกรรจ์ร่างกายาด้านหลังเด็กสาวที่คล้ายกับป้ าย อักษรทองโบกสะบัดบอกฐานะอย่างชัดเจน พรรคจินแชวของเจินเห รินเฉิงเฉียนแห่งแคว้นชิงซิ่ง ต่อให้จะอยู่ในอาณาเขตของภูเขาเหอฮ วานก็ยังเท่ากับว่ามีป้ ายทองละเว้นโทษตายอยู่แผ่นหนึ่ง แน่นอนว่า
เงื่อนไขก็คือเซียนซือทาเนียบของพรรคจินแชวอย่าได้ทาอะไรเกิน กว่าเหตุด้วยอย่างเช่นการสังหารคนที่มีรากฐานและมีความสัมพันธ ์ ควันธูปกับจวนซานจวินสองแห่ง
ป๋ ายเหมาถามอย่างใคร่รู ้ “น้องเฉิน เจ้าช่วยบอกกับพี่ชายอย่าง ตรงไปตรงมาได้หรือไม่ว่าเจ้ามาทาอะไรที่นี่?”
“ฝึกวรยุทธหลอมกระบี่พลางออกท่องยุทธภพไปด้วย ถือโอกาส รวบรวมเงินเหรียญทองแดงโบราณบางส่วน เพื่อที่จะสะสมให้เป็ น กระบี่เหรียญทองแดงที่สามารถกาจัดปีศาจปราบมารได้ ตอนอยู่เมือง หลวงแคว้นชิงซิ่งก็ได้ยินว่าที่นี่มีภูตผีมากมาย ก็เลยอยากจะมาขัด เกลาประสบการณ์ที่นี่สักหน่อย วิชาความรู ้หลากหลายที่มีติดตัวก็จะ ได้มีพื้นที่ให้เอามาใช ้ หากต้องมาหมดท่าอยู่ที่นี่ก็ได้แต่โทษฝีมือของ ข้าที่ไม่ดีพอ มิอาจโทษคนอื่นได้”
เด็กหนุ่มยกมือชี้ไปที่ฝักกระบี่ “เห็นหรือยัง ฝักกระบี่ที่ดีที่สุดใน โลกก็ต้องมีกระบี่อาคมชั้นสูง ถึงจะเหมาะสมกัน”
“แม้จะบอกว่าตอนนี้ในฝักไม่มีกระบี่อาคมอยู่ แต่ปราณกระบี่ กลับเปี่ยมล้นอยู่ด้านในแค่เรียกก็ออกมาได้ หากออกกระบี่ต้านรับ ศัตรูอย่างแท้จริง แสงกระบี่นั่น จุ๊ๆ น่ากลัวมากนักล่ะ!”
“พี่ใหญ่ป๋ าย เจ้าไม่ใช่คนนอก ข้าก็จะพูดความในใจกับเจ้าแล้ว กัน ข้าผู้แซ่เฉินต้องการบุกเบิกเส้นทางเชื่อมโยงถึงฟ้ าที่ทุกคน สามารถเดินได้ให้กับวิถีกระบี่บนโลกใบนี้”
ป๋ ายเหมาทนกับเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่สมองมีรูผู้นี้มามากแล้ว จริงๆ จึงหยิบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เฉิน เหริน หาหมอรักษาหน่อยเถอะ จริงๆ นะ ฟังคาแนะนาจากพี่ใหญ่ป้ าย สักค า”
เด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าสานร ้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ยื่นมือมารับเงิน เกล็ดหิมะเหรียญนั้นไปจริงๆ
ป๋ ายเหมารู ้สึกเสียใจภายหลังทันที ทาไมพอพูดแบบนี้แล้วถึง แสร ้งท าเป็ นฟังความนัยในคาพูดของข้าไม่ออกเล่า ดังนั้นจึงพลิกมือ กุมหมัดของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วก็คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้
“คนทาดีย่อมได้ดีตอบแทน พี่ใหญ่ป๋ าย ปล่อยมือเถอะ อย่าได้ เสียมาดของวีรบุรุษเพียงเพื่อเงินเล็กน้อยแค่นี้เลย”
“น้องเฉิน ข้ามีชาติก าเนิดอย่างไร เจ้าก็เห็นผ่านรูของเหรียญ ทองแดงบนยอดเขาโพโม่อย่างชัดเจนแล้ว ไม่ถือว่าเป็ นคนดีหรือ วีรบุรุษอะไรเลย คืนเงินมาให้ข้า วันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่”
และเวลานี้เอง ห่างจากเมืองเล็กที่อยู่ตรงตีนเขาไปไม่ไกลก็มี กองทัพม้ากองหนึ่งโผล่มากะทันหัน จ านวนคนไม่มาก แค่สิบกว่าคน เท่านั้น ล้วนพกดาบสะพายธนูสวมเกราะเบาออกเดินทางยามค่าคืน อย่างลับๆ จนไม่ได้ยินเสียงคนและม้า
จางอวี่เจี่ยวกลับเผยสีหน้าเคร่งเครียดเป็ นครั้งแรก ชะลอฝีเท้า อาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งชักนาปราณวิญญาณมาไว้ที่ดวงตา ทั้งคู่ เป็ นเหตุให้เซียนกระบี่เด็กหนุ่มผู้นี้มีเวทมองลมปราณชั่วคราว
เดิมทีจินหลวี่ไม่ได้สนใจ เพียงแต่พอเห็นว่าจางอวี่เจี่ยวที่อยู่ข้าง กายเพ่งสมาธิจริงจังเช่นนี้ นางถึงสัมผัสได้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดาย อย่างที่คิด รีบประกบสองนิ้วท่องคาถาแล้วปาดไปเบื้องหน้าดวงตา หนึ่งที
พริบตานั้นนางก็ค้นพบความไม่ปกติของกองทหารม้ากลุ่มนั้น ด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ผีสาวกางร่มที่เดินอยู่ด้านหลังพวกเขายิ่งหยุดเท้าก่อนใคร กด ร่มกระดาษน้ามันลงต่าเล็กน้อยเพื่อบดบังเรือนกายของตัวเองให้ได้ มากกว่าเดิม
เพราะป๋ ายเหมาเป็ นผีเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงมองเห็นภาพ เหตุการณ์ผิดปกติที่ผู้ฝึ กลมปราณโลกมนุษย์จ าเป็ นต้องใช ้วิชา อภินิหารและเวทลับมาปลุกเสกถึงจะมองเห็นได้