กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1016.1 เว้นเสียจากถามนกที่บินอยู่นอกกรง
ยอดเขาโพโม่คือภูเขาสูงจ านวนไม่มากในอาณาเขตของภูเขา เหอฮวาน แต่กลับไม่ได้ถูกใครยึดครอง เคยมีคนที่พยายามจะบุกเบิก พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่นี่ แต่กลับถูกอวี๋ฝู่ จวินที่เบื่อหน่ายจึงโยน สมบัติอาคมมาทางยอดเขาโพโม่ ร่ายคาถาให้เกิดภาพ ปรากฏการณ์น้าโปรยฐานเมฆ (virga ในทางอุตุนิยมวิทยาน้าโปรย ฐานเมฆหมายถึงริ้วหรือแนวหยาดน้าฟ้ าที่สังเกตได้ ซึ่งตกลงจาก เมฆแล้วระเหยหรือระเหิดก่อนถึงพื้นดิน) ทาเหมือนเล่นโยนลูกดอก ลงกา ขว้างสมบัติอาคมใส่จนหินภูเขาของที่นี่กลิ้งหลุนๆ นานวันเข้า จึงกลายเป็ นดินแดนไร ้เจ้าของ เป็ นเหตุให้ในยอดเขาโพโม่มีหลุม ขนาดใหญ่อยู่มากมาย ทุกหนทุกแห่งล้วนมีรอยแตกร ้าวเหมือนใย แมงมุม
เกาเจินลัทธิเต๋าส่วนใหญ่มีศาสตร ์คงความเยาว์ เฉิงเฉียนที่อายุ การฝึกตนห้าร ้อยปีแล้วสวมชุดเทียนเซียนต้ง (ชุดพิธีการระดับสูงสุด ของนักพรตเต๋าสมณศักดิ์สูง) ตรงเอวห้อยกระดิ่งทองคาลักษณะ โบราณเรียบง่ายไว้ชิ้นหนึ่ง นักพรตที่เป็ นคนแก่แต่มีรูปโฉมอ่อนเยาว์ ผู้นี้ลมหายใจทอดยาว ทุกๆ หนึ่งรอบของโคจรจุลจักรวาลในร่างกาย จะมีภาพปรากฏการณ์ ยิ่งใหญ่ที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นดวงตะวันเคลื่อน คล้อยลง ดวงดาวสับเปลี่ยนหมุนเวียน แต่เฉิงเฉียนร่ายเวทอ า
พรางตา เมื่อปรากฏในสายตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั่วไป กลับเป็ นแค่นักพรตเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งเท่านั้น
เพราะฝู่ จวินคู่รักสองคนอย่างจ้าวและอวี๋มีบุตรหญิงสามคน บุตรชายหนึ่งคน อวี๋เจิ้นที่เป็ น “รัชทายาท” ในนามกลั้นหายใจ เพราะ ถึงอย่างไรเขาในเวลานี้ก็กาลังเผชิญหน้าเทพเซียนพสุธาคนหนึ่งที่ เชี่ยวชาญสามวิชาอย่างน้าไฟและสายฟ้ า หากจะพูดถึงการต่อสู้ตัว ต่อตัว เจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคจินแชวผู้นี้ก็คือยอดฝีมือ เคย จับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเผ่าปีศาจบนสนามรบของเมือง หลวงส ารองต้าหลีก็ยังไม่ตกเป็ นรอง ฉายประกายเจิดจ้า ฮ่องเต้แคว้น ชิงซิ่งเชื้อเชิญให้เฉิงเฉียนมารับหน้าที่เป็ นเงินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น สามครั้งก็โดนปฏิเสธทั้งสามครั้ง
ฝูชี่ที่สวมชุดหม่างฝูสีหมึกกลับให้ความสนใจเซียนกระบี่หญิง จากเขตเทียนเฉามากกว่า
นครมังกรเฒ่าไม่เคยมีการไปมาหาสู่กับพรรคจินแชวของแคว้น ชิงซิ่ง ทั้งไม่มีความสัมพันธ ์ควันธูปต่อกัน แล้วก็ไม่มีความแค้นอะไร ต่อกัน เชื่อว่าเทพเซียนลัทธิเต๋าคนหนึ่งคงไม่ฆ่าแกงคนตามใจชอบ เพียงเพราะเขายืนอยู่ข้างกายอวี๋เจิ้น
ระหว่างที่เดินทางมาอวี๋เจิ้นอธิบายสถานการณ์ของภูเขาเหอฮ วานให้เขาฟังคร่าวๆการที่มาหยุดเท้าอยู่ที่ยอดเขาโพโม่ก็เพราะเขา ต้องการถอดหม่างฝูชุดคลุมอาคมที่ศาลบรรพชนของตระกูลมอบให้
เฉิงเฉียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รบกวนคุณชายอวี๋ช่วยบอกกับจ้าวฝู่ จวินสักคาว่าคืนนี้ผินเต้าคงไม่ไปร่วมแสดงความยินดีบนภูเขาแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนอารมณ์สุนทรีในการดื่มเหล้าของแขกผู้สูง ศักดิ์ทุกท่าน”
ก็จริงนะ ก็เหมือนคนกลุ่มหนึ่งที่หนีเข้าป่ากลายเป็ นโจรไปกาลัง ดื่มเหล้าเฉลิมฉลองแล้วจู่ๆ ก็มีมือปราบที่รับหน้าที่จับโจรโดยเฉพาะ โผล่มา จะเป็ นแค่การท าลายบรรยากาศได้อย่างไร?
เฉิงเฉียนกล่าวต่ออีกว่า “เพียงแต่หยกลัญจกรสามชิ้นนั้น ตรา ลัญจกรที่เป็ นของโอรสสวรรค์ผู้สืบทอด คืนนี้ก็มอบให้ผินเต้านา กลับไปที่เมืองหลวงแล้วกัน ที่เหลืออีกสองชิ้นกลับไม่ต้องรีบร ้อน หากฝู่ จวินทั้งสองท่านรู ้สึกว่ายากที่จะตัดใจมอบให้ได้ก็ถือเสียว่าเป็ น ของประดับตกแต่งในห้องหนังสือที่ฮ่องเต้มอบให้ฝู่ จวินแห่งภูเขา เหอฮวานยืมมาเล่นชั่วคราวก็แล้วกัน แต่อย่างช ้าสุดก็ขอให้ไม่เกิน ฤดูฝนของปี นี้ที่ต้องมอบคืนให้กับราชสานักของแคว้นชิงซิ่ง คุณ ชายอวี๋ ผินเต้าจะรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ อีกครึ่งชั่วยาม หากภูเขาเหอฮวาน ไม่ส่งมอบตราลัญจกรโอรสสวรรค์ผู้สืบทอดมาให้ ถ้าอย่างนั้นผินเต้า ก็จะขึ้นเขาไปเอาหยกลัญจกรทุกชิ้นมาด้วยตัวเองแล้ว หลีกเลี่ยง ไม่ให้จ้าวฝูหยางต้องไปเมืองหลวงอย่างเสียเที่ยว”
อวี๋เจิ้นได้แต่ยิ้มขมขื่น ฝูชี่ที่เป็ นคนนอกสถานการณ์ก็สัมผัส ไม่ได้ถึงความผิดปกติ
เห็นได้ชัดว่าสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะ แตกหักกับภูเขาเหอฮวาน
ภูเขาเหอฮวานมีการแบ่งเป็ นบนกับล่างภูเขา จ้าวฝูหยางแห่ง จวนอินยวินภูเขาจุ้ยยวน อวี๋ฉุนจือแห่งจวนเฝิ่ นหว่านภูเขาอูเถิง นอกจากนี้ก็มีศาลเทพภูเขาอีกสองแห่งที่ถูกสร ้างขึ้นหลี่ถิ่งก็คือเทพ ภูเขาในศาลของภูเขาอูเถิง
เกี่ยวกับตราลัญจกรทั้งสามชิ้น ทางฝั่งของภูเขาเหอฮวานมีการ เปิ ดราคา นั่นคือฮ่องเต้แคว้นชิงซิ่งจะต้องใช ้ฐานะจักรพรรดิแห่ง แคว้นแต่งตั้งภูเขาสองลูกอย่างจุ้ยยวนกับภูเขาอูเถิงเป็ นศาลและ ภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามระเบียบของการแต่งตั้งมหา บรรพต แน่นอนว่าฝู่ จวินทั้งสองท่านกาลังเป็ นสิงโตที่อ้าปากกว้าง นี่ เป็ นเรื่องที่ไม่มีทางเป็ นไปได้แน่อยู่แล้ว หากฮ่องเต้สกุลหลิ่วกล้า “ลด เกียรติ” ตัวเองเช่นนี้จริง เกรงว่าคงมีแต่จะกลายเป็ นตัวตลกของชน ชั้นสูงและเซียนซือบนภูเขาในแคว้น เพียงแต่ว่านี่เป็ นการเจรจา การค้า ย่อมหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหมือนการชักเย่อที่ฝ่ ายหนึ่งตั้ง ราคาฝ่ ายหนึ่งต่อรองราคาไม่ได้ ในความเป็ นจริงแล้วก่อนหน้านี้ได้มี การปรึกษาหารือกันอย่างลับๆ มาก่อนแล้ว คุยกันไปถึงขั้นที่ว่าให้ รองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งมาเป็ นผู้แต่งตั้งภูเขาทั้งสอง แต่ติดขัดอยู่ ที่เรื่องค่าใช ้จ่ายในการสร ้างศาลภูเขาว่าสรุปแล้วจะให้จวนฝ่ ายใน ของสกุลหลิ่วออกเงินหรือแคว้นชิงซึ่งจะให้ภูเขาเหอฮวานควัก กระเป๋ าเงินจ่ายด้วยตัวเอง
อวี๋เจิ้นลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้าเสียงขมปร่า “ไยเจิน เหรินต้องท าให้ผู้เยาว์ต้องลาบากใจโดยที่ยังไม่ทันเดินถึงหน้าประตู บ้านตัวเองด้วย”
“มาได้เร็วไม่สู้มาได้จังหวะบังเอิญ ในเมื่อเจอกับคุณชายอวี๋ที่ ยอดเขาโพโม่พอดี กฎแห่งสวรรค์ชัดเจน ก็สมควรแล้วที่ได้มีการพบ เจอครั้งนี้”
เฉิงเฉียนกล่าวอย่างเฉยเมย “ก็แค่นาความไปบอกเท่านั้น มี อะไรให้ต้องล าบากใจทาไม แม้แต่หน้าตาน้อยนิดแค่นี้คุณชายอวี๋ก็ ยังไม่ไว้หน้าผินเต้าหรือ? คิดว่าตีสนิทกับสายเยี่ยนอวี้ถังของตระกูลฝู นครมังกรเฒ่าได้ก็เลยมองไม่เห็นหัวใครแล้ว หากผินเต้าจ าไม่ผิดล่ะ ก็ สายเยี่ยนอวี้ถังของตระกูลฝูเลี้ยงคนว่างงานไว้โดยเฉพาะ ตามกฎ ของบรรพบุรุษ ทั้งไม่มีตาแหน่ งในการสอบเคอจวี่ทั้งไม่มีคุณ ความชอบในสนามรบ ก็ไม่อาจเป็ นผู้ถวายงานและเค่อชิงของจวน เซียนบนภูเขาและราชวงศ์ในโลกมนุษย์ได้”
ชัดเจนว่าเงินเหรินผู้เฒ่าที่รูปโฉมเหมือนเด็กน้อยพูดจากระทบ กระเทียบฝูชี่ที่มีสถานะสูงศักดิ์
แต่ฝูชี่กลับไม่โกรธ กลับกันยังยิ่งใคร่รู ้กว่าเดิมว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ สกุลหลิ่วแห่งแคว้นชิงซิ่งไปเจอที่พึ่งอะไรมากันแน่ ถึงได้ทาให้เฉิง เฉียนไม่เห็นกระทั่งตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าอยู่ในสายตา?
ต้องรู ้ว่าฝูฉีผู้เป็ นเจ้าประมุข แม้จะปลดประจ าการจากต าแหน่ง เจ้านครของนครมังกรเฒ่าไปแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขต หยกดิบคนหนึ่งแล้ว ขณะเดียวกันก็ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสอง ชิ้น เมื่อเทียบกับตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็ นด้านผู้ฝึกตน กาลังทรัพย์หรือเส้นสายผู้คน อันที่จริงพรรคจินแชวล้วนมิอาจเทียบ ได้ติด พูดถึงแค่ความสัมพันธ ์ระหว่างตระกูลฝูนครมังกรเฒ่ากับซ่งมู่ อ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ทุกวันนี้คนของแจกันสมบัติทวีปใครบ้างที่ไม่ รู ้
แน่นอนว่าสายเยี่ยนอวี้ถังของตระกูลฝูเป็ นเพียงแค่หนึ่งในหก บ้านของตระกูลฝูเท่านั้น มิอาจเทียบเท่าได้กับตระกูลฝูนครมังกร เฒ่า อีกทั้งก็เป็ นอย่างที่เฉิงเฉียนพูดจริงๆ ว่าค่อนข้างจะผลักดันไม่ ขึ้น การประชุมในศาลบรรพจารย์ของตระกูล คนที่มาเข้าร่วมการ ประชุมน้อยสุดยี่สิบกว่าคน มากสุดสี่สิบกว่าคน หลายร ้อยปีที่ผ่านมา สมาชิกของสายเยี่ยนอวี้ถังตระกูลฝูมีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์พอ เป็ นพิธีแค่ตัวเดียวเท่านั้น พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือเป็ นแค่ เศษสวะที่ตระกูลฝูเลี้ยงไว้เท่านั้น
ทว่าแม้ภายในสายเยี่ยนอวี้ถังของตระกูลฝูไม่ได้เรื่องอานาจ แต่ ก็ไม่ใช่บุคคลที่พรรคจินแชวจะมาท้าทายได้ง่ายๆ ยอดเขาทั้งหลาย ของพรรคจินแขวไม่มีผู้ฝึกตนก่อกาเนิดนั่งบัญชาการณ์มานานสาม ร ้อยกว่าปีแล้ว
เฉิงเฉียนโบกมือ “ครึ่งชั่วยาม มากพอจะให้ฝู่ จวินสองท่าน ปรึกษากับคุณชายอวี๋จนได้แผนการรับมือแล้ว จาไว้ว่าเรื่องนี้จะ สาเร็จหรือไม่ ทางฝั่งของภูเขาเหอฮวานก็ต้องมีค าตอบให้กับผินเต้า” อวี๋เจิ้นที่สวมชุดผ้าป่ านรองเท้าสานถอนหายใจ กุมมือคารวะ อ าลา “ผู้เยาว์จะกลับภูเขาก่อนแล้ว จะน าความไปบอกแทนเจินเห ริน”
พาฝูชี่ทะยานลมไปยังภูเขาเหอฮวานด้วยกัน ใบหน้าของอวี๋เจิ้น มีแต่พยับเมฆ อยู่ห่างจากยอดเขาโพโม่ไปได้หลายสิบลี้แล้ว อวี๋เจิ้น ถึงใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทาให้เจ้าได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
ฝูชี่ยิ้มกล่าว “พี่อวี๋มองตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรือไม่ หากจะพูด ถึงการถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ใครเล่าจะสู้ลูกหลานตระกูลฝูสายเยี่ย นอวี้ถังอย่างพวกเราได้?”
อวี๋เจิ้นเอ่ยสัพยอก “มีสิ ทาไมจะไม่มีเล่า ก็เหล่าเซียนกระบี่แห่ง ภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไรล่ะ”
ฝูชี่ใช ้มือหนึ่งขยับคอเสื้อ อีกมือหนึ่งทามุทราพึมพาคาถา รวบ ชุดคลุมอาคมหม่างฝูให้เป็ นก้อน ก้มหน้าลงเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “เจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้คล้ายจะเป็ นผู้ช านาญศาสตร์ของลัทธิเต๋าด้วย วิชาคาถาที่ฝึกฝนเรียกได้ว่าหลากหลาย”
คาว่าศาสตร ์ของลัทธิเต๋าที่ฝูชี่กล่าวถึงไม่ใช่ศาสตร์ (หลักๆ จะ กล่าวถึงเบญจศาสตร์ว่าด้วยศาสตร์ห้าแขนงได้แก่วิชาเซียน
การแพทย์ การท านาย ชีวิต การดู) ในยุคบรรพกาลแต่เป็ นศาสตร ์ ของการคานวณ สานักคานวณมักจะเชี่ยวชาญศาสตร ์แห่งการ ค านวณเชี่ยวชาญเรื่องปฏิทินดาราศาสตร ์เพียงแต่ว่าฐานะตาแหน่ง ในบรรดาเมธีร ้อยส านักไม่สูงมาโดยตลอด สภาพการณ์พอๆ กับ สานักการค้า พูดถึงแค่ “หากหนึ่งบวกหนึ่งจาเป็ นต้องเท่ากับสอง อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นการหลอมลมปราณหลอมวัตถุหลอมโอสถ บนโลกมนุษย์ล่ะถือเป็ นเรื่องอะไร สานักคานวณจึงมักจะถูกคนบน ภูเขาหยอกล้อเสมอ
อวี๋เจิ้นกล่าวอย่างสงสัย “รู ้ได้อย่างไร?”
ฝูชี่กล่าว “หากไม่เป็ นเพราะเห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่ถูกกันเหมือนไฟ กับน้า ข้าก็จะเดาว่าเฉิงเฉียนกับฝู่ จวินทั้งสองท่านมาจากสาย อาจารย์เดียวกันแล้ว”
อวี๋เจิ้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเลิกอมพะน าเสียที”
ฝูชี่อธิบาย “ชุดคลุมอาคมที่อยู่บนร่างของเฉิงเฉียนมีภาพบรรยา กาศที่มรรคกถาไหลโคจรไม่หยุดนิ่ง งดงามแปลกตาน่าตะลึง ต้อง ไม่ใช่สมบัติอาคมทั่วไปแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็ นสมบัติพิทักษ์พรรค ชิ้นหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์ของพรรคจินแชวจงใจไม่ป่ าวประกาศแก่ ภายนอก เมื่อเทียบกับกระดิ่งทองเปลวเพลิงที่เจินเหรินผู้เฒ่าแขวนไว้ ตรงเอวแล้ว ระดับขั้นมีแต่จะสูงไม่มีต่า ถึงขั้นที่ว่ายันต์เทพชิงจิงที่เล่า ลือกันว่าสามารถสั่งเทพและผีได้นั้นก็ยังมิอาจทัดเทียมได้ หากข้า เดาไม่ผิด เดิมทีชุดคลุมอาคมชิ้นนี้ก็เป็ นตาราสวรรค์เล่มหนึ่ง”
อวี๋เจิ้นถามว่า “เจ้าสามารถมองทะลุเวทอ าพรางตาของเทพ เซียนพสุธาไปได้เลยหรือ?”
ฝูชี่ยิ้มเอ่ย “ในตระกูลมีวิชาเล็กๆ น้อยๆ ที่สืบทอดต่อกันมา”
บนชุดคลุมอาคมของเจินเหรินเฉิงเฉียนพอจะมองเห็นสอง ปราณหยินหยางที่อัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ได้ราไร ปราณสองขุมขึ้นลง หมุนคว้างไม่หยุดนิ่ง ลมปราณใสและขุ่นมัวสองขุมมารวมตัวกัน กลายเป็ นภูเขาสายน้า สายลมสายฝน หิมะและน้าค้างแข็ง
อวี๋เจิ้นเอ่ยสัพยอก “นี่เกี่ยวอะไรกับสานักคานวณด้วยล่ะ ฝูชี่ เอ๋ยฝูชี่ ข้าล่ะนับถือ (ฝูชี่) เจ้าจริงๆ ปัญญาชนที่อ่านตาราและบทกวี มามากมายอย่างพวกเจ้าสมกับประโยคที่ว่าตอนเขียนสัญญาจะซื้อ ขายลา เขียนไปสามแผ่นกระดาษแต่ไม่มีค าว่าลาแม้แต่ค าเดียว จริงๆ” (ใช ้เสียดสีคนที่พูดจายืดเยื้อ ไร ้สาระ ไม่กล่าวถึงประเด็น ส าคัญ)
ฝชี่พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ในค าเดียว “ชุดคลุมอาคมของ เฉิงเฉียน อาณาเขตของฟ้ าดินได้รับการช่วยเหลือจากเทพอย่าง ลับๆ ประเด็นสาคัญคือเจ็ดดาวโคจรไปทางขวา นี่แสดงให้เห็นว่าเป็ น สมบัติหนักชิ้นหนึ่งที่มีอายุขัยมานานมากแล้ว ไม่แน่ว่าอาจยาวนาน กว่าประวัติศาสตร ์ของพรรคจินแชวด้วย”
อวี๋เจิ้นเอ่ยอย่างข าๆ ปนฉุน “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
ฝูชี่รู ้สึกไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว “เป็ นสหายกับบุรุษหยาบ กระด้างอย่างเจ้าช่างเหนื่อยใจจริงๆ”
ได้แต่อธิบายให้สหายที่ไม่มีความรู ้ผู้นี้ฟังอย่างตั้งใจว่าเจ็ดดาว คืออะไร และเจ็ดดาวก็มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเจ็ดแสง คือคาศัพท์ ในทางดาราศาสตร ์ หมายถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร ์และห้าดาวประจ า ธาตุได้แก่ทอง ไม้ น้า ไฟและดิน และความต่างระหว่างการโคจร ทางซ ้ายกับการโคจรทางขวาก็เกี่ยวพันไปถึงการต่อสู้บนยอดเขา ของไพศาล การโต้เถียงกันเรื่องของการหมุนซ ้าย หมุนขวาของเจ็ด ดาวระหว่างลัทธิขงจื๊อกับสานักคานวณเป็ นที่ถกเถียงกันไม่หยุดมา โดยตลอด อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อหลายคนเรียบเรียง ปฏิทินดาราศาสตร ์ขึ้นมา กับสกุลลู่สานักหยินหยางของแผ่นดิน กลาง และยังมีบรรพจารย์ส านักค านวณอีกหลายคนท าสงครามบน กระดาษกันไปหลายครั้ง ช่วงแรกเริ่มสุดคากล่าวที่ว่าเจ็ดดาวโคจร ทางขวาได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง แทบจะกลายเป็ นข้อสรุปที่แน่ชัด ส่วน คาที่บอกว่าหมุนทางซ ้ายกลับแทบจะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดมา ภายหลังศาลบุ๋นมียอดฝีมือคนหนึ่งโผล่มาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ไปอย่างสิ้นเชิง นับแต่นั้นมาการโคจรทางซ ้ายก็กลายเป็ นข้อก าหนด ที่แน่ชัดและเป็ นความรู ้ที่สอนในโรงเรียน นี่จึงเป็ นเหตุให้ฝูชี่อาศัยสิ่ง นี้มาเป็ นตัวยืนยันให้แน่ใจว่าชุดคลุมอาคมลัทธิเต๋าที่ดวงดาวหมุนไป ทางขวาบนร่างของเฉิงเฉียนตัวนั้นมีประวัติความเป็ นมายาวนาน ผู้ ฝึกลมปราณทั่วไปยากที่จะได้สัมผัสกับเรื่องวงในที่ “อยู่สูง” พวกนี้ ฝู
ชี่เองก็เพราะมีชาติกาเนิดมาจากสายเยี่ยนอวี้ถัง มีทั้งเงินทั้งเวลาว่าง ถึงได้มีโอกาสทาความเข้าใจความรู ้ปลีกย่อยที่มองดูคล้ายไม่ สลักส าคัญต่อการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณพวกนี้
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในบางอย่าง ฝูชี่กลับไม่ได้พูดมากนัก ยกตัวอย่างเช่นชุดคลุมอาคมตัวนั้นของเฉิงเฉียนมีความเป็ นไปได้มา กว่าสามารถเชื่อมโยงเมืองยมบาลและโลกมนุษย์ให้ถึงกัน คือวิถีแห่ง ทิวาและราตรี พูดง่ายๆ ก็คือสามารถช่วยให้เฉิงเฉียนเดินไปบน เส้นทางของโลกมืดได้
ฝูชี่เอ่ยเตือน “พี่อวี๋ จ าไว้ว่าพอไปเจอกับท่านลุงท่านป้ าแล้วให้ บอกแค่ว่าข้าคือผู้ฝึกตนอิสระของราชวงศ์อวิ๋นเซียวเท่านั้น”
อวี๋เจิ้นพยักหน้ายิ้มกล่าว “เจ้าเองก็จ าไว้ว่าอย่าได้ถูกน้องสาว ของข้าหมายตา เพราะเป็ นสหาย ข้าถึงได้เตือนเจ้าด้วยความหวังดี”
ทางฝั่งของยอดเขาโพโม่ จางไช่ฉินถามว่า “ท่านลุงเฉิง จ้าวฝู หยางจะยอมมอบหยกลัญจกรโอรสสวรรค์ผู้สืบทอดมาให้แต่โดยดี จริงๆ หรือ?”
นักพรตที่มีใบหน้าเป็ นเด็กหนุ่มเอ่ยอย่างมั่นใจ “หากเป็ นเวลา ปกติ เกินครึ่งเขาคงจะรู้สึกว่าข้าแค่แสร้งข่มขู่ให้คนกลัว แสร้งท าเป็ น ไม่สนใจ ข้าคงต้องไปเยือนภูเขาเหอฮวานด้วยตัวเองรอบหนึ่งอย่าง เลี่ยงไม่ได้ แต่คืนนี้ก็คือคืนที่ภูเขาเหอฮวานมีอานาจรุ่งโรจน์มาก
ที่สุด จ้าวฝูหยางกับอวี๋ฉุนจือกลับกลายเป็ นว่าจะกังขาไม่แน่ใจ ไม่ กล้าไม่เห็นเป็ นจริงเป็ นจัง”
หากจ้าวฝูหยางยังยืนกรานในความผิดพลาดอย่างโงหัวไม่ขึ้น เขาก็คงได้แต่ช่วยเก็บกวาดเรือนให้สะอาดแทนอาจารย์ลุงแล้ว
ประโยคหยอกล้อประโยคนั้นของฝูชี่พูดเข้าเป้ าตรงเป๊ ะในค า เดียวเลยจริงๆ จ้าวฝูหยางเคยเป็ นลูกศิษย์ของพรรคจินแชวมาก่อน จริงๆ ได้รับความโปรดปรานจากบรรพจารย์บางท่านของพรรคจิน แชวถึงกับยอมแหกกฎถ่ายทอดคาถาที่เป็ นวิชาลับไม่แพร่งพราย ให้กับจ้าวฝูหยางโดยเฉพาะ แต่ติดขัดที่สถานะเผ่าปีศาจของจ้าวฝู หยาง เขาจึงไม่อาจเลื่อนขั้นเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพ จารย์ได้ ภายหลังก็มีคลื่นมรสุมเกิดขึ้นอีก ด้วยความโมโห จ้าวฝู หยางจึงออกมาจากสายของอารามจินเซียนยอดเขาชิงจิ้ง
อันที่จริงยอดเขาชิงจิ้งต่างหากถึงจะเป็ นภูเขาบรรพบุรุษของ พรรคจินแชว ต าแหน่งเจ้าประมุขในแต่ละรุ่นล้วนถูกอารามจินเซียน กุมไว้อย่างแน่นหนา เพียงแต่ว่าในรุ่นของเฉิงเฉียนกลายเป็ นยอดเขา ฉุยชิงซิ่งเป็ นคนมาทีหลังที่ไล่ตามมาทัน
จ้าวฝูหยางมีชาติกาเนิดจากงูหลามภูเขา ปีนั้นได้รับโชควาสนา จากอารามจินเซียนหลังจากฝึ กตนบรรลุมรรคาแล้วก็ออกมาจาก พรรคจินแชว กลายเป็ นเซียนอิสระ อาศัยการรวบรวมตราลัญจกร ของแคว้นที่ล่มสลายมารวบรวมปราณมังกร ใช ้ชดเชยการฝึกตน พยายามที่จะอาศัยการหลอมสิ่งนี้มาพิสูจน์มรรคา ฝึ กตนจน
กลายเป็ นจินเซียนกั่วเว่ยตามคากล่าวของสายยอดเขาชิงจิ้ง ตอนนี้ จ้าวฝูหยางไม่จาเป็ นต้องเดินลงน้าก็สามารถกลายร่างเป็ นเจียวได้ ออกจากภูเขาเหอฮวานที่เป็ นทั้งพื้นที่ประกอบพิธีกรรมและเป็ นทั้ง กรงขังนับแต่นั้นฟ้ าดินกว้างใหญ่
เจียวภูเขาขอบเขตก่อกาเนิดตนหนึ่ง มากพอจะเดินกร่างอยู่ใน แจกันสมบัติทวีปได้แล้ว
เฉิงเฉียนมองผู้เยาว์ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวด้วยสีหน้า เผยแววชื่นชม “ไช่ฉินไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น รับปากว่าจะเข้าร่วมงานพิธี แคว้นชิงซิ่งก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล อีกแล้ว”
เจินเหรินผู้เฒ่าหรี่ตามองเค้าโครงของภูเขาเหอฮวานที่อยู่ห่าง ไปไกล “ในอาณาเขตชายแดนแคว้นชิงชิ่งของพวกเรามีแต่พวก ปลายแถวมายึดครองพื้นที่ ไม่ใช่พวกผีปีศาจแต่ละคนไม่รู ้จักฟ้ าสูง แผ่นดินต่า กล้าเรียกขานตัวเองว่าเป็ นทะเลสาบซูเจี่ยนน้อย ท าเอา ขุนเขาสายน้าพันลี้แถบนี้อบอวลไปด้วยมลพิษสกปรก ไม่เข้าท่าเอา เสียเลย ยังดีที่ห่างจากงานพิธีกลางปีอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง หาไม่แล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าจะไปพบเฉินอิ่นกวานท่านนั้นจริงๆ”
จางไช่ฉินพยักหน้ารับ