กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1017.1 กวานเต๋าของใครเหมือนดอกบัวผลิบาน
บทที่ 1017.1 กวานเต๋าของใครเหมือนดอกบัวผลิบาน
ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตลอดทาง ชิงหนีพาคนประหลาดสองคนที่ คล้ายเก็บมาได้จากข้างทางกลับไปถึงเมืองเล็กได้อย่างปลอดภัย บาง ทีในสายตาของคนนอกนี่อาจเป็ นสถานที่ที่สกปรกมีแต่ผีร ้าย แต่ใน สายตาของเด็กสาวกลับน่าใกล้ชิด รอกระทั่งกลับไปถึงเมืองเล็กเด็ก สาวร่างผอมบางก็มีท่าทางโล่งอกอย่างชัดเจน ฝี เท้าก็แผ่วเบาขึ้น หลายส่วน ก่อนหน้านี้นางติดตามเด็กหนุ่มสะพายกระบี่เดินอยู่ในป่า ร่างกายของชิงหนีดูแข็งขืนอย่างเห็นได้ชัดเส้นเอ็นหัวใจขึงเกร็งอยู่ ตลอดเวลา บางทีสาหรับเด็กสาวที่เติบโตมาที่นี่แล้ว เมืองเล็กที่ คุ้นเคยกับฟ้ าดินที่แปลกหน้าด้านนอกก็คือความต่างราวกลางวันกับ กลางคืน
นักพรตหนุ่มถาม “สหายน้อยชิงหนี เมืองเล็กแห่งนี้มีชื่อหรือไม่?
“เฟิงเล่อ”
“ในอดีตเคยเป็ นสถานที่ที่สานักการทหารใช ้ในการต่อสู้ทา สงคราม ทุกวันนี้กลายเป็ นที่รังเกียจของผู้คน”
นักพรตที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะสวมชุดคลุมเต๋าผ้าฝ้ าย ตัวหนา เสื้อคลุมยาวถึงแค่เข่า รัดผ้าไว้ตรงน่องเล็ก คงเป็ นเพราะใน อาณาเขตของภูเขาเหอฮวานไม่มีถนนทางหลวงที่กว้างขวางให้เดิน บนผ้าที่ใช ้รัดขาของเขาจึงมีหนามติดเต็มไปหมด
เวลานี้สิ่งที่เด็กสาวกังวลยิ่งกว่าก็คือกลัวว่ารอกระทั่งกลับไปถึงที่ พักแล้วพี่หญิงโจวจะโมโห อย่าเห็นว่าพี่หญิงโจวอ่อนโยนเรียบร ้อย เวลาปกติพูดเสียงแผ่วเบา แต่อยู่ร่วมกันมานานหลายปี เด็กสาว สังเกตเห็นมานานแล้วว่าอันที่จริงพวกผู้ชายอย่างท่านลุงหลิวต่างก็ ให้ความเคารพยาเกรงต่อพี่หญิงโจวอย่างมาก
เดินอ้อมกันไปหลายตลบ ชิงหนีพานักพรตหนุ่มและเด็กหนุ่ม สะพายกระบี่เดินเข้าไปในตรอกที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ระหว่างทางนาง บังเอิญหันกลับไปมองครั้งหนึ่งก็เห็นว่านักพรตผู้นั้นเหลียวซ ้ายแล ขวาอยู่ตลอด คิดว่าก าลังส ารวจเส้นทางอยู่หรือไร?
โจวชิวที่กางร่มสวมรองเท้าปักลายมาโผล่ตรงมุมเลี้ยวของตรอก สองตรอก นางขมวดคิ้วน้อยๆ “กลับมาทาไม?”
เด็กสาวผิวดาร่างผอมบางบิดชายเสื้อ เม้มปาก ตลอดทางมานี้ นางคิดหาข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นไว้หลายข้อ แต่พอได้เจอกับพี่หญิงโจว เด็กสาวกลับไม่ยินดีจะโกหก
โชคดีที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ช่วยเปิดปากอธิบายแทนนาง “ก่อน หน้านี้ตอนอยู่ใต้ต้นไม้ นับตั้งแต่นาทีที่ข้ารับเงินมาก็ถือว่ารับงานคุ้ม กันครั้งนี้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่ แม่นางโจว ข้ารับรองว่าจะพาชิงหนีออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานให้ ได้อย่างปลอดภัย หากว่าแม่นางโจวไม่เชื่อ ข้าผู้แช่เฉินก็สามารถ สาบานไว้ตรงนี้ได้เลยว่าหากวันนี้ชิงหนีขนหายไปสักเส้นอยู่ในเมือง
เล็กแห่งนี้ นักพรตลู่ข้างกายข้าซึ่งบอกว่าตัวเองเป็ นสหายรักของข้า ก็จะตัดหัวสุนัขของตัวเองเพื่อขออภัยแม่นางโจว”
สีหน้าของนักพรตลู่เหลอหรา “หา?”
โจวชิวสะกดกลั้นไฟโทสะที่มีอยู่เต็มอก ถามว่า “ท่านผู้นี้คือ?”
นักพรตหนุ่มรีบหันหน้าไปทางอื่น กระแอมเบาๆ สองสามที่ให้ ลาคอชุ่มชื้น ก่อนจะคารวะตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “เสี่ยวเต้าแซ่ลู่ เชี่ยวชาญการทานายอักษรและเสี่ยงเซียมซีดูดวง เชี่ยวชาญการดูลายมือให้ผู้อื่นมากเป็ นพิเศษ ราคายุติธรรม ไม่ หลอกลวงเด็กสตรีและคนชรา หากไม่แม่นจะไม่ยอมรับเงินเด็ดขาด!”
ด้านหลังโจวชิวมีชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะคนหนึ่งเดินออกมา ฝ่ ามือค้ายันด้ามดาบตรงเอว พอเขาเห็นภาพนี้ก็ตัดใจด่าเด็กโง่ผู้นั้น ไม่ลง แล้วก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรออกมาต่อหน้าทุกคน ได้แต่ใช้เสียง ในใจบ่นว่า “โจวชิว ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
โจวชิวเองก็รู้สึกหัวโตเป็ นสองเท่า ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้องโทษ ข้า หาคนผิดเสียแล้ว”
ชายฉกรรจ์ถาม “หากไม่ได้จริงๆ ข้าไปขอให้ตาเฒ่าชีช่วยดี ไหม?”
โจวชิวกล่าว “อีกเดี๋ยวข้าค่อยคุยกับพวกเขา”
ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน “อย่าให้เสียเวลานานเกินไปนัก”
โจวชิวลูบศีรษะของเด็กสาว “เวลาปกติก็เชื่อฟังดีอยู่หรอก ทาไม พอถึงเวลาส าคัญกลับท าตัวเหลวไหลเสียแล้วเล่า”
ชิงหนีเอ่ยเสียงเบา “บ้านอยู่ที่นี่ พวกพี่หญิงโจวและท่านลุงหลิว ต่างก็อยู่ที่นี่ ข้าตัดใจจากไปไม่ได้”
โจวชิวยิ้มขืนไร ้คาจะกล่าว พาพวกเขาไปที่เรือนหลังหนึ่งที่เรียบ ง่ายแต่สะอาดสะอ้านเด็กสาววางห่อสัมภาระลง ไปหยิบชามขาวจาก ในห้องครัวมาอย่างคุ้นเคย หยิบกระบวยน้าเต้าตักเหล้าหมักข้าว เหนียวจากในถังเหล้า คนทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะตัวเล็กในลานบ้าน ชิงหนี ยกชามเหล้ามาวางบนโต๊ะแล้วนางก็ไม่ได้นั่งลง แต่รินเหล้าข้าว เหนียวให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วไปนั่งที่ธรณีประตูของห้องครัว
ชายฉกรรจ์พกดาบยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อหลิวเถี่ย เชื่อว่าคุณชายเฉิน และนักพรตลู่ก็น่าจะดูออกว่าข้าไม่ใช่คนของโลกมนุษย์มานานแล้ว ทั้งสองท่านไม่ถือสาเรื่องนี้ ทั้งยังยินดีดื่มเหล้าร่วมโต๊ะ ข้าก็ขอดื่มคา ระท่านทั้งสองก่อน”
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กับนักพรตหนุ่มต่างก็ยกชามเหล้าขึ้น หลิวเถียดื่มหมดรวดเดียวโจวชิวไม่ดื่มเหล้าจึงผลักชามของตนไป ให้กับชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะ
เฉินผิงอันถาม “พี่ใหญ่หลิวเป็ นคนที่ไหน? ฟังจากส าเนียงแล้ว ไม่เหมือนคนของแคว้นชิงซิ่งเลย”
หลิวเถี่ยกล่าว “มาจากทางเหนือ”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ทางเหนือไหน ทางเหนือของลาน้าใหญ่?”
หลิวเถี่ยส่ายหน้า “นักพรตลู่พูดตลกแล้ว ทางเหนือของลาน้า ใหญ่ก็คือราชวงศ์ต้าหลีแล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยชื่นชม “บางทีขอบเขตของเสี่ยวเต้าอาจจะไม่สูง แต่ สายตาในการมองคนกลับแม่นย าอย่างมาก แค่มองพี่หลิวก็รู ้แล้วว่า เป็ นแม่ทัพผู้กล้าบนสนามรบที่มากไปด้วยพละก าลัง เคยท างานใน กองทัพที่งานยุ่งวุ่นวาย (หรงหม่าคงฮู) เคยเป็ นขุนนางใหญ่มาก่อน”
หลิวเถี่ยอึ้งตะลึง โจวชิวมีสีหน้าเป็ นปกติ
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าประตูถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่ต้องพูดว่าหรง หม่าคงจ่งหรือ?”
นักพรตที่เอ้อระเหยลอยชายผู้นี้คือซิ่วไฉที่ชอบใช ้คาผิดไม่มี ความรู้หรือ?
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ยิ้มบางๆ “คงจะอ่านเป็ นตัวอักษรที่ยืมเสียง กันมาใช ้กระมัง?”
ลู่เฉินไม่รู ้สึกลาบากใจแม้แต่น้อย ใช ้นิ้วโป้ งเช็ดมุมปาก “ตอนนี้ ที่ใหญ่หลิวประสบความสาเร็จอยู่ที่จวนซานจวินแห่งใด? เสี่ยวเต้าได้ ยินมาว่าภูเขาจุ้ยยวนและภูเขาอูเถิงต่างก็สร ้างกองทัพขึ้นมา มีกอง กาลังทหารที่แข็งแกร่ง ด้วยความสามารถของพี่ใหญ่หลิว ไม่คว้า ต าแหน่งผู้บัญชาการมาเป็ นก็ต้องเป็ นเพราะดวงตาของผู้ดูแลสอง จวนไปงอกอยู่บนกันหมดแล้ว”
หลิวเถี่ยหัวเราะ “มิอาจปืนป่ าย ไม่พูดเรื่องที่ทาลายบรรยากาศ พวกนี้แล้ว ข้ายังมีธุระไม่สะดวกจะอยู่นาน”
ดื่มเหล้าไปสองชาม หลิวเถี่ยก็ขอตัวลาจากไป โจวชิวลุกขึ้นยืน ส่ง ออกจากประตูไปถึงในตรอกแล้วต่างคนก็ต่างยกยิ้มจืดเขื่อนให้ กัน เดิมนึกว่านักพรตผู้นั้นเป็ นยอดฝีมือ หากเขามีตบะเป็ นขอบเขต ถ้าสถิตซึ่งสูสีกับเฉินเหรินที่เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ ผู้ฝึกลมปราณ คนหนึ่งกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งคุ้มกันชิงหนีส่งออกไปจากที่แห่ง นี้ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นคิดไม่ถึงว่านักพรตผู้นี้พอมาถึงเมืองเล็ก ลมหายใจกลับติดขัด ลมปราณขุ่นมัวระหว่างที่หายใจค่อนข้างจะ รุนแรง เห็นได้ชัดว่ายังมิอาจปรับตัวเข้ากับลมปราณดุร ้ายอึมครึม ของที่แห่งนี้ได้ ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางอย่างแน่นอน
ตอนที่โจวชิวมีชีวิตอยู่เคยเป็ นสายลับ แล้วก็เป็ นผู้ฝึกตนติดตาม กองทัพคนหนึ่ง ดังนั้นกลุ่มทหารม้าสิบกว่านายอย่างพวกหลิวเถี่ย ไม่ว่าจะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตอนที่ตายไปแล้วก็ช่าง ล้วนเคารพนับ ถือโจวชิวอย่างมาก
เฉินผิงอันถาม “ชื่อจริงของแม่นางน้อยคืออะไร?”
เด็กสาวผิวดาเกรียมที่นั่งอยู่ตรงธรณีประตูอึ้งงันไร ้คาพูด อีก ฝ่ ายมองเพศของตนออกได้อย่างไร?
โจวชิวยิ้มกล่าว “หนีชิง สลับกันแล้วค่อยตั้งเป็ นชื่อที่ออกเสียง เหมือนกัน”
นักพรตหนุ่มคล้ายคนบ้านนอกที่ไม่มีความรู ้ด้านบทประพันธ ์ ถามว่า “แซ่อะไร?”
โจวชิวยิ้มเอ่ย “นักพรตสู่คือเทพเซียนลัทธิเต๋า ไม่เคยอ่านบท ปรมาจารย์และบทน้าสารทของสุดยอดบุคคลแห่งลัทธิเต๋าท่านนั้น บ้างเลยหรือ? ค าว่าหนีจากประโยค “ไม่รู ้เส้นสนกลใน” คือผิดถูกมิ อาจแยกแยะ เล็กใหญ่มิอาจกาหนด อย่าว่าแต่พระธรรมาจารย์ที่มี คุณูปการสูงอย่างนักพรตลู่เลย ดูเหมือนว่าต่อให้เป็ นผู้ฝึกตนที่ไม่ใช่ คนของลัทธิเต๋า หรือแม้กระทั่งชาวบ้านในตระกูลปัญญาชนทั่วไปก็ น่าจะรู ้สองประโยคนี้กระมัง?”
นักพรตลู่ร ้อนใจทันใด “เสี่ยวเต้าก็แค่ไม่เคยอ่านบทอะไรกับบท อะไรนั่นเท่านั้น จะเป็ นนักพรตปลอมไปได้อย่างไร แม่นางโจวเห็นว่า นับแต่เด็กมาผินเต้าก็มีชาติก าเนิดยากจนอ่านต ารามาไม่มากก็เลย คิดจะรังแกกันหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก จิบเหล้าข้าวเหนียวหนึ่งคา รสชาติไม่ เหมือนเหล้าหมักของต่งสุ่ยจิ่ง
โจวชิวยิ้มเอ่ย “มรรคาสูงต่าไม่อยู่ที่ว่าอ่านต ารามามากหรือน้อย นักพรตลู่”
นักพรตเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “คนผู้นี้มีความสามารถเพียงใดถึงได้ ท าให้แม่นางโจวคุ้นเคยเช่นนี้…”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ”
ลู่เฉินได้แต่หยุดคาพูดโอ้อวดตัวเองซึ่งร่างไว้ในใจเรียบร ้อยแล้ว เปลี่ยนหัวข้อพูดใหม่หันไปมองแม่นางผิวดาร่างผอมแห้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนีชิง ชื่อดี พูดจาได้ตามใจทุกวันสอดคล้องตามกฎของ ธรรมชาติ ปราณแห่งฤดูใบไม้ร่วงแข็งแกร่งเยียบเย็น อากาศสดชื่น พืชหญ้าร่วงโรย อันที่จริงชิงหนีก็เป็ นชื่อที่ดีเหมือนกัน สันเขาชิงหนี เหมือนด่านกระบี่ ลมหิมะพันหมื่นภูเขา ชื่อจริงหนีชิง ฉายาชิงหนี ยอดเยี่ยมจริงๆ”
โจวชิงคลางแคลงอยู่ในใจ เพราะอาศัยแค่ประโยคที่ว่า “พูดจา ได้ตามใจทุกวันสอดคล้องตามกฎของธรรมชาติ” นักพรตแซ่ลู่ผู้นี้ ย่อมต้องเคยอ่านบทปรมาจารย์และบทน้าสารทมาก่อนอย่างแน่นอน
นางมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่พอนั่งลงดื่มเหล้าก็เงียบขรึมพูด น้อย แล้วจึงมองนักพรตหนุ่มที่ดื่มเหล้าไปเจ็ดแปดคาแล้วยังดื่มเหล้า หนึ่งตาลึงไม่หมดเสียที คนหนึ่งพูดจาค าใหญ่ค าโตเหมือนกลัวว่า หากไม่ทาให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา คนหนึ่งพูดเจื้อยแจ้วไม่ หยุด หัวเราะหน้าหน้าทะเล้น พูดถึงเรื่องเล่าประหลาดด้วยท่าทางสน อกสนใจ มิน่าเล่าสหายสองคนถึงมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกันได้?
โจวชิวกล่าว “นักพรตลู่”
จะถ่วงเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้วจริงๆ แสงรุ ้งกับแสงกระบี่ผุดวาบ ขึ้นที่ยอดเขาโพโม่เป็ นการบอกกล่าวแก่นาง
นักพรตหนุ่มรีบเอ่ยว่า “เรียกพี่ลู่ก็พอ”
โจวชิวแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน เอ่ยว่า “เมืองเฟิ งเล่อแห่งนี้คือ สถานที่แบบใด คิดดูแล้วพวกเจ้าสองคนก็น่าจะรู ้กันดีแล้ว โดยเฉพาะ คืนนี้ทางภูเขาเหอฮวานรับสมัครลูกเขย มีคนดีและคนเลวปะปนกัน มากมาย ระดับความอันตรายเหนือกว่าปกติ ข้ากับหลิวเถี่ยมีบุญคุณ ความแค้นส่วนตัวที่ต้องสะสาง โอกาสชนะมีไม่มาก แม้จะรู ้แต่ก็ยังจะ ท า แน่นอนว่าเพราะมีความจาเป็ น หวังว่าทั้งสองท่านจะไม่ซักไซ ้ เพียงแค่เพราะถูกก าหนดมาแล้วว่าจะดูแลหนีชิงไม่ได้ ดังนั้นก่อน หน้านี้ข้าถึงได้ไปหาคุณชายเฉิน หวังว่าจะพาหนีชิงออกไปจาก อาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน ออกไปให้ห่างจากสถานที่อันตราย แห่งนี้ ปีนั้นหลังจากข้ากลายเป็ นผีก็ขอพักอาศัยอยู่ในบ้านบรรพ บุรุษของหนีชิงมาโดยตลอด ภายหลังพวกหลิวเถื่ยก็มาลงหลักปัก ฐานอยู่ที่ตรอกแห่งนี้ หลายปีมานี้ เรื่องบางอย่างที่พวกผีไม่สะดวกจะ ท าอันที่จริงหนีชิงล้วนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด มีบุญคุณตอบแทน บุญคุณ มีความแค้นสะสางความแค้น เป็ นเรื่องที่สมเหตุสมผลตาม หลักฟ้ าดิน ดังนั้นขอร ้องท่านทั้งสองโปรดรีบพาหนีชิงไปจากเมือง เฟิงเล่อ หากคุณชายเฉินรังเกียจว่าเงินน้อยเกินไป ไม่ยินดีจะช่วยคุ้ม กัน ข้าสามารถมอบเงินเทพเซียนเพิ่มให้อีกก้อนหนึ่งได้”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ลู่เฉิน “เดิมทีข้าคิดจะกลับไปที่เมืองหลวงแคว้น ชิงซิ่งแล้ว แต่เขาจะกลับมา พูดจาน่าเชื่อถือว่าหากหนีชิงกลับมาที่ เมืองเล็กก็จะมีโชควาสนาอย่างหนึ่งรอนางอยู่”
โจวชิวมองไปยังนักพรตผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่านักพรตจะนั่งหันตัวเบี่ยงหน้าไปทางประตูเรือนนาน แล้ว ไม่ยอมสบตากับแม่นางโจว
โจวชิวจนใจ ได้แต่รอฟังข่าวจากทางหลิวเถี่ยเท่านั้น ขอให้ผู้ เฒ่าแช่ชีให้ความช่วยเหลือ ให้ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ผู้นี้มาหาคนมาพาหนีชิงส่งออกไปนอกเมืองเล็ก
จากนั้นทุกคนที่อยู่ในลานบ้านก็เอาแต่ดื่มเหล้า ไม่พูดคุยกันอีก
เพียงไม่นานหลิวเถี่ยก็พาผู้เฒ่าคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งมา โจวชิ วลุกขึ้นยืน กุมมือเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชี แม่นางหลวี่”
ผู้เฒ่าแซ่ชีนามซ่ง คือเค่อชิงอันดับหนึ่งของสกุลจางเขตเทียน เฉา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง
คราวก่อนผู้ฝึ กตนสกุลจางมาชนกาแพงที่นี่ก็เป็ นชีซ่งที่ รับผิดชอบดูแลอยู่เบื้องหลังถึงได้หลีกเลี่ยงความเสียหายที่มากกว่า นั้นมาได้ ทั้งสองฝ่ ายลั่นกลองถอนทัพ มีเพียงชีซ่งที่เดินมาถึงเมือง เล็กตีนเขาเพียงล าพัง จะบอกว่าไปโอ้อวดบารมีต่อภูเขาเหอฮวานก็ ได้ จ้าวฝูหยางและอวี๋ฉุนจือเองก็ไม่ยินดีจะสู้จนตายตกกันไปข้างกับ ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่บนร่างแบกรับโชคชะตาบู๊ จึงปล่อยให้อีกฝ่ ายอยู่ที่ เมืองเล็ก วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชีซ่ง มาอยู่อีก แม้จะเป็ นสตรี แต่กลับเป็ นผู้ฝึ กยุทธที่ดุร ้ายมากคนหนึ่ง เคยลงมือในเมืองเฟิ งเล่อหลายครั้ง สตรีที่ชื่อว่าหลวี่โม่ผู้นี้อายุ
สามสิบกว่าปีก็อยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตห้าแล้ว ว่ากันว่าทางฝั่ง แคว้นชิงซ่งยังคิดจะรับตัวนางให้ไปเป็ นครูฝึกประจ ากองทัพด้วย
ชีซ่งคือผู้เฒ่าร่างอ้วนเตี้ยที่มีเคราครึ้มพุงยื่น เขายิ้มตาหยี พอ เห็นนักพรตสวมชุดผ้าฝ้ ายกับเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานก็แสร ้งท า เป็ นถามอย่างกังขา “แม่นางหลิ่วมีแขกอยู่หรือคงไม่รบกวนการดื่ม เหล้าของทุกท่านหรอกนะ?”
นักพรตหนุ่มโบกมือเป็ นพัลวัน ยิ้มกล่าว “ผู้ที่มาล้วนเป็ นแขก รบกวนอะไรกัน ที่บ้านไม่ได้ขาดเหล้าเสียหน่อย”
หลวี่โม่ไม่ได้รูปร่างบอบบางเหมือนแม่นางโจว เรือนกายของนาง อวบอิ่ม มองปราดๆ ไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธจริงๆ เหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ใน ตระกูลร่ารวยที่กินดีอยู่ดีมากกว่า
เมื่อครู่นี้นักพรตจ้องเขม็งมาที่หน้าประตูเรือน สิ่งที่ปรากฏใน คลองจักษุเป็ นอย่างแรกไม่ใช่ใบหน้าด้านข้างของสตรี ต้นทุนของ นางจะมีล้นเหลือแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้
นักพรตหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับหลิวเถี่ย หึ ที่แท้พี่ใหญ่หลิวก็ ชอบแบบนี้เองหรือชอบกินเนื้อติดมันควบกับเนื้อสามชั้นสินะ
หลิวเถี่ยมึนงงไม่เข้าใจ ได้แต่ทาเป็ นมองไม่เห็นสีหน้าประหลาด ของนักพรตลู่ หนีชิงยกม้านั่งยาวสองตัวมาจากในห้องหลัก พี่หญิง โจวกับท่านลุงหลิว อาจารย์และศิษย์สองคนสองฝ่ ายนั่งเก้าอี้กันคน ละตัว
โจวชิวบากหน้าเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน นักพรตลู่ ข้าคงไม่พูดอ้อม ค้อมกับพวกเจ้าแล้วหลิวเถี่ยพูดคุยกับผู้อาวุโสชีและแม่นางหลวี่ เรียบร ้อยแล้ว แม่นางหลวี่จะออกหน้าคุ้มครองหนีชิงส่งออกจากเมือง เล็กเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้า เพียงแค่พูดว่าตกลง จากนั้นก็ไม่มีความ เคลื่อนไหวอีก
ลู่เฉินรู ้สึกว่าตัวเองหน้าบาง ได้แต่เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “น้องเฉิน เจ้าไม่มีแววตาบ้างเลย แม่นางโจวก าลังบอกเป็ นนัยให้เจ้าเอาเงินเทพ เซียนสองถุงนั่นออกมานะ”
เฉินผิงอันเหล่ตามองมา “เกี่ยวผายลมอะไรกับเจ้าด้วย”