กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1017.2 กวานเต๋าของใครเหมือนดอกบัวผลิบาน
บทที่ 1017.2 กวานเต๋าของใครเหมือนดอกบัวผลิบาน
ลู่เฉินร ้อนใจจนเกือบจะยกเท้าขึ้นมาแคะเล็บ “อย่ามัวอึ้งอยู่สิ เงิน เกล็ดหิมะถุงหนึ่งมอบให้ปรมาจารย์ชีและพี่หญิงหลวี่เป็ นค่าใช ้จ่ายใน การคุ้มกัน เงินร ้อนน้อยถุงหนึ่งคืนให้กับแม่นางโจว”
ชีซ่งหัวเราะหึหึ ยื่นมือมาลูบหน้าทองกลมป่องของตัวเอง
หลวี่โม่ขมวดคิ้วน้อยๆ นักต้มตุ๋นสองคนนี้โผล่มาจากไหน เด็ก หนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ หรือ?
โจวชิวยิ้มเอ่ย “บางทีนักพรตลู่อาจจาผิดไป เงินร ้อนน้อยถุงนั้น จึงจะเป็ นค่าคุ้มกันที่ข้าตกลงกับคุณชายเฉินเอาไว้”
“พี่น้องกันเองก็ยังหลอกกันได้ลงคอหรือ?! ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอก ว่าได้เงินเกล็ดหิมะมาแค่ถุงเดียวหรือไร?”
นักพรตหนุ่มถลึงตาใส่ แต่จากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความ กระเหี้ยนกระหือรือสายตาร้อนระอุ ถูมือเอ่ยว่า “คนตายเพราะ ทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร เวลาปกติเอาศีรษะไปผูกไว้กับเข็ม ขัดกางเกง กาจัดปีศาจปราบมารไปทั่วเพิ่งจะได้เงินเกล็ดหิมะมากี่ เหรียญเอง เงินร ้อนน้อยหนึ่งถุง! การคุ้มกันครั้งนี้ ผินเต้ารับไว้แล้ว! ไม่รบกวนพี่หญิงหลวี่ให้ต้องออกเดินทาง…”
หลวี่โม่สีหน้าไร ้อารมณ์ ยกชามเหล้าขึ้น แต่กลับบิดหมุนปลาย เท้าเบาๆ ทันใดนั้นนักพรตหนุ่มก็กระเด็นออกไปทั้งคนทั้งเก้าอี้ นาง ประหลาดใจเล็กน้อย นักพรตผู้นี้อ่อนแอมิอาจทานแรงลมได้ถึงเพียง นี้เชียวหรือ?
นางเพียงแค่พลิกหมุนข้อมือ พายุลมกรดระลอกหนึ่งก็เข้าไป “รองรับ” ระหว่างนักพรตและผนังไว้ได้อย่างพอเหมาะพอดี ร่าง นักพรตหนุ่มกระแทกลงพื้น ลุกขึ้นได้ก็ใช ้มือหนึ่งเท้าเอว อีกมือหนึ่ง ยกขึ้น พูดเสียงสั่น “ไม่เป็ นไร…โอ้ย ไม่เป็ นไร ไม่ถือว่าไม่เป็ นไร แค่ เอวเคล็ดเล็กน้อย เรื่องเล็ก เรื่องเล็กน้อย!”
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่เงยหน้าขึ้นกล่าว “แม่นางหลวี่ละลาบละล้วงหยั่งเชิงเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเจอตะปูแข็งบ้าง หรือไร? หรือจะบอกว่าผู้ฝึกยุทธที่เป็ นเค่อชิงของสกุลจางเขตเทียน เฉาล้วนนิสัยเจ้าอารมณ์กันแบบนี้?”
ชีซ่งพยักหน้ายิ้มกล่าว “หาเงินด้วยความปรองดอง หาเงินด้วย ความปรองดอง หลวี่โม่ รีบขอโทษนักพรตลู่เร็วเข้า สหายน้อยเฉิน พูดได้ถูกต้องออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกต้อง ทาดีกับคนอื่น จะเอา แต่รู ้สึกว่าคนทั้งใต้หล้าเป็ นพวกชั่วช ้ามีแต่เจตนาร ้ายไม่ได้”
หลวี่โม่ลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ล่วงเกินแล้ว”
นักพรตหนุ่มหิ้วม้านั่งเล็กตัวหนึ่งขึ้นมา เดินโซเซกลับมานั่งที่ เดิม ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ตีเพราะ สนิทใจด่าเพราะรัก พี่หญิงหลวี่…”
ปากพูดจาไม่เป็ นการเป็ นงาน แต่จู่ๆ นักพรตหนุ่มกลับหน้า เปลี่ยนสี แม่นางน้อยกล้าสามหาวใส่นายท่านเช่นนี้ เล็งให้แม่นยา แล้ว…กระโดดพรวดออกไป เอาม้านั่งเป็ นอาวุธลับกระแทกเข้าใส่ หลวี่โม่ ผลคือถูกสตรีที่เป็ นผีเดินอ้อมโต๊ะมาแค่ไม่กี่ก้าว มือหนึ่งยื่น มาคว้าม้านั่ง โยนลงพื้น จากนั้นเดินมาหยุดตรงหน้านักพรต ถอง ศอกใส่หน้าอกของอีกฝ่ าย ถองจนสองเท้าของนักพรตลอยพ้นผืน ร่างทั้งร่างลอยอยู่กลางอากาศแล้วไปหล่นอยู่ในห้องหลักของเรือน แผ่นหลังกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะแปดเซียน เกิดเสียงลั่นดังตุ้บ หน้า คว่ากระแทกพื้น นักพรตร ้องโอดโอยอยู่พักใหญ่ก็ยังลุกไม่ขึ้น พูด เสียงอู้อี้ว่าเอวหักแล้ว น้องเฉินช่วยข้าด้วย
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ควักเงินเทพเซียนสองถุงออกมา โยนไว้บน โต๊ะ “ในเมื่อชอบหาเรื่องนักก็เอาไป”
โจวชิวเหลือบมองถุงเงินสองใบที่อยู่บนโต๊ะ คิ้วกิ่งหลิวของนางตั้ง ชัน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งกว่าจะข่มกลั้นอารมณ์ไว้ได้อย่างไม่ ง่าย ไม่ได้เปิดปากพูดแฉอีกฝ่ าย ช่างเถอะเงินร ้อนน้อยหายไปแค่ ไม่กี่เหรียญก็ถือเสียว่าเป็ นค่าเดินทางที่เฉินเหรินคุ้มกันหนีชิงมาส่งที่ เมืองเล็กแล้วกัน
หลวี่โม่เก็บเงินร ้อนน้อยถุงนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วค่อยโยน เงินเทพเซียนอีกถุงหนึ่งให้กับหนีชิง ยิ้มเอ่ยว่า “นังหนู พวกเรา สามารถออกเดินทางกันได้แล้ว”
โจวชิวกล่าว “หลิวเถี่ย ไปส่งหน่อย”
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะวางชามเหล้าลง
หนีชิงท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เห็นว่าพี่หญิงโจวเหมือนจะโกรธก็ ได้แต่หยิบร่มกระดาษน้ามันและห่อสัมภาระขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ติดตาม สตรีออกไปจากเรือนด้วยกัน หันกลับไปมอง พี่หญิงโจวพยักหน้าให้ นาง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตีหน้าเคร่งดื่มเหล้า นักพรตที่สวมกวาน เต๋าดอกบัวไว้บนศีรษะนอนฟุบอยู่ที่ธรณีประตูห้องหลัก โบกมือมา ทางนาง ถึงกับยังยิ้มได้อีก
เดินอยู่ในตรอกเล็ก เด็กสาวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฝืนร่ายวิชา เสียงในใจ เอ่ยว่า “ท่านลุงหลิว นักพรตลู่ผู้นั้น กวานเต๋าบนศีรษะของ เขาประหลาดนัก ข้าไม่เคยเห็นในเมืองเล็กมาก่อน”
เคยได้ยินพี่หญิงโจวพูดว่านักพรตที่มีเอกสารรับรองการออก บวชอย่างถูกต้องล้วนมีข้อพิถีพิถันในการแต่งกาย มิอาจล้าเส้นได้ แม้แต่น้อย หาไม่แล้วหากถูกจับได้ก็จะต้องกินข้าวแดงในคุก เหมือน อย่างกวานเต๋าของฉีเทียนจวินแห่งสานักโองการเทพที่เป็ นรูปหาง ปลา หนึ่งสานักมีสายผู้สืบทอดหลากหลาย เพียงแต่ว่านักพรตหนุ่ม แซ่ลู่กลับเป็ นกวานดอกบัว ทางฝั่งของเมืองเล็กแห่งนี้ก็มีผู้ฝึ ก
ลมปราณบางส่วนที่มีชาติกาเนิดมาจากภูตที่ชอบแต่งกายเป็ น “นาย ท่านนักพรต” อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยมีใครสวมกวานเช่นนี้
หลิวเถี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “หมายความว่าไง?”
หนีชิงกล่าว “กวานเต๋าเหมือนดอกบัวที่ผลิบาน”
หลิวเถี่ยหยุดเดิน สีหน้าซับซ ้อน รู ้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา กะทันหัน
หากเขาจาไม่ผิด ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ นักพรตที่มี คุณสมบัติจะสวมกวานดอกบัว นอกจากอารามเต๋าเล็กไม่กี่แห่งบน ภูเขาของสานักโองการเทพที่ไม่มีชื่อเสียง ควันธูปบางเบาแล้วก็มีแค่ อารามหลิงเฟยของราชวงศ์ต้าซวงเก่าเท่านั้น อดีตเจ้าอารามคือ เซียนจวินเฉาหรง เพียงแค่เพราะเขาคือลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิลู่ของป๋ า ยอวี้จิงจึงสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ ได้รับธรรมโองการในอารามจึงได้รับเกียรตินี้ไปด้วย และนี่ยังเป็ น เรื่องลับบนภูเขาที่หลิวเถี่ยได้ยินมาจากโจวชิวอีกที
จุดที่ลี้ลับมากที่สุดนั้นอยู่ที่ในสายตาของหลิวเถี่ยแล้ว นักพรต หนุ่มผู้นั้นไม่ได้สวมกวานเต๋าอะไรเลย!
หากเขามองเวทอ าพรางตาไม่ออกก็ยังไม่เท่าไร แต่โจวชิวคือผู้ ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีวิชาสืบทอดลึกล้า นางจะมองพลาดได้ อย่างไร?
คนแซ่ลู่ผู้นั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ าไม่กลัว ตาย ก็ต้องเป็ นนักพรตบนทาเนียบที่มาจากอารามหลิงเฟย?!
หลิวเถี่ยเป็ นคนคิดอ่านรอบคอบ เขายังคงเดินหน้าต่อไปแต่ถาม เหมือนไม่ใส่ใจว่า “แม่นางหลวี่มองระบบสืบทอดและรากฐานบนภูเขา ของนักพรตคนนั้นออกไหม?”
หลวี่โม่ยิ้มกล่าว “ก็คือนักต้มตุ๋นยากจนคนหนึ่ง แต่เป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณจริงๆ เป็ นศาสตร ์ชักนาและวิชาการหายใจที่ช่วยให้ร่างกาย แข็งแรงอยู่บ้าง การลงมือสองครั้งของข้าในจานบ้านก่อนหน้านี้ออก แรงอย่างเหมาะสม หากเป็ นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางจริงก็ไม่น่าจะมี สภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนั้น หากจะบอกว่าเขาแสร ้งทา ก็คงไม่ถึง ขั้นนั้น ด้วยความสามารถในการมองคนของอาจารย์ข้า นอกจาก เซียนดินแล้วก็ไม่มีใครที่จะหลอกท่านผู้อาวุโสได้ หากจะบอกว่าเขา เป็ นเทพเซียนพสุธาที่ชอบท่องเที่ยวพเนจรจริงๆ ไม่ว่าจะคาพูดและ การกระทา คิดดูแล้วก็คงไม่น่าจะลดเกียรติตัวเองถึงขนาดนี้”
หลิวเถี่ยใช ้เสียงในใจถามอีกว่า “เล่าลือกันว่าพรรคจินแชวของ เงินเหรินผู้เฒ่าเฉิงมีสายของอารามจินเซียนยอดเขาชิงจิ้งที่ควันธูป โชติช่วงไม่แพ้ให้กับยอดเขาฉุยชิงเลย อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับ อารามหลิงเฟยที่อยู่ทางทิศใต้สุดอีกด้วย?”
หลวี่โม่ตกตะลึงอย่างหนัก ใช ้วิธีการรวมเสียงให้เป็ นเส้นของผู้ ฝึกยุทธยิ้มเอ่ยว่า “ข่าวสารของหลิวเปียวจ่างว่องไวขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่เรื่องวงในบนภูเขาประเภทนี้ก็ยังรู ้ด้วย? ข้าเคยได้ยินอาจารย์
บอกว่ายอดเขาชิงจิ้งที่ตั้งของอารามจินเซียนคือภูเขาบรรพบุรุษของ พรรคจินแชว ระบบสืบทอดที่แท้จริงของบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาท่าน นั้นมาจากอารามหลิงเฟยจริงๆ เพียงแต่ไม่รู ้ว่าทาไมหลายร ้อยปีที่ ผ่านมาอารามจินเซียนถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับภายนอก ตามหลัก แล้วสามารถมีความเกี่ยวข้องกับอารามหลิงเฟย หรือตอนนี้ควรจะ เรียกว่าตาหนักหลิงเฟยได้เช่นนี้ ไม่ป่ าวประกาศต่อภายนอกเป็ นวง กว้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะปิ ดบังไว้ถึงจะถูก อาจารย์เดาว่า บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของอารามจินเซียนท่านนั้นบางทีปีนั้นอาจจะ เป็ นลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งซึ่งถูกเฉาหรงเทียนจวินขับไล่ลงจากภูเขา ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ อาจารย์รู ้เรื่องพวกนี้ก็เพราะสนิทสนม กับบรรพจารย์สกุลจางเขตเทียนเฉาจนพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง”
หลิวเถี่ยกาด้ามดาบไว้แน่น ใช ้เสียงในใจถามเด็กสาวที่อยู่ข้าง กาย “หนีชิง นักพรตผู้นั้นเคยมีคาพูดอะไรที่เป็ นการเปิดเผยตัวตน หรือไม่? ลองคิดดูให้ดี อย่าปล่อยเบาะแสใดๆ ให้เล็ดรอดไป”
หนีชิงกล่าว “มีแต่คาพูดประหลาดที่เชื่อถือไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่นฉีเทียนจวินแห่งส านักโองการเทพสนิทสนมกับเขา เขาไม่สนิท สนมกับฉีเทียนจวิน ยังบอกด้วยว่าหากข้าร่วมมือกับพวกเขาสองคน สามารถสังหารขอบเขตสิบสี่อะไรสักอย่างได้ อืม ตามคากล่าวของ นักพรตผู้นั้นก็คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหนึ่งสิบสี่คน”
หลิวเถี่ยอึ้งค้างไร ้คาพูด ถ่มน้าลายด่าไปคาหนึ่งว่าเจ้านักต้มตุ๋น ชาติสุนัข จากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ไป พวกเรารีบออกไปจาก เมืองเล็กกัน”
จากนั้นเขาจะรีบกลับไปเตือนโจวชิวว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจาก นักพรตที่กินดีหมีหัวใจเสือผู้นั้นให้มากเข้าไว้ แล้วยังมีเด็กหนุ่ม
สะพายกระบี่นั่นด้วยที่ต้องอยู่ให้ห่างๆ เขา ไม่รู ้ว่าท าไมในใจเด็กสาวถึงรู ้สึกวูบโหวง |
คนประหลาดสองคนที่เพิ่งได้รู ้จักกันไม่นานเท่าไร แม้ว่าจะไม่มี ท่าทางจริงจัง แต่กลับพูดจาน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พักเท้า อยู่ริมล าคลองระหว่างทาง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ดีดดินโคลนที่ติด รองเท้าทิ้ง เคี้ยวต้นหญ้าในปาก มองเหม่อไปที่ลาคลอง นักพรตลู่ก็ เอ่ยว่าฟ้ าไม่ให้กาเนิดคนไร ้ประโยชน์ ดินไม่มีหญ้าไร ้ชื่อเติบโต เห็น ว่าไม่มีใครช่วยพูดสนับสนุน นักพรตก็หันหน้ามาชวนนางคุย ถาม นางว่ารู ้หรือไม่ว่าท าไมความสามารถในการฟังของหูข้างซ ้ายของ คนคนหนึ่งถึงดีกว่าหูข้างขวา แล้วทาไมถึงได้หันหน้าเข้าหาดินหัน หลังให้ฟ้ า…นางไม่ได้สนใจ นักพรตจึงอธิบายเหมือนพูดกับตัวเองว่า ระหว่างฟ้ าดินมีปราณสองขุมคือหยินกับหยาง ฟ้ าใสดินขุ่น สถานที่ ยากลาบากแร ้นแค้นมีสิ่งมีชีวิตถือกาเนิดมากมายและหูซ ้ายถือเป็ น ธาตุหยาง เป็ นเหตุให้เฉียบไวกว่ามาแต่ก าเนิด หูขวาเป็ นธาตุหยิน ดินฟังได้ดีกว่า นอกจากนี้ชายและหญิงมีความต่าง…กล่าวมาถึงตรง นี้นักพรตหนุ่มก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่น้าในลาคลอง เอ่ยคาพูดบางอย่างที่หนี
ชิงซึ่งไม่เคยกลัวผีได้ยินแล้วกลับรู ้สึกขนลุกขนชัน บอกว่าหากในล า คลองมีศพที่จมน้าลอยอืดขึ้นมา ต่อให้บวมน้าจนมองเห็นหน้าตาไม่ ชัดแล้ว คนบนฝั่งก็ยังมองออกได้ในปราดเดียวว่าเป็ นชายหรือหญิง ใบหน้าของชายคือหยินแผ่นหลังคือหยาง เป็ นเหตุให้ยามที่ศพลอย อยู่ในน้าจะต้องคว่าหน้าลงน้าหันหลังให้แผ่นฟ้ าแน่นอน เรื่องนี้ก็เป็ น ลางและเบาะแสอย่างหนึ่งของหลักฟ้ าปรากฏการณ์ดินที่มองไม่เห็น ของพวกเรา เพราะถึงอย่างไรคากล่าวที่ว่าเป็ นผู้นาแห่งหมื่นสรรพสิ่ง ก็ไม่ได้เอ่ยกันอย่างไร ้ความหมาย…
ทางฝั่งของเมืองเล็ก โจวชิวส่งชีซ่งไปถึงหัวเลี้ยวของตรอกแล้ว ผู้เฒ่าก็ตบหน้าท้องตัวเองเบาๆ ยิ้มกล่าว “ในเมื่อมีเป้ าหมายเดียวกัน ท าไมไม่ร่วมมือกับพวกเราไปเลยเล่า?”
โจวชิวส่ายหน้า “คนละเรื่องกัน”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ต่อให้จะเป็ นการตอบแทนความแค้นส่วนตัว ขอแค่แม่นางโจวยินดีจะเปิดเผยตัวตนให้กับทางสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่ง รู้ ไยต้องกลัดกลุ้มว่าภูเขาเหอฮวานจะไม่ยอมมอบตัวปีศาจที่ช่วยส่ง ข่าวให้กับกระโจมใหญ่ของเปลี่ยวร ้างด้วยเล่า?”
โจวชิวเอ่ยอย่างเฉยเมย “ไม่มีหลักฐาน”
ชีซ่งบอกอย่างเป็ นนัยๆ “หลักฐาน? ขอแค่ปีศาจตนนั้นอยู่ในมือ ของแม่นางโจวก็ไม่ได้มีหลักฐานแล้วหรอกหรือ?”
โจวชิวหัวเราะ “ตามกฎของกองทัพ การกระทาเพื่อผลประโยชน์ ส่วนตัว ใช ้ของของทางการอย่างพร่าเพื่อต้องถูกประหาร”
ชีซ่งเห็นว่านางตัดสินแล้วก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด ลังเลอยู่ ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “สองคนที่อยู่ในลานบ้าน ความเป็ นมาไม่แน่ ชัด พวกเจ้าระวังไว้หน่อยดีกว่า”
กลับมาถึงลานเรือน โจวชิวเห็นนักพรตหนุ่มที่กลับมานั่งที่เดิม ก าลังนวดเอวอยู่ แล้วยังปากแข็งไม่หาย “แม่นางโจว อย่าเห็นว่า ร่างกายของพี่ลู่ของเจ้าบอบบาง กระดูกไม่แข็งแรงมากพอ แม้จะขี้ โรคแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่นะ นี่ก็คือข้อดีใหญ่เทียมฟ้ าของการที่จิตแห่ง มรรคามั่นคงหนักแน่น ขอแค่แม่นางโจวไม่รังเกียจ ผินเต้าสามารถ ถ่ายทอดคาถาชักน าบทหนึ่งให้แม่นางโจวได้ทันที อย่าว่าแต่ฟ้ าร ้อง ตอนกลางคืนแล้วจะหวาดกลัวเลย ต่อให้เดินอยู่ใต้แสงแดดกลางวัน แสกๆ ก็ยังไม่เป็ นปัญหา มา ขอให้ผินเต้าได้ดูลายมือของแม่นางโจว สักหน่อย ผินเต้าเรียนรู ้มาหลากหลาย จาเป็ นต้องให้ยาที่ถูกกับโรค ถึงจะเหนื่อยครึ่งเดียวได้ประโยชน์เป็ นเท่าตัว…”
โจวชิวโบกมือ “ความหวังดีของนักพรตลู่รับไว้แล้ว คุณชายเฉิน อย่าโทษที่ข้าออกคาสั่งไล่แขกเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “เอาเงินคนอื่นมาจ่ายฟาดเคราะห์แทนคนอื่น เงินร ้อนน้อยไม่กี่เหรียญนั้นก็ถือเสียว่าเป็ นค่าตอบแทนที่นักพรตลู่ ช่วยขจัดปัญหายุ่งยากให้กับแม่นางโจวก็แล้วกัน”
ลู่เฉินหยุดท่านวดเอว “อะไรนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “จ้าวฝูหยางและอวี๋ฉุนจือแห่งสองจวนของภูเขา เหอฮวาน พวกเขาเคยสมคบคิดกับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างหรือไม่? และสกุลหลิ่วแคว้นชิงซ่งรู ้เรื่องแต่ปิดบังไว้หรือไม่? อย่ามาพูดเรื่อง หลักฐานไม่หลักฐานอะไรกับข้า เจ้ากับหลิวเปียวจ่างแค่มีการคาด เดาอยู่ในใจก็พอแล้ว”
ใจของโจวชิวสะท้านไหว หรี่ตาลง เอ่ยเนิบช ้าว่า “เจ้าเป็ นใครกัน แน่?!”
บทสนทนาระหว่างนางกับชีซ่งเมื่อครู่นี้ห่างจากเรือนไปค่อนข้าง ไกล แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขาคนหนึ่งคือผู้ฝึ กลมปราณ ขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง มีหรือที่ คนทั้งสองในลานบ้านจะสามารถแอบฟังได้ง่ายๆ?
นักพรตหนุ่มเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “พวกเจ้า” สิ แม่นางโจว เจ้าลืม พูดค าว่าพวกไป ผินเต้าเองก็เป็ นวีรบุรุษเป็ นลูกผู้ชายที่มีศักดิ์ศรี เหมือนกันนะ! ในชีวิตนี้ไม่ชอบเรื่องอยุติธรรมที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันมองลู่เฉิน “เห็นเงินแล้วถึงจะท างาน”
ลู่เฉินวางชามเหล้าลง ส่งเสียงเรอหนึ่งที แล้วพึมพาคล้ายซุบซิบ กับใครอยู่ จากนั้นนักพรตก็สะบัดชายแขนเสื้อ
จนใจก็จนใจอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเห็นเงินแล้วถึงจะท างาน ไม่ใช่ ได้เงินมาแล้วถึงจะท างานเสียหน่อย
ใครให้ผินเต้าเป็ นสหายรักสหายสนิทที่แค่เจอหน้าก็สามารถดื่ม เหล้าด้วยกันได้กับเจ้าขุนเขาเฉินเล่า
โจวชิวหดมือไว้ในชายแขนเสื้อ คลางแคลงไม่แน่ใจ นักพรต ยากจนผู้นี้แสร ้งทาเป็ นลี้ลับไปทาไม? มีความหมายตรงไหนกัน?
ครู่หนึ่งต่อมา หน้าตรอกก็มีหญิงสาวมัดผมทรงกลมเผย หน้าผากโหนกนูนโผล่มาจากความว่างเปล่า เรือนกายของนางสูง เพรียว นางหันมามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ในลาน บ้านแล้วยิ้มเรียก “อาจารย์พ่อ”