กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1018.3 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
บทที่ 1018.3 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
ที่แท้ก่อนหน้านี้อาจารย์เฉินก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ บอก เจิงเย่ว่าหากมีเวลาว่างก็สามารถไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงดู ได้ ในจดหมายยังแนะน าให้เขารู ้จักกับเซียนซือผู้เฒ่าคนหนึ่งด้วย บอกว่าก่อกาเนิดเฒ่าหลิวเจียคือคนเฝ้ าประตูของตรอกแห่งนั้น เจิง เย่แค่ไปหยุดอยู่หน้าตรอก บอกกล่าวสถานะ บอกไปว่าเป็ นคนรู ้จัก ของเฉินผิงอัน ยังสามารถบอกให้เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงแห่งสกุลจ้าว เทียนสุ่ยพาเจิงเย่เดินเที่ยวในเมืองหลวงได้ด้วยแค่บอกไปว่าเป็ น ความต้องการของเขาเฉินผิงอันก็พอ
ดังนั้นเจิงเย่จึงอยากจะทาตามคาแนะนาของอาจารย์เฉินด้วย การไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีรอบหนึ่ง
หม่าตู่อี๋เอ่ยอย่างเดือดดาล “เรื่องเล็ก จะเป็ นเรื่องเล็กได้ อย่างไร?!”
เจิงเย่ยิ้มเอ่ย “ชื่อเรียกของพรรค แค่พอใช้ได้ก็พอแล้ว”
ท่ามกลางม่านราตรี
ศาลเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งที่สี่ด้านมีแต่ทะเลสาบ หน้าประตู ภูเขาคือบันไดหินเล็กแคบที่เลื้อยลดคดเคี้ยวขึ้นสู่เบื้องบน
นักพรตหนุ่มนั่งอยู่บนขั้นบันได ตรงหน้าประตูภูเขา ตรงจุดที่ตีน เขาของเกาะสัมผัสน้ามีหินแกะสลักเป็ นรูปตะพาบยักษ์แบกศิลาตัว หนึ่ง บนหลังแบกหินใหญ่หนักหมื่นจัง แกะสลักบทเคลื่อนเมฆโปรย ฝน
สถานที่แห่งนี้เคยเป็ นหนึ่งในศาลมากมายที่มังกรแท้จริงบางตัว เดินทางผ่าน ในอดีตจานวนครั้งที่นางมาพักอยู่ที่นี่มีไม่มาก แต่กลับ เก็บรักษาหนึ่งในร่องรอยของนางเอาไว้ได้
นาบตราประทับลงบนหน้าผาก เขาชื่อมีรอยกระดากระด่าง
ลู่เฉินถอนหายใจ น้าและเมฆล่องลอยเชื่องช ้า พัดไปพัดมาล้วน เป็ นความทุกข์ในใจ
มองไปยังตะพาบยักษ์ ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “อย่าแกล้งหลับอยู่เลย ไหนลองว่ามาสิว่าผ่านหายนะมาได้อย่างไร ทาไมจูเยี่ยนถึงไม่ใช ้ กระบองฟาดเจ้า?”
ตะพาบหินแบกศิลาพลันมีชีวิต บิดคอมองมายังนักพรตที่สวม กวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ตะพาบเฒ่าคล้ายจะใจฝ่ ออยู่มากจึงเปิด ปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “ปีนั้นเจอหายนะจริงๆ ข้าจึงบอก กับเฟยเฟยและจูเยี่ยนว่าตัวเองเป็ นคนรู ้จักเก่าของเจ้าลัทธิลู่ รับค าสั่ง ให้มาเฝ้ าอยู่ในศาลของทะเลสาบร ้อยบุปผาแห่งนี้ ถือโอกาสฝึกตน ท าความเข้าใจกับตาราสวรรค์บนหลังไปด้วย สักวันหนึ่งต้องไปพบ เจ้าลัทธิลู่ที่ป๋ ายอวี่จิง หากพวกเขาบังอาจก่อเรื่อง ระวังเจ้าลัทธิลู่จะ
เดือดดาล ข้าน้อยมิกล้าปิดบัง คาพูดคร่าวๆ ก็คือทานองนี้ ปีศาจ ใหญ่บนบัลลังก ์ราชาทั้งสองได้ยินจึงยอมปล่อยข้าน้อยไป แม้กระทั่ง ทะเลสาบร ้อยบุปผาก็ยังรักษาไว้ได้ ล้วนได้พึ่งใบบุญ ใบบุญของเจ้า ลัทธิลู่”
ลู่เฉินจุ๊ปากพูด “เจ้าพูดจาสามหาวยิ่งนัก พวกเขาก็ยอมเชื่อ หรือ?”
ตะพาบยักษ์เอาหัวแนบพื้น เอ่ยเสียงอู้อี้ “โชคดี โชคดี ได้พึ่ง ใบบุญของเจ้าลัทธิลู่”
ลู่เฉินโบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีก็มีม้วนภาพของหญิงสาวที่คล้าย ก าลังวาดภาพปรากฏขึ้นมา ก็คือผู้ฝึ กยุทธหญิงแซ่หลวี่ เอ่ยว่า “ความจาของผินเต้าไม่ค่อยดี แถมตอนนี้ก็ไม่สะดวกจะท านายบ่อยๆ ด้วย เจ้าช่วยดูให้หน่อยว่าใช่หนึ่งในนางกานัลมากมายที่อยู่ข้างกาย นางหรือไม่?”
ดวงตาสองข้างของตะพาบยักษ์พลันส่องแสงสีทองเรืองรอง จ้อง มองอย่างตั้งใจ แล้วพยักหน้า “ใช่แล้วๆ รูปโฉมเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่ บุคลิกกลับแทบไม่เปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้น ไม่มี ทางผิดไปแน่”
ลู่เฉินสลายภาพวาด ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเฒ่า อุตส่าห์ได้เจอหน้ากัน ทั้งที อยากจะระบายความทุกข์ก็รีบหน่อย”
“ขอเจ้าลัทธิลู่โปรดเมตตา ช่วยย้ายป้ ายศิลาไปที่อื่นทีเถอะ”
ตะพาบยักษ์เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ขอเปลี่ยนร่างกลับมาเป็ นคน”
ลู่เฉินเอามือป้ องข้างหู “อะไรนะ ลมแรงเกินไป ได้ยินไม่ค่อยชัด พูดเสียงดังๆ หน่อยไม่มีเรื่องจะขอร ้องหรือ ดี ดี ไว้เจอกันใหม่”
รอกระทั่งเจ้าลัทธิลู่ออกไปจากเกาะ ตะพาบยักษ์ที่หันหน้าเข้าหา ทะเลสาบอีกครั้งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานถึงหนึ่งชั่วยามถึงได้ร ้อง เพ้ย
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ในทะเลสาบหัวใจของตะพาบ ยักษ์ก็มีเสียงหัวเราะเจ้าลัทธิลู่ดังขึ้น “ขอแค่ผู้ฝึกตนอารมณ์ฉุนเฉียว งุ่นง่านก็ไม่ใช่วัตถุที่จะหลอมรวมมรรคาได้แล้ว”
ตะพาบเฒ่าไม่ได้รู ้สึกหวาดกลัวสักเท่าไร เจ้าลัทธิลู่มีดีอยู่อย่าง หนึ่งนั่นคือใจกว้าง ด่าเขาสองสามค าไม่นับเป็ นอะไรได้
ขณะเดียวกันตัวอักษรบนป้ ายหินก็ร่วงลงมาเผาะๆ เหมือนใบไม้ ร่วง ครู่หนึ่งต่อมาป้ ายหินยังคงอยู่บนหลังตะพาบ แต่ตัวอักษรที่ แกะสลักไว้บนก้อนหินกลับไม่เหลืออยู่แล้ว
จากนั้นร่างของตะพาบเฒ่าก็กลายเป็ นมนุษย์ ทั่วร่างเต็มไปด้วย กลิ่นอายของโชคชะตาน้า ในมือถือประคองป้ ายศิลาขนาดจิ๋วซึ่งเป็ น วัตถุแห่งชะตาชีวิต เขาชูแขนขึ้นสูงแล้วขว้างลงไปยังจวนวารีที่ตั้งอยู่ ใต้ทะเลสาบ เอ่ยอย่างเนิบช ้าว่า “ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของข้าจะ อดทนกับพวกเจ้าได้หรือ?!”
เมืองเล็กเฟิงเล่อตีนเขาภูเขาเหอฮวาน
ในตรอกแห่งหนึ่ง หลิวเถี่ยกับเด็กสาวเดินอยู่ด้านหน้า หลวี่โม่ เดินอยู่ด้านหลัง ห่างจากพวกเขามาประมาณห้าหกก้าว
นางรู ้สึกเพียงตาพร่าลาย แล้วก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีเรือนกายพร่า เลือนของนักพรตหนุ่มผู้นั้นโผล่มา ใบหน้าเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ พ่นลมหายใจใส่นางเบาๆ
ประหนึ่งสายลมที่พัดผ่านผืนทราย หลวี่โม่ที่เดิมทียังไม่ทันได้ตั้ง ตัว ปรมาจารย์น้อยที่เป็ นคอขวดผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่งแค่ถูก นักพรตเป่ าลมใส่ทีเดียว เลือดเนื้อก็หลอมละลาย โครงกระดูกล้วน แหลกสลายกลายมาเป็ นแสงดาวสีทองจานวนนับไม่ถ้วนที่ปลิวไป ทางผนังด้านหนึ่งแล้วหายวับไป
หลิวเถี่ยเดินไปได้สองก้าวก็พลันหันขวับกลับมา
เพราะหลวี่โม่ที่เดิมทีก้าวเดินด้วยฝี เท้าที่เป็ นจังหวะอีกทั้งยังมี เสียงเบาๆ กลับเงียบเสียงไป
หลิวเถี่ยโล่งอก หลวี่โม่ยังอยู่ในตรอกเล็ก ก็แค่ว่าดูเหมือนนางจะ ใจลอยไปเล็กน้อย
หลวี่โม่สะบัดศีรษะ จู่ๆ ตนก็เหมือนงีบหลับไป? แต่กลับรู ้สึก เหมือนพลาดอะไรบางอย่าง
สตรีไม่รู ้เลยว่าหลังจากที่ลมปราณแท้จริงเฮือกนั้นของนักพรต พัดผ่านโครงกระดูกในร่างของตัวเองก็เท่ากับว่านางได้ตายไปรอบ หนึ่งแล้วฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เป็ นการชาระล้างหัวใจเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ถอดรกผลัดกระดูก หลวี่โม่ที่เดิมทีชีวิตนี้มีหวังเป็ นได้แค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าเหมือนถูก สร ้างฐานกระดูกขึ้นมาใหม่ มีกระดูกเซียนกิ่งทองใบหยก
ทั่วทั้งอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานก็ไม่มีใครที่สามารถมองเห็น ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้
นักพรตแห่งอารามจินเซียนแสวงหานิมิตแห่งการพิสูจน์มรรคา อย่างไม่รู ้จักเหน็ดเหนื่อย ก็ยังทาได้แค่จาแลงงูทองยาวไม่เกินจื่อกว่า ออกมาตรงเล็บมือซึ่งเป็ นส่วนที่เหลือของเส้นเอ็นได้เท่านั้น
ในตรอกที่ตั้งอยู่ตีนเขาแห่งนี้พลันมีเส้นยาวสีทองที่เล็กบางมาก เส้นหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา มีงูตัวเล็กสีแดงอมทองตัวหนึ่งพลันลอยขึ้น กลางอากาศ ลากแสงทิ้งไว้ในม่านราตรียาวไม่ใช่แค่พันลี้
พริบตานั้นเส้นสีทองก็เชื่อมโยงเข้ากับนักพรตน้อยคนหนึ่งที่อยู่ ในอารามของส านักโองการเทพ
ไหล่ข้างหนึ่งของหลวี่โม่กับบนข้อมือของนักพรตน้อยทยอยกัน มีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งผลิบาน
ฉีเจินเทียนจวินแห่งสานักโองการเทพพลันลืมตาขึ้น ลุกขึ้นแล้ว ก็หดย่อพื้นที่ มองเส้นยาวสีทองในอารามกึ่งกลางภูเขาที่ค่อยๆ สลาย หายไป สิ่งนี้เรียกว่าเหตุแห่งมรรคา
จุดเริ่มต้นเหมือนจะเป็ นภูเขาเหอฮวานที่ตั้งอยู่ชายแดนของ แคว้นชิงซิ่ง?
ฉีเจินไม่กล้าทามุทราทานายในใจด้วยซ้า แค่รู ้สึกตกตะลึงอย่าง หนัก หรือว่าเจ้าลัทธิลู่หวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลแล้ว?
เพียงแต่ว่าเหตุใดถึงต้องไปเยือนสถานที่ที่เล็กจ้อยเช่นนั้นด้วย?
ในตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็ก นักพรตหนุ่มสอดสองมือไว้ใน ชายแขนเสื้อ เอนกายพิงผนัง อ้าปากหาว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ายังคง ใช ้รูปโฉมเดิมของเมื่อสามพันปีก่อน”
ทะเลสาบซูเจี่ยน เรือน้อยลาหนึ่งลอยขึ้นลงไปตามลูกคลื่น
มีคนมาหยุดเรืออยู่ที่นี่ สายลมพัดโชยแผ่วหมอกแผ่ปกคลุม ล่องเรือยามค่าออกตกปลา ขอบฟ้ าและพื้นผิวทะเลสาบ บนและล่าง คือพระจันทร ์ดวงใหม่
นอกจากผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งตกปลาแล้ว ตรงหัวเรือยังมีเด็กหนุ่ม ที่รูปโฉมงดงามอย่างยิ่งคนหนึ่งนั่งอยู่ เรือนกายของเขาบอบบาง ใบหน้านุ่ มนวล สวมชุดสีขาว ไม่ได้ถือคันเบ็ดเพียงแค่นั่ งชม ทัศนียภาพอยู่เป็ นเพื่อนอีกฝ่ายเท่านั้น
เด็กหนุ่มถาม “ผู้อาวุโสจาง ได้ยินว่าที่นี่เคยมีเกาะเหิงโปหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าคือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตที่พบเห็นได้ยากของ ทะเลสาบซูเจี่ยน ได้ยินมาว่าหลายปี มานี้เจ้าแอบเรียบเรียง อักขรานุกรมท้องถิ่นและตาราเรียบเรียงลาดับเหตุการณ์ตามปีปฏิทิน ของทะเลสาบซูเจี่ยนหรือ?”
เด็กหนุ่มอืมรับหนึ่งที “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทาก็เลยหาความบันเทิง ให้ตัวเอง”
ผู้เฒ่าพลันยกคันเบ็ดขึ้น กระชากปลาหลีสีทองอ่อนจางตัวหนึ่ง มาไว้ในมือ โยนใส่ข้องปลา
เด็กหนุ่มถาม “ผู้อาวุโสจาง ขอถามท่านสักค าถามได้หรือไม่?”
แค่คาถามที่เรียบง่ายข้อเดียว แต่ผู้เฒ่ากลับเหมือนได้ยินเรื่อง ตลกใหญ่เทียมฟ้ า ตอนแรกเขากลั้นขาไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ จากนั้นกลับแผดหัวเราะดังลั่น เนิ่นนานกว่าจะหุบยิ้มได้ ก่อนเอ่ยขอ อภัยว่า “เจ้าเกาะหลวี่ ขอโทษด้วย”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกขานด้วยความเคารพว่าเจ้าเกาะหลวี่ถาม อย่างสงสัย “ท าไมผู้อาวุโสจางถึงหัวเราะล่ะ?”
ผู้เฒ่ามองผิวทะเลสาบที่แสงจันทร ์สาดส่องจนเหมือนสีเงิน เอ่ย ว่า “หากข้าจ าไม่ผิดเจ้าเกาะหลวี่คืออดีตพญามารก่อนหน้าที่กู้ช่าน จะมาอยู่ทะเลสาบซูเจี้ยน อาศัยว่ามีศิษย์พี่เจ้าเกาะที่สามารถเลื่อน เป็ นขอบเขตก่อกาเนิดได้ทุกเมื่อ วางอานาจบาตรใหญ่ ทาตัวไร ้ขื่อ ไร ้แปอย่างเต็มที่ คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้กู้ช่านไปอยู่ที่นครจักรพรรดิขาว เจ้าหลวี่ไฉ่ซางเองก็รับช่วงต่อดูแลเกาะหวงหลี ถึงขั้นที่ว่ายังเรียบ เรียงตาราอักขรานุกรมขึ้นมาด้วย หากเป็ นในอดีต พวกเจ้าทั้งหลาย ก่อนจะเปิดปากพูดจา ไหนเลยจะต้องถามข้าจางเย่ว่าขอถามค าถาม
ได้หรือไม่? คาดว่าก่อนที่จะฆ่าใครตายคงคร ้านจะเปลืองน้าลาย แม้แต่ครึ่งคาด้วยกระมัง?”
หลวี่ไฉ่ซางได้ยินแล้วก็ไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะ “ประมาณนั้น เป็ นตายฉกชิง ล้วนอาศัยแค่ความชื่นชอบอย่างเดียว ทะเลสาบซู เจี้ยนในเวลานั้นไม่มีกฎระเบียบใดๆ”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีตเหมือนใต้หล้า เปลี่ยวร ้างมาก กฎระเบียบเพียงข้อเดียวก็คือไม่มีกฎระเบียบ”
ผู้เฒ่าที่ตกปลาคนนี้เคยเป็ นผู้อาวุโสของเกาะชิงเสีย ติดตาม หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินก่อนใคร ร่วมกันเข่นฆ่าสังหารเปิ ด เส้นทางเลือดสายหนึ่งขึ้นมา จางเย่สนับสนุนให้ฝ่ ายหลังขึ้นเป็ นผู้ ครองทะเลสาบซูเจี่ยนได้ในเวลาสั้นๆ ภายหลังก็เป็ นหลิวเหล่าเฉิงที่ กลับมาเกาะกงหลิ่วก่อน แล้วค่อยเป็ นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่กรีฑา ทัพลงใต้ สุดท้ายก็เป็ นส านักเจินจิ้งที่เข้ามาอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน จางเย่จึงเปลี่ยนสถานะ หลุดพ้นจากเกาะชิงเสียอย่างที่อยู่เหนือการ คาดการณ์ของทุกคน สะบัดตัวเปลี่ยนร่างกลายเป็ นเจ้าประมุขของ พรรคหลางหวน เพียงแต่ว่าในอาณาเขตรอบทะเลสาบซูเจี่ยน พรรค หลางหวนถือเป็ นพรรคบนภูเขาที่อยู่ปลายแถว ไม่เหมือนเกาะหวงหลี ของหลวี่ไฉ่ซางที่ได้ครอบครองเก้าอี้ตัวหนึ่งในศาลบรรพจารย์ของ สานักเจินจิ้ง
หลวี่ไฉ่ซางถามต่ออีกว่า “ท าไมผู้อาวุโสจางถึงไม่ติดตามหลิว อันดับหนึ่งต่อล่ะ?”
ทุกวันนี้หลิวจื้อเม่าคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสานักเจินจิ้ง หลายปีมานี้มีข่าวลือเล็กๆ แพร่กันมาอย่างน่าเชื่อถือ บอกว่าหลิว เหล่าเฉิงเจ้าประมุขคนปัจจุบันเคยหวังจะให้หลิวจื้อเม่าที่เป็ นขอบเขต หยกดิบได้สืบทอดตาแหน่งเจ้าประมุขต่อ แต่ดูเหมือนว่าหลิวจื้อเม่า จะปฏิเสธ ด้วยมิตรภาพระหว่างจางเย่กับหลิวจื้อเม่า อีกทั้งผู้คนยัง รับรู ้ว่าเขาเป็ นแขนซ ้ายแขนขวาของอีกฝ่ าย หลิวจื้อเม่ามีสถานะสูง กุมอานาจอยู่ในสานักเจินจิ้ง ขอแค่จางเย่เข้าไปอยู่ในสานักเจินจิ้ง ด้วยก็จะเหมือนหมาและไก่ที่พลอยได้ขึ้นสวรรค์ เป็ นเรื่องที่ปกติ สามัญอย่างยิ่ง คว้าตาแหน่งขุนนางสักอย่างจากในสานักเจินจิ้งมาก็ ง่ายราวกับพลิกฝ่ ามือไม่แน่ว่าอาจจะช่วยแหกกฎให้กับเขา ต่อให้ ไม่ใช่เซียนดินโอสถทองก็สามารถกลายเป็ นสมาชิกของศาลบรรพ จารย์ในสานักแห่งหนึ่งได้ ต่อให้เก้าอี้จะอยู่ใกล้กับประตูใหญ่แค่ไหน แต่ในประตูกับนอกประตูก็เป็ นความต่างราวฟ้ ากับเหว
จางเย่ยิ้มเอ่ย “แต่ละคนมีปณิธานต่างกันไป”
จางเย่กล่าวต่ออีกว่า “สิบผู้กล้าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีตอ ย่างพวกเจ้า แต่ละคนมีวาสนาต่างกันไป เวลาหลายเจี่ยจื่อของตาแก่ อย่างพวกเราคล้ายจะเทียบกับพวกเจ้าไม่ได้เลย เรื่องราวของพวก เจ้าแทบจะเรียบเรียงขึ้นมาเป็ นนิยายเรื่องเล่าประหลาดที่เรื่องราวหัก มุมทั้งยังมีอันตรายรอบด้าน แล้วก็ไม่ขาดเรื่องรักใคร่ หาก สานักพิมพ์จัดพิมพ์วางขาย เชื่อว่าต้องขายดีเป็ นเทน้าเทท่า”
หลวี่ไฉ่ซางส่ายหน้าเอ่ย “ค าว่าสิบผู้กล้า อันที่จริงมีแค่เก้าคนมา โดยตลอด”
ในอดีตมีกู้ช่านเป็ นผู้นา พวกเขาเก้าคนที่อยู่ในทะเลสาบซู เจี่ยนคิดจะเรียกลมก็ได้ลมคิดจะเรียกฝนก็ได้ฝน
จ้งซู่ศิษย์พี่ของหลวี่ไฉ่ซางคือเจ้าเกาะหวงหลีคนก่อน อันที่จริง ศิษย์พี่และศิษย์น้องมีอายุขัยในการฝึ กตนห่างกันประมาณห้าร ้อย กว่าปี จ้งซูเลื่อนเป็ นขอบเขตก่อกาเนิดได้สาเร็จเมื่อสิบกว่าปีก่อน ออกจากด่านได้ไม่นานเท่าไรก็เริ่มปิดด่านอีกครั้ง ดังนั้นทุกครั้งที่มี การประชุมศาลบรรพจารย์ของสานักเจินจิ้งจึงมักจะได้ศิษย์น้องอย่าง หลวี่ไฉ่ซางที่รับหน้าที่เป็ นเจ้าเกาะต่อจากเขาช่วยทาหน้าที่แทนให้ เพราะหลวี่ไฉ่ซางคือลูกศิษย์ปิดส านักของบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขา ของเกาะหวงหลี เป็ นเหตุให้จ้งซูให้ความสาคัญและรักเอ็นดูหลวี่ไฉ่ ซางอย่างมาก เป็ นทั้งศิษย์น้อง แล้วก็เหมือนลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทั้งยัง เลี้ยงเขาเหมือนเป็ นบุตรชายครึ่งตัวด้วย
ก็เหมือนอย่างหวงเฮ้อที่เคยเอ่ยหยอกล้อว่าให้หลวี่ไฉ่ซางทา ชาดประทินโฉมแล้วค่อยยัดหมั่นโถวใหญ่สองลูกไว้ในหน้าอก จะต้องงดงามยิ่งกว่าสตรีแน่นอน จากนั้นมาเป็ นหัวหน้าของสตรีเปิด สาบเสื้อของกู้ช่านก็ยังไม่เป็ นปัญหา
หลวี่ไฉ่ซางเป็ นคอขวดขอบเขตประตูมังกรแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะ สร ้างโอสถ ดังนั้นครั้งนี้ออกมาข้างนอกก็เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ครั้ง สุดท้ายก่อนจะปิดด่าน
เถียนหูจวินลูกศิษย์คนที่สองของหลิวจื้อเม่า เนื่องจากศิษย์พี่ถูก กู้ช่านฆ่าตาย นางจึงกลายมาเป็ นลูกศิษย์คนแรกของหลิวจื้อเม่า รวมไปถึงกลายเป็ นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของกู้ช่านเพียงแต่ว่าหลายปีมา นี้เถียนหูจวินแทบไม่เคยปรากฏตัว จะดีจะชั่วก็เป็ นเซียนดินโอสถ ทองแล้ว กลับกลายเป็ นว่าไม่ดึงดูดสายตาของคนอื่นได้อย่างศิษย์ น้องสองคนที่ยังไม่สร ้างโอสถทองของนางอย่างฉินแจว๋และเฉาเจ๋อ
ฟ่ านเยี่ยนนายน้อยของนครฉือสุ่ย ตอนนั้นเป็ นคนโง่ในสายตา ของทุกตน ผลกลับกลายเป็ นว่าเขากลายมาเป็ นคนฉลาดที่มีอุบาย ลึกล้าที่สุด ตอนนี้รับหน้าที่เป็ น “สิงโจ่ว” ของที่ว่าการกรมอาญา เมืองหลวงสารองที่ตั้งอยู่ภาคกลางของต้าหลีแล้ว
หันจิ้งหลิงอดีตองค์ชายตกยากกลายเป็ นฮ่องเต้แคว้นสือหาว หวงเฮ้อกลายเป็ นขุนนางผู้มีอ านาจของแคว้นสือหาว สองพ่อลูก ร่วมกันปกครองราชสานัก แรกเริ่มสุดสวามิภักดิ์ต่อต้าหลี เป็ น ผู้ติดตามของสกุลซ่งต้าหลี หยวนหยวนนายน้อยของเกาะกู่หมิงได้ เกิดมาในครรภ์ที่ดีซึ่งต่อให้คนอื่นอิจฉาแค่ไหนก็ทาอะไรไม่ได้ พ่อแม่ ล้วนเป็ นโอสถทอง ดังนั้นเกาะกู่หมิงจึงได้ครอบครองเก้าอี้สองตัวใน ศาลบรรพจารย์ของสานักเจินจิ้ง น่าเสียดายที่ตัวของหยวนหยวนเอง มีคุณสมบัติในการฝึกตนธรรมดา จนถึงทุกวันนี้เพิ่งจะเป็ นขอบเขต ชมมหาสมุทร เมื่อหลายปีก่อนได้เงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ก็ออกไป ท าการค้าข้างนอก ว่ากันว่าถูกหลอกไปสองครั้ง กลับบ้านมามือ เปล่าทั้งสองครั้ง เมื่อปลายปีของปีก่อนก็เที่ยวเร่ร่อนไปท ามาหากิน
พร ้อมกระเป๋ าเงินที่ตุงแน่นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับพวกลูก ผู้ดีมีเงินกลุ่มหนึ่งของเมืองหลวงต้าหลี เรียกกันเป็ นพี่เป็ นน้อง กลาย ไปเป็ นแขกประจ าของเหลสุราลาคลองชางผู สหายที่คบหาส่วนใหญ่ ล้วนเป็ นลูกหลานขุนนางที่สามารถพาพี่น้องหาเงินก้อนใหญ่ไป ด้วยกันได้