กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1018.4 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
บทที่ 1018.4 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
จางเย่หันไปมองหลวี่ไฉ่ซางแล้วเอ่ยสัพยอก “อายุน้อยมีปณิธาน ฝึกตนราบรื่น ไยต้องขมวดคิ้วไม่คลายด้วยเล่า?”
หลวี่ไฉ่ซางเอ่ยเสียงเบา “มักรู้สึกว่าลมฟ้ าลมฝนก าลังจะมาเยือน แต่กลับยังวางแผนได้ไม่รัดกุมมากพอ”
จางเย่พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็แสดงว่ามีผลสาเร็จ ในการฝึกตนจริงๆ แล้ว”
หลวี่ไฉ่ซางยิ้มกว้าง
จางเย่พลันถามว่า “ไม่สู้มาเป็ นเค่อชิงที่พรรคหลางหวนของพวก เราดีไหม?”
หลวี่ไฉ่ซางกระตุกมุมปาก กาลังจะเอ่ยปฏิเสธก็มีคนตบไหล่เขา พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้ารู ้สึกว่าข้อเสนอของอาจารย์จางไม่เลวเลย สามารถตอบตกลงได้”
เกาะหวงหลี
สีท้องฟ้ าครามใสเรียบลื่นดุจผ้าแพร ริ้วแสงเพยิบไหวดาวเหนือ ลอยอยู่กลางฟ้ า
ผู้เฒ่าคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดของนักพรตมายืนพิงราวรั้วหลัง ท าพิธีถือศีลเสร็จ แสงจากทะเลสาบสีสันของภูเขา ทอดสายตามอง ไปไกล สรรพสิ่งไกลพันลี้ยังแจ่มชัด
แสงสีทองทอประกายระยิบระยับ แต่ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ที่เกิดจากชุดคลุมอาคมบนกาย แต่เป็ นเพราะการไหลรินของปราณ แห่งมรรคาทั่วร่าง
คลื่นลมปราณข้างกายผู้เฒ่ากระเพื่อมเล็กน้อยก็มีคนผู้หนึ่งโผล่ มากลางอากาศ คนผู้นี้มองเมินตราผนึกขุนเขาสายน้าของบนเกาะ ยื่นมือมาลูบคลาราวรั้วสีหยก
ผู้เฒ่าหลุดเสียงหัวเราะพรีด ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง “หลิวเจิน จวิน ช่างเป็ นแขกที่หาได้ยาก”
หลิวจื้อเม่ากุมหมัดยิ้มเอ่ย “ขออภัย ขออภัย มาเองโดยไม่ได้รับ เชิญ รบกวนการฝึกตนอย่างสงบของสหายไจ่หยางแล้ว”
ในอดีตเกาะชิงเสียไม่ค่อยถูกกับเกาะหวงหลี คนผู้หนึ่งมีฉายาว่า สกัดคงคาเจินจวินเชี่ยวชาญคาถาน้า อีกคนหนึ่งมีฉายาว่าไจ่หยาง เจินเหริน ฝึกคาถาอัคคี
จ้งซู่กระตุกมุมปาก “หลินเจินจวินรู ้ก็ดีแล้ว”
หลิวจื้อเม่าตบราวรั้วเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “เป็ นสถานที่ที่ดีจนดีไป มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ ทั้งสบายตาทั้งสบายหู อย่างแรกง่าย อย่างหลังยาก ดังนั้นในอดีตข้าก็คิดอยากควบรวมเกาะหวงหลีแล้ว
เพียงแต่ติดขัดที่ไจ่หยางเจินเหรินเชี่ยวชาญคาถาไฟ แม้ว่าจะมี โอกาสชนะ แต่ก็ชนะอย่างสะบักสะบอมเต็มที ไม่อยากจะให้เจ้าและ ข้าเป็ นนกปากส้อมกับหอยกาบต่อสู้กันแล้วถูกเกาะกงหลิ่วเป็ น ชาวประมงที่ได้ผลประโยชน์ไปครอง”
จ้งซู่ยิ้มกล่าว “เท้าหน้าของอาจารย์อู๋จวนสุ่ยจวินเพิ่งจากไป เท้า หลังของหลิวเจินจวินก็ตามมาแล้ว ทาไม เพราะได้รับคาสั่งจากหลิว เหล่าเฉิงให้เจินจวินมาลองเลียบๆ เคียงๆ ข้า ดูหรือ?”
หูจวินคนแรกของทะเลสาบซูเจี่ยนคือเซี่ยฝาน เป็ นผี มีชาติ ก าเนิดจากวิญญาณวีรบุรุษจากบนสนามรบ เคยเป็ นทหารสอดแนม ชายแดนต้าหลี คุณูปการด้านการสู้รบมากมาย
ส่วนอู๋กวนฉีที่เป็ นบุคคลสาคัญในการวางแผนของจวนวารีหูจ วินนั้นก็มีความเป็ นไปได้มากว่าจะเป็ นสายลับของต้าหลี ทางฝั่งเกาะ หวงหลีแห่งนี้ เป็ นอู๋กวนฉีที่มาเป็ นแขกบนเกาะ คนผู้นี้ชมหลวี่ไฉ่ซาง ไม่ขาดปาก ถ้อยคาที่เอยแอบบอกเป็ นนัยแก่จ้งซู่ที่เป็ นศิษย์พี่ว่าไม่ ลองวางแผนระยะยาวหาหนทางใหม่ให้กับศิษย์น้องเล็กของตัวเองดู ทางฝั่งของเกาะกู่หมิงก็ยิ่งเป็ นหูจวินเซี่ยฝานที่ไปเยือนด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ยังมีการแวะมาเยี่ยมเยียนในช่วงปีใหม่ ขุนนางหลักของ กองงานทั้งหลายในจวนวารีต่างก็ไม่ได้จงใจปิดบังร่องรอย คล้ายกับ ไม่คิดจะสนใจสักนิดว่าสานักเจินจิ้งจะคิดเช่นไร
หลิวจื้อเม่าหัวเราะฮ่าๆ “น้องจ้งซู่อ่า ในเมื่อพวกเราสองคนต่างก็ เป็ นสุนัขรับใช ้ผู้อื่นไยต้องเป็ นหมาที่กัดกันเองด้วยเล่า”
จ้งซู่คือตัวประหลาดส าหรับทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่เหมือนผู้ฝึกตน อิสระมากที่สุด มีมาดสง่างามอย่างมาก
ปีนั้นขัดขวางไม่ให้หลิวจื้อเม่าควบรวมทะเลสาบซูเจี่ยนให้เป็ น หนึ่งเดียว เกาะหวงหลีออกแรงไปไม่น้อย แต่ไม่ใช่เพื่อช่วงชิง ผลประโยชน์ จ้งซู่ก็แค่ไม่ชอบใจที่หลิวจื้อเม่าทาตัวเหมือนแมลงวัน ซอกซอนเจาะเข้ารังโน้นรังนี้ ใช ้วิธีการต่าช ้าเกินไป
หากใช ้ค ากล่าวของจ้งซู่ก็คือให้หมาตัวหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น ก็ยังดีกว่าให้หลิวจื้อเม่ามาเป็ นผู้ครองทะเลสาบซูเจี่ยน
หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “หลายปีแล้ว เจ้ายังยืนกรานว่าผู้ฝึกตนอิสระ ก็คือผู้ฝึกลมปราณจ้งซู่ ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าคิดอย่างไรอยู่กันแน่?”
สหายเก่าแก่อย่างจางเย่มีชาติก าเนิดจากผู้ฝึกตนท าเนียบจริง แท้แน่นอน ทว่าชั่วชีวิตนี้เขากลับคิดแต่อยากจะเป็ นผู้ฝึกตนอิสระ
จ้งซู่ที่เป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่เกิดและเติบโตมาในทะเลสาบซูเจี่ยนก ลับเอาแต่คิดจะเป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่ยึดมั่นในกฎระเบียบ
คนหนึ่งเป็ นสหายรักมานานหลายปี คนหนึ่งคือศัตรูคู่แค้น แต่ ล้วนแปลกประหลาดกันทั้งสองคน
เกาะกงหลิ่ว
ในชีวิตการฝึ กตนของผู้ฝึ กตนทาเนียบคนหนึ่งขาดการทา การบ้านไปไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่ายิ่งเป็ นผู้ที่มีพรสวรรค์ พวกผู้อาวุโสใน สานักก็ยิ่งมีเงื่อนไขมาก
กวอฉุนซีก็ถือเป็ น “คนพิเศษ” ที่คุณสมบัติย่าแย่มากแต่กลับ ได้รับเงื่อนไขเยอะมาก
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการที่กวอฉุนซีคือลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของหลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานอันดับรองของสานักเจินจิ้งแล้ว แต่ว่า นอกจากสถานะที่โดดเด่นนี้แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก ทั้ง คุณสมบัติ ชาติตระกูล รูปโฉม กิริยาวาจา…อยู่บนเกาะกงหลิ่วที่มี เซียนซือรวมตัวกันมากมายเรียกได้ว่าไม่มีดีเลยสักอย่าง
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทาไมหลี่ฝูฉวีถึงให้ความสาคัญกับกวอฉุนซี นัก คนร่วมส านักก็มีการคาดเดากันเป็ นการส่วนตัวอยู่ไม่น้อย บ้างก็ บอกว่าเขามาจากแคว้นเล็กทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกัน สมบัติทวีป เมื่อก่อนฝึกวรยุทธ ใกล้กับบ้านเกิดมีจวนเซียนอยู่แห่ง หนึ่งเหมือนจะชื่อพรรคชิงจืออะไรสักอย่าง แต่สรุปก็คือเป็ นพรรค เล็กๆ ยากจนที่คนธรรมดาไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่ ไม่รู ้ว่าทาไมถึงเข้าตาของหลี่ฝูฉวีจนยอมละเมิดกฎรับเขามาเป็ นลูก ศิษย์ได้ อีกทั้งอายุก็ปูนนี้แล้ว คนที่อายุตั้งสามสิบกว่าปี ทุกวันนี้กลับ ยังเป็ นแค่ผู้ฝึ กลมปราณขอบเขตสอง แต่ดูเหมือนหลี่ฝูฉวีจะให้ ความสาคัญกับคนผู้นี้อย่างมาก ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดมรรคกถาให้ ด้วยตัวเอง ยังมอบสมบัติอาคมที่ใช ้สาหรับดึงดูดปราณวิญญาณใน
ฟ้ าดินชิ้นหนึ่งให้กับกวอฉุนซีด้วย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ได้เลื่อน ขั้นเป็ นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางกันไปนานแล้ว แน่นอนว่าทุกคน ต่างก็งงงัน ทั้งอิจฉาทั้งประหลาดใจแต่กลับไม่กล้ากังขาในการ ตัดสินใจของอาจารย์ เวลาปกติเจอกวอฉุนซีก็ยังยิ้มแย้มให้ เรียกเขา ว่าศิษย์น้องกวอ ในความใกล้ชิดสนิทสนมมีการประจบเอาใจอยู่ หลายส่วน
ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งพรรคชิงจือจะจัดบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้าขึ้นครั้ง หนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดอยู่ในศาลาเกาไจ ชายคาตวัดงอนที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา
กวอฉุนซีย่อมไม่พลาดไปแม้แต่ครั้งเดียว หากไม่ได้ดูแล้วรู ้สึก คันยิบๆ ในหัวใจ ไม่ได้ดูแล้วกลัดกลุ้มทรมาน หลังจากขึ้นเขามาฝึก วิชาเซียน ต่างก็พูดกันว่าผู้ฝึ กตนไม่ใกล้ชิดกับญาติพี่น้อง กลับ กลายเป็ นว่าใกล้ชิดกับขุนเขาสายน้าแทน แต่เขาก็ยังจะต้องส่ง จดหมายทางบ้านฉบับหนึ่งไปในทุกๆ ช่วงเวลาที่กาหนดไว้ บอก กล่าวแก่พ่อแม่ว่าเขาที่อยู่ต่างถิ่นสบายดี สรุปก็คือเป็ นแค่ค าพูด ธรรมดาทั่วไป แล้วจึงส่งจดหมายไปที่ศูนย์ฝึกวรยุทธฉบับหนึ่ง เล่า เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีบนภูเขาให้สวีหย่วนเสียผู้เป็ นอาจารย์ ฟังสองสามประโยค หลังจากฝึกตนกวอฉุนซีก็เลิกเหล้า แรกเริ่มเขา เลิกอย่างเด็ดขาด ไม่ได้แตะเหล้านานหลายเดือน ภายหลังได้ดูบุป ผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้แทบจะเลิกเหล้าทุก วันแล้ว
กวอฉุนซีไม่สนใจจะทาความเข้าใจกับเรื่องบนภูเขาด้านนอก ล าพังแค่ฝึกตน ท าการบ้านในแต่ละวัน การนั่งสมาธิการหายใจเข้า ออกก็มากพอจะท าให้กวอฉุนซียุ่งจนหัวแทบไหม้แล้ว เป็ นความ ลาบากที่มีแต่ตัวเขาเองที่รู ้จริงๆ คุณสมบัติแย่เกินไป สหายร่วมสานัก ที่แค่บอกกล่าวเล็กน้อยก็เข้าใจได้ทันที แม้กระทั่งพวกศิษย์หลานที่ เล่าเรียนประสบความสาเร็จ มีความสุขอยู่กับการฝึกตนประหนึ่งปลา ได้น้า แต่เขากลับไม่เป็ นเช่นนั้น การฝึกตนช่างเป็ นเรื่องยากลาบาก เหลือเกิน ทั้งน่าเบื่อทั้งไร ้รสชาติ การพัฒนาก็เป็ นไปอย่างเชื่องช ้า
เวลาปกติที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชา หลี่ฝูฉวีจะเอ่ยคาถาแค่ไม่กี่ ประโยค ตามด้วยค าอธิบายอีกสองสามคา พวกศิษย์พี่ชายหญิงก็ สามารถหาข้อคิดจากประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ มีเพียงเขาที่ ฟังเหมือนตกลงไปในกลุ่มเมฆหมอก
พูดถึงแค่การพิจารณาถึงตาแหน่งถ้าสถิตมากมายในฟ้ าดินเล็ก ร่างมนุษย์ กวอฉุนซีก็มึนงงแล้ว มักจะรู ้สึกว่าความคลาดเคลื่อนมี เยอะมากใหญ่มาก แต่อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันเลย แม้กระทั่งผู้ ฝึ กตนที่เป็ นคนรุ่นหลาน เรื่องแบบนี้ง่ายดายเหมือนกินข้าวดื่มน้า ส าหรับพวกเขา
ลูกศิษย์ใหญ่ของอาจารย์คือเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง ศิษย์พี่ท่านนี้มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคน แต่ละคนก็มีลูกศิษย์กันอีก สิบกว่าคน ทุกคนล้วนเป็ นตัวอ่อนในการฝึกตนที่ถือว่าไม่เลว เวลา ปกติเดินอยู่บนเส้นทางแล้วเจอกับเขา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึก ตน
เหล่านี้ยังต้องเรียกกวอฉุนซีที่เพิ่งจะเป็ นผู้ฝึ กตนขอบเขตสองว่า บรรพจารย์อาอีก แรกเริ่มกวอฉุนซียังหน้าบาง นึกอยากจะขุดรูมุด หนีลงไปเต็มที ทว่านานวันเข้าก็ชาชินแล้ว เรื่องของการขายหน้า แค่ ชินไปแล้วก็ดีเอง
จากแรกเริ่มที่หน้าแดงหูแดง พูดอีกๆ อักๆ มาภายหลังก็แค่ผงก ศีรษะตอบรับโดยที่ไม่หยุดเดิน
พี่น้องโจวที่พบเจอกับเขาในศูนย์ฝึ กวรยุทธแล้วถูกชะตากัน อย่างมากเคยมอบชุดคลุมอาคมที่สวมแล้วเบามากตัวหนึ่งให้กับเขา พื้นเป็ นสีเขียว ทอลายภูเขาสายน้าและก้อนเมฆ
หากไม่เป็ นเพราะอาศัยชุดคลุมอาคมตัวนี้ช่วยดึงดูดปราณ วิญญาณ คาดว่าทุกวันนี้ “บรรพจารย์อากวอ” คงเพิ่งจะเป็ นแค่ผู้ฝึก ลมปราณขอบเขตหนึ่งเท่านั้น
กวอฉุนซีไม่ฉลาด แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ รู ้ว่าตัวเองมีวาสนาเช่นนี้ได้ ต้องยกคุณความชอบให้กับพี่น้องโจวที่บอกว่าตัวเองเคยเจ็บปวดกับ ความรักมาก่อน เป็ นคนโชคร ้ายที่ต้องร่อนเร่พเนจรเหมือนกันกับ เขาผู้นั้น
เพียงแต่กวอฉุนซีก็ยังดูแคลนความหมายของชุดคลุมอาคมตัว นั้นมากเกินไป
ชุดคลุมอาคมจากโรงเค่อเซ่อหนึ่งในสิบแปดทัศนียภาพของ พื้นที่มงคลถ้าเมฆาตัวนี้เทพธิดาทอผ้า น้าวสันต์ลายเมฆ มีชื่อเสียง
อย่างมากบนภูเขาของใบถงทวีป อีกทั้งเสื้อตัวนี้ยังมาจากมือของโจว เฝย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็ นระดับของสมบัติอาคมกระมัง ถูก โจวเฝยร่ายเวทอาพรางตาตระกูลเซียน ทั้งยังกดวิชาอภินิหาร “สาว ไหม” ข้ามตรงตัดนอน (คือขั้นตอนหนึ่งในการทอผ้าแบบเค่อซือ ส่วนใหญ่มักจะใช ้ไหมดิบมาทอเป็ นเส้นแนวตรง ไหมสุกทอเป็ น เส้นแนวนอน) ซึ่งมีเฉพาะในชุดคลุมอาคมตัวนี้ ไม่อย่างนั้นกวอฉุนซี ก็มิอาจสวมมันได้ หากโจวเฝยถอนเวทคาถาออก ด้วยปราณ วิญญาณภูเขาสายน้าของพรรคชิงจือในเวลานี้ หากค่ายกลของศาล บรรพจารย์ต้านรับไม่ไหวก็คงจะถูกทาลายไปถึงครึ่งหนึ่ง ปราณ วิญญาณถูกชุดคลุมอาคมดึงมาไว้บนร่างผสานรวมเข้าไปใน เส้นแนวตั้งพวกนั้น
จะไม่ให้หลี่ฝูฉวีไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่ตั้งใจถ่ายทอดวิชาให้กับกวอ ฉุนซีก็คงไม่ได้ ต่อให้จะรู ้ดีว่ากาลังสิ้นเปลืองเวลาของทั้งสองฝ่ าย หลี่ ฝูฉวีก็ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรลูกศิษย์คนนี้ก็เป็ นลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจที่ เจียงซ่างเจิน แนะน าให้นางด้วยตัวเอง
พูดถึงแค่ชุดคลุมอาคมที่อยู่บนร่างของกวอฉุนซีในทุกวันนี้ แม้แต่ก่อก าเนิดเฒ่าอย่างหลี่ฝูฉวีก็ยังอิจฉาตาร ้อนอยู่หลายส่วน เพราะมูลค่าของมันสูงควรเมืองอย่างแท้จริง
ชุดคลุมอาคมอันดับหนึ่งที่มาจากตรอกเค่อเซ่อของพื้นที่มงคล ถ้าเมฆา การทอแบบเซียนหนวี่เค่อซือ ลายเมฆาสายน้าวสันต์มีครบ
ทั้งโจมตีและป้ องกัน หากไม่เป็ นเพราะเจียงซ่างเจินลงมือกับชุดคลุม อาคมตัวนี้ไว้นานแล้ว ด้วยตบะที่ตื้นเขินของกวอฉุนซีก็ไม่มีทางสวม ได้เลย ชุดคลุมอาคมสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้ าดิน ความเร็ว เทียบเท่ากับการหลอมลมปราณยามปิดด่านของเซียนดินคนหนึ่ง กวอฉุนซีก็แค่เปิดจวนได้ไม่มากพอ รอกระทั่งขอบเขตเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ลูกศิษย์คนนี้ก็จะยิ่งเข้าใจระดับความล้าค่าของชุดคลุมอาคมมากขึ้น อันที่จริงทุกวันนี้หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือไม่ใช่กวอฉุนซีที่กาลัง หลอมลมปราณ แต่เป็ นชุดคลุมอาคมที่ช่วยให้เขาหล่อหลอมเรือน กายและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
แต่อยู่บนเกาะกงหลิ่ว หรือควรจะพูดว่าอยู่ในสานักเจินจิ้ง ผู้ฝึก ตนที่สถานะพิเศษที่สุดยังคงเป็ นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่อายุไม่มาก ไม่มีหนึ่งใน นางมีนามว่าโจวไฉ่เจิน
ท่ามกลางแสงจันทร ์ เด็กสาวเดินอยู่ริมหน้าผาเพียงล าพัง ในมือ นางถือกิ่งหลิวที่ถูกหักมากิ่งหนึ่ง โบกตวัดเบาๆ อยู่บนเกาะแห่งนี้เกรง ว่าก็มีแค่นางเท่านั้นที่กล้าหักกิ่งหลิวโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษ
นางหยุดเดิน เพราะบนเส้นทางที่ห่างไปไม่ไกลมีผู้ฝึ กตนหนุ่ม บุคลิกสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่งยืนอยู่ กาลังยิ้มมองมาทางตน
โจวไฉ่เจินลังเลเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าจะอ้อมไปทางอื่น เดินสวน ไหล่ผ่านผู้ฝึกตนแปลกหน้าคนนั้นไปก็แล้วกัน
แต่เขากลับเปิดปากเอ่ยว่า “เจ้าชื่อโจวไฉ่เจินกระมัง?”
โจวไฉ่เจินพยักหน้า ถามอย่างสงสัย “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร หรือ?”
คนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็แค่แวะมาดูเจ้าที่นี่เท่านั้น”
โจวไฉ่เจินหยุดเดิน “เจ้าคือ?”
คนหนุ่มยิ้มถาม “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้มีใครรังแกเจ้า หรือไม่? อืม ข้าหมายถึงพวกค านินทาลับหลังน่ะ คิดดูแล้วนอกจาก เรื่องนี้คงไม่มีใครกล้าพูดจาไม่น่าฟังอะไรต่อหน้าเจ้า”
โจวไฉ่เจินหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้า
คนหนุ่มยิ้มบางๆ “ไม่สู้ลองคิดดูอีกที?”
โจวไฉ่เจินหัวเราะไม่ได้ร ้องไห้ไม่ออก “ไม่มีจริงๆ”
คือผู้ฝึกตนคนใดของสานักเจินจิ้งที่หาข้ออ้างไม่ได้เรื่องแบบนี้ มาชวนนางคุย?
เห็นคนหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ โจวไฉ่เจินก็เอ่ยหยอกล้อว่า “หากเป็ น เจ้าส านักหลิวของพวกเรา เจ้าจะท าอย่างไร?”
สายตาของคนหนุ่มใสกระจ่าง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ภายในร ้อยปี บัญชีใหม่บัญชีเก่าคิดรวมกัน หาข้ออ้างสักข้อ ข้าจะ ช่วยเจ้าสังหารเขาเอง”
โจวไฉ่เจินขนลุกชันในทันที ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวตามจิตใต้ ส านึก
เพราะลางสังหรณ์บอกกับนางว่า คนหนุ่มที่มองดูเหมือนอ่อน น้อมถ่อมตนอ่อนโยนดุจหยกตรงหน้าของนางผู้นี้ต้องไม่ได้ล้อนาง เล่นแน่นอน!
ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งที่ลึกลับอาพรางของ สานักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงกาลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้ฝึกตนหญิงแห่ง นครจักรพรรดิขาวซึ่งบอกว่าตัวเองชื่อหันเชี่ยวเซ่อ
นอกประตูยังมีสตรีอายุน้อยที่บนร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเผ่า ปีศาจอยู่อีกคนหนึ่งนางบอกว่าตัวเองคือผู้ติดตามที่กู้ช่านเพิ่งรับมา ต้องขายชีวิตให้เขาหนึ่งร ้อยปี
ริมฝั่ง ผู้ฝึ กตนหนุ่มที่ขัดขวางทางไปของโจวไฉ่เจินกล่าวว่า “สวัสดี ดูเหมือนข้าจะลืมแนะนาตัวเอง ข้าชื่อกู้ช่าน มาจากอ าเภอ ไหวหวงถ้าสวรรค์หลีจูต้าหลี อาศัยอยู่ในตรอกหนีผิงกับคนผู้นั้น”
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน ในตรอกมืดมิดแห่งหนึ่งที่บนพื้นเต็ม ไปด้วยขี้หมาขี้ไก่ของอ าเภอหย่งเจีย
นักพรตหนุ่มตามหาเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยไปเยือนบริเวณ ใกล้เคียงกับที่ว่าการอาเภอฉางหนิงเจอ
นักพรตที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะยืนอยู่นอกประตู พึมพ า กับตัวเอง เอ่ยประโยคว่าในที่สุดก็หาเจ้าเจอแล้ว
เพียงแต่ว่านักพรตกลับไม่รู ้สึกอารมณ์ดีเลย
มีผู้เฒ่านั่งหลับอยู่ในห้อง บางครั้งยังกระแอมสองสามทีโดยที่ไม่ รู ้ตัว
เด็กหนุ่มจุดไฟต้มยาอยู่ในห้องครัว เคลื่อนไหวว่องไว เดิมทีสี หน้าเต็มไปด้วยพยับเมฆ เป็ นเหตุให้เด็กหนุ่มผอมแห้งยิ่งมีสีหน้าอม ทุกข์มากกว่าเดิม ทว่าทุกครั้งที่อารมณ์ย่าแย่อย่างถึงที่สุด เขาก็จะ นึกถึงประโยคเหล่านั้นที่นักพรตอู๋พูดให้ฟัง เด็กหนุ่มก็จะยิ้มได้อย่าง ที่ไม่รู ้ตัว คิดในใจว่าวันหน้าหากตนสามารถเป็ นนักพรตได้ก็ดีน่ะสิ