กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1018.5 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
บทที่ 1018.5 แล้วถามข่าวคราวของดอกเหมยจากใคร
จิตหยินที่ออกจากร่างของลู่เฉินแอบมาสร ้างค่ายกลใหญ่ไว้ที่นี่ อย่างเงียบเชียบ ปวดหัว ปวดหัว หรือจะบอกว่าคนทาดีได้ดี คนทาชั่ว ได้ชั่ว มีหนี้ต้องใช ้คืนจริงๆ
ยอดเขาโพโม่ จ้าวฝูหยางกับอวี๋ฉุนจือจับมือกันทะยานลมมาที่นี่ ในเมื่อฝู่จวินทั้งสองท่านไม่ได้น าตราลัญจกรหยกมาด้วย อันที่จริงคุย กันได้แค่ไม่กี่คาก็เจรจาไม่สาเร็จแล้ว
จ้าวฝูหยางหัวเราะหยันเอ่ยว่า “เฉิงเฉียน คิดจะให้พินาศวอดวาย กันไปทั้งสองฝ่ ายเลยหรือไร? แคว้นชิงซิ่งกับยอดเขาฉุยชิงของพวก เจ้าไม่กลัวว่าฝ่ ายหนึ่งจะชะตาแคว้นขาดสะบั้น อีกฝ่ ายหนึ่งควันธูป ขาดสะบั้นหรือ?”
“ไว้หน้าเจ้าแล้วอย่ายังท าตัวหน้าไม่อาย”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่รูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่มสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย ว่า “ก็แค่ภูเขาเหอฮวานลูกเดียวเท่านั้น ไม่มีทางพินาศวอดวายกัน ไปทั้งสองฝ่ ายหรอก อย่างมากสุดก็แค่เอาไข่กระทบหิน เศษสกปรก กระเซ็นมาโดน แค่เช็ดออกก็พอ”
บ่อน้าพุร ้อนที่ภูเขาจุ้ยยวน อวี๋โหยวอี๋ที่กาลังจะออกเรือนกับ เหนียงเนียงเทพวารีแย้มยิ้มกุมมือกันเดินออกจากน้า น้าพุประหนึ่ง หิมะขาวสะอาดที่ไหลผ่านก้อนหยก จากนั้นพวกนางก็ค้นพบด้วย
ความตกตะลึงว่าเสื้อและกระโปรงหายไปแล้ว พวกนางหันมามองหน้า กันเอง ไม่ได้มีความอับอาย แต่หวาดกลัว มีใครที่สามารถแฝงตัวเข้า มาที่นี่ได้โดยที่ผีไม่รู ้เทพไม่เห็นบ้าง อีกทั้งยังขโมยเสื้อผ้าเหล่านั้นไป จากจุดที่อยู่ใกล้กับพวกนางถึงเพียงนี้?
เจ้าจวนป๋ ายที่สวมชุดคลุมขนนกกระสาเวลานี้อยู่ในจวนเฝิ่ น หวานแล้ว แต่อยู่ในห้องด้านข้าง มิอาจไปยังห้องโถงหลักที่แสงไฟ เรืองรองได้ ที่นั่งของป๋ ายเหมาก็อยู่ในมุมอับด้วย
หลวี่โม่พาเด็กสาวที่ชื่อว่าหนีชิงออกไปจากเมืองเล็ก ผู้ฝึกยุทธ หญิงมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด เด็กสาวเดินก้าวหนึ่งต้องหัน กลับมามองสามรอบ
ทันใดนั้นทั่วทั้งอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานก็เกิดคลื่น ลมปราณมหาศาลที่กระจายแผ่ออกไป คล้ายดวงอาทิตย์หล่น กระแทกลงพื้นแล้วแตกเป็ นเสี่ยงๆ เหมือนกระจก
พลังอานาจที่เหมือนน้าขึ้นขุมนั้นถาโถมกระจายกันออกไป โชค ดีที่ภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้เกิดขึ้นแค่ชั่วขณะเดียว ไม่ทันรอให้ผู้ ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกยุทธและผีทั้งหลายคืนสติ น้าขึ้นก็ถอยกลับไปด้วย ความเร็วที่มากกว่าแล้ว
……
หลังจากที่งานพิธีเฉลิมฉลองของสานักกระบี่ชิงผิงผ่านพ้นไป คนกลุ่มหนึ่งก็จัดขบวนจับกลุ่มกันออกเดินทางไปข้างนอกอย่าง
เอิกเกริก จากนั้นก็แยกย้ายกันที่ภูเขาไท่ผิง คนส่วนหนึ่งจับกลุ่มกัน เดินทางลงใต้ต่อ
คนร่วมสายเหวินเซิ่งมีหลี่เป่าผิง เผยเฉียน เจิ้งโย่วเฉียน นายและ บ่าวในนามคู่หนึ่งแน่นอนว่าเจ้าอ้วนกูซูก็รู ้สึกว่าตัวเองกับจงขุยถือ เป็ นพี่น้องที่รักที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านกันด้วย
และยังมีแม่นางน้อยที่มาจากภูเขาต้นไม้เหล็ก อาจารย์ของนาง คือกั่วหรานขอบเขตเซียนเหรินที่มีฉายาว่า “หลงเหมิน” อาจารย์ปู่ คือกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก
กั่วหรานอยู่ต่อที่ภูเขาไท่ผิง ไม่มีอะไรที่เขาไม่วางใจ ถานยิ่งโจว ผู้เป็ นลูกศิษย์ติดตามพวกเขาไปไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอยู่ แล้ว
อย่าว่าแต่ท่องเที่ยวไปในใบถงทวีปเลย ต่อให้เป็ นทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลาง คนทั้งกลุ่มก็ยังไปเยือนได้อย่างไร ้ข้อห้ามใดๆ
เรือข้ามฟากลาหนึ่งที่มีชื่อว่าไฉ่อวิ้นเดินทางผ่านทัศนียภาพ ตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เป็ นม่านฝน เนื่องจากตอนที่เรือข้ามฟากลอด ทะลุม่านฝน ผู้โดยสารพากันเดินออกมาจากห้องพักบนตัวเรือแทบ ทั้งหมด ตรงหัวเรือก็มีผู้ฝึกตนหนุ่มท่าทางหล่อเหลามีเสน่ห์ มีมาด ของคุณชายตระกูลใหญ่ ตรงเอวห้อยกระจกทองแดงบานเล็ก สวม กวานหยกขาว ชายแขนเสื้อกว้างรัดเข็มขัด ระหว่างที่ก้าวเดินก็ให้ ความรู ้สึกว่าชายแขนเสื้อมีลมพัดมีริ้วน้า เขาทามุทราคารวะด้วยท่า
เฉพาะของส านักตัวเองต่อเผยเฉียนก่อน แล้วค่อยถามเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าเทพธิดามีฉายาว่าอะไร อาจารย์ผู้สืบทอดคือใคร?”
เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าไม่ใช่เทพธิดาอะไรทั้งนั้น คือคนฝึกวรยุทธ”
มักจะมีผู้ฝึ กตนทาเนียบที่ท่าทางคล้ายบุรุษตรงหน้า หรือไม่ก็ ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่ออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกเข้ามาพูดตี สนิทกับเผยเฉียนเป็ นประจา ไม่ใช่แค่สองสามครั้งแล้ว
หลี่เป่ าผิงฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว เอียงศีรษะมองดูเรื่องสนุกอยู่ ด้านข้าง
คนผู้นั้นยังไม่ถอดใจ ยังถามต่ออีกว่า “แม่นางช่วยบอกชื่อให้ ทราบได้ไหม?”
เห็นว่าเผยเขียนไม่อยากคุยด้วย บุรุษก็ไม่หงุดหงิด ยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อฉู่เกาฉายา “เฟยช่วง” ภูมิลาเนาอยู่ที่เขตชุ่ยป่ายของ ราชวงศ์ต้าฉง ทุกวันนี้อยู่ที่พรรคเหลยจู้ภูเขาอวิ๋นติ่ง ตอนที่อายุยัง น้อยก็ติดตาม “เหลยหมาง” เซียนซื่อผู้เป็ นอาจารย์ขึ้นเขาฝึกตน ฝึก ตนอยู่บนยอดเขาชีจื่อเกือบสี่สิบปี เพียงแต่เพราะเกิดมาโง่เขลา ฐาน กระดูกธรรมดา อาจารย์ไม่วางใจให้ข้าออกไปจากยอดเขาชีจื่อ เป็ น เหตุให้ได้ออกมาท่องเที่ยวข้างนอกน้อยครั้ง”
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาสามารถตั้งฉายาได้ตามใจชอบ ไม่มีค่า แม้แต่น้อย แต่ผู้ฝึกตนท าเนียบจะมีคุณสมบัติได้ครอบครองฉายาใน
การฝึ กตนหรือไม่กลับมีเส้นแบ่งที่ใหญ่มากเส้นหนึ่ง ก็เหมือนกับ พ่อค้าในแคว้นแห่งหนึ่งมีเงินมากพอจะซื้อเรือนหลังใหญ่ไว้ในเมือง หลวงที่ทุกพื้นที่ล้วนเป็ นทองหรือไม่
เจ้าอ้วนกูซูที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจุ๊ปาก ใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะ “พี่น้องจง ฟังสิฟังแค่ไม่กี่ประโยคก็เผยข้อมูลสาคัญมากมายขนาดนี้ แล้ว หากไอ้หมอนี่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์น้อยครั้งจริง ข้าจะ ไปกินขี้เลย วันหน้าถังของเสียของเรือลานี้ ข้าจะเหมาไปเททิ้งให้ ทั้งหมด”
จงขุยยิ้มกล่าว “ขอเรียกร ้องเช่นนี้ของเจ้า ไม่แน่เสมอไปว่าทาง เรือข้ามฟากจะตอบตกลงนะ”
ไม่เหมือนกับเรือข้ามทวีป ไฉ่อวิ้นเรือข้ามฟากลาเล็กที่อยู่ใต้ฝ่ า เท้าลานี้ การที่ไม่ชอบรับมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขึ้นเรือ มา สาเหตุที่ค่อนข้างพูดได้ยากก็คือคนกลุ่มนี้มีกินมีดื่มแล้วต้อง ขับถ่าย ซึ่งเป็ นปัญหาที่ต้องแก้ไข ไม่อาจอยู่บนเรือเป็ นระยะเวลานาน ได้ดังนั้นคนที่ทางานเบ็ดเตล็ดบนเรือข้ามฟาก ถ้าเป็ นมนุษย์ธรรมดา ก็ยังพอท าเนา แต่หากเป็ นผู้ฝึ กลมปราณซึ่งเป็ นลูกศิษย์ฝ่ ายนอก โดยเฉพาะสตรี ทุกวันต้องเผชิญหน้ากับกระโถนฉี่ถังอาจมก็คือเรื่อง ที่ชวนหงุดหงิดใจอย่างมาก หรืออย่างการทาความสะอาดห้องส้วม คราบสกปรกพวกนั้นเหม็นเกินจะทน พวกนางย่อมไม่ชอบเรื่องพวก นี้อย่างมาก
ฉู่ เกามีฉายาก็หมายความว่าอย่างน้อยเขาต้องเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณขอบเขตถ้าสถิตแล้วถูกเซียนซือหมายตาในคุณสมบัติจึง ขึ้นเขาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ฝึ กตนห้าขอบเขตกลางอายุสี่สิบปี ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์แล้วแบบไหนถึงจะใช่
แซ่ฉู่ อีกทั้งยังมาจากเขตชุ่ยป่ ายราชวงศ์ต้าฉง และสกุลฉู่ชุ่ย ป่ ายก็คือตระกูลปัญญาชนในพื้นที่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในต้าฉง นอกจากนี้พรรคเหลยจู้ภูเขาอวิ๋นติ่งยังเป็ นจวนเซียนขนาดใหญ่ที่มี น้อยจนนับนิ้วได้ของราชวงศ์ต้าฉง เมื่อเทียบกับพรรคชิงจ้วนซึ่งมี บรรพจารย์โอสถทองสองคนแล้วก็เหนือกว่าระดับหนึ่ง เจ้ายอดเขาที่ มีฉายาว่า “เหลยหมาง” ผู้นี้ แม้จะไม่ใช่เจ้าประมุข แต่กลับเป็ นบรรพ จารย์ก่อกาเนิดคนหนึ่ง เนื่องจากเคยร่วมสงครามครั้งนั้นพอจะสร้าง คุณความชอบในการสู้รบได้อยู่บ้าง จึงมีชื่อเสียงและบารมีอย่างมาก ถือเป็ นเทพเซียนผู้เฒ่าที่ไม่ว่าจะเป็ นชื่อเสียงหรือขอบเขตล้วนใช ้ได้ ติดอันดับต้นๆ ของใบถงทวีปในทุกวันนี้
เผยเฉียนยิ้มตามมารยาท “ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของจวนเซียน เหลยจู้ภูเขาอวิ๋นติ่งและ “เหลยหมางเจินจวิน” แห่งยอดเขาเฟยจิ้งมา นานมากแล้ว”
ฉู่ เก าเอ่ย “บอกตามตรง ครั้งนี้ข้าลงจากภูเขามาห า ประสบการณ์เพราะได้รับคาสั่งจากอาจารย์ให้รวบรวมตาราสายฟ้ าที่ ถือกาเนิดขึ้นมาในสถานที่ต่างๆ เนื่องจากช่วงนี้อาจารย์อยากจะช่วย เสริมตาราวิชาสายฟ้ าเล่มหนึ่งของราชวงศ์ต้าฉงให้สมบูรณ์ อีกอย่าง
คือได้ยินมาว่าทางฝั่งของแคว้นหลันเหราซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกลนักมี ปี ศาจออกอาละวาดตบะไม่ต่า เป็ นเหตุให้พื้นที่ของสองจังหวัด นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้อากาศแห้งแล้งมา นานสามสี่เดือนแล้ว สภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติเช่นนี้ แรกเริ่ม ราชส านักแคว้นหลันเหราและกองโหราศาสตร ์ไม่รู ้สาเหตุ ยังคงเป็ น สหายบนภูเขาคนหนึ่งของข้าที่อยู่ที่นั่ นเสี่ยงอันตรายไปสืบ สถานการณ์ ถึงค้นพบว่าปีศาจถึงกับกล้ายึดครองอยู่หน้าประตูศาล เทพอภิบาลเมืองประจาจังหวัดเก่าแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร ้าง จงใจเรียก ตัวเองเป็ นมังกรปลุกปั่นใจคน ข้ากับสหายอีกสองสามคนก็เลย อยากจะก าราบมัน แล้วพามันกลับภูเขา”
หากจะพูดถึงใบถงทวีปเมื่อหลายสิบปี ก่อน ผู้ฝึ กตนทาเนียบ อย่างฉู่เกาที่มีอาจารย์ตบะขอบเขตก่อก าเนิด ก็ไม่ถือว่าร ้ายกาจสัก เท่าไร ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกก็ยากที่จะเรียกได้ว่ามีหน้ามี ตา เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ของพวกเขาก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดตั้งยี่สิบ กว่าคน ฉู่เกาเป็ นแค่คนหนึ่งในนั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาอวิ๋ นติ่งที่อยู่ในราชสานักต้าฉงก็ไม่ใช่ผู้น าของจวนเซียนบนภูเขา ทว่า ทุกวันนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่าว่าแต่ราชส านักต้าฉงเลย ต่อให้ เป็ นทางทิศใต้ของใบถงทวีป ขอแค่ฉู่เกาบอกชื่อสานักออกไปก็ จะต้องกลายเป็ นแขกผู้มีเกียรติของจวนชนชั้นสูงในแต่ละแคว้นอย่าง แน่นอน คนเหล่านั้นมีแต่จะประจบเอาใจเขาอย่างสุดก าลัง
เผยเฉียนตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ
บอกกับอีกฝ่ ายเป็ นนัยอย่างชัดเจนว่าในเมื่อพูดจบแล้ว เจ้าก็ไป ได้แล้ว
กูซูเอ่ย “หากข้าเป็ นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เพิ่งออกจากบ้านครั้งแรก สายตาตื้นเขินสักหน่อย จะต้องยินดีเป็ นฝ่ ายคลายสายรัดเอวเพื่อ คุณชายฉู่ผู้นี้แน่นอน”
จงขุยเอ่ยสัพยอก “ด้วยเนื้อมันๆ หนักเกือบสามร ้อยจินของเจ้า เนี่ยนะ คุณชายฉู่ต้องกินไม่เลือกแค่ไหนถึงจะถูกใจเจ้าได้?”
จงขุยยิ้มเอ่ยต่ออีกว่า “ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ล้วนเป็ นวิธีการ ชั้นต่าที่คนในยุทธภพของหมู่ชาวบ้านใช้กัน หลอกพวกเทพธิดา อายุน้อยที่ยังไม่มีประสบการณ์ทางโลกอย่างลึกซึ้งก็คงพอดี หากใช้ คากล่าวของเผยเฉียนตอนเป็ นเด็กก็คือซากอ้อยที่แม้แต่หมาก็ยังไม่ คาบขึ้นมา ใช ้ลูกไม้พวกนี้กับเผยเฉียน คุณชายฉู่ท่านนี้ก็ตาบอด แล้วจริงๆ มาเจอเผยเฉียนก็เท่ากับว่านักต้มตุ๋นตัวน้อยมาเจอกับ บรรพจารย์อาชีพเดียวกันกระมัง?”
กูซูเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เผยเฉียนร ้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ?”
จงขุยหัวเราะร่วน “หากเจ้าเคยเห็นเผยเฉียนตอนที่นางยังเป็ น เด็กเหมือนกับข้า คราวก่อนที่อยู่สานักกระบี่ชิงผิง เจ้าต้องไม่กล้า ประมาทแน่นอน”
เจ้าอ้วนบ่น “แล้วทาไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า?!”
จงขุยกล่าว “บอกให้เร็วกว่านี้อะไร ข้ารู ้จักเผยเฉียนก่อนเจ้าอีก ไม่ใช่หรือ? ข้าโง่หรือไรถึงได้จะเข้าข้างคนนอก?”
เจ้าอ้วนยื่นมือมาทุบหน้าอกเบาๆ เอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร ้าว “มิตรภาพของพี่น้องที่เหมือนตีขึ้นจากเหล็กกลับไม่มีค่าถึงเพียงนี้ เลยหรือ?! กว่าเหรินโกรธมากนะ!”
จงขุยขมวดคิ้วเอ่ย “ประหลาดนัก ทาไมตาเฒ่าซ่างกวนถึงสอน ลูกศิษย์เสเพลไม่เป็ นโล้เป็ นพายแบบนี้ออกมาได้ ไม่กลัวว่าจะลาบาก ตอนแก่หรือ? คราวหน้าข้าต้องไปถามหน่อยแล้ว”
คงจะเป็ นเพราะสอดคล้องกับวิชาสายฟ้ าที่ใช ้ฝึ กตน ผู้ฝึ กตน พรรคเหลยจู้ส่วนใหญ่ถึงได้มีนิสัยแกร่งกร ้าวและยังหยิ่งในศักดิ์ศรี มาก สงครามใหญ่ในปี นั้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ กลุ่มหนึ่ง ภายใต้การนาพาของเจ้าจวนก็ได้ไปรวมตัวกับกองทัพใต้ กองกาลังของแม่ทัพบู๊หนุ่มซึ่งภายหลังถูกเรียกขานว่าเป็ นเสาหลัก แห่งแคว้นราชวงศ์สกุลอวี๋ผู้นั้น ทั้งรบทั้งถอย อีกทั้งหากมีโอกาสก็จะ ไปลอบโจมตีเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้าง สร ้างคุณความชอบไว้ไม่น้อย แต่หลังจากทาสาเร็จ ตลอดทั้งยอดเขาเฟยจิ้งรวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของศาลบรรพจารย์พรรคเหลยจู้กลับไม่ถือว่าเป็ นความดี ความชอบของตน ถึงขั้นยังจงใจปิดบังเรื่องนี้ไว้ด้วย เพียงแต่ว่ามีข่าว ลือเล็กๆ แพร่ไปบนภูเขา ตาเฒ่าซ่างกวนบอกว่าข้าผู้อาวุโสช่วยแม่ ทัพหวงและกองทัพม้ากองนี้เท่านั้น ไม่ได้ช่วยเชื้อพระวงศ์สกุลอวี๋ที่ เห็นท่าไม่ดีก็เผ่นหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่าย
ถานอิ๋งโจวใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “โย่วเฉียน ศิษย์พี่หญิงเผยของ เจ้าคนนี้ นิสัยดีเกินไปแล้วนะ หากเป็ นข้า ถูกหมอนปักลายบุปผามา ตอแยอย่างนี้ คงปล่อยหมัดใส่ไปนานแล้วต่อยเข้าที่หน้าของเขาเลย หากไม่เห็นเลือดอาบเต็มหน้าจะไม่เก็บหมัดกลับมาเด็ดขาด!”
อันที่จริงเจิ้งโย่วเฉียนก็ประหลาดใจเหมือนกัน มักรู ้สึกว่าศิษย์พี่ หญิงเผยคนนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับ “เจิ้งเฉียน” ในจินตนาการของ ตนคนนั้นสักเท่าไรเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้อยู่ร่วมกันช่วงที่ผ่านมา เจิ้งโย่วเฉียนก็ ค้นพบอีกว่าแม้ศิษย์พี่หญิงเผยจะพูดไม่มาก แต่เวลาปกติก็มักจะยิ้ม แย้ม สุภาพอ่อนโยนอย่างมาก ไม่ดุร ้ายเลยแม้แต่นิดเดียว!
กลับกลายเป็ นว่าเหมือนสตรีที่มาจากตระกูลชั้นสูง รู ้มารยาทรู ้ หลักท านองคลองธรรมเรียบร ้อยอ่อนโยน เหมือนคนที่ได้รับการ อบรมสั่งสอนมาเป็ นอย่างดี
ถานอิงโจวยังมีเรื่องที่รู ้สึกประหลาดใจมากกว่านี้ ไม่ว่าคิด อย่างไรก็คิดไม่ออก หากจะพูดถึงรูปโฉมต้องยังเป็ นพี่หญิงเป่ าผิงที่ งามกว่าแน่นอน เหตุใดบุรุษถึงได้ชอบเข้าหาพี่หญิงเผยเฉียนกันนะ จึงถามเจิ้งโยวเฉียนว่ารู ้สาเหตุหรือไม่
เจิ้งโย่วเฉียนลังเลอยู่พักใหญ่ เห็นได้ชัดว่ารู ้คาตอบแต่ไม่สะดวก จะเปิดปาก เพราะถึงอย่างไรพวกนางล้วนเป็ นศิษย์พี่หญิงของตน หากคุยเรื่องนี้ก็ไร ้มารยาท ไม่รู ้จักกฎระเบียบเกินไปแล้ว
ถานอิ๋งโจวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ความลับสุดยอดมิอาจ บอกคนนอกได้ เจ้าจะกังวลอะไร คิดว่าข้าเป็ นหมี่ลี่น้อยหรือ ถึงได้ ชอบท าตัวเป็ นเทพรายงานข่าวน่ะ?”
เจิ้งโย่วเฉียนถึงได้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่หญิงหลี่หน้าตา งดงามเกินไป บุรุษทั่วไปต่างก็ไม่รู ้สึกว่ามาพูดคุยตีสนิทกับนางแล้ว จะมีประโยชน์อะไรก็เลยไม่หาเรื่องใส่ตัวเสียเลย ศิษย์พี่หญิงเผย แน่นอนว่าน่ามอง แค่ไม่ได้น่ามองเท่าศิษย์พี่หญิงหลี่ ศิษย์พี่หญิงทั้ง สองคนแทบจะตัวติดกันเป็ นเงาทุกวัน ทุกครั้งที่เผยตัว พวกนางยืน อยู่ด้วยกัน บุรุษที่เหลาะแหละแต่ความคิดเฉียบไวอย่างฉู่เกาจึงมิอาจ ระงับความเจ้าชู้ของตัวเองได้”
ถานยิ่งโจวหัวเราะหยัน “เจ้าเข้าใจขนาดนี้เลยหรือ?!”
พอแม่นางน้อยพูดอย่างนี้ เจิ้งโย่วเฉียนก็ยิ่งไม่กล้าพูดเหตุผลที่ สองอีก กลืนมันกลับลงท้อง ซุกซ่อนไว้เป็ นอย่างดี
บุรุษบางคน บางทีเป็ นดื่มสุราแต่ความหมายไม่ได้อยู่ที่สุรา คิด อยากจะรู ้จักกับศิษย์พี่หญิงเผยก่อน แล้วค่อยไปท าความเข้าใจกับ ศิษย์พี่หญิงหลี่
เฮ้อ พวกคนเจ้าชู้ที่จิตใจโลเลพวกนี้อ่านตาราอริยะปราชญ์มา อย่างเสียเปล่าจริงๆ
ยังคงเป็ นอาจารย์อาน้อยที่ร ้ายกาจ ล่วงรู ้ได้ก่อน จึงแอบบอกให้ ตนจดจาความรู ้เกี่ยวกับภูเขาสายน้าตลอดที่เดินทางมานานแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกให้จาชื่อและสานักของพวกอันธพาลเสเพล ทั้งหลายเอาไว้
ถานอิ๋งโจวถาม “อาจารย์อาน้อยของเจ้าไม่ได้ส่งจดหมายลับมา ให้เจ้าบ้างหรือ?”
เจิ้งโย่วเฉียนส่ายหน้า บอกว่าไม่เคยอย่างตรงไปตรงมา
อาจารย์อาน้อยยุ่งมาก อีกทั้งเรื่องที่เขาทาล้วนเป็ นเรื่องใหญ่ บวกกับที่อาจารย์อาน้อยไม่ใช่ผู้อาวุโสที่ชอบโอ้อวดตัวเอง ต่อให้ ช่วงนี้ได้ถามกระบี่กับใครๆๆ ก็ไม่มีทางบอกกับเขา
ถานอิ๋งโจวใช้สายตาเวทนามองเขา “โย่วเฉียน ข้ารู้สึกว่าใต้ เท้าอิ่นกวานคิดว่าเจ้าไม่มีอนาคตก็เลยคร้านจะสนใจเจ้า”
เจิ้งโย่วเฉียนยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ข้าไม่มีอนาคตก็จริง แต่อาจารย์อา น้อยกลับไม่ใช่คนแบบนี้”