กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1019.1 ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งมักพูดจาเรียบง่าย
บทที่ 1019.1 ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งมักพูดจาเรียบง่าย
แม้ในใจของโจวชิวจะมีการคาดเดาแล้ว ชื่อว่าเผยเฉียน เป็ นผู้ ฝึกยุทธหญิง การแต่งกายและทรงผมล้วนสอดคล้องกับเรื่องเล่าลือที่ ลี้ลับมหัศจรรย์ทั้งหลาย บวกกับที่การปรากฏตัวของอีกฝ่ ายได้ชักน า ให้เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติของฟ้ าดินที่ลึกลับซับซ ้อน แต่นี่ก็เป็ น เรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากจริงๆ พูดถึงแค่เรื่องที่ว่าทาไมเผยเฉียนถึงมา ปรากฏตัวที่นี่ก็ทาให้โจวชิวคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจแล้ว แม้จะ ข่มกลั้นคลื่นถาโถมในใจเอาไว้ได้ แต่นางก็ยังอดไม่ไหวถามว่า “ใช่ ปรมาจารย์เผยแห่งภูเขาลั่วพั่วหรือไม่? เคยใช ้นามแฝงว่าเจิ้งเฉียนที่
สนามรบของเมืองหลวงส ารองต้าหลี?”
แม้ว่าอยู่ในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน ด้วยข้อจากัดเรื่อง สถานะท าให้ข่าวสารของโจวชิงไม่ว่องไวมากพอ แต่รายงานขุนเขา สายน้าสิบกว่าฉบับที่ได้มาจากช่องทางต่างกันนางกลับอ่านซ้าจน ขึ้นใจแล้ว นามของหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีป โจวชิวจะไม่รู ้ได้อย่างไร ชื่อเสียงของคนเงาของต้นไม้ บนสนามรบ ของเมืองหลวงสารองในปีนั้นสองฝากฝั่งของลาน้าใหญ่ “เจิ้งชิงหมิง” ทั้งสังหารปี ศาจทั้งช่วยเหลือคนโดยไม่ถ่วงรั้งกันและกัน อยู่ใน กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจได้เหมือนดินแดนไร้ผู้คน
เผยเฉียนกุมหมัดยิ้มเอ่ย “พี่หญิงโจว ข้ามิคู่ควรต่อคาเรียกขาน ว่า “ปรมาจารย์หรอก”
โจวชิวหันไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ หากสตรีตรงหน้าคือเผย เฉียน ถ้าอย่างนั้นคนที่เผยเฉียนเรียกว่าอาจารย์พ่อจะเป็ นใครไปได้ อีก?
ก่อนหน้านี้ยังรู ้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างมีใจเมตตา เป็ นคนดี เพียงแต่ว่านิสัยเสียที่ชอบคุยโวของเขาก็ช่างท าให้คนทนรับไม่ไหว จริงๆ
ตอนนี้มาหวนนึกดู อีกฝ่ายใช่คุยโวไม่ต้องร่างคาพูด แสร ้งพูดจา ข่มขวัญคนอื่นที่เสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามีเป้ าหมายแต่แรก เพียงแค่ ว่านางกับป๋ ายเหมาไม่เชื่อก็เท่านั้น
เนื่องจากอยู่ใกล้ หลิวเถี่ยที่ได้ข่าวก็รีบมาเช่นเดียวกัน
โจวชิวกุมหมัดเอ่ย “โจวชิวผู้บัญชาการทหารม้ากองทัพ ชายแดนต้าหลี ผู้ฝึ กตนติดตามกองทัพของค่ายทัพต้าเหลียงใต้ บังคับบัญชาของผู้ตรวจการซู คารวะอาจารย์เฉิน”
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หลิวเถี่ยหัวหน้า หน่วยสอดแนมค่ายต้าเหลียงคารวะอาจารย์เฉิน!”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วต้า หลีคารวะผู้บัญชาการณ์โจว หลิวเปียวจ่าง”
เผยเฉียนรู ้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจนอดเหลือบมองโจวชิวไม่ได้
ในระบบเก่าของกองทัพชายแดนต้าหลี ผู้บัญชาการทหารม้าถือ เป็ นต าแหน่งของแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการ ขั้นสี่ชั้นเอก ไม่ถือเป็ น ตาแหน่งงานที่มีหน้าที่จริง แต่หากโจวชิวไม่ได้รบตายกลายเป็ นผี สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากสนามรบได้ ตามกฏใหม่ที่ต้าหลี บัญญัติเมื่อได้รับตาแหน่งบู๊ที่มีน้าหนักอย่างถึงที่สุดนี้แล้วย้ายไปรับ ต าแหน่งในค่ายทัพประจ าท้องถิ่น นางก็น่าจะได้เป็ นขุนนางบู๊ที่มี อานาจแท้จริงซึ่งเริ่มต้นที่ขั้นห้าขึ้นไป หากรับตาแหน่งในกรม กลาโหมของเมืองหลวงส ารองต้าหลี ไม่แน่ว่าโจวชิงอาจได้เป็ นหลาง จงซึ่งเป็ นขุนนางหลักของกองงานบางกองแล้วก็เป็ นได้ ถอยไปพูด หนึ่งก้าว ต่อให้โจวชิวจะเป็ นวิญญาณวีรบุรุษแล้ว และได้กลับบ้าน เกิดตามระเบียบ กลายเป็ นเทพอภิบาลเมืองที่ไปเสวยสุขกับควันธูปก็ ยังไม่เป็ นปัญหา
กลับลงไปนั่งกันอีกครั้ง เดิมทีโจวชิวอยากจะให้อิ่นกวานหนุ่มที่มี ชื่อเสียงสะท้านไปทั้งใต้หล้านั่งตาแหน่งประธาน แต่เฉินผิงอันยังคง นั่งที่เดิม
เฉินผิงอันถามว่า “ที่เมืองหลวงต้าหลี ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองว่า ราชส านักต้าหลีส่งตัวผู้ฝึกตน รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า และเทพอภิบาลเมืองประจ าเขตและจังหวัดต่างๆ รายทางให้ไปชักน า วิญญาณวีรบุรุษที่รบตายอยู่ตามแคว้นต่างๆ ทางทิศใต้ของแจกัน
สมบัติทวีป ทาไมพวกเจ้าถึงไม่ติดตามขบวนเดินทางนี้กลับขึ้นเหนือ ด้วย?”
หลิวเถี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายโดยภาพรวมคร่าวๆ ว่า “เพียงแค่เพราะสหายร่วมอาชีพมีความยึดมั่นถือมั่นเข้มข้นเกินไป พอออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานสติก็จะเลอะเลือน ขาด จิตวิญญาณที่แท้จริงเสี้ยวสุดท้ายไป พวกเราที่อยู่ที่นี่ยังมีความ ปรารถนาที่ยังไม่อาจท าให้เป็ นจริงได้ จึงไม่ยินดีจากไป ต่อให้ต้อง กลายเป็ นผีเร่ร่อนก็ไม่เสียดาย”
ต่อให้ก าลังเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ชายฉกรรจ์สวมเกราะก็ยัง เก็บงาเรื่องบางอย่างเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ ายก็ไม่มีสถานะขุน นางของต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีสถานะในกองทัพชายแดน
โจวชิวยิ้มเอ่ย “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง หลี่ถิ่งเทพภูเขา ของศาลภูเขาอูเถิงทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอยู่ใต้การปกครองตน หนึ่งชื่อว่ากู้เฟิ่ง เป็ นมือขวาที่มีความสามารถไว้ใจได้ของหลี่ถิ่ง เคย เป็ นเทพภูเขาของศาลเถื่อนในอาณาเขตแคว้นชิงซิ่ง มันเคยแอบ ลักลอบสมคบคิดกับกระโจมทัพของเปลี่ยวร ้างอย่างลับๆ แพร่งพราย เส้นทางการเดินทางของกองทัพม้ากองหนึ่งของพวกเราให้อีกฝ่ ายรู ้ ทั้งยังแนะนาให้ซุ่มโจมตีดักสังหาร นอกจากที่ข้าจะเป็ นผู้ฝึ กตน ติดตามกองทัพแล้วยังรับหน้าที่ดูแลเรื่องการรายงานข่าวของกองทัพ ด้วย จึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของศาลเถื่อนแห่งนั้น บวกกับที่ กระโจมทัพเผ่าปี ศาจเองก็กังวลว่าจะโดนซ้อนแผนจึงส่งหน่ วย
ลาดตระเวนกองหนึ่งให้มาส ารวจร่องรอย บังเอิญมาเจอข้ากับหลิว เปียวจ่างพอดี ในกลุ่มหน่วยสอดแนมของเปลี่ยวร ้างมีผู้ฝึกกระบี่คน หนึ่งซ่อนตัวอยู่ หลังจบเรื่อง หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือหลังตายไป นานหลายปีแล้ว พวกเราถึงเพิ่งจะรู ้ว่าผู้ฝึกกระบี่ของเปลี่ยวร ้างคน นั้นได้เลื่อนขั้นเป็ นหนึ่งในร ้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ แน่นอนว่า เรื่องที่เผ่าปีศาจพยายามดักสังหารกองทัพของพวกเราก็กลายเป็ น ฟองอากาศที่อันตรธานไปด้วย หลายปีมานี้พวกเราพยายามเสาะหา หลักฐานอย่างยากลาบากก็ยังได้แค่สืบไปเจอว่าเทพภูเขาศาลเถื่อน ผู้นั้นสนิทสนมกับหลี่ถิ่งมานานแล้ว มีความเป็ นไปได้อย่างมากว่าหลี่ ถิ่งต่างหากถึงจะเป็ นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง การลอบฆ่าสองครั้งไม่สม ปรารถนา หลังจากที่จ้าวฝูหยางแห่งภูเขาเหอฮวานรู ้สถานะของพวก เรา บางทีอาจกริ่งเกรงในสถานะของพวกเราตอนที่เคยมีชีวิตอยู่จึง ไม่ได้กาจัดพวกเราทิ้งอย่างสิ้นซาก กลับกันยังปล่อยให้พวกเรามาลง หลักปักฐานอยู่ที่เมืองเฟิ งเล่อ พูดแค่ว่าหากมีความสามารถก็ฆ่า ผู้แทนฝ่ ายตรวจสอบการทหารคนนั้นให้ได้ เขาจะไม่มายุ่งกับเรื่องนี้ เด็ดขาดแต่ความแค้นส่วนตัวที่ไร ้ซึ่งหลักฐาน เป็ นแค่การคว้าลมจับ เงาฝ่ ายเดียวประเภทนี้ก็อย่าหวังว่าจะให้เขากล่าวโทษกู้เฟิ่งเลย จ้าว ฝูหยางยังพูดด้วยอีกว่าขอแค่พวกเราเอาหลักฐานออกมาได้ อย่าว่า แต่กู้เฟิ่ งเลย ต่อให้เป็ นหลี่ถิ่ง เขาก็สามารถหักคออีกฝ่ ายด้วยมือ ตัวเองส่งมาที่ล่างภูเขาได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หากกล่าวเช่นนี้ ผู้บัญชาการโจวคงรู ้สึกว่า ความเป็ นไปได้ที่จ้าวฝูหยางกับอวี๋ฉุนฉือจะสมคบคิดกับเผ่าปี ศาจ เปลี่ยวร ้างมีไม่มากสินะ?”
โจวชิวกล่าว “อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังไม่พบลางและเบาะแสใดๆ อีกทั้งจากนิสัยการกระท าขององค์กรรายงานข่าวต้าหลี หลังสงคราม จะมีการคัดกรองรวมถึงตรวจสอบรายงานข่าวยามที่ทาสงครามซ้าไป ซ้ามา ในเมื่อผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ภูเขาเหอฮวานยังตั้ง ตระหง่านได้โดยที่ไม่ล้มลง อย่างน้อยหน่วยรายงานข่าวของสองกรม อย่างกลาโหมและอาญาของราชส านักต้าหลีก็น่าจะสืบเสาะเส้นสน กลในจนสะอาดเอี่ยมแล้ว ปีนั้นพวกเขาไม่เคยสมคบคิดกับกระโจม ทัพของเปลี่ยวร ้างจริงๆ”
หลิวเถี่ยกล่าว “เพราะถึงอย่างไรก็เป็ นโอสถทองสองคน ต้นไม้ ใหญ่มักเรียกลม หากพื้นฐานของพวกเขาไม่สะอาดจริงๆ ก็คงมีชีวิต อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้ เมืองหลวงสารองต้าหลีก็ไม่ได้กินหญ้า ได้ ยินว่าลั่วอ๋องของพวกเราตั้งองค์กรรายงานข่าวที่ขึ้นตรงกับเขาขึ้นมา แห่งหนึ่ง พวกเขาตรวจสอบคดีกันอย่างเด็ดขาด หากจับได้เมื่อไหร่ก็ มักจะสาวไส้ออกมายาวเป็ นพรวนได้เสมอ”
ในที่สุดนักพรตสวมชุดผ้าแพรก็มีโอกาสสอดปากแล้ว เขายิ้ม เอ่ยว่า “ผินเต้ากับซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองสนิทสนมกันดี เมื่อก่อนอยู่ใน ตรอกหนีผิงของอ าเภอไหวหวงฉู่โจวต้าหลี ข้ากับเขามักจะเจอหน้า กันเป็ นประจ า”
โจวชิวกับหลิวเถี่ยต่างก็ไม่มั่นใจว่าคาพูดของนักพรตผู้นี้เป็ น จริงหรือเท็จ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องสนใจเขา ก็แค่คนที่หลอกกินหลอก ดื่มคนหนึ่งเท่านั้น”
นักพรตเอ่ย “อย่างมากก็แค่ขอกินขอดื่ม จะบอกว่าหลอกกิน หลอกดื่มได้อย่างไร”
ทหารสวมเสื้อเกราะสิบกว่าคนมาเบียดกันอยู่ตรงหน้าประตู แต่ ละคนเบิกตากว้างมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ในลานบ้าน หญิง สาวมวยผมทรงกลมและยังมีนักพรตที่สวมชุดผ้าฝ้ าย
ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์ คนที่อายุมากสุดก็ เป็ นแค่ชายฉกรรจ ์อายุสามสิบกว่าปีอย่างหลิวเถี่ยเท่านั้น
วันนี้ได้เห็นคนบุ่มบ่ามที่ไม่สนมารยาทพิธีการที่สุดอย่างหลิว เปียวจ่างนั่งหลังตรงอยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างก็รู ้สึกว่าน่าสนใจมาก
ในอดีตไม่ว่าจะเจอกับแม่ทัพท่านใดก็ไม่เคยเห็นหลิวเปียวจ่างว่า ง่ายขนาดนี้มาก่อนเจอหน้าก็แค่กุมหมัดคลี่ยิ้มเอ่ยไม่กี่ประโยค พอ หมุนตัวก็เปลี่ยนสีหน้าให้พวกเขาเห็นแล้วทั้งยังเริ่มพร่าพูดว่าหากข้า ผู้อาวุโสไม่ได้เป็ นหน่วยสอดแนม ถูกถ่วงอนาคตเอาไว้ ตอนนี้ใคร ต้องเรียกใครว่าท่านแม่ทัพก็ยังไม่แน่เลยนะ สตรีกลัวแต่งให้กับบุรุษ ผิดคน บุรุษกลัวท าอาชีพผิดสาย ก็คือพูดถึงข้านี่แหละ พวกเจ้ายังจะ
หัวเราะอีก จะดีจะชั่วทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสก็เป็ นหัวหน้าล่ะนะ แต่เจ้าลูก กระต่ายอย่างพวกเจ้าเล่า…
คาว่าในอดีตก็คือหมายถึงช่วงเวลาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
เฉินผิงอันกล่าว “ให้พวกเขาเข้ามานั่งเถอะ”
โจวชิวส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้องหรอก”
หลิวเถี่ยพยักหน้าคล้อยตาม “ให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตูนั่น แหละ มีแต่พวกชอบหาเรื่องให้คนปวดหัว ดูเรื่องสนุกจบก็ไปกันแล้ว”
ตรงหน้าประตู คนหลายคนมารวมตัวอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่ได้เอะอะ มะเทิ่ง เพียงแต่มีคนอดไม่ไหวเปิดปากถามว่า
“เฉินผิงอัน หัวก าแพงเมืองของก าแพงเมืองปราณกระบี่สูงแค่ ไหนหรือ?”
“หากรวมผู้ฝึ กกระบี่ที่เป็ นกองกาลังเสริมจากแต่ละแคว้นของ ไพศาลแล้ว ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่หลายสิบหมื่นคน จริงๆ หรือ? เฉินผิงอัน อิ่นกวานที่เจ้าเป็ นก็คือต าแหน่งขุนนาง เหมือนกันหรือ ใหญ่แค่ไหน มีระดับขั้นหรือไม่?”
หลิวเถี่ยถลึงตาใส่ “บังอาจ ชื่อของอาจารย์เฉินพวกเจ้าก็ สามารถเรียกตรงๆ ได้หรือ?”
โจวชิวยิ้มตาหยี “ไม่อาจเรียกชื่อตรงๆ ได้ พวกเจ้าเรียกว่า คุณชายเฉินเถอะ”
หลิวเกี่ยเอ่ยอย่างจนใจ “เหลวไหลยิ่งนัก”
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะหันหน้าไปทางประตู ตะโกนพูด “อยู่ใน กฎระเบียบกันหน่อยอาจารย์เฉินเป็ นถึงลูกศิษย์ปิดส านักของเหวิน เซิ่งเชียวนะ เป็ นบัณฑิต! ลูกกระต่ายอย่างพวกเจ้าอย่าได้ท าให้ ค่ายต้าเหลียงต้องขายหน้า!”
“อาจารย์เฉิน ข้าคือคนของเขตเหยียนชางจังหวัดอวิ้นโจว อยู่ ใกล้กับหลงโจวมากบรรพบุรุษล้วนเป็ นคนท าการค้า มักจะไปที่เมือง หงจู๋เป็ นประจ า”
“อาจารย์เฉิน ข้ามาจากอ าเภอซงโหยวที่อยู่ชานเมืองหลวง ได้ ยินท่านลุงรองเล่าให้ฟังว่า ตอนที่อายุน้อยเขาเคยไปเรียนที่สานัก ศึกษาซานหยา เจ้าขุนเขาฉีเคยสอนวิชาการลงทัณฑ์และวิชา ค านวณให้เขาด้วย”
เผยเฉียนเงยหน้ามองไปยังหลังคาเรือนแห่งหนึ่ง ผู้ที่อยู่ตรงนั้นก็ คือชีซ่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเค่อชิงอันดับหนึ่งของสกุลจางเขต เทียนเฉา
ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติขุมหนึ่งจากที่นี่ ชีซ่งตก ตะลึงอย่างหนัก จึงอดมาสืบเสาะให้รู ้สาเหตุไม่ได้
เพียงแค่มองสบตากับนาง ผู้เฒ่าที่หนวดเฟิ่มพุงยื่นก็รีบกดข่ม ความคลางแคลงในใจลงไป รวมเสียงให้เป็ นเส้นถามหยั่งเชิงว่า “เจิ้ง เฉียน?”
ผู้ฝึ กตนที่เคยไปเยือนสนามรบของเมืองหลวงสารองต้าหลี โดยเฉพาะผู้ฝึ กยุทธเต็มตัว ไม่มีทางไม่รู ้จักปรมาจารย์หญิง “เจิ้ง ซาเฉียน” อย่างแน่นอน
เผยเฉียนพยักหน้า
ชีซ่งรีบแนะน าตัวเองทันใด
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะกลับคืน “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
ดูเหมือนสกุลจางเขตเทียนเฉาจะมีเจ้าประมุขผู้เฒ่าขอบเขต โอสถทองอยู่คนหนึ่ง เคยเจอกับนางในเมืองของเมืองหลวงส ารอง แต่ ก็แค่เคยเจอกันเท่านั้น ไม่เคยคุยกัน
ชีซ่งย่อมรู ้ว่านี่เป็ นแค่ถ้อยคาตามมารยาทของปรมาจารย์เผย เท่านั้น แต่กลับรู ้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่ตัวเองมาในครั้งนี้ มีหน้ามีตายิ่ง นัก คราวหน้ากลับไปจะต้องเอาไปเล่าให้ตาเฒ่าจางฉงและเฉิงเฉียน ฟังเสียหน่อย
เห็นความครึกครื้นในลานบ้าน ชีซ่งเป็ นคนเก่าแก่ในยุทธภพ แล้วจึงไม่คิดจะไปหาเรื่องให้ตัวเองต้องเสียหน้า แค่พูดประโยคตาม มารยาทว่าหากปรมาจารย์เผยมีเวลาว่างก็เชิญไปดื่มเหล้ากับเขาได้ ทุกเมื่อ
เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางโจว พี่ใหญ่หลิว ข้าจะช่วยวาดยันต์เทพ เดินทางและยันต์คงจิตวิญญาณไว้ให้พวกเจ้า กลับบ้านกันไปเถอะ หลี่ถิ่งและกู้เฟิ่งที่อยู่ที่นี่ มอบให้ข้าจัดการเอง”
หลิวเถี่ยหันไปมองโจวชิว โจวชิวเองก็รู ้สึกลาบากใจอยู่บ้าง ปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ ายก็จะดูไร ้เหตุผลเกินไป แต่หากตอบตก ลงก็รู ้สึกวูบโหวงในใจ รู ้สึกไม่ค่อยดี
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร ้อน ข้าจะพาเผยเฉียนไปที่ ภูเขาเหอฮวานก่อนรอบหนึ่ง ไปร่วมวงความครึกครื้นเสียหน่อย ส่วน พวกเจ้าจะอยู่หรือไม่ก็ปรึกษากันก่อนได้ รอให้พวกเราลงมาจาก ภูเขาก่อนค่อยว่ากัน อีกทั้งหากจะไปก็ต้องมีการเตรียมการ จะอยู่ก็ ต้องมีคาอธิบาย อันที่จริงไม่มีอะไรที่เป็ นปัญหาเลย ไม่ต้องลาบากใจ”
โจวชิวและหลิวเถี่ยลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ
โจวชิวอารมณ์ซับซ ้อน เมื่อสถานะของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ ตัวตนที่แท้จริงน่ าตกใจได้เปิ ดเผยออกมาแล้ว เขาก็คล้ายจะ กลายเป็ นคนละคนกันเลย
นางมิอาจนาเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่พูดจาไร ้ความยาเกรง นิสัยเปิดกว้างก่อนหน้านี้มาทับซ ้อนเข้ากับภาพลักษณ์ของอิ่นกวาน หนุ่มที่นิสัยหนักแน่น เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดีได้เลย
หลิวเถี่ยเดินออกจากเรือนไปก่อน พาวิญญาณวีรบุรุษหน่วย ลาดตระเวนที่เป็ นลูกน้องใต้บังคับบัญชาซึ่งตายพร ้อมกันให้เปิดทาง อย่าเห็นว่าคืนนี้พวกเขาคุยเก่ง “ปากมาก” แท้จริงแล้วทุกคนต่างก็มี ปัญหาของตัวเอง
แต่อันที่จริงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะจับกลุ่มเดินทางยามค่าคืนหรือ มารวมตัวกันอยู่ในตรอกเก่าโทรมของเมืองเฟิงเล่อ ในเมื่อเป็ นผี ส่วน ใหญ่ก็มักจะเงียบขรึมพูดน้อยกันอยู่แล้ว
เดินไปในตรอก เผยเฉียนเอาหน้ากากที่พ่อครัวเฒ่าสร ้างขึ้น อย่างประณีตตั้งใจแปะลงบนใบหน้า นางหันหน้าไปทางหนึ่ง ยื่นนิ้ว มาลูบจอนหูเบาๆ พอหันมาอีกครั้งก็กลายเป็ นเด็กสาวที่ใบหน้า เหลืองตอบตกกระ ปลายจมูกมีกระกระจายเป็ นหย่อมๆ แล้ว
เผยเฉียนเล่าถึงการเดินทางไปเยือนซากปรักแห่งนั้นให้ฟัง เพียงแต่ว่ารายละเอียดบางอย่างนางจงใจละไป
ต่อให้นางรวมเสียงเป็ นเส้นพูดคุยกับอาจารย์พ่ออย่างลับๆ ด้วย ขอบเขตของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี่จิงก็ต้องไม่ต่างอะไรจากการ ตะโกนพูดเสียงดังแน่นอน
“จากการอนุมานของอาจารย์จง ซากปรักแห่งนั้นต้องอยู่มานาน มากแล้ว สยบผู้อาวุโสบนภูเขาท่านหนึ่งที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็ น คนดีหรือคนเลวเอาไว้ เพียงแค่เพราะผ่านเวลามานานเกินไป ปณิธานความหมายของตัวอักษรบนป้ ายศิลาจึงเกือบจะสลายหายไป สิ้น บวกกับที่ผืนแผ่นดินของใบถงทวีปปริแตก ส่งผลกระทบต่อระดับ ความมั่นคงของป้ ายหินนั้น เป็ นเหตุให้มีลางว่าจะทะลุพ้นจากดินไป ก่อนกาหนด ป้ ายหินโงนเงน อีกทั้งยังถูกแม่น้ายาวแห่งกาลเวลา ปะทะพุ่งชนอยู่ตลอด ก็เหมือนการบุกเบิกท้องน้าซึ่งเป็ นเส้นทางแยก ที่เชื่อมโยงระหว่างมืดและสว่างเอาไว้ น้าเพิ่มน้าลดไม่แน่นอน ถึงได้มี
ผู้ฝึกตนสองคนพลัดหลงเข้าไป แต่กระนั้นก็ไม่ได้จมน้าตายอยู่ข้าง ใน”
เดิมทีลู่เฉินคิดว่าแค่รับฟังอยู่ข้างๆ ก็พอ ถือเสียว่าได้ฟังนักเล่า นิทานเล่าเรื่องโดยไม่ต้องจ่ายเงิน เพียงแต่เจ้าขุนเขาเฉินกลับถามว่า เจ้าลัทธิลู่มีความเห็นอะไรหรือไม่ เขาจึงได้แต่เปิดปากเอ่ยว่า “เกิน ครึ่งน่าจะเป็ นฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวแล้ว ด้านในซากปรัก แห่งนี้ถูกป้ ายศิลาและกระบี่เหรียญทองแดงสยบเอาไว้ เพราะเมื่อนาน มากๆ มาแล้วมีผู้ฝึ กตนของสานักการทหารที่เกือบจะธาตุไฟเข้า แทรกคนหนึ่ง ดังนั้นอาจารย์ซานซานจิ่วโหวถึงต้องลงมือด้วยตัวเอง ตั้งป้ ายวางกระบี่ ไม่ให้นางหลุดออกมาได้ ทั้งเป็ นการสยบการาบแล้ว ก็ถือว่าเป็ นการปกป้ องมรรคาที่ทุ่มเทแรงใจอย่างมาก หากไม่เป็ น เช่นนี้ แม้จะบอกว่าฟ้ าดินกว้างใหญ่ ตาข่ายฟ้ าแม้ตาจะห่างแต่ไม่ ขาด ด้วยนิสัยและการกระทาของนางต้องยอมที่จะให้เป็ นปลาตายตา ข่ายขาดอย่างแน่นอน และบนโลกนี้ก็จะไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้นางได้ หยัดยืนอีก”
ลู่เฉินไม่ได้บอกออกมาทั้งหมด เพราะเขาเชื่อว่าด้วยความรู ้และ ประสบการณ์ของเฉินผิงอันจะต้องเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว