กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1019.2 ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งมักพูดจาเรียบง่าย
บทที่ 1019.2 ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งมักพูดจาเรียบง่าย
สตรีถือตะกร ้าที่พยายามจะหยิบเอากระบี่เหรียญทองแดงไปผู้นั้น นางคือบรรพบุรุษสานักการทหารคนที่สอง คนรักของปฐมบรรพบุรุษ ส านักการทหาร
เฉินผิงอันนึกถึงสตรีที่นั่งอยู่ข้างกองไฟคนนั้นขึ้นมาได้ เขาเงียบ งันไปนาน ครั้นจึงคลี่ยิ้มถามว่า “ผู้ฝึกตนอายุน้อยสองคนที่ได้โชค วาสนาไปครองเป็ นผู้ฝึกตนอิสระหรือ?”
ตามค ากล่าวของเผยเฉียน พวกเขาจะติดตามไปฝึกตนอยู่ข้าง กายหลี่ซีเซิ่ง
เผยเฉียนตอบ “ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งพวกเขาต่างก็อายุยัง ไม่มาก ยังไม่ถึงยี่สิบปี มาจากสานักเดียวกัน สตรีชื่อว่าเหมียวเจี้ย ศิษย์น้องของนางชื่อว่าเหอโจว ต่างก็เป็ นผู้ฝึกตนท าเนียบ มาจาก พรรคเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาซู่หนีซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของใบถง ทวีปฝึกวิชาอภินิหารห้าธาตุของส านักหยินหยางเป็ นหลัก ควบกับ ฝึกศาสตร์ของส านักการทหารปีนั้นประตูภูเขาถูกเผ่าปีศาจบุกโจมตี จนพังทลาย อาจารย์ของพวกเขาจึงบีบยันต์พิทักษ์ภูเขาซึ่งตั้งวางไว้ ในศาลบรรพจารย์มานานหลายปี ให้แหลก ความตั้งใจเดิมคือ นอกจากจะส่งพวกเขาออกจากสนามรบแล้ว ยังพยายามช่วงชิง
โอกาสรอดชีวิตไว้เสี้ยวหนึ่ง ส่วนจะรอดมาได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ โชคชะตา”
“เหมียวเจี้ยกับเหอโจวโชคดีกันมาก สุดท้ายอาศัยวิชาลับสืบ ทอดของภูเขาซู่หนีซึ่งเป็ นวิชาอภินิหาร “เชื่อมโยงสู่ความมืด” มา ‘เดินลงน้า” จึงพลัดหลงเข้าไปในท้องน้าที่กระแสน้ากาลังไหลลงจึง ไม่ถูกแม่น้าแห่งกาลเวลาชาระล้างจิตวิญญาณทิ้งไป เดินไปถึง ปลายทางของทางแยกสายนั้นก็เหมือนได้ขึ้นเรือที่ท่าเรือ บุกเข้าไป ในพื้นที่ลับแห่งนั้นได้สาเร็จ หลายปีมานี้จึงฝึกตนอยู่ที่นั่น เหมียวเจี้ย ยังได้สมบัติอาคมที่เป็ นจุดศูนย์กลางในการควบคุมค่ายกลใหญ่มา ด้วย คือหม้อดินเผาโบราณใบหนึ่งที่สร ้างขึ้นอย่างหยาบๆ”
“ขอบเขตของพวกเขาไม่สูง ทุกวันนี้เหมียวเจี้ยเป็ นขอบเขตถ้า สถิต เหอโจวคือผู้ฝึกกระบี่ที่สติปัญญาเปิดออกกะทันหันตอนที่เดิน ลงน้า ตอนนี้เพิ่งจะเป็ นขอบเขตสี่ แต่กลับได้ครอบครองกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ประหลาดมาก สามารถสร ้างภาพลวงตาขึ้นมา ได้ ทาให้คนได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองกลัว ขอแค่จิตแห่งมรรคามีจุดด่าง พร ้อย ไม่ว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนจะสูงหรือต่าก็จะถูกมุดช่องว่างนั้น เข้าไป ทั้งจิตแห่งมรรคาและจิตวิญญาณเหมือนจมอยู่ในบ่อโคลนลึก ทั้งยังเหมือนถูกกักอยู่ในกระจกบานหนึ่ง หากทาลายจิตมารไม่ได้ก็มิ อาจหลุดพ้นออกมาได้ คุณสมบัติการฝึ กตนของเหมียวเจี้ยดีมาก ได้รับคัมภีร ์ที่มีแต่ภาพทว่าไร ้ตัวอักษรเล่มหนึ่งจากในซากปรัก ระหว่างที่นางฝึกตนและอาศัยการทาความเข้าใจของตัวเองก็กลาย
มาเป็ นช่างวาดขนคิ้ว (เปรียบเปรยถึงผู้ที่มีฝี มือในการสร ้างสรรค์ ความงามหรือศิลปะ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช ้ความละเอียดและ ความประณีต เช่น การแต่งหน้า การวาดภาพ หรือการตกแต่งสิ่ง ต่างๆ ให้ดูงดงาม) ของบนภูเขาได้แล้ว สามารถอาศัยแค่จินตนาการ ก็วาดภาพขุนเขาสายน้าขึ้นมาได้ บวกกับที่นางได้หม้อดินเผาใบนั้น ไปครองจึงสามารถควบคุมปราณวิญญาณฟ้ าดิน เมื่อเอามาใช ้ ร่วมกับวิชาอภินิหารกระบี่บินของเหอโจวก็ยิ่งราบรื่นไร ้ช่องโหว่”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ขนาดบรรจุของหม้อดินเผาเป็ นอย่างไร สามารถบรรจุน้าหนึ่งเซิง (หนึ่งลิตร) ได้พอดีใช่ไหม?”
เผยเฉียนคิดแล้วถึงพยักหน้าตอบว่า “ประมาณนั้น”
ลู่เฉินกล่าว “คิดดูแล้วคุณสมบัติของเหมียวเจี้ยก็ไม่น่าจะดีมาก นัก เพียงแต่ว่าอยู่ในซากปรักนางถูกกลิ่นอายของมรรคาที่บริสุทธิ์ อาบย้อมมานาน สะสมนานวันเข้าจึงเกิดความเข้าใจต่อการ เปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง เหมือนได้เปลี่ยนรกผลัดกระดูก มีฐาน กระดูกที่เป็ นกิ่งทองใบหยก ถูกบังคับหล่อหลอมให้กลายเป็ นเมล็ด พันธ ์แห่งมรรคา เด็กหนุ่มคนนั้นที่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่คุณสมบัติดีกว่า ศิษย์พี่หญิงของเขาเยอะเลย เพียงแค่เพราะถูกซากปรักของฟ้ าดิน เล็กแห่งนั้นผลักไสตามธรรมชาติ เหอโจวที่ฝึ กตนอยู่ที่นั่นจึงแทบ ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ กลับกันยังถูกกดข่มเอาไว้ ดังนั้นขอบเขตถึงได้ ค้างอยู่ที่เดิมมานานหลายปี ก็โชคดีที่เป็ นเช่นนี้หาไม่แล้วฐานกระดูก ของพวกเขายิ่งดีแค่ไหนก็ยิ่งง่ายที่จะรักษาจิตแห่งมรรคาเอาไว้ไม่ได้
เท่านั้น ป่ านนี้คงถูกปราณชั่วร ้ายที่กระจายออกมาซึ่งกระบี่เหรียญ ทองแดงและป้ ายศิลาโบราณมิอาจสยบไว้ได้ยึดครองจิตวิญญาณ และเรือนกายไปนานแล้ว และพวกเขาก็จะกลายเป็ นสะพานที่ เชื่อมโยงเข้าสู่ความมืดให้กับผู้อาวุโสท่านนั้น ร่างที่แท้จริงยังคงถูก กักขังเอาไว้ ทว่าจิตหยินและจิตหยางกายนอกกายกลับอาศัยสิ่งนี้มา หวนกลับสู่โลกสว่าง จากนั้นก็จะทาลายป้ ายศิลา เอากระบี่เหรียญ ทองแดงไป ปรากฏตัวบนโลกก่อนก าหนดนานหลายปี”
“ทาไมผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างสองคนนั้นถึงเข้าไปในซาก ปรักได้อย่างปลอดภัย อาศัยแค่ตบะของพวกเขาเองต้องไม่มีทางท า ได้แน่นอน นั่นเป็ นเพราะผู้อาวุโสท่านนั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน้อย นิดสองกลุ่มของสายสืบทอดบ้านตัวเองท่ามกลางแม่น้าแห่งกาลเวลา ที่น้าไหลชัดสาด ประหนึ่งแสงเทียนสองดวงที่ส่องกะพริบกลางราตรี มืดมิดไร ้ที่สิ้นสุดถึงได้จงใจงมพวกเขาขึ้นมา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็กดเสียงลงต่า บอกกล่าวความลับ สวรรค์ว่า “หม้อดินเผาที่เป็ นแกนกลางค่ายกลใบนั้น นอกจากจะเป็ น วัตถุที่ใช ้วัดพื้นที่ความจุแล้ว เกรงว่าน่าจะเป็ นโกศของผู้ฝึกตนส านัก การทหารบางคนด้วย แต่เรื่องนี้ไม่แน่นอน เป็ นแค่การคาดเดา เท่านั้น”
แล้วลู่เฉินก็ยิ้มเอ่ยว่า “ส่วนตะกร ้าที่ผู้อาวุโสท่านนั้นคล้องไว้ที่มือ ก็ไม่ได้เดายาก ต้องเป็ นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งแน่นอน ใช ้ตะกร ้าสานไม้ ไผ่ตักน้าไม่แน่เสมอไปว่าจะคว้าได้แต่ความว่างเปล่า สามารถ
น ามาใช ้ตักเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่ลอย อยู่ในแม่น้าสายยาวได้” เพราะตาแหลม เผยเฉียนจึงสังเกตเห็นซากปรักก่อนใคร และ นางเองก็เคยไปเยือนยอดเขาประหลาดแห่งนั้นเช่นกัน จงขุย อวี่จิ่นต่างก็เป็ นผี ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้นสามารถถือ เป็ นผู้ฝึกตนของส านักการทหารครึ่งตัวได้
ไม่รู ้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในมือของนักพรตหนุ่มสวมชุดคลุมเต๋าท า จากผ้าฝ้ ายผู้นี้ถึงมีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเพิ่มมา เขาปักมันไว้บนถนน กิ่งไม้ กระโดดดึ๋งๆ ไปบนพื้นด้วยตัวเอง ส่งเสียงต๊อกแต๊ก
อันที่จริงเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงในสายตาของหนีชิง โจวชิวและ หลิวเถี่ยเป็ นรูปโฉมที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กสาวเห็นลู่เฉินเป็ น รูปโฉมเดิมที่สวมกวานดอกบัว นักพรตที่อยู่ในสายตาโจวชิวกลับ เป็ นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคมคาย ส่วนสิ่งที่หลิวเถี่ยเห็นก็คือ นักพรตหนุ่มที่คิ้วหนาตาโต
เพียงแต่ว่าบนโลกใบนี้ ใครเล่าจะสงสัยในสิ่งที่สายตาตัวเอง มองเห็น
เฉินผิงอันกล่าว “ลืมถามไปเลย เจ้าลัทธิลู่มาทาอะไรที่นี่?”
ตามหลักแล้วลู่เฉินไปเจอกับเขาที่หาดโปรยดอกไม้ของภูเขา ไฉอวี้ อีกทั้งยังได้พูดคุยกันที่ตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ลู่เฉินย่อมไม่มี
ทางทาในสิ่งที่เกินความจาเป็ นด้วยการมาเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ที่นี่ แน่นอน
ลู่เฉินรู ้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยกกิ่งไม้ที่อยู่ในมือขึ้นสะบัด แล้วชี้อ้อมไหล่ไปทางทิศใต้ ก่อนจะชี้ไปทางพรรคจินแชวของแคว้น ชิงซิ่ง “มีเส้นสายเส้นหนึ่งที่วกวนอ้อมค้อมไม่ทันระวังเกี่ยวโยงมาถึง ผินเต้า คือหายนะที่เกิดขึ้นไม่คาดฝัน ผินเต้าเองก็ถือว่าเป็ นคนใบ้ที่ กินหวงเหลียน”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
ลู่เฉินเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง
อารามหลิงเฟยของราชวงศ์ป๋ ายซวงเก่า เฉาหรงผู้เป็ นเจ้าอาราม คือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล เรื่องนี้คน บนภูเขาทั้งทวีปล้วนรับรู ้
ส่วนบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคจินแชวในอาณาเขตของ แคว้นชิงซ่งก็เป็ นลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งซึ่งถูกทางอารามหลิงเฟยตัด ชื่อและฉายาออกจากทาเนียบ
จ้าวฝูหยางแห่งภูเขาเหอฮวานเคยเป็ นลูกศิษย์ฝ่ ายนอกสายของ อารามจินเซียนพรรคจินแชว เพียงแต่ว่าเวทลับ วิชาอภินิหารที่ร่า เรียนมากลับเป็ นระบบสืบทอดที่ถูกต้อง แค่เพราะว่าบรรพจารย์ท่าน หนึ่งของอารามจินเซียนโปรดปรานจ้าวฝูหยางจึงไม่ถือสาชาติ
กาเนิดที่เป็ นภูตของเขา นี่จึงเป็ นเหตุให้จ้าวฝูหยางถือเป็ นลูกศิษย์ที่ ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของบรรพจารย์ท่านนี้
พูดถึงแค่เรื่องที่ภูเขาอูเถิงย้ายมาอยู่ที่นี่ อิงแอบอยู่กับภูเขาจุ้ย ยวนด้วยท่าทางที่คล้ายก าลังร่วมเพศกันก็มาจากวิชาอภินิหาร ‘แบก ภูเขา” ซึ่งเป็ นวิชาลับบทหนึ่งของอารามจินเซียนเช่นกัน
นอกจากนี้ธงฝนของอวี๋ฉุนจือที่เป็ นคนรักของเขาสามารถเรียก หมอกขอฝนได้ คิดดูแล้วก็น่าจะเป็ นวิชาลับของอารามจินเซียนที่ จ้าวฝูหยางถ่ายทอดให้กับนาง
ส่วนบรรพจารย์ของอารามจินเซียนที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับจ้าว ฝูหยางอย่างตั้งใจนั้นก็เป็ นทั้งลูกศิษย์ปิดสานักของบรรพบุรุษบุกเบิก ภูเขาพรรคจินแชว หากอิงตามล าดับอาวุโสในท าเนียบยังเป็ น อาจารย์ลุงของเจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคจินแชวอย่างเฉิงเฉีย นแห่งยอดเขาฉุยชิงด้วย
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินถึงได้เดินทางมาเยือนภูเขาเหอฮวานด้วยตัวเอง รอบหนึ่ง แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือคานวณได้ว่า “เฉินผิงอัน” คนหนึ่ง ได้เดินทางมาที่นี่ หาไม่แล้วความเป็ นความตายเกียรติยศและอัปยศ ของจ้าวฝูหยางก็จะเป็ นไปตามชะตาฟ้ าลิขิต เป็ นไปตามที่ตัวเองก่อ กรรมท าเข็ญเอาไว้
หากมีเฉินผิงอันถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ลู่เฉินก็จาต้องออก หน้าด้วยตัวเองแล้วหาไม่แล้วจะกลายเป็ นปมเชือกยุ่งเหยิงที่ยุ่งยิ่ง กว่าเดิมอีก
ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวเล่นที่ภูเขาทั้งสองลูกมาแล้ว ลู่เฉินสังเกตเห็น ว่านายท่านฝู่จวินแห่งภูเขาจุ้ยยวนท่านนี้เป็ นคนเห็นแก่ความสัมพันธ ์ ในวันวานอย่างมาก ในศาลบรรพชนของจวนอินอวินถึงได้ตั้งบูชา ภาพแขวนของบรรพจารย์สามภาพไว้อย่างลับๆ
ภาพเหมือนหนึ่งในนั้นคือเจ้าอารามของอารามหลิงเฟยคนก่อน อย่างเซียนจวินเฉาหรง
อีกสองด้านแยกกันแขวนภาพบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรค จินแชว มีรูปโฉมเป็ นนักพรตหญิงวัยกลางคน กับภาพของบรรพ จารย์ผู้มีพระคุณในการถ่ายทอดความรู ้อบรมสั่งสอนจ้าวฝูหยาง เขา สวมชุดหม่างรัดเข็มขัดหยกตรงเอว คิ้วกระบี่หนวดม่วง เคราดกยุ่ง เหยิง
ปี นั้นขาดอีกแค่นิดเดียวจ้าวฝูหยางก็จะไล่สืบเสาะไปถึงต้น ก าเนิดด้วยการแขวนภาพเหมือนของเจ้าลัทธิลู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้ว
ยังคงเป็ นอวี๋ฉุนจือผู้เป็ นคนรักที่เกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะห้าม เขาไว้ได้ บอกว่าสามีมีใจนึกถึงก็พอแล้ว เจ้าลัทธิลู่คือเทพเจ้าผู้อยู่ เบื้องบนที่มีวิชาคาถาเทียมฟ้ าถึงเพียงใด พวกเราที่เป็ นผู้อยู่เบื้องล่าง แขวนภาพเหมือนของเขาโดยพลการ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม ระวัง
จะทาให้บรรพจารย์เจ้าลัทธิที่อยู่สูงบนฟ้ าผู้นั้นไม่สบอารมณ์จนชัก น าให้เกิดหายนะ
ภาพเหมือนของเฉาเซียนจวินในอารามหลิงเฟยลงท้ายว่าจ้าวฝู หยางลูกศิษย์อารามจินเซียนยอดเขาจินซิ่งล้างมือก่อนวาดด้วย ความเคารพ (เป็ นคาลงท้ายที่แสดงความเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด เพราะการล้างมือก่อนวาดภาพเป็ นการแสดงความใส่ใจและความ เคารพต่อกระบวนการสร ้างสรรค์ผลงาน)
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าลู่เฉินไม่ต้องการศิษย์ลูกศิษย์หลานอย่าง จ้าวฝูหยางนี่เลย
บนยอดเขาโพโม่
หลังจากที่ทั่วทั้งอาณาเขตภูเขาเหอฮวานรวมถึงเมืองเฟิ งเล่อ เกิดแรงสั่นสะเทือนไปพักหนึ่ง จ้าวฝูหยางก็หน้าซีดขาวเล็กน้อย ฝู่ จวินเซียนดินท่านนี้รีบโคจรปราณวิญญาณในร่างกายทันที เพียงไม่ นานสีหน้าก็กลับมาแดงปลั่ง
อวี๋ฉุนจือหันไปมองทางภูเขาเหอฮวาน สีหน้าของนางเดี๋ยวมืด เดี๋ยวสว่างไม่แน่นอนพยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกถึงความร ้อนรน มากเกินไป ใช ้เสียงในใจสอบถามอย่างรีบร ้อน “ฝูหยาง ใช่อุบายชั่ว ร ้ายของเฉิงเฉียนหรือจางฉงไหม? จงใจหลอกให้พวกเราออกมา เพื่อที่จะได้แอบจัดวางค่ายกลไว้ในเมืองเล็กตีนเขา แล้วโจมตีตอนที่ พวกเราไม่ทันตั้งตัว?”
ทว่าเมื่อพลังอันยิ่งใหญ่ชวนให้คนขวัญผวาขุมนั้นแวบผ่าน หายไปก็ดูไม่เหมือนร่องรอยของการสร ้างค่ายกลอีก นี่จึงทาให้จ้าวฝู หยางกับอวี๋ฉุนจือมืนงงอยู่บ้าง
จ้าวฝูหยางใช ้เสียงในใจกล่าว “ขอแค่อยู่ในอาณาเขตของภูเขา เหอฮวานก็ไม่ต้องกลัวว่าจางฉงจะเล่นตุกติกอะไรได้”
อวี๋ฉุนจือเหลือบมองเฉิงเฉียน ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มีสีหน้าเป็ นปกติ กลับเป็ นจางไฉ่ฉินที่ขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายกาลังรู ้สึกคลางแคลงใจ
จ้าวฝูหยางไม่ได้จากไปทันที กลับกันยังเริ่มเปลี่ยนจากท่าทีแข็ง กระด้างในตอนแรกมาเป็ นต่อรอง “เฉิงเฉียน ข้าสามารถถอยให้ได้ ก้าวใหญ่ หยกลัญจกรซึ่งเป็ นกุญแจสาคัญที่ใช ้ในการแต่งตั้งรัช ทายาท ช่วงนี้ข้าสามารถคืนให้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งได้ แต่พวกเจ้าก็ ต้องรับปากว่าภายในครึ่งปีจะต้องนาหยกลัญจกรสามถึงห้าชิ้นของ แคว้นอื่นมาแลกเปลี่ยน ถึงอย่างไรทุกวันนี้แคว้นทางใต้ที่ฟื้นฟูขึ้น ใหม่และแคว้นก่อตั้งใหม่ของแจกันสมบัติทวีปก็มีเยอะมาก หยก ลัญจกรที่กระจายกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ มีจานวนไม่น้อย ภูเขา เหอฮวานของพวกเรามีช่องทางน้อย แต่ด้วยเครือข่ายผู้คนและก าลัง ทรัพย์ของสกุลจางเขตเทียนเฉาพรรคจินแชว คิดจะทาเรื่องนี้แทน ฮ่องเต้สกุลหลิ่วให้สาเร็จก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ดูเหมือนอวี๋ฉุนจือจะคิดไม่ถึงว่าสามีจะเป็ นฝ่ ายยอมถอยก่อน เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ ายไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กันมาล่วงหน้า เพียงแต่ว่า
เจ้านายฝ่ ายชายเป็ นใหญ่ข้างนอก เจ้านายฝ่ ายหญิงเป็ นใหญ่ใน บ้าน แม้นางจะประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก
เฉิงเฉียนยิ้มกล่าว “ในเมื่อใช ้สิ่งของแลกสิ่งของ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ ตรงไปตรงมาหน่อยหยกลัญจกรสามชิ้นแลกกับหยกลัญจกรสามชิ้น เจ้าและข้าก็อย่ามัวมาเปลืองน้าลายกันอีกเลย จะตกลงหรือไม่ก็ รบกวนจ้าวฝู่จวินตอบชัดๆ มาตอนนี้เลย”
จ้าวฝูหยางกล่าว “งานเลี้ยงฉลองพิธีวิวาห์หลังจากงานรับสมัคร บุตรเขยในครั้งนี้จะจัดยาวไปถึงคืนวันพรุ่งนี้ ถ้าอย่างนั้นวันมะรืนข้า จะส่งคนสนิทให้นาหยกลัญจกรสามชิ้นไปมอบให้ที่เมืองหลวงแคว้น ชิงซิ่งก็แล้วกัน”
เฉิงเฉียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
จ้าวฝูหยางพูดกลั้วหัวเราะอย่างปลอดโปร่ง “ในเมื่อเจรจากัน ส าเร็จแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าเฉิงและเซียนกระบี่จางก็ช่วยเห็นแก่หน้า ข้าหน่อยได้หรือไม่ หากไม่ไปดื่มสุรามงคลที่จวน นั่งสักพัก หรือจะ แค่ปรากฏตัวให้คนได้เห็นหน้าค่าตา หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกแขกคิดกัน ไปวุ่นวาย ก็รบกวนทั้งสองช่วยออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหอฮ วานก่อนชั่วคราว หาไม่แล้วเหล่าแขกผู้มีเกียรติในจวนต่างก็อกสั่น ขวัญแขวน ดื่มเหล้ากันได้ไม่สาแก่ใจ กังวลว่าฐานที่มั่น พื้นที่ ประกอบพิธีกรรมจะถูกรื้อค้นจนยุ่งเหยิงไปหมด”
เฉิงเฉียนส่ายหน้า “ขึ้นเขาไปดื่มเหล้าคงไม่จาเป็ นแล้ว ข้ากับไฉ่ ฉินล้วนไม่ได้พกของขวัญมา วางใจเถอะ พวกเราจะออกไปจาก ภูเขาโพโม่ทันที หวังเพียงว่าจ้าวฝู่ จวินจะรักษาค าพูด ภายในห้าวัน ฮ่องเต้ของพวกเราจะต้องได้เห็นหยกลัญจกรพวกนั้น หาไม่แล้วคืนนี้ ข้าเห็นแก่หน้าของฝู่ จวินทั้งสอง แต่กลับเดือดร ้อนให้ตัวเองต้องขาย หน้ากับฝ่ าบาท แบบนั้นจะไม่เหมาะแล้ว ใช่แล้ว รบกวนอีกเรื่อง จ้าว ฝู่ จวินช่วยน าความไปบอกแก่ชีซ่งและหลวี่โม่ที่ว่าให้พวกเขาสองคน ออกไปจากเมืองเล็กคืนนี้ ไม่จาเป็ นต้องถือโทษโกรธเคืองพวกเจ้าอีก บอกไปว่าเป็ นความต้องการของเจ้าประมุขจางฉง”
จ้าวฝูหยางกุมหมัดอ าลา พาอวี๋ฉุนจือออกไปจากยอดเขาโพโม่ ด้วยกัน ระหว่างที่ทะยานลมอวี๋ฉุนจือหันไปมองแวบหนึ่งก็พบว่ามุม ปากของจ้าวฝูหยางมีเลือดซึม นางตกใจอย่างหนัก เอ่ยด้วยสีหน้า ร ้อนรน “เกิดอะไรขึ้น?!”
ภาพเหตุการณ์ผิดปกติในเมืองเล็กก่อนหน้านี้เกิดขึ้นแค่ครู่เดียว แต่กลับท าให้สามีบาดเจ็บได้เลยหรือ?
ต้องรู ้ว่าร่างจริงของจ้าวฝูหยางคืองูหลามขาว เป็ นเผ่าพันธุ์ ทายาทของเจียวหลง เกิดมาก็มีร่างกายแข็งแกร่งทนทาน อีกทั้งยัง เดินบนเส้นทางในการยึดครองภูเขา ตลอดทั้งภูเขาเหอฮวานก็คือ “พื้นที่ประกอบพิธีกรรม” ของเขาในนาม
หากไม่ใช่การลงมือของก่อกาเนิดหรือเซียนกระบี่โอสถทอง ก็ อย่าหวังว่าจะท าให้จ้าวฝูหยางบาดเจ็บได้
อันที่จริงเวลานี้จ้าวฝูหยางยังมิอาจสยบความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใน ฟ้ าดินร่างกายมนุษย์ของตัวเองได้เลย เขาใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “กลับไปถึงภูเขาก่อนค่อยว่ากัน”
อวี๋ฉุนจือเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ต้องล่อให้พวกเขาขึ้นเขา จริงๆ หรือ?”
จ้าวฝูหยางหัวเราะหยัน “กินไม่ได้หรอก เฉิงเฉียนไม่ใช่เซียนดิน ทั่วไป จางไฉ่ฉินก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่ หากยังรวมจางฉงที่ไม่รู ้ว่าซ่อนตัว อยู่ตรงไหนเข้าไปด้วย ระวังจะอิ่มจนท้องแตก”
เฉิงเฉียนยกฝ่ ามือขึ้นร่ายวิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้าผ่านฝ่ า มือแล้วร ้องเอ๊ะหนึ่งที ที่แท้สถานที่ที่เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติใน เมืองเล็กก็มีเมฆหมอกล้อมวน ท าให้มองอะไรไม่เห็น คล้ายมียอด ฝีมือนั่งบัญชาการณ์ จงใจทาให้ลมปราณวุ่นวายรบกวนการมองเห็น
จางไฉ่ฉินใช้เสียงในใจเอ่ย “ท่านลุงเฉิง พวกเราจะกลับกันเลย ไหม?”
เฉิงเฉียนยิ้มกล่าว “ก็ดีเหมือนกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็ นการแหวก หญ้าให้งูตื่น”
ไม่ว่าจ้าวฝูหยางจะใช ้วิธีถ่วงเวลาหรือมีจุดหมายอย่างอื่นก็ไม่ ส าคัญอีกแล้ว เพราะภูเขาเหอฮวานได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องจัดทั้ง งานมงคลและงานอวมงคลไปพร้อมกัน