กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1020.2 ฟ้ าดินประหนึ่งภาพวาด
้
บทที่ 1020.2 ฟ้ าดินประหนึ่งภาพวาด
สุดท้ายยังคงเป็ นเฉินผิงอันที่เปิ ดฉากเข่นฆ่ากับผู้ฝึ กกระบี่ ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นั้นถึงกาจัดคลื่นมรสุมครั้งนี้ไปได้ และถือ โอกาสพาคนในยุทธภพกลุ่มนั้นหนีไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่เห็นแก่ น้าใจของเขาก็เท่านั้น
ตามคากล่าวของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรที่บอกว่า หญิงหม้ายตัวน้อยทั้งหลาย แต่ละหัวล้วนเอามาแลกเป็ นเงินเทพ เซียนได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็น่าจะมีค่าเท่ากับเงินร ้อนน้อยหนึ่งเหรียญ
ผ่านไปไม่นานเท่าไร เฉินผิงอันที่อยู่ท่าเรือของภูเขาตี้หลงยังไม่ ทันเดินไปถึงหอชิงฝูที่เจ้าของคือจางไฉ่ฉินก็ได้ยินข่าวหนึ่งระหว่าง ทาง เหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่มีจอมยุทธหญิงเซียวเป็ นผู้น าไม่รักตัว กลัวตาย ไม่เสียดายที่ต้องสู้รบกับศัตรูจนตัวตาย น่าเสียดายที่ใน ขบวนรถมีคนแก่หนึ่งคนและคนหนุ่มหนึ่งคนที่เป็ นเซียนกระบี่นั่ง บัญชาการณ์ ช่วยคนชั่วก่อกรรมท าเข็ญ พวกเขาถึงได้พ่ายแพ้ อย่างสิ้นท่า
ป๋ ายเหมาสังเกตเห็นถึงสายตาที่มองจ้องไม่กะพริบและอาการ “ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องเฉิน สมกับเป็ นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ แค่เห็นหน้าก็ เหมือนรู ้จักกันมานาน!”
้
จากนั้นเจ้าจวนป๋ ายแห่งสันเขาเซียจื่อก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่ มีรูปโฉมธรรมดามองมาทางตน สายตาของแม่นางน้อยออกจะ ประหลาดอยู่บ้าง
ป๋ ายเหมายิ้มถาม “น้องเฉิน แม่นางคนนี้คือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ลูกศิษย์ใหญ่ เรียนรู ้วรยุทธจากข้ามานาน หลายปี แซ่เจิ้งนามเฉียนคุณสมบัติไม่เลว สร ้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ แล้ว ชื่อเสียงของนางในยุทธภพมีมากกว่าคนเป็ นอาจารย์อย่างข้า เสียอีก”
ป๋ ายเหมาพอจะจับทิศทางในการพูดคุยกับเจ้าหมอนี่ได้คร่าวๆ แล้ว ขอแค่เปิดใจให้กว้างอย่างเต็มที่ ไม่สนเรื่องหน้าตาก็ไม่มีอะไรให้ ต้องอึดอัดอีก การพูดคุยกันต่อจากนั้นก็จะสามารถเกิดความผ่อน คลายสบายอารมณ์อย่างที่บอกไม่ถูก เขาพยักหน้าเอ่ย “เมื่อเทียบ กับชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของน้องเฉินแล้วก็ถือว่าธรรมดามาก เป็ นครามที่ เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าครามสินะ เป็ นเรื่องดี ต่างก็พูดกันว่า ในยุทธภพ อาจารย์มีฝี มือหาลูกศิษย์เก่งกาจนานสามปี ลูกศิษย์ เก่งกาจก็หาอาจารย์มีฝี มือนานสามปี เหมือนกัน ต่างสร้าง ความส าเร็จให้แก่กันและกัน ถึงจะเป็ นเกียรติแก่ส านัก ถึงอย่างไรก็ ดีกว่าคนหนึ่งถ่วงเวลาลูกหลานของคนอื่น คนหนึ่งทาให้คนเขา เสียเวลา ต่างฝ่ ายต่างเป็ นตัวถ่วงของกันและกัน”
้
อันที่จริงป๋ ายเหมาอยากพูดว่าด้วยอายุของเจ้าเฉินเหริน ทุกวันนี้ เพิ่งจะกี่ปีกันเอง แล้วได้ท่องยุทธภพมาสักกี่ปีกัน จะมีชื่อเสียงอะไรได้ จะเทียบกับจางอวี่เจี่ยวเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนนั้นได้หรือ?
ป๋ ายเหมาหันหน้าไปมองหญิงสาวที่ใบหน้าตกกระ เจ้าจวนป๋ าย คลี่ยิ้มไปให้ วางมาดผู้อาวุโสถามว่า “เลื่อนเป็ นขั้นสามหลอม ลมปราณหรือยัง?”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ต้องดูที่ขอบเขตของคู่ต่อสู้” ป๋ ายเหมาอึ้งตะลึง ไม่เสียแรงที่เป็ นลูกศิษย์ผู้มากฝีมือของเฉินเหริน เงินทุนหนึ่งตาลึง พอออกมาจากปากของพวกเจ้าอาจารย์และ ศิษย์กลับมีพลังอ านาจและมีมาดหนักถึงหนึ่งจิน หรือว่าตอนนี้คนรุ่น เยาว์ที่อยู่ในยุทธภพข้างนอกชอบพูดจากันแบบนี้? เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นมา ยิ้มกล่าว “กินข้าว” เผยเฉียนที่นั่งตัวตรงอย่างสารวมถึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมา ป๋ ายเหมาแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง นับว่าพอจะมีกฎระเบียบอยู่ บ้าง เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่ดื่มเหล้า แค่กินอาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง เท่านั้น
้
กลับเป็ นนักพรตหนุ่มที่สวมชุดคลุมเต๋าผ้าฝ้ ายที่คล้ายผีโหย กลับชาติมาเกิด ในขณะที่ทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการดื่มเหล้าให้ได้ มากหน่อย เขากลับหันไปขอข้าวเปล่าสองชามมาจากสาวใช ้ ก าชับ นางว่าต้องเอามาชามใหญ่ เวลานี้กาลังก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว กวาน เต๋าที่อยู่บนศีรษะท าให้ป๋ ายเหมาที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็เชี่ยวชาญเรื่องการ ตรวจสอบสิ่งของอยู่แล้วอดเหลือบมองอยู่หลายทีไม่ได้ รู ้สึกว่าน่าจะมี ค่าอยู่บ้าง
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้นคีบอาหารคาใหญ่ พูดเสียงอู้อี้ว่า “ทาไมเจ้า จวนป๋ ายไม่แปลกใจเลยล่ะว่าทาไมแม่นางเจิ้งถึงได้กราบน้องเฉินของ พวกเราเป็ นอาจารย์?”
ป๋ ายเหมายิ้มเอ่ย “ไม่ว่าชาติกาเนิดจะสูงต่า หรืออายุจะมากน้อย ขอแค่เป็ นสถานที่ที่มีหลักการเหตุผลก็คือสถานที่ที่อาจารย์อยู่ อายุ ไม่นับเป็ นอะไร บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ คนที่เดินอยู่ข้างหน้า ก็คือผู้อาวุโส”
เห็นเพียงว่านักพรตผู้นั้นพยักหน้ารับอย่างแรง “มิน่าเล่าต่างก็ พูดกันว่าอาจารย์กราบศิษย์หลาน มีมรรคาก็คือสูงศักดิ์ เมื่อก่อนแค่ เข้าใจอย่างครึ่งๆ กลางๆ ประโยคนี้ของเจ้าจวนป๋ ายท าให้ข้าเข้าใจได้ อย่างชัดเจนเสียที”
“ไม่เห็นท่านนักพรตจะดื่มเหล้าสักเท่าไร นี่คือเหล้าหมักตระกูล เซียนที่มีเฉพาะในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานเชียวนะ หรือเป็ น เพราะสายระบบเต๋ามีกฎข้อห้าม ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าดื่มเหล้า?”
้
เมื่อครู่นี้ผู้ดูแลอวี๋ให้สาวใช ้น าเหล้าหมักเขียนจวนเฝิ่นหวานสาม กามาส่งให้ ไม่ได้มีเพิ่มมาแม้แต่กาเดียวจริงๆ พูดแค่ว่าดื่มหมดแล้ว หากรู ้สึกว่าไม่พอ สามารถบอกเขาได้
เพราะถึงอย่างไรห้องโถงด้านข้างนี้ หากสถานะไม่สูงพอเหมือน อย่างแขกคนอื่นๆ ที่ดื่มเหล้าในห้องโถงจัดเลี้ยงก็จะได้เหล้าเริ่มต้นที่ คนละสองกา ส่วนทางฝั่งผีผาฮูหยินนั้นนางดื่มเหล้าแทบไม่ต่างจาก ดื่มน้าแล้ว
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่านักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวบนศีรษะผู้นี้ เป็ นมือดีในการกินอาหารคาวจริงๆ ตามหลักแล้วของคาวและเหล้า ไม่แยกบ้านกัน ทาไมถึงเอาแต่กินกับข้าวไม่ดื่มเหล้าล่ะ?
“ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน สายของเสี่ยวเต้ายากจน ไม่มีอาจารย์ปู่ อาจารย์เองก็ไม่สนใจเรื่องนี้”
นักพรตหนุ่มโบกมือ “อีกอย่าง ได้ฟังค าพูดของท่านก็เหมือนได้ ดื่มเหล้าสามไห”
ป๋ ายเหมาหัวเราะเสียงดังลั่น ในที่สุดก็ได้เจอกับคนปกติธรรมดา ที่รู ้จักพูดแล้ว
จิบเหล้าหนึ่งอึก ความคิดบางอย่างก็เปล่งวาบขึ้นมาในหัว ของป๋ ายเหมา ในที่สุดก็คิดออกแล้วว่าท าไมถึงได้รู้สึกแปลกๆ อยู่ใน ใจมาโดยตลอด เขาหันหน้าไปถาม “เจิ้งเฉียน? เจิ้งที่ประกอบด้วย อักษรกวนกับอักษรเอ่อ์? เฉียนที่แปลว่าเงินทองน่ะหรือ?”
้
เฉินผิงอันพยักหน้า
ป๋ ายเหมาใช ้นิ้วเคาะหน้าโต๊ะ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางอย่างเจ้านี่คิด อย่างไรกันแน่ ขอให้ข้าผู้เป็ นเจ้าจวนได้อาศัยความเป็ นผู้อาวุโส ต าหนิเจ้าสักค า ต่อให้เจ้าจะชื่นชมปรมาจารย์ใหญ่หญิงคนนั้นขนาด ไหนก็ไม่น่าจะถึงขั้นเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ให้เป็ นเหมือนนางกระมัง”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก ไม่ได้เอ่ยอะไร
หากว่าเป็ นถ่านค าน้อยตอนเด็ก สุสานบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของ เจ้าจวนป๋ ายคงถูกวางประทัดไว้เต็มไปหมดแล้ว
ป๋ ายเหมาคือบัณฑิต รักศักดิ์ศรีหน้าตา เมื่อทาอะไรนางไม่ได้ก็ หันไปมองเฉินเหริน “น้องเฉิน เจ้าที่เป็ นอาจารย์ เจอกับเรื่องใหญ่ ขนาดนี้ก็ไม่คิดจะควบคุมบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ใช่ๆๆ มีเหตุผล มีเหตุผล ข้ามักจะ เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกตลอด เรื่องการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ก็เลยห่าง เหินไปบ้าง”
เผยเฉียนคีบอาหารล้าค่าหายากขึ้นมาคาใหญ่ ใส่ปากเคี้ยวช ้าๆ สองแก้มพองโป่งเสียงเคี้ยวดังกร ้วมๆ
ลู่เฉินมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น หัวเราะคิกคัก “เจ้า จวนป๋ าย พวกเราสองพี่น้องเป็ นโรคเหมือนกันต่างก็มีความสงสารซึ่ง กันและกัน ชนกันหน่อย ผินเต้าใช ้น้าแกงต่างสุรา”
้
ป๋ ายเหมาชูจอกเหล้าขึ้น กระดกดื่มคาเดียวหมด
ลู่เฉินหยิบภาพวาดบุปผาสกุณาเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขน เสื้อ “แค่มองก็รู้ว่าเจ้าจวนป๋ ายเป็ นนักสะสมสิ่งของ สิ่งนี้ข้าต้อง จ่ายเงินก้อนใหญ่ถึงจะเก็บตกมาได้ เจ้าจวนยางช่วยดูมาให้ก่อนแล้ว เชิญชื่นชม เชิญชื่นชม”
ป๋ ายเหมาหัวเราะ สะบัดชายแขนเสื้อ ยื่นมือไปรับสมุดเล่มนั้นมา นี่มันอะไรกับอะไรกัน จ่ายเงินก้อนใหญ่แล้วยังเก็บตกของดีมาได้ ด้วย? ลองเปิดดูสองสามหน้า ป๋ ายเหมาที่ลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยว่า “บอกตามตรง มีฝี มืออยู่บ้าง แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นฝี มือของลูกหลาน ตระกูลสูงศักดิ์ร่ารวย ได้แก่นแท้แห่งการวาดภาพแบบเจี้ยฮว่า (คือ การวาดภาพแบบใช ้ไม้บรรทัดในการวาดเส้น) มา เอาจริงเอาจัง เป็ น ระเบียบเข้มงวด แต่น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรก็ไร ้ชีวิตชีวา และดอกไม้ กับนกพวกนี้ก็มักให้ความรู ้สึกว่าไม่เพียงแต่เรียบง่ายงดงาม มองไป นานเข้ายังมีกลิ่นอายอึมครึมอยู่หลายส่วน”
เห็นว่านักพรตหนุ่มทาหน้าอึ้งค้างเหมือนถูกฟ้ าผ่า ป๋ ายเหมาก็ รีบอธิบาย “คาว่ากลิ่นอายอึมครึมที่ข้าผู้เป็ นเจ้าจวนพูดถึงไม่ใช่ ความหมายในทางลบ คล้ายคลึงกับภาพวาดน้าและบกที่อยู่ในวัดวา อารามทั้งหลายที่มีกลิ่นอายแห่งความตายก็เพื่อบอกเตือนใจคน ข้า แค่กังวลว่าเจ้าของสมุดภาพนี้จะไม่ใช่คนที่มีอายุขัยยืนยาว ท่าน นักพรตเองก็น่าจะรู ้ว่าคนที่มีชื่อเสียงในวงการการวาดภาพ หากอายุ
้
สั้น ความสาเร็จและชื่อเสียงก็ยากที่จะขยับขึ้นสูงได้อีก มิอาจ เปลี่ยนแปลงความเสื่อมถอยได้ ราคาก็มักจะไต่ขึ้นสูงไม่ได้”
นักพรตหนุ่มเอ่ยอย่างโศกเศร ้าว่า “มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน คนร่วม รุ่นที่ร ้องและรับส่งกันได้ก็มีน้อย ศิษย์ลูกศิษย์หลานก็น้อย พอบุตร กตัญญูหลานคนดีมีน้อยลง เรี่ยวแรงในการช่วยกระพือชื่อเสียงก็จะ น้อยไปด้วย เมื่อเรี่ยวแรงน้อยก็มิอาจถูกคนรุ่นหลังผลักไปสู่แท่นบูชา มิอาจขึ้นแท่นบูชาแล้วจะขายออกในราคาสูงได้อย่างไร ยังจะพูดถึง ความล้าค่าได้อย่างไร รอกระทั่งวิถีทางโลกในอนาคตดีขึ้นแล้ว เงิน ในกระเป๋ าก็จะเหลือมากขึ้น คนที่ไม่เชี่ยวชาญแต่มีเงินก็จะยิ่งมีมาก รู ้จักแต่หน้าร ้านไม่รู ้จักตัวคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพอย่างของ โบราณนี้จะสามารถแต่งเรื่องราวสักกี่เรื่องหลอกเอาเงินก้อนใหญ่มา ได้สักกี่ก้อน”
ป๋ ายเหมาตบขาตัวเองดังฉาด “ความคิดเห็นนี้ของท่านนักพรต เรียกได้ว่าแหวกเมฆเห็นแสงจันทร ์โดยแท้”
เฉินผิงอันเหลือบมองนกและดอกไม้ที่วาดอยู่ในสมุดภาพเล่มนั้น ไม่มีค าลงท้าย แต่กลับมีตราประทับส่วนตัวอยู่หลายชิ้น อาศัยสิ่งนี้ก็รู ้ ได้แล้วว่าสมุดภาพเล่มนี้มาจากมือของรัชทายาทสกุลหลิ่วแคว้นชิง ซิ่ง แววตาของป๋ ายเหมาไม่เลว มีกลิ่นอายความอึมครึมอยู่บ้างจริงๆ มังกรซ่อนตัวที่เป็ นผู้สืบทอดบัลลังก ์แห่งแคว้นท่านนี้ไม่มีภาพ บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิผู้สร ้างความรุ่งเรือง ฝีพู่กันบอบ บางไร ้เรี่ยวแรง พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือเหมือนฝี มือของ
้
จักรพรรดิแคว้นล่มสลายมากกว่า ทว่าค าวิพากษ์วิจารณ์ตามถนน ในเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งและยังมีบทสนทนายามดื่มชาหลังมื้ออาหาร ของโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนบางแห่ง ล้วนให้คาประเมินที่ไม่ต่าต่อรัช ทายาทสกุลหลิ่วที่มีวิชาความสามารถผู้นี้
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เป็ นเพราะยังมิอาจเข้าใจ แก่นแท้ของการวาดภาพแบบเจี้ยฮว่า หาไม่แล้วจะเปี่ ยมไปด้วย ชีวิตชีวา สดใสร่าเริง มีหรือจะท าให้เจ้าจวนป๋ ายแค่มองก็รู ้สึกว่าน่า เบื่อไร ้รสชาติ ไม่มีความหมายใดๆ เช่นนี้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ถอนหายใจหนึ่งที ขว้างสมุดภาพเล่ม นั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง “ช่างเถอะๆ ถือเสียว่าขาดทุนไปแล้วกัน ตาไม่ เห็นใจก็ไม่วุ่นวาย ไม่สู้ขายให้เจ้าจวนป๋ ายในราคาต่าดีไหม”
ป๋ ายเหมาเห็นว่านักพรตหนุ่มหน้าไม่อาย ถึงกับประกบสองนิ้ว ผลักสมุดภาพมาทางตัวเอง นี่คิดจะบังคับซื้อบังคับขายกันหรือ? ไอ้ คาว่าจ่ายเงินก้อนใหญ่เก็บตกของดีก็เพื่อปูพื้นให้กับการเชือดคน รู ้จักตอนนี้สินะ? ช่างวางแผนได้ดีนัก! ป๋ ายเหมาจึงยื่นมือไปกดสมุด ภาพเล่มนั้นเอาไว้แน่น พูดด้วยรอยยิ้มไม่จริงใจ “ต่อให้ไม่ใช่วัตถุที่มี มูลค่าควรเมือง แต่ก็ไม่ใช่ผลงานที่หยาบและเลวอย่างแน่นอน วิญญู ชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ต่อให้ท่านนักพรตตัดใจขายให้ในราคา ถูกได้ ข้าผู้แซ่ป๋ ายก็ไม่กล้าซื้อ ขอท่านนักพรตเก็บกลับไปด้วย!”
้
นักพรตหนุ่มแอบออกแรงเต็มที่จนสองนิ้วสั่นเล็กน้อย แต่กระนั้น ก็ยังมิอาจขยับสมุดภาพเล่มนั้นได้ ใบหน้าเขาพลันแดงก่า “เจ้า จวนป๋ าย ต่างก็เป็ นสหายที่พูดคุยกันถูกคอราคาก็ตกลงกันได้ง่าย”
“ไยท่านนักพรตต้องตัดใจยกของรักให้ผู้อื่นด้วย”
“บอกตามตรง ด้านหลังสมุดภาพเล่มนี้ยังมีเนื้อหาบทหนึ่งใน ตาราที่คัดลอกมาจากคนไม่ทราบนาม พันกว่าตัวอักษร วิเศษสุด ประณีตสุด ว่ากันว่าเนื้อหาบันทึกไว้ว่านอกจากสามารถสร ้างเนื้อขึ้น จากกระดูกขาวได้แล้ว ยังพูดถึงสัจธรรมในการฝึกตนอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นว่า “สามารถสร ้างเนื้อขึ้นจากกระดูกขาว ไม่ว่าเป็ นสิ่ง ใดก็สร ้างกระดูกขึ้นได้เจ้าจวนป๋ าย มีเงินก็ยากจะหาซื้อตาราแห่ง ความเป็ นอมตะ นี่คือโอกาสที่ได้ยากมากนะ!ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มี ร ้านนี้อีกแล้ว!”
“ในเมื่อซุกซ่อนตาราแห่งความเป็ นอมตะเอาไว้ ทาไมท่าน นักพรตถึงเอามาขายให้คนอื่นเล่า?”
“คุณสมบัติในการฝึ กตนของผินเต้าพอใช้ได้ พอใช้ได้จริงๆ อะไรที่ควรเรียนรู ้ก็เรียนรู ้มาหมดแล้ว ไม่อยากเรียนรู ้ไปมากกว่านี้อีก แล้ว”
“ราคาเท่าไร?” “สองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ จะน้อยกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!” “…”
้
ป๋ ายเหมามีสีหน้าแข็งค้าง เกือบจะผรุสวาทออกไป คิดว่าข้าผู้ อาวุโสคือคนโง่หรือต าราแห่งความเป็ นอมตะจะขายแค่สองเหรียญ เงินเกล็ดหิมะได้อย่างไร?
“เห็นแก่ความเป็ นสหาย หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ได้!”
“…”
ป๋ ายเหมาหน้าดาทะมึน มั่นใจได้แล้วว่าอีกฝ่ ายคือคนโง่ แล้วก็ พยายามจะลากให้ตนเป็ นคนโง่ไปด้วย
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ก็ยกมือขึ้น ขอเหล้าเซียน กาหนึ่งเพิ่มจากสาวใช ้เจ้าจวนป๋ ายคิดแล้วก็หยิบเงินเกล็ดหิมะ เหรียญหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนสมุดภาพนกและบุป ผาเล่มนั้น
มือหนึ่งมอบเงิน มือหนึ่งมอบของ อันที่จริงเดิมทีป๋ ายเหมาคิดว่า เมื่อซื้อตาราภาพมาแล้วจะคืนให้อีกฝ่ าย แล้วค่อยโน้มน้าวนักพรต หนุ่มด้วยความหวังดีว่าวิธีหลอกคนชั้นเลวเช่นนี้ วันหน้าอย่าได้ทา อีกเลย ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก ง่ายที่จะโดนซ ้อมเอาได้ เพียง แต่ป๋ ายเหมากังวลว่าหากเป็ นเช่นนี้จะทาให้อีกฝ่ ายขายหน้า ก็เลย ล้มเลิกความคิด คิดเสียว่าจ่ายเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญเพื่อคบหา สหายที่พึ่งพาไม่ได้ ถึงอย่างไรวันหน้าก็ไม่มีทางเจอกันอีกแล้ว
ตอนที่มอบเงินเทพเซียนออกไป หน้าหนึ่งในสมุดภาพก็มีเนื้อหา ตัวอักษรสีทองเพิ่มมาอีกบทหนึ่งแล้วพุ่งตรงเข้าสู่โอสถทองของเขา
้
เมื่อป๋ ายเหมามีความคิดนี้เกิดขึ้นก็มีตัวอักษรบทกลางของตารา เพิ่มมาอีก ซึ่งสามารถพุ่งตรงไปยังหยกดิบได้ หนึ่งในร่างแยกของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี่จิง เจินเหรินกระดูกขาว ที่อยู่ใต้ต้นหลี ตอนนี้ได้เป็ นหนึ่งในสิบตัวสารองใหม่ล่าสุดของใต้หล้ามืดสลัว แล้ว
คาถาบทนี้ก็คือรากฐานมหามรรคาของเจินเหรินกระดูกขาว คา ว่า “ต าราแห่งความเป็ นอมตะ” ที่ลู่เฉินกล่าวถึงก็สมชื่ออย่างแท้จริง แล้ว
เพราะผู้จวินสองท่านของภูเขาเหอฮวานไม่ปรากฏตัวเสียที แขก จากฝ่ ายต่างๆ ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงรับตัวบุตรเขยแต่งบุตรสาวต่างก็ สัมผัสได้ถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง
พูดถึงแค่ในห้องบุปผานั้น เหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาจากจวนสู่เยว่ ทะเลสาบร ้อยบุปผาอยู่ดีๆ ก็เหมือนฝูงนกแตกรังไปแล้ว