กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1020.3 ฟ้ าดินประหนึ่งภาพวาด
บทที่ 1020.3 ฟ้ าดินประหนึ่งภาพวาด
คุณหนูใหญ่ของภูเขาเหอฮวานและคุณหนูสี่จ้าวแยนคล้ายจะ ก าลังปลอบใจหูจวินจางเซี่ยงเต้าอยู่ตรงนั้น
อวี๋เจิ้นเรียกฉินแจว๋ที่อยู่ในห้องเดี่ยวและฝูชี่ที่อยู่ห้องติดกัน ออกมาพร ้อมกัน แล้วพาเดินตรงดิ่งออกไปนอกจวนเฝิ่นหวาน
เหนียงเนียงเทพภูเขาของภูเขาจุ้ยยวนที่ดื่มเหล้าจนเริ่มเมากรึ่มๆ กับหลี่ถิ่งแห่งภูเขาอูเถิงคล้ายจะได้รับโองการลับจากฝู่ จวินทั้งสอง บอกว่าอย่างมากสุดหนึ่งเค่องานเลี้ยงในคืนนี้ก็จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ น ทางการแล้ว รับรองว่าจะไม่ต้องให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านรอนาน อย่างแน่นอน
ไปถึงนอกจวน อวี๋เจิ้นก็กุมหมัดก้มหน้าลงต่า เอ่ยขออภัยไม่ หยุดปาก ก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ที่จวนมีเหตุเกิดขึ้นเล็กน้อย จาเป็ นต้องปิดประตูจัดการเรื่องนี้ ท่านอาฉิน พี่แยน ท าให้พวกท่าน เห็นเรื่องตลกแล้ว”
ฉินแจว๋คือผู้ฝึ กตนของทะเลสาบซูเจี่ยน เห็นเรื่องแบบนี้มาจน เคยชินแล้ว ไม่แม้แต่จะถามสักคา ถึงขั้นคร ้านจะกุมหมัดอาลาด้วย ซ้า ไม่พูดพร่าทาเพลงก็ทะยานลมตรงดิ่งจากไปทันที
ส่วนฝูชี่ถึงอย่างไรก็เป็ นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ชาติกาเนิด สะอาดเอี่ยม แม้จะบอกว่าออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกหลายปี
แล้ว แต่เหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็ นครั้งแรก จึงเอ่ย เสียงเบาว่า “พวกเจ้าฉีกหน้าแตกหักกับพรรคจินแชวและสกุลจาง เขตเทียนเฉาแล้วหรือ? หากเป็ นเช่นนี้จริง ด้วยนิสัยการกระท าของ ตระกูลชั้นสูงและจวนเซียนบนภูเขาแล้ว แสดงว่าต้องมีการเตรียมการ มาก่อนแน่นอน คืนนี้ในบรรดาแขกที่มาร่วมอวยพรในจวนเฝิ่นหวาน ไม่แน่ว่าอาจมีหนอนบ่อนไส้ก็เป็ นได้”
อวี๋เจิ้นมิอาจบอกกล่าวแผนลับของบิดาออกไปได้ จึงได้แต่ยก ข้ออ้างที่คิดกันมาเรียบร ้อยตั้งแต่อยู่ในศาลบรรพชนแล้วมากล่าว “คลังสมบัติของจวนอินอวินบนภูเขามีสมบัติพิทักษ์เรือนชิ้นหนึ่งที่ บิดาให้ความสาคัญอย่างมาก ซึ่งเมื่อครู่นี้อยู่ดีๆ ก็ถูกขโมยไปบิดา โมโหอย่างหนักจนออกคาสั่งลับๆ ไปแล้วว่าจะปิดภูเขาทันที ปิดประตู ตรวจสอบทุกคนไม่ว่าจะเป็ นใครก็ได้แต่เข้ามิอาจออกไปได้ พวกคน ที่มาร่วมแสดงความยินดีบนภูเขาคืนนี้เจ้าเองก็รู ้ดีว่าไม่มีใครเป็ น ตะเกียงประหยัดน้ามัน ล้วนเป็ นพวกพยศยากการาบไม่กลัวตายอีก เดี๋ยวย่อมเกิดการปะทะได้อย่างง่ายดาย ไม่แน่ว่าอาจมีการนองเลือด เลยก็ได้”
ฝูชี่สอบถาม “ไม่ต้องการให้ข้าอยู่ช่วยเหลือจริงๆ หรือ?”
ในอาณาเขตของหลายแคว้นที่อยู่ใกล้เคียง ขอบเขตโอสถทอง อย่างฝู่ จวินสองท่านและเฉิงเฉียน จางฉงก็ถือว่าอยู่สูงสุดบนฟ้ าแล้ว เขาที่เป็ นแค่ขอบเขตประตูมังกร ไม่พูดว่าจะกอบกู้สถานการณ์ได้
แต่แค่ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ คิดดูแล้วก็ น่าจะไม่ยากนัก
อวี๋เจิ้นส่ายหน้า พูดด้วยสายตาจริงใจ “ฝูชี่ ฟังค าแนะน าจากข้า สักค า อย่าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย นี่เป็ นเรื่องใหญ่มากจริงๆ สรุปก็คือคราวหน้าข้ากับเจ้าค่อยหาโอกาสมาพบกันใหม่”
ฝูชีพยักหน้า “ข้าคิดว่าจะไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนรอบหนึ่ง จ้งซู่ แห่งเกาะหวงหลีมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับบรรพบุรุษบ้านข้า หากจะ หาตัวข้าก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปที่เกาะหวงหลีโดยตรงได้เลย”
เมืองเฟิงเล่อ ชีซ่งไปหาจางอวี่เจี่ยวและจินหลวี่ และผู้เฒ่าก็ไม่ เสียเวลาพูดเรื่องไร ้สาระ เอ่ยประโยคหนึ่งกับเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่าง ลับๆ ว่าให้พวกเขาตามตนออกไปจากเมืองเล็ก
เพราะชีซ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ยังมิอาจเดินทางไกลไป ทั่วทุกพื้นที่ได้ ผู้เฒ่าจึงได้แต่พุ่งตัวไปอย่างว่องไวท่ามกลางม่าน ราตรี
เด็กหนุ่มขี่กระบี่ลอยพ้นจากพื้นแค่รั้งกว่าเท่านั้น ส่วนเด็กสาวที่ อยู่ด้านข้างก็ทะยานลมแนบติดพื้น
จินหลวี่เอ่ยสัพยอกว่า “ท่านปู่ ชี ท่านชอบดื่มสุรายิ่งกว่าอะไรดี ทาไมถึงไม่ขึ้นเขาไปร่วมงานเลี้ยงล่ะ? หากว่าท่านไป ข้ากับจางอวี่ เจี๋ยวก็จะติดตามท่านขึ้นเขาได้แล้ว”
ชีซ่งเค่อชิงอันดับหนึ่งของสกุลจางเขตเทียนเฉาคือตาเฒ่าดื้อรั้น หัวแข็งที่ขึ้นชื่ออย่างมาก มีวาสนากับผู้เยาว์ดีเยี่ยม เวลานี้ผู้เฒ่ายิ้ม เอ่ยว่า “สุราเผาร่างดุจเปลวเพลิง กามาเถือหนังดุจมีดเหล็ก หากข้า ขึ้นไปบนภูเขาแล้วคุมตัวเองไม่อยู่ ดื่มเหล้าจนเมามาย แล้วถูกแม่ นางสามผู้นั้นหมายตาเข้า จ้าวฝูหยางกับอวี๋ฉุนจือยืนกรานจะให้ข้า เป็ นลูกเขยพวกเขาให้ได้ทั้งดื่มเหล้าทั้งเข้าห้องหอ ข้ารับไม่ไหว หรอก”
จินหลวี่ร ้องเพ้ย
ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกเย้า “นังหนูจิน อวี๋โหยวอี๋ไม่ชอบตาแก่สกปรก อย่างข้าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากจะบอกว่าไม่ถูกใจคุณชายอ่อน เยาว์ที่มีมาดสง่างามอย่างอวี่เจี่ยว นั่นต่างหากถึงจะเป็ นเรื่องแปลก แล้วเจ้าจะมีความสุขหรือ?”
จางอวี่เจี่ยวถามอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่ ชี ความเคลื่อนไหวที่ เมืองเล็กข้างหน้านั่นมีค าอธิบายหรือไม่?”
ชีซ่งตบพุง ส่ายหน้า “มีค าอธิบาย แต่พูดไม่ได้ รอให้วันหน้ามี โอกาส เจ้าเลี้ยงเหล้าดีๆ ข้าสักมื้อแล้วค่อยดูที่อารมณ์ของข้า”
ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์เผยได้พูดเตือนไว้ว่าอย่าได้เปิ ดเผย ร่องรอยของนาง ชีซ่งไม่กล้าล้อเล่นในเรื่องแบบนี้หรอก
ผู้เฒ่าใช ้ปลายเท้าเตะหินสองสามก้อน โบกชายแขนเสื้อหนึ่งที พวกมันก็พากันสาดยิงไปกลางอากาศ ครั้นจึงทะยานร่างขึ้นเหยียบ บนหินเหล่านั้น ประหนึ่งเดินขึ้นบันได
ร่างของชีซ่งเหมือนจะอ้วนฉุ แต่พอดึงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ เฮือกหนึ่งขึ้นมา เวลานี้ร่างของเขากลับเบาเหมือนขนนก ถูกหินก้อน สุดท้ายดันขึ้นสูงจึงอยู่ในท่าทางที่เหมือนบินทะยานขึ้นฟ้ า
ในจุดที่สูงที่สุด เรือนกายของเขาหยุดลอยค้างกลางอากาศ ผู้ เฒ่าทอดสายตามองไปไกล เขาก็มองเห็นว่าหลวี่โม่ผู้เป็ นลูกศิษย์ กาลังพาเด็กสาวผิวดาคนหนึ่งเร่งเดินทางยามค่าคืน
ชีซ่งพลิ้วกายลงพื้น พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ตามข้ามา ใครช ้า คนนั้นต้องเลี้ยงเหล้า”
อวี๋โหยวอี๋ที่สวมชุดคล่องตัวสาหรับเดินทางตอนกลางคืนลอด ทะลุไปตามผืนป่ าเหมือนภูตผีเหมือนควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งมาถึง เมืองเล็กตีนเขา
นางยืนอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง โยนห่อผ้าแพรต่วนห่อหนึ่งที่ มีเลือดสดเปียกซึมไปในลานบ้านหลังเล็กของตรอกเก่าโทรม “หัวนี้ มาจากคอของกู้เฟิ่ งรองผู้ตรวจสอบความเรียบร ้อยของกองทัพ ส่วนหลี่ถิ่งเทพภูเขาของศาลอูเถิง ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ ์อย่างไรกับ กู้เพิ่งก็จะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นคืนนี้เหมือนกัน ถือว่าเป็ นคาอธิบายที่บิดา ข้าและภูเขาเหอฮวานมอบให้กับพวกเจ้า อย่าได้พัวกันกันอีกต่อไป
เลย แม่นางหลิ่ว เจ้ากับพวกหลิวเถี่ยต้องรีบออกไปจากเมืองเล็ก ภายในครึ่งก้านธูปนี้ หากจากไปช ้าก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาเอาเอง ในอนาคตต่อให้ทางเมืองลั่วจิงเมืองหลวงสารองซักไซ ้เอาผิดขึ้นมา พวกเราก็ถามใจแล้วไม่ละอาย”
ไม่เหมือนในอดีตที่ยามเจอกับผีสาวไร ้หัวถือร่มในเมืองหรือนอก เมืองเล็ก อวี๋โหยวอี๋มักจะทาตัวเหมือนพวกอันธพาลเจ้าชู้เสเพลที่ดึง ดันจะพูดคุยตามตอแย “แม่นางหลิ่ว” สักสองสามประโยคให้ได้ การ กระทาในคืนนี้ของนางไม่อืดอาดแม้แต่น้อย นาความมาบอก เรียบร ้อย พูดจบนางก็พาเรือนกายปราดเปรียวกลับเข้าไปในภูเขา
โจวชิวตะโกนเรียกหลิวเถี่ย หลิวเถียถามเสียงทุ้มหนัก “เอา อย่างไร? จะอยู่ต่อที่นี่ รอพวกเขาสามคนลงมาจากภูเขาไหม?”
โจวชิวยิ้มเอ่ย “ไหนเลยจะต้องให้พวกเราเป็ นกังวลกับ สภาพการณ์ของพวกเขา ไปรอฟังข่าวที่ยอดเขาโพโม่ก็แล้วกัน”
ในจวนเฝิ่นหวาน เฉินผิงอันพลันถามว่า “วันหน้าจ้าวฝูหยางจะ ประสบความส าเร็จได้สูงแค่ไหน?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ดอกไม้บานสองดอก แต่ละดอกอยู่คนละกิ่ง ต้อง ว่ากันอีกที”
เฉินผิงอันกล่าว “สมมติว่าจ้าวฝูหยางทาเรื่องนี้ได้ส าเร็จล่ะ?”
“ก่อกาเนิดใหม่วันพรุ่งนี้ ในอนาคตมีโอกาสเลื่อนเป็ นขอบเขต หยกดิบ ก็แค่ความยากมีไม่น้อย จะต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากที่ ใบถงทวีป”
ลู่เฉินยกมือขึ้นนับนิ้วคานวณ เงียบไปพักใหญ่ “หากไม่อาจ สาเร็จดั่งใจหวัง สิ่งที่ทามาในค่าคืนนี้ล้วนเสียเปล่า หลอมภูเขาไม่ สาเร็จกลับกันยังสูญเสียต้นทุนไป พรุ่งนี้จ้าวฝูหยางก็จะลดขั้นจาก คอขวดโอสถทองเป็ นขอบเขตประตูมังกร ส่วนในอนาคตน่ะหรือ ต้อง เริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหริน”
นอกจากป๋ ายเหมาที่ไม่ได้ยินบทสนทนานี้แล้ว เผยเฉียนล้วนได้ ยินสิ่งที่อาจารย์พ่อพูดคุยกับลู่เฉินอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลัทธิลู่ลืมพูดถึงสถานการณ์หนึ่งอย่างหรือ สองอย่างหรือไม่”
ลู่เฉินพยักหน้ายิ้มเอ่ย “หากจ้าวฝูหยางสามารถอยู่ต่อที่นี่ ภูเขา บนล่างสองลูกหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เขากับสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่ง เป็ นดั่งน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้าคลอง ไม่ช ้าก็เร็วย่อมต้องถูกกู้ซ่านฆ่าตาย แน่นอนว่าต้องมีจุดจบที่หมดหวังกับทุกเรื่อง หรือหากบอกว่าจ้าวฝู หยางเลื่อนเป็ นก่อกาเนิดได้อย่างราบรื่น แล้วใช ้วิชาอภินิหาร “แบก ภูเขา” ซึ่งเป็ นวิชาลับของสายพรรคจินแชว สุดท้ายออกไปจาก สถานที่ที่อันตรายแห่งนี้ได้ สมมติ ผินเต้าบอกว่าสมมติ วันใดวันหนึ่ง เขาสามารถกลายเป็ นหนึ่งในมังกรที่แท้จริงจานวนมากมายบนโลก มนุษย์ อีกทั้งจ้าวฝูหยางยังมีหวังที่จะใช ้สถานะผู้นาของสายล้อม
ภูเขามายึดครองโชคชะตาบนพื้นดินหยัดยืนเคียงบ่ากับพวกผู้ฝึกตน บินทะยานกลุ่มน้อยที่ต่อสู้ได้เก่งกาจบนยอดเขา”
“พูดถึงแค่เวลานี้ จ้าวฝูหยางก็มีเส้นทางสี่สายให้เดินแล้ว”
“แต่สรุปแล้วจ้าวฝูหยางจะเดินไปเส้นทางไหนกันแน่ ผลส าเร็จใน ท้ายที่สุดจะสูงหรือต่า อนาคตบนมหามรรคา ดูเหมือนว่าจะตัดสินอยู่ บนโต๊ะอาหารของพวกเราสองคนตัวนี้อยู่ที่ว่าพวกเราจะคุยกัน อย่างไร”
“ก็เหมือนโต๊ะตัวนี้มีเจ้าและข้า มีเผยเฉียน ตอนนี้ก็มีป๋ ายเหมาผี แห่งสันเขาเซียจื่อมาอีก หากผินเต้ายินดี ยังสามารถดึงผู้ดูแลอวี๋ และ สาวใช ้ที่ยกเหล้าส่งอาหารผู้นั้นมาได้ด้วย”
เฉินผิงอันถาม “เดินทางผ่านไพศาล ถ่ายทอดวิชาอมตะบทหนึ่ง ให้กับป๋ ายเหมา จากนั้นรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อซึ่งมีคุณสมบัติ เป็ นขอบเขตบินทะยานอีกสักคน เจ้าลัทธิลู่ล้วนถือโอกาสท าไปตาม สะดวกหรือ?”
ฟังออกว่าหากจ้าวฝูหยางอยากจะเดินขึ้นสู่ยอดเขาก็จะมี เงื่อนไขที่พึงจะต้องแก้ไขเป็ นอันดับแรกเสียก่อน นั่นคือเขาต้อง ติดตามอาจารย์ปู่ ที่ลาดับอาวุโสห่างกันหลายขั้นอย่างลู่เฉินไปที่ใต้ หล้ามืดสลัวซึ่งมีโชคชะตาภูเขาหนาหนัก
ลู่เฉินย้อนถาม “ยามที่อ่านตาราประวัติศาสตร ์ ข้างกายของ จักรพรรดิผู้บุกเบิกแคว้นมากมาย ในสถานที่ที่มังกรลุกผงาด ในหนึ่ง
อาเภอ หรืออย่างมากสุดในพื้นที่ของหนึ่งเขตการปกครอง ท าไมถึง ได้มีบุคคลร ้ายกาจที่หากไม่ใช่กงก็เป็ นโหวมากมายขนาดนั้น? มอง ไปทั่วหลายใต้หล้า สถานที่บนภูเขาอย่างถ้าสวรรค์หลีจูแจกันสมบัติ ทวีป ถ้าเด็กหนุ่มอู่หลิง ของราชวงศ์ชิงเสินจู รวมๆ กันแล้วมีอยู่แค่ เท่าไรเอง?”
ลู่เฉินวางตะเกียบในมือไว้บนถ้วยข้าว ประหนึ่งสะพานที่พาด ผ่านอยู่กลางอากาศถามเองตอบเองว่า “เส้นทางบนโลกมีทางแยก มากมายซับซ ้อน มหามรรคาจะมีได้สักกี่สาย? เจอคนถูกคน เดินบน ทางถูกทาง ก็คือเมื่อถึงเวลาทั้งฟ้ าและดินล้วนร่วมแรงร่วมใจกันเดิน ไปผิดทาง ต่อให้เจ้าจะเป็ นวีรบุรุษที่มีใจทะเยอทะยานสูงเทียมฟ้ าก็ ต้องอัดอั้นเศร ้าหมองเพราะมิอาจท าตามปณิธาน บางทีอาจมี ข้อยกเว้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่ข้อยกเว้นจะว่าไปแล้วล าพังแค่ เส้นทางกว้างขวางราบเรียบเส้นหนึ่ง ไม่มีจิตใจที่แน่วแน่ ฝีเท้าไม่มาก พอ แน่นอนว่าก็ยากที่จะเดินไปได้ไกล”
“เฉินผิงอัน เจ้าเดาผิดแล้ว จ้าวสู่หยางคิดจะประสบความส าเร็จ ให้สูงที่สุดได้ก็มิอาจถูกใครจูงจมูกให้เดินได้ และไม่อาจอาศัยร่มเงา ใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่ก็คือทางเส้นที่ห้าของเขา”
“อย่าลืมล่ะว่าท าไมถึงมีคนบอกว่าบนภูเขาไม่มีผู้ฝึกตนอิสระห้า ขอบเขตบนที่บริสุทธิ์ขณะเดียวกันก็ยิ่งอย่าลืมว่าแม้เจิ้งจวีจงแห่งนคร จักรพรรดิขาวจะมีการสืบทอดจากอาจารย์แต่ในความหมายที่แท้จริง
เขาเองก็เป็ นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนกัน เขาถึงได้เป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่ บริสุทธิ์เต็มตัว”
ลู่เฉินหยิบตะเกียบข้างหนึ่งขึ้นมา “ไม้ท่อนเดียวยากจะประคอง ไว้ได้ ต่อให้อยู่บนโต๊ะใช ้ปุ๋ ยข้าวหุ้ยกับข้าวก็ยังไม่เข้าท่า จะต้องถูก คนข้างๆ ตีมือ ถูกผู้อาวุโสต าหนิ หรือไม่ก็ไล่ให้ออกไปจากโต๊ะ”
ลู่เฉินหยิบตะเกียบอีกข้างขึ้นมา “ประคับประคองช่วยเหลือกัน และกันก็จะสามารถคีบกับข้าวกินได้แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะกินได้มาก หรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความเจริญอาหารและกระเพาะของคนที่นั่งอยู่ ข้างโต๊ะอาหารแล้ว”
“ตะเกียบหนึ่งคู่สามารถเป็ นเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงและหม่าขู่ เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา หรือจะเป็ นหลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอัน แล้ว ก็เป็ นกู้ซ่านกับซ่งจี๋ซิน ซ่งจี๋ซินกับจ้าวเหยา หลี่ไหวกับหูเฟิง หูเฟิง กับต่งสุ่ยจิ่ง เป็ นต้น ใช ้วิธีการเช่นนี้อนุมานไปเรื่อยๆ ทั้งสามารถเป็ น โต๊ะอาหารหนึ่งตัว แล้วก็สามารถเป็ นโต๊ะพนันที่หากเดิมพันแพ้ก็ต้อง ยกเก้าอี้ออก หรือจะเป็ นโต๊ะบูชาที่มีควันธูปลอยกรุ่นก็ได้”
ภูเขาบรรพบุรุษของพรรคจินแชว ยอดเขาชิงจิ้ง อารามจินเซียน
เจ้าแห่งยอดเขาคนปัจจุบันคือผู้ฝึกตนโอสถทองที่มีลักษณะเป็ น หญิงชรา นางน าพาผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ใกล้กับศาลาแห่ง หนึ่งที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา นอกหน้าผามีเมฆขาวดุจมหาสมุทร ก าลังมา รอต้อนรับเซียนซือจาก “สานักเบื้องบน’ ที่ให้เกียรติมาเยือน