กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1021.2 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
บทที่ 1021.2 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
อันที่จริงใต้หล้านี้มี “เจี่ยงชวี่ที่ไม่เคยขึ้นภูเขาลั่วพั่วฝึกวิชาสาย ยันต์” อยู่มากมายยิ่งนักอวี๋อี๋โหยวผู้นี้ก็เป็ นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีชะตา ส าหรับฝึกตนด้วยการกราบไหว้ดวงจันทร ์ แต่กลับไม่มีโชคเช่นนี้
ป๋ ายเหมายิ้มเอ่ยแนะนาว่า “ดวงตามังกร (เป็ นการแปลตรงตัว คืออีกชื่อของลาไย) อบแห้งนี้สันเขาเสียลู่เป็ นผู้ทาขึ้นมา เสี่ยวเจิ้ง เจ้าลองชิมดูสิ ในตารายาบอกไว้ว่าของสิ่งนี้คือศูนย์รวมของชั้นเลิศ เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย บ ารุงหัวใจบ ารุงดวงตา เจ้าลองคิดดูนะ ผลไม้ชนิดหนึ่งสามารถตั้งชื่อให้ว่า “ดวงตามังกร” ได้ จะไม่มีราคา เลยได้อย่างไร”
เผยเฉียนเอ่ยขอบคุณเจ้าจวนป๋ ายหนึ่งคาแล้วหยิบลาไยอบแห้ง ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
นักพรตหนุ่มได้ยินก็รีบคว้าดวงตามังกรสองเม็ดใส่ปาก พูดเสียง อู้อี้ว่า “พี่หญิงอี๋โหยว น้องหรงอวี่ ผินเต้ารู ้สึกว่าหลังจากผ่านคืนนี้ไป จากความสอดคล้องต้องกันของช่วงเวลาและแปดอักษร หากไม่ผิด ไปจากที่คาดโชคดียิ่งใหญ่ก็จะมาเยือนพวกเจ้าแล้ว”
พวกนางต่างก็แซ่อวี๋ อีกทั้งยังเป็ นสาวงามที่มีเสน่ห์แตกต่างกัน ไป จึงสอดคล้องกับค าว่าอวี๋คนงามซึ่งเดิมทีก็เป็ นชื่อกวีบทหนึ่งของ สานักสังคีตอยู่แล้วอย่างยิ่ง
ใบหน้าของอวี๋อี๋โหยวมีความกลัดกลุ้มจางๆ นางกัดริมฝี ปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเซียนลู่ บนภูเขาต่างก็พูดกันไม่ใช่หรือว่านับแต่ โบราณมาบุพเพแห่งเซียน หากไร ้วาสนาก็ยากจะวาดหวัง ฝืนบังคับ ไปก็ไร ้ประโยชน์ ต่อให้เรียกร ้องวิงวอนแค่ไหนก็ไร ้ผล”
สตรีสวมชุดเขียวหัวเราะหยัน “นักพรตอย่างเจ้า ทั้งๆ ที่ดูลายมือ แล้วไปโผล่เรื่องแปดอักษรได้อย่างไร? พวกเราบอกแปดอักษรให้เจ้า รู ้แล้วหรือ? พูดเหลวไหลส่งเดช เผยพิรุธแล้วล่ะสิ?”
สาวงามร่างอวบอิ่มรีบช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ “ถึงอย่างไร ก็ยังดีกว่าแสร ้งพูดจาปลุกปั่นให้คนตกใจกลัว ทานองว่าฝ่ ามือดา คล้าจะเจอหายนะนองเลือด จากนั้นแอบบอกเป็ นนัยให้พวกเรา จ่ายเงินฟาดเคราะห์”
“อาศัยแค่การจ่ายเงินมาฟาดเคราะห์ มิอาจเชื่อถือได้ แต่จะไม่ เชื่อเลยก็ไม่ได้”
นักพรตหนุ่มกระแอมเบาๆ หนึ่งที “ในนี้มีข้อพิถีพิถันอยู่ ต้องใช ้ เงินที่ได้มาโดยชอบถึงจะสามารถต้านหายนะหลบเลี่ยงภัยพิบัติ เงิน เชื่อมโยงได้ถึงเทพ ต้องรู ้ว่าเงินนี้เกี่ยวพันไปถึงบุญกุศล เหรียญ ทองแดงก็ดี เงินก้อนก็ช่าง ล้วนเป็ นแค่สะพานที่เชื่อมโยงโลกมืดกับ โลกสว่างเท่านั้น เหมือนอย่างควันธูปที่ลอยกรุ่นอยู่เหนือโต๊ะซึ่งเป็ น เส้นทางโบยบินที่เล็กที่สุดของโลกมนุษย์ ส่งตรงให้สวรรค์ได้ยิน หาก มีจิตศรัทธาก็จะศักดิ์สิทธิ์ จึงจะสามารถลบล้างผลกรรมทั้งหมดได้ แต่หากจะบอกว่าเอาเงินที่ได้มาโดยมิชอบมาต้านหายนะ แน่นอนว่า
ยิ่งเป็ นการราดน้ามันลงบนกองเพลิง ใช่ว่าจะไม่ถูกกรรมตามสนอง ก็ แค่ว่ายังไม่ถึงเวลาเท่านั้น หาไม่แล้วทาเรื่องชั่วร ้าย โดยเฉพาะพวก คนที่ทาเรื่องเลวทรามต่าช ้ามาจนชิน ทั้งยังมีอานาจสูง เป็ นตระกูลที่ มีห้องเก็บน้าแข็งแต่กลับเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ (ตระกูลที่มีห้องเก็บน้าแข็ง หมายถึงตระกูลร่ารวยสูงศักดิ์ การเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะคืออาชีพของคน ยากจนหาเช ้ากินค่า ประโยคนี้จึงเป็ นการบอกว่าคนรวยไม่ควรแย่ง ชิงผลประโยชน์มาจากคนจน) จากนั้นเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ไปจุดธูป สองสามดอกในวัดวาอารามก็หมดเรื่องแล้วหรือ? ใต้หล้ามีเรื่องดีที่ ทาได้ง่ายดายแบบนี้เสียที่ไหน เหมือนกระดาษดาตัวอักษรขาว ดีเลว แบ่งแยกกันชัดเจนเว้นเสียจากว่า…จะแปะเหลือง”
เห็นได้ชัดว่าอวี๋หรงอวี่นิสัยเจ้าอารมณ์กว่าอวี๋อี๋โหยวมากนัก นางไม่ไว้หน้านักพรตดูดวงผู้นี้แม้แต่น้อย หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “พูดให้ฟังดูลี้ลับมหัศจรรย์ไปอย่างนั้นเอง ใครเล่าจะเป็ นผู้แยกแยะ เงินที่ได้มาโดยชอบกับเงินที่ได้มาโดยมิชอบ? ผู้ฝึกลมปราณหรือ? นี่ ก็ไม่ได้มีแค่นายท่านเทพอภิบาลเมืองประจาสถานที่ต่างๆ กับจวน ซานจวินห้ามหาบรรพตของหนึ่ง แคว้นเท่านั้นหรอกหรือ?”
คราวนี้บรรยากาศแข็งค้างทันใด
ก่อนหน้านี้นักพรตหนุ่มใช ้ความคิดหมดไปกับตัวของสาวงาม ร่างอวบอิ่มทั้งหมดเวลานี้ในที่สุดก็เริ่มล้อมคอกเมื่อวัวหายแล้ว “น้อง หรงอวี่ ช่างเป็ นชื่อที่ดีจริงๆ ดีงามมากด้วยความสุข ได้ทาในสิ่งที่ ตัวเองปรารถนา แค่ผินเต้ามองใบหน้าเจ้าก็รู ้แล้วว่าเป็ นคนที่จะมีโชค
ในช่วงบั้นปลาย หากอยู่ล่างภูเขาแล้วแต่งงานกับบัณฑิต ช่วยเหลือ สามีอบรมสั่งสอนบุตร คว้าต าแหน่งเก้ามิ่งฮูหยินที่จารึกด้วยแผ่น หยกทาแกนด้วยสีทอง จะมีอะไรยากเล่า”
อวี๋หรงอวี่ร ้องเพ้ยหนึ่งทีจึงถูกสาวงามร่างอวบอิ่มหยิกแขนเบาๆ เตือนนางว่าอย่าได้ไม่รู ้จักเด็กรู ้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ โชคดีที่ผู้ดูแลอวี๋ไม่ อยู่ที่นี่ หาไม่แล้วนางต้องโดนตาหนิแน่
ตามหลักแล้วต่อให้แขกในห้องด้านข้างนี้จะเป็ นกลุ่มคนที่มีฐานะ ต่าต้อยที่สุดในบรรดาคนที่มาร่วมงานเลี้ยงอย่างไม่มีหนึ่งใน ป๋ าย เหมาที่อยู่ที่นี่ก็ถือว่าเป็ นแม่ทัพที่ถูกเลือกมาจากกลุ่มคนเตี้ย เทียบ กับบนไม่พอเทียบกับล่างมากพอเหลือแหล่ เป็ นเหตุให้เจ้าจวนป๋ า ยแห่งสันเขาเซียจื่อถือว่าเป็ นแขกชั้นสูงของที่นี่แล้ว ทว่านักพรต หนุ่มกับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ และยังมีหญิงสาวใบหน้าตกกระ ต่อให้ พวกเขาสามคนที่เข้ามานั่งในห้องโถงจะมีสถานะต่าต้อยแค่ไหนก็ยัง เป็ นแขกของจวนเฝิ่นหวาน อวี๋หรงอวี่ไม่ควรทาตัวสามหาวเช่นนี้แต่ ค าพูดและการกระทาของนักพรตหนุ่มชวนด่ามากจริงๆ นี่นา
หาไม่แล้วสาวใช ้ชุดเขียวผู้นี้ก็คงไม่มีทางปฏิบัติต่อเด็กหนุ่ม รองเท้าสานและสตรีที่มัดผมเป็ นมวยกลมอย่างมีมารยาท รับรองแขก อย่างรู ้กฎรู ้ระเบียบ
เป็ นเพราะนักพรตลู่ที่แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นพวกนอนกลางดินกิน กลางทรายมาจนชินผู้นี้ไม่เหมือนคนซื่อตรงเลยจริงๆ ชวนให้โดนด่า ยิ่งนัก
ป๋ ายเหมารู ้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่า นักพรตลู่จะยังรู ้เรื่องการแปะเหลืองและระบบเก้ามิ่งของที่ว่าการ ด้วย?”
ตอนที่ป๋ ายเหมามีชีวิตอยู่เคยเป็ นขุนนางต าแหน่งไม่ใหญ่โต เป็ น แค่ขุนนางผู้เป็ นบิดามารดาของอาเภอแห่งหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังถูก โยกย้ายให้ไปรับต าแหน่งไกลจากเมืองหลวงดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้ ทาการแปะเหลืองซึ่งเป็ นขั้นตอนในวงการขุนนาง
“แค่บังเอิญเคยได้ยินมา แค่บังเอิญเคยได้ยินมา”
นักพรตหนุ่มเริ่มหันมาพูดจาตีสนิทกับเจ้าจวนป๋ ายที่มือเติบใจ กว้าง “พี่ป๋ าย ท าไมถึงตั้งจวนไว้ที่ยอดเขาเซียจื่อล่ะ คงไม่ใช่เพราะที่ นั่นมีแมงป่องเยอะหรอกนะ? ที่จวนมีแมงป่องแห้งที่สามารถเอามาทา เป็ นยาได้หรือไม่ ผินเต้าจะได้ทาการค้ากับพี่ชาย ช่วยเอาไปขาย ให้กับจวนคนรวยข้างนอกให้เอง ผินเต้าขอแค่ส่วนต่างเท่านั้น ราคา ตลาดหนึ่งจินขายได้หลายต าลึงเงินเลยนะ”
ป๋ ายเหมาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เซียจื่อที่แปลว่าใช ้สิ่งหนึ่งปู ทางไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่เชียจื่อที่แปลว่าแมงป่ องอย่างที่นักพรตสู่ คิด”
นักพรตไม่รู ้สึกระดากอายแม้แต่น้อย ยังถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น ต้องอ่านว่าขี่ไม่ใช่หรือ อักษรเซียนี้ก็ออกเสียงว่าชี่ได้ไม่ใช่หรือไร?”
ป๋ ายเหมาดื่มเหล้าหนึ่งอีก กล่าวด้วยประโยคยที่เต็มไปด้วยความ ปรารถนาดีว่า “นักพรตลู่ เป็ นผู้ฝึกตนอย่าเอาแต่ง่วนอยู่กับการฝึก ตนเป็ นเซียน มีเวลาว่างก็ควรอ่านหนังสือให้มากๆ หหน่อย”
นักพรตกล่าวอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ที่แท้ก็เป็ นแบบนี้ นี่เอง”
เผยเฉียนมองไปยังจุดอื่นในห้องโถงจัดเลี้ยง เทพภูเขาสองท่าน และสาวใช ้อีกมากมายของสองจวนในภูเขาเหอฮวานคอยยุให้แขก ดื่มเหล้าอย่างกระตือรือร ้น ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนดื่มจนเริ่มเมากริ่ม มือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข
นางขมวดคิ้วถาม “อาจารย์พ่อ งานเลี้ยงถ่วงเวลามานานพอแล้ว เกือบจะครึ่งชั่วยามแล้วกระมัง จ้าวฝูหยางคิดจะลงมือเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันเหลือบตามองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่ทุกวันนี้ใช ้ นามแฝงว่ากงฮวา เอ่ยว่า “เขาปิดด่านแล้ว แค่ต้องอดทนรอให้สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์จากศาลเถื่อนพวกนี้หลงกล ถูกมอมเมาจิตใจ อวี๋ฉุนจือถึง จะได้เริ่มเปิดกระโจมสีชมพูอย่างจริงจัง ความเป็ นความตายจะถูก ตัดสินในเสี้ยววินาที หลีกเลี่ยงไม่ให้มีปลาใหญ่หลายตัวหลุดลอด หว่างแหไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปล่อยให้พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์จาก ศาลเถื่อนที่รู ้ว่าตัวเองหนีไม่รอดแล้วตัดสินใจเด็ดขาดท าลายร่างทอง ของตัวเองไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งยิ่งพวกป๋ ายเหมาดื่มเหล้าไปมาก เท่าไร การรับสัมผัสที่มีต่อความเร็วในการไหลรินของแม่น้าแห่ง กาลเวลาก็จะอืดอาดชักช้าตามไปด้วยนี่ก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่พอ
หลับไปแล้ว นอกจากฝันก็แทบจะสัมผัสไม่ได้ถึงการไหลหายไปของ เวลาเลย”
ลู่เฉินยิ้มถาม “เจ้าจวนป๋ าย พี่หญิงอี๋โหยวกับน้องหรงอวี่ พวก เจ้ารู ้ชื่อของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงตีนเขาหรือไม่?”
อวี๋อี๋โหยวบอกเพียงว่าไม่รู ้ จวนเฝิ่นหวานมีกฎเข้มงวด ระดับขั้น ก็แบ่งแยกอย่างชัดเจน เวลาปกติพวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้ถาม โน่นถามนี่หรือพูดซุบซิบนินทาคนอื่นลับหลัง
ป๋ ายเหมาส่ายหน้า “ขอนักพรตลู่ช่วยไขข้อข้องใจให้ที”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “คาโบราณว่าไว้ ดอกว่านสี่ทิศช่วยให้ลืมความ กังวลและคลายทุกข์ดอกจามจุรีช่วยระงับความโกรธและลืม ความแค้น เพียงแค่เพราะเล่าลือกันว่าใครก็ตามที่เห็นดอกไม้นี้บาน ไม่ว่าจะเป็ นคนที่เดือดดาลปานสายฟ้ าฟาด หรือคนที่เจ็บปวดคับ แค้นไม่มีใครที่ไม่เปลี่ยนจากความโกรธาไปเป็ นความชื่นบาน ยิ้มได้ ทั้งน้าตา”
“ทุกๆ วันที่ห้าเดือนห้าของทุกปี ช่วงก่อนและหลังเทศกาลตวนอู่ จะถึงช่วงระยะเวลาบานของดอกจามจุรี (เหอฮวาน) หากอยู่บนภูเขา แล้วก้มมองไปที่ตีนเขา ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มต้นก็จะเหมือนคนกาง ร่มสีแดง”
“ต้นไม้ที่อยู่ตรงตีนเขาก็คือต้นจามจุรีแล้ว คล้ายคลึงกับต้นอู๋ถง ที่ต้นไม้สูงแผ่ใบกว้างใหญ่ ดอกไม้เบ่งบานละลานตา อีกทั้งยังมี
ความหมายที่งดงาม นี่จึงเป็ นเหตุให้เป็ นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาและปลูกข้าง ทางได้ดี ต้นไม้นี้สามารถเติบโตในพื้นที่แร ้นแค้นแห้งแล้ง เพียงแต่ว่า มิอาจทนต่ออากาศร ้อนแผดเผาได้นานนัก หากเจอกับแดดแรงนาน วันก็ง่ายที่เปลือกจะหลุดลอก ขณะเดียวกันก็กลัวน้าท่วมด้วย”
ฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋หรงอวี่ก็หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ท่านนักพรตอย่า มัวอวดภูมิอยู่เลย จะใช่ต้นจามจุรีหรือไม่ยังบอกไม่ได้ เอาเป็ นว่าทุก เทศกาลตวนอู่ของทุกปีต้นไม้ต้นนี้ไม่เคยออกดอกก็แล้วกัน นี่เป็ น เรื่องจริงที่ไม่ว่าใครก็รู ้”
สาวงามร่างกายอวบอิ่มมองอวี๋หรงอวี่ วันนี้นังหนูผู้นี้คล้ายกินยา ผิดขนานอย่างไรอย่างนั้น ไฉนจึงชอบขัดคอนักพรตหนุ่มอยู่เรื่อย อวี๋อี๋โหยวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้สองพี่น้องเคยคุยเล่นกันเป็ นการ ส่วนตัว หรงอวี่มักจะชอบพูดว่าหากเป็ นบุรุษที่รูปโฉมหล่อเหลา เรียกว่าพูดจามีเสน่ห์มีอารมณ์ขัน แต่หากหน้าตาอัปลักษณ์ก็คือ พวกนักเลงหัวไม้
อวี๋อี๋โหยวมองนักพรตต่างถิ่นที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะ เขาก็ไม่อัปลักษณ์นะ อยู่ดีๆ นักพรตหนุ่มก็ทอดถอนใจเอ่ยประโยค หนึ่งว่า “ใครจะไปรู ้ว่าอาหารในจาน ข้าวทุกเม็ดล้วนยากล าบาก”
หากไม่เป็ นเพราะคืนนี้เฉินผิงอันมาปรากฏตัวที่นี่ ถ้าอย่างนั้นไม่ ว่าอิ่นกวานหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วจะตอบตกลงไปเข้าร่วมงานพิธีของ แคว้นชิงซิ่งหรือไม่ แขกที่อยู่บนภูเขาคืนนี้ก็ต้องกลายเป็ นเนื้อบน เขียงกันทั้งหมด
ล้วนเป็ นคนที่มีทั้งดีและเลว แต่ละคนฝึกตนกันอย่างยากลาบาก แต่สุดท้ายกลับต้องกลายข้าวในจานที่จะเปลี่ยนไปเป็ นอาหารในท้อง ของจ้างฝูหยางทั้งหมด
แน่นอนว่าในบรรดานี้ก็มีคนมากมายที่สมควรตาย แต่ก็ต้องมี คนที่ไม่สมควรตายเช่นกัน อย่างหลังก็เช่นป๋ ายเหมาแห่งสันเขา เซียจื่อ รวมไปถึงสาวใช ้จวนเฝิ่นหวานสองคนที่นั่งอยู่ข้างกายลู่เฉิน ในเวลานี้
เฉินผิงอันอดไม่ไหวรวมเสียงให้เป็ นเส้นถามลู่เฉินว่า “ต้นจามจุรี ต้นนี้เป็ นวัตถุที่ถูกจาแลงออกมาซึ่งควบเกี่ยวอยู่ระหว่างความจริงกับ ภาพลวงตาหรือ?”
เดิมทีนึกว่าต้นไม้ต้นนี้เป็ นแค่เวทอาพรางตาของจ้าวหยาง เป็ น ตราผนึกภูเขาสายน้าที่เอามาไว้ใช ้ปิ ดบังเขาของฉิวที่งอกขึ้นบน หน้าผากแล้ว
แต่หากอิงตามความนัยในคาพูดประโยคนี้ของลู่เฉิน ความ พิเศษของต้นจามจุรีนี้ กับจ้าวฝูหยางที่มีชาติกาเนิดจากงูหลามภูเขา ใช้วิธีล้อมพันภูเขากลายร่างเป็ นเจียว ทั้งสองฝ่ ายมีลางว่ามหามรรคา จะสอดคล้องกัน ก็คือภาพบรรยากาศของการบรรลุมรรคาที่กล่าวถึง ของบนภูเขาแล้ว บอกว่าเป็ นนิมิตมงคลก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องราวแห่งเซียน” ระดับนี้ ไม่ว่าจะเกิดกับผู้ฝึกตนโอสถทอง คนใดก็ถือว่าหาได้ยากทั้งสิ้น
ลู่เฉินใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ผินเต้าบอกว่าใต้ฝ่ าเท้า ของจ้าวฝูหยางมีเส้นทางให้เดินห้าสาย ไม่ใช่ว่าข้าแต่งเรื่องเองส่ง เดช เจ้าจวนจ้าวที่มีสายเลือดของทายาทเจียวหลง ฐานกระดูกและ คุณสมบัติในการฝึกตนต่างก็วางอยู่ตรงนั้น”
ป๋ ายเหมาถามอย่างสงสัย “นักพรตลู่ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าเดือด ดาลโกรธแค้นอะไรนะ?”
“นิสัยดีๆ ที่ไม่อายที่จะถามผู้ที่มีความรู ้สูงกว่าของพี่ป๋ ายนี้ต้อง รักษาไว้ให้ดีเลยนะ!”
นักพรตหนุ่มหยดเหล้าหยดหนึ่งลงกลางฝ่ ามือ จากนั้นใช ้นิ้วจิ้ม เหล้าต่างน้าหมึกเขียนอักษรค าว่า “เจวียน” ควรให้ความส าคัญกับ เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ควรละเลยรายละเอียดปลีกย่อย
และเวลานี้เอง ในร่องรอยแตกของผนังกาแพงผุพังทุกแห่งของ เมืองเพิ่งเล่อและยังมีบริเวณใกล้เคียงกับถนนหนทาง รวมไปถึงบน ภูเขาจุ้ยยวนและภูเขาอูเถิงก็ปรากฏแมลงตัวยาวประเภทหนึ่งขึ้นมา แทบจะพร้อมกัน เรือนกายเล็กเหมือนด้ามพู่กัน ลักษณะตัวเหมือน ตะขาบ ตรงปล้องมีลายขวางเป็ นเส้นสีทอง พวกมันไต่คลานยั้วเยี้ย พากันกรูเข้าหาต้นจามจุรีที่อยู่หน้าประตูภูเขา กระดาษสีแดงที่แขวน ไว้เต็มต้นไม้ละลายเหมือนน้า ลากเส้นยาวสีแดงสดเส้นแล้วเส้นเล่า ให้หยดลงบนพื้น
นักบัญชีที่อยู่ตรงหน้าประตูเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ตระหนก ตกใจสุดขีด รีบลุกขึ้นมาจากโต๊ะ ปัญญาชนยากจนที่ตกอับจนต้อง มาอยู่ที่นี่ฝืนบังคับตัวเองให้มีสติ ในใจท่องประโยคของอริยะปราชญ์ เพื่อใช ้ปลุกความกล้า
มีประโยคหนึ่งที่ไม่ได้เป็ นวลีติดปากเหมือนบทกวีทั่วไป แต่กลับ มีพลังอย่างยิ่ง คือคาว่า “มันมีลมปราณเจ็ดชนิด ข้ามีลมปราณหนึ่ง ชนิด ข้าใช ้ลมปราณแค่ชนิดเดียวก็เอาชนะลมปราณเจ็ดชนิดนั้นได้ แล้ว ข้ายังต้องกังวลอะไร!
ทางฝั่งของโต๊ะเหล้าบนภูเขา ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจวียนก็เป็ น ชื่อของแมลงชนิดหนึ่งเช่นกัน เรียกอีกอย่างว่ากิ้งกือ หรือที่ชาวบ้าน เรียกกันว่าตะขาบดิน แมลงร ้อยปล้อง อยู่กันเป็ นกลุ่ม กินเนื้อเป็ น อาหาร ยามขดตัวเหมือนวงแหวนมีด ช่วงฤดูร ้อนชอบไต่ต้นไม้ส่ง เสียงร ้อง เชื่อว่าสันเขาเซียจื่อของเจ้าจวนป๋ ายก็น่าจะพบเห็นแมลง ชนิดนี้ได้ตามก้อนหินตามพุ่มหญ้าเป็ นประจ า”
ป๋ ายเหมาพยักหน้า “พบเจอได้บ่อยมาก ในต ารามีค ากล่าวบอก ว่า “แมลงร ้อยขาตายตัวไม่แข็ง” ก็หมายถึงกิ้งกือนี่แหละ”
นักพรตหนุ่มเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ดังนั้นผินเต้าถึงได้เข้าใจผิด คิดว่าพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเจ้าจวนป๋ ายชื่อว่าสันเขาเซียจื่ออ ย่างไรเล่า เพราะมีแมลงเข้าออกเยอะ”
ป๋ ายเหมากลับเอาแต่ทอดถอนใจอยู่กับตัวเอง “หากจ าไม่ผิด บท น้าสารทของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงก็เขียนถึงแมลงตัวยาวชนิดนี้ เรียกมันว่า “เสียน” มีประโยคหนึ่งบอกไว้ว่าขุย (สัตว์ในตานาน โบราณลักษณะคล้ายมังกร) สงสารเสียน เสียนสองสามงู งูสงสารลม ลมสงสารดวงตา ดวงตาสงสารหัวใจ เจ้าลัทธิลู่ช่างสมกับเป็ นสุดยอด บุคคลที่มีวิถีแห่งคุณธรรมที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์อย่างแท้จริง ไม่เสีย แรงที่กล่าวคาพูดวางโตได้อย่างร ้อนแรงความรู ้กว้างขวางลึกซึ้ง เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ก็สามารถอธิบายหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ หลายข้อได้อย่างชัดเจน”
สตรีสวมชุดสีเขียวเหลือบตามองนักพรตใบหน้าเหลี่ยมที่สวม กวานดอกพุดตานไว้บนศีรษะ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ล้วนเป็ น นักพรตเหมือนกัน ไม่รู ้ว่าใครที่ความรู ้เท่าหางอึ้ง คาพูดซ้าซากไร ้ ความส าคัญ พอจะมีวิชาความรู ้เล็กน้อยติดตัวก็ชอบพูดพล่ามไม่ หยุดปาก”
ลู่เฉินน้อยเนื้อต่าใจอย่างถึงที่สุด จึงเอ่ยด้วยแววตาขุ่นเคือง “น้องหญิงหรงอวี่ เจ้าเอาผินเต้าไปเปรียบเทียบกับลู่เฉินได้อย่างไร”
ผินเต้าก็คือลู่เฉินนะ
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก
เฉินผิงอันรินเหล้าหนึ่งชามยื่นส่งให้เจ้าลัทธิลู่ ในเมื่อคุยเก่ง ขนาดนี้ก็ดื่มเหล้าให้มากๆ หน่อย
ลู่เฉินยื่นมือมาบังเอาไว้ เอ่ยว่า “น้องเฉินอย่าลืมสิว่าผินเต้าไม่ ดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าดื่ม”
“ผินเต้าเพิ่งจะตัดสินใจว่าต้องงดเหล้าสักสี่ห้าวัน”
“ต้องดื่มเหล้าก่อนถึงจะมีอารมณ์และพลังใจในการเลิกเหล้า”
ขณะที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กับนักพรตหนุ่มคนหนึ่งยุให้ดื่มคน หนึ่งปฏิเสธนั้นเอง คงเป็ นเพราะป๋ ายเหมาพูดถึงป๋ ายอวี่จิง และ นักพรตก็พูดชื่อลู่เฉินออกมา
สาวใช ้จวนเฝิ่นหวานสองคนที่ได้ยินคาเรียกขานนี้ก็รู ้สึกเลื่อมใส เช่นเดียวกับป๋ ายเหมา
คลื่นอารมณ์ในหัวใจของพวกนางกระเพื่อมแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ไกลเกินเอื้อม คิดมากไปก็ไร ้ประโยชน์
ผู้ที่เป็ นเจ้าลัทธิของลัทธิเต๋าได้จะต้องมีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้ า ถึงเพียงใด มรรคกถาและวิชาความรู ้จะต้องลึกล้าจนมองไม่เห็นกัน บึง
แล้วยังอยู่ไกลกันมีหนึ่งใต้หล้ากางกั้น
คิดถึงเจ้าลัทธิลู่ไม่สู้คิดถึงอิ่นกวานหนุ่มของแจกันสมบัติทวีป บ้านเกิดตัวเองดีกว่า
เป็ นบุคคลที่อยู่ไกลเกินเอื้อม สูงส่งเกินจะปืนป่ ายเหมือนกัน แต่ จะดีจะชั่วก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาก็ยังมี บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าไม่ใช่หรือ?
สองจวนอย่างอินอวินและเฝิ่ นหวานนี้ มีผู้ฝึ กตนที่สถานะ เหมือนกับพวกนางหลายคนที่ต่างก็เฝ้ าฝันรอคอยว่าวันใดภูเขาลั่ว พั่วจะเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้า แต่ละคนต่างมีความชื่น ชอบของตัวเอง บอกว่ามีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วที่ รูปโฉมงดงามไร ้ได้เปรียบ แล้วก็มีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่มาจากกาแพง เมืองปราณกระบี่ ใบหน้างามประดุจหยก แน่ นอนว่า “คนใน ภาพวาด” ที่พวกนางอยากเห็นมากที่สุดต้องเป็ นอิ่นกวานหนุ่มที่สวม ชุดเขียวสะพายกระบี่ มาดสง่างามไร ้ผู้ใดทัดเทียม