กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1021.3 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
บทที่ 1021.3 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
ต่อให้เป็ นอวี๋โหยวอวี๋คุณหนูสามผู้สูงศักดิ์และคุณหนูสี่จ้าวแยน ก็ยังสงสัยเหมือนกันไม่ใช่หรือว่าส านักใหญ่อย่างภูเขาลั่วพั่วไฉนถึง ไม่เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าเลยสักครั้ง?
ลู่เฉินเอาชนะเฉินผิงอันไม่ได้จึงได้แต่รับชามเหล้ามากระดกดื่ม รวดเดียวหมด
อันที่จริงพวกเขาสามคนจะดื่มหรือไม่ดื่มเหล้า ต่อให้โม้จนเมา ขาดสติก็ยังไม่เป็ นไรรากฐานของเฉินผิงอันคนนี้คือยันต์แผ่นหนึ่ง เผยเฉียนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้ของอวี๋ฉุนจือมิอาจ สะเทือนนางได้
ในเมื่อเริ่มดื่มเหล้า ลู่เฉินก็ไม่คิดจะดื่มอย่างครึ่งๆ กลางๆ อีก ดื่ม เหล้าหลังมื้ออาหารยิ่งดื่มก็ยิ่งเมามัน
ถ้อยคายามดื่มสุราคารวะของนักพรตหนุ่มเป็ นเอกลักษณ์อย่าง ยิ่ง ยกชามเหล้าขึ้นพร ้อมกับเอ่ยประโยคว่า “ต่อให้บ้านเกิดจะ แตกต่าง คนและผีอยู่กันคนละเส้นทาง แต่ถึงอย่างไรตะวันจันทราก็ อยู่ร่วมฟ้ า ขอมอบความโชคดีและมิตรภาพให้กับผู้ร่วมฝึ กตนทุก ท่าน มาร่วมกันผูกบุญสัมพันธ ์”
ลู่เฉินใช ้มือหนึ่งยกชามเหล้า บิดหมุนข้อมือแกว่งเบาๆ ก้มหน้า ลงจ้องมอง สุราในชามเกิดริ้วกระเพื่อมเป็ นวง
ในอนาคตหมัดนี้จะชื่อว่าอะไร จางแหย? เฉินแหย? ……
ภูเขาอยู่ในท่ายืนรอต้อนรับคน เสียงน้าทาสงครามกับก้อนหิน
บรรพบุรุษสกุลจางเขตเทียนเฉาที่ร่ารวยจนสามารถเทียบกับ ความมั่งคั่งของหนึ่งแคว้นทั้งเส้นผมและหนวดล้วนเป็ นสีขาวโพลน เรือนกายแข็งแกร่งก าย า แต่กลับแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไปที่สวม เสื้อผ้าป่านพันผ้าโพกหัวสีดา นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินริมผาก้อนใหญ่ เสียงน้าดังแต่คนกลับสงบเงียบ
ผู้เฒ่าวางสองหมัดไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไกลไปยัง ทัศนียภาพห่างไกลกลางม่านราตรี น้าไหลต้นไม้เดียวดาย ผีใหม่ หลุมศพเก่า ต้นไม้แห้งเหี่ยวอีกาหนาวเหน็บประหนึ่งเสียงหญิงหม้าย ร่าไห้ยามราตรี แสงไฟกระจายเป็ นหย่อม นักเดินทางที่อยู่ด้านนอก สะดุ้งตื่นเพราะอากาศหนาว
สายตาของจางฉงขยับขึ้นด้านบนเล็กน้อย มองไปยังภูเขาเหอฮ วาน ภูเขาอูเถิงและจวนเฝิ่นหวานที่เป็ นดั่งตะปูตานัยน์ตา คิดดูแล้ว เวลานี้น่าจะเป็ นภาพเหตุการณ์ที่แสงไฟจุดสว่างเรื่องรอง เสียงชน จอกสุราคลอเคล้าไปพร ้อมกับเสียงหัวเราะพูดคุย สาหรับผู้เฒ่าที่ เกลียดชังความชั่วร ้ายอย่างสุดขั้ว ภูเขาเหอฮวานคือตะปูตาตา แต่ หากไม่ไปมองจริงๆ เมื่อตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด อันที่จริงคราว ก่อนที่ผู้ฝึ กตนสกุลจางล้อมปราบภูเขาเหอฮวานทางฝั่งของศาล
บรรพชนประจ าตระกูลก็ใช่ว่าจะไม่มีความเห็นเลย เหตุผลก็เรียบง่าย อย่างยิ่ง สมาชิกส่วนใหญ่ต่างก็รู ้สึกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับมาน้อย เกินไป ความเสี่ยงมากเกินไปในเมื่อสกุลจางเขตเทียนเฉาและภูเขา เหอฮวานไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน ไยต้องตั้งตัวเป็ นปรปักษ์ต่อกัน ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรที่จะรีบร ้อนบุกโจมตีเช่นนี้ จางฉงที่มิ อาจใช ้เหตุผลมาโน้มน้าวใจผู้คนก็ได้แต่ยกมาดของเจ้าประมุข ประจาตระกูลออกมา ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ยืนกรานจะเดินไปให้สุด ทาง
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบรรพบุรุษสกุลจางเขตเทียนเฉา “แก่แล้วหูตาฝ้ าฟางอย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนทั้งกลุ่มไปไม่ถึงเมืองเฟิ่งเล่อ ที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาก็จาต้องย้อนกลับมามือเปล่า เสียเปรียบหนัก ขนาดนี้ พลังชีวิตที่ทางตระกูลสะสมอย่างยากลาบากมานานหลาย ร ้อยปีได้รับความเสียหาย ประเด็นส าคัญคือไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ กลับมาเลย หากไม่เป็ นเพราะในตระกูลยังไม่มีคนที่ลาดับอาวุโสต่า กว่าจางฉงรุ่นสองรุ่นเป็ นเขียนดิน เกรงว่าผู้เฒ่า คงต้องยกต าแหน่ง เจ้าประมุขออกไปแล้ว
โชคดีที่จางไฉ่ฉินหลานสาวคนโตที่เป็ นตัวเลือกเจ้าประมุขคน ถัดไปมีใจเดียวกันกับท่านปู่ อย่างเขา ส่วนชีซึ่งสหายเฒ่าที่เป็ น เค่อชิงอันดับหนึ่งก็เป็ นสหายรักของจางฉง บวกกับที่เรื่องดีมาเยือน สกุลจางเขตเทียนเฉาเป็ นคู่ นอกจากจางไฉ่ฉินแล้วยังมีจางอวี่เจี่ยวผู้
ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่มีคุณสมบัติเป็ นเซียนดินอีกคนหนึ่ง นี่ถึงได้ทาให้ จางฉงไม่ถึงขั้นลาบากตอนแก่
ทว่าสาหรับราชสานักสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งแล้ว พื้นที่อิทธิพลแค่ นี้ก็คือหนามในเนื้ออย่างแท้จริงแล้ว อีกสองแคว้นก็ไม่ยินดีจะมีกอง กาลังที่ตั้งตัวเป็ นอิสระอย่างไร ้ชื่อไร ้แปเช่นนี้มายึดครองพื้นที่ขุนเขา สายน้าไกลพันลี้ไปเปล่าๆ เพียงแต่ว่าการวางแผนทาสงครามของ ราชส านักนับแต่โบราณมา เว้นเสียจากว่าจักรพรรดิผู้กล้าหาญหรือ ทรราชท าตัว “เผด็จการ” ยอมเดิมพันโชคชะตาแคว้นอย่างไม่ เสียดาย ก็มักจะมีการโต้เถียงกันเช่นนี้ไม่หยุดเสมอ เนิ่นนานก็ยัง ไม่ได้ข้อสรุป ได้แต่ผลักความรับผิดชอบและโยนความผิดไปมา
จ้าวฝูหยางมั่นใจว่าฮ่องเต้สกุลหลิ่วมิอาจโน้มน้าวจักรพรรดิของ อีกสองแคว้นให้ความร่วมมือ ช่วยโจมตีภูเขาเหอฮวานอย่างจริงใจ ได้
ดังนั้นจางไฉ่ฉินที่เดินทางขึ้นเหนือไปต้าหลีพร ้อมกับหยางหงโป โน้มน้าวให้คนผู้นั้นเข้าร่วมงานพิธีสวมกวานของรัชทายาทสกุลหลิ่ว ได้ จึงกลายมาเป็ นเซียนบินนอกฟ้ าอยู่เหนือกระดานหมากที่เป็ นทาง ตันกระดานนี้
จางฉงถาม “ตามเวลาที่กาหนดไว้ ในจวนเฝิ่นหวานตอนนี้ควร จะเริ่มพิธีรับลูกเขยได้แล้วใช่ไหม?”
จางไฉ่ฉินเอ่ย “หากตรงตามเวลา เทพภูเขารับสมัครลูกเขยแต่ง บุตรสาวครั้งนี้ก็ควรจะเริ่มตั้งแต่เมื่อสองเค่อก่อนแล้ว”
จางฉงหยิบขนมงาหอมที่ห่อด้วยกระดาษน้ามันห่อหนึ่งออกมา จากชายแขนเสื้อ ยื่นไปให้นาง จางไฉ่ฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ผู้เฒ่า จึงกินเอง ส่วนเทพเซียนผู้เฒ่าเฉิงนั้นก็ช่างเถิด ไม่เอาหน้าร ้อนๆ ไป แนบกันเย็นๆ ของคนอื่นแล้ว
จางฉงยิ้มเอ่ย “อย่างพวกเรานี่เรียกว่าบีบบังคับผู้อื่นหรือไม่ จ้าว ฝูหยางจะเป็ นหมาจนตรอกกระโดดก าแพงจนคิดจะให้วอดวายไป พร ้อมกับพวกเราด้วยเลยหรือไม่?”
เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้บ้านนอกอย่างจ้าวฝูหยางก็รับปากไว้แล้ว ว่าเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง วันมะรืนก็จะน าหยกลัญจกรสามชิ้นที่มีหยก ผู้สืบทอดโอรสสวรรค์ไปมอบให้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งพร้อมกันทีเดียว
เพื่อให้เป็ นของแลกเปลี่ยน ภายในเวลาครึ่งปีสกุลหลิ่วแคว้นชิง ซิ่งจะต้องมอบหยกลัญจกรของแคว้นอื่นที่พลัดไปอยู่ต่างถิ่นซึ่งระดับ ขั้นพอๆ กันให้กับภูเขาเหอฮวานสามชิ้นแน่นอนว่านี่เป็ นแค่แผนขัด ตาทัพของเฉิงเฉียนเท่านั้น
จางฉงเช็ดมุมปาก “ดูเหมือนว่ามีหลายกรณีที่ได้รับการพิสูจน์ แล้ว หากบีบให้ผู้ฝึ กตนอิสระที่จิตใจหนักแน่นมั่นคงทั้งยังไม่ขาด แคลนฝีมืออย่างจ้าวฝูหยางร้อนใจจริงๆ ต่อให้ต้องเฉือนเนื้อตัวเอง
พวกเขาก็กล้าพอจะดึงฮ่องเต้ลงจากหลังม้า” (เปรียบเปรยว่ากล้า หาญเสี่ยงชีวิตเพื่อจะต่อสู้กับผู้มีอานาจ)
เฉิงเฉียนยิ้มพูดเรียบๆ “ภูเขาเหอฮวานแห่งหนึ่งก็มีแค่โอสถทอง สองคนเท่านั้น มิอาจสร ้างคลื่นก่อมรสุมอะไรได้หรอก”
ตามข้อตกลง เขาจะเป็ นคนรับมือกับจ้าวฝูหยางแห่งภูเขาจุ้ย ยวนด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นจะจับคู่เข่นฆ่ากัน ส่วนจิ้งจอกเซียนโอสถ ทองอย่างอวี๋ฉุนจือก็ให้ผู้ฝึกตนของสกุลจางเขตเทียนเฉามาเป็ นผู้ ก าราบ
ใบหน้าของจางฉงเต็มไปด้วยความกังขา อดไม่ไหวถามว่า “ท าไมจ้าวฝูหยางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน? ยอมถอยให้ก้าวใหญ่ขนาด นี้?”
เฉิงเฉียนกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต้นสายปลายเหตุอะไรก็ไม่ ส าคัญแล้ว”
ประโยคนี้มีความคล้ายคลึงกับบางประโยคที่จ้าวฝูหยางเอ่ยใน ศาลบรรพชนบ้านตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
จางไฉ่ฉินถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที หากจ้าวฝูหยางและอวี๋ฉุนจื อไม่หลอมภูเขาพันหางกัน ผสานรวมภูเขาจุ้ยยวนและภูเขาอูถิงเป็ น ร่างเดียวกัน ใช้วิชาประกอบกามกิจในห้องของลัทธิเต๋าที่สืบทอด อย่างลับๆ ของอารามจินเซียนมาเลื่อนขั้นขอบเขตและพัฒนาตบะ ถ้าอย่างนั้นกองกาลังของแต่ละฝ่ ายต่างก็กลัวว่าฝู่ จวินศาลเถื่อนสอง
ท่านนี้จะเป็ นหมาจนตรอก ตัดใจทิ้งรากฐานพื้นที่ประกอบพิธีกรรม และกิจการใหญ่ของครอบครัวไปไม่ต้องการแล้วพลิกก าแพงเผ่นหนี ไปทั้งอย่างนี้ นับแต่นี้ไปผูกปมแค้นกับกองกาลังของแต่ละฝ่ าย ต้อง ตายตกกันไปข้างถึงจะยอมเลิกรา หากปล่อยให้จ้าวผู้หยางหนีรอด ไปได้ ไม่ว่าจะเป็ นสกุลหลิว พรรคจินแชว หรือสกุลจางเขตเทียนเฉา ล้วนมิอาจแบกรับผลลัพธ ์ที่ตามมาได้
แม้ว่าจ้าวฝูหยางเองก็เป็ นวิชาอภินิหาร “แบกภูเขา” ที่ถ่ายทอด จากปากของอาจารย์ปู่ สายอารามจินเซียนเหมือนกัน แต่หนึ่งเพราะ ต้องยกภูเขาขึ้นมาแบกแล้วเดินทาง ฝีเท้าย่อมเชื่องช ้า อีกอย่างก็คือ ในฐานะเจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคจินแชว เฉิงเฉียนย่อมต้องมี แผนการรับมือกับเรื่องนี้ล่วงหน้านานแล้ว
ในเมื่อรวบแหแล้วก็เหมือนการล่าสัตว์ บีบให้สัตว์จนมุมพร ้อม กัน จากนั้นก็ล้อมวงให้เล็ก การล้อมปราบกลุ่มคนชั่วร ้ายบนภูเขา ก าลังจะเกิดขึ้น ณ คืนนี้
ตลอดทั้งอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานกลายมาเป็ นตะพาบตัว หนึ่งที่อยู่ในไหแล้ว และภูเขาเหอฮวานทั้งแห่งก็คือของในกระเป๋ าของ เฉิงเฉียนเจินเหรินผู้เฒ่า
ครั้งนี้จ้าวฝูหยางจัดงานเลี้ยงรับลูกเขย ถือได้ว่าเป็ นคู่สวรรค์ สรรค์สร ้างโดยแท้ และยิ่งเป็ นวิธีการที่ภูเขาเหอฮวานรนหาที่ตาย ให้กับตัวเอง
จางไฉ่ฉินอดไม่ไหวถามคาถามนั้นอีกรอบ “ท่านปู่ ทวด จะไม่มี เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ หรือ คอขวดโอสถทองอย่างจ้าวฝูหยาง นี้ไม่มีทางเลื่อนเป็ นก่อกาเนิดในช่วงเวลาอันใกล้นี้ได้จริงหรือ?”
จางฉงหยิบขนมงาหอมชิ้นสุดท้ายใส่ปาก ยื่นนิ้วชี้ไปยังต้นไม้ ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาไกลๆ “ต้นไม้นี้มีลางที่ดอกไม้จะบาน หรือไม่ก็คือการจ าแลงให้เห็นว่าจ้าวฝูหยางจะมีลางได้ฝ่ าทะลุ ขอบเขตหรือไม่ ต่อให้เขาจะร่ายเวทอ าพรางตาไว้มากแค่ไหนก็อ า พรางไว้ไม่อยู่ เจ้าอ้วนชีรออยู่ที่เมืองเฟิ่งเล่อ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ ต้องการโอ้อวดบารมีเท่านั้น ต้นไม้ต้นนี้ก็คือเขาทึ่งอกออกมาของ เจียวภูเขา”
เฉิงเฉียนพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผินเต้าเคยมองต้นไม้ต้นนี้ใกล้ๆ จากยอดเขาโพโม่ มันไม่มีความผิดปกติอะไร อย่างน้อยก็ยังต้องใช้ เวลาหลายสิบปี ขัดเกลาไปอย่างช้าๆ จ้าวฝูหยางถึงจะมีโอกาส บ่มพาะทารกก่อกาเนิดขึ้นมาได้”
เพียงแต่ว่าลมปราณประหลาดที่ยิ่งใหญ่ไพศาลขุมนั้นทาให้คน สับสนมึนงง ไม่ว่าเฉิงเฉียนจะอนุมานและคิดในใจอย่างไรก็ยังไม่มี เบาะแสอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าใกล้ความจริงเลย
พูดให้ถูกต้องก็คือ ลมปราณขุมนั้นเหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็ปรากฏ ขึ้นมาที่เมืองเล็กตีนเขาเฉิงเฉียนได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะไล่หา ความจริง ไม่สืบเสาะไปถึงต้นก าเนิด แค่ท านายชะตาว่าดีหรือร้าย ผลลัพธ ์ที่ได้ก็ยังค่อนข้างคลุมเครืออยู่ดี ภาพการทานายโดย
ภาพรวมก็คือฟ้ าอานวยมิอาจพึ่งพา คนสามัคคีตัดสินดีหรือร ้าย ส าหรับเฉิงเฉียนและพรรคจินแชวแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอ อยู่ดีๆ จางฉงก็เอ่ยชมขึ้นมาว่า “ตาแหน่งขุนนางสูงเช่นท่าน อายุน้อยมากความสามารถเช่นท่าน ช่างหาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้” เฉิงเฉียนกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์ ต่อให้แก่แล้วก็ยังตรึงใจ”
จ่างไฉ่ฉินรู ้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ล้วนเป็ นผู้อาวุโสกันทั้งคู่ นางไม่ สะดวกจะเปิดปาก
พวกท่านคนแก่และเด็กสองคนมัวมาโต้ฝีปากอะไรกันอยู่
จางไฉ่ฉินรู ้ดีว่าแท้จริงแล้วท่านปู่ ทวดบ้านตนกับเจินเหรินผู้ พิทักษ์แคว้นชิงซิ่ง เจ้าประมุขคนที่สามของพรรคจินแชวผู้นี้ ไม่ถือว่า มีความมุ่งมาดปรารถนาและรสนิยมที่ตรงกันนัก
ท่านปู่ ทวดรังเกียจที่เฉิงเฉียนผู้นี้ ไม่ว่าจะการวางตัวหรือการ พูดจามีกลิ่นอายของเซียนเข้มข้นเกินไป กลิ่นอายของคนเจือจาง เกินไป
ในทางส่วนตัวเคยประเมินอีกฝ่ ายว่าเป็ นไม้แกะสลักและ เครื่องปั้นดินเผาในแท่นบูชา
จางไฉ่ฉินเคยเชื่อมั่นในเรื่องนี้อย่างไม่กังขา แล้วก็ไม่คิดว่าเป็ น ค ากล่าวในเชิงลบ ดังนั้นหลังจากที่นางได้พบเจอกับคนผู้นั้นที่หอ ชิงฝูเมื่อปีนั้น ถึงได้มีคาวิจารณ์เช่นนั้นกับหยางหงโป
พูดถึงแค่คราวก่อนที่สกุลจางเขตเทียนเฉาร่วมมือกันล้อมโจมตี ภูเขาเหอฮวาน สกุลหลิ่วนครชิงซิ่งและพรรคจินแชวต่างก็เลือกที่จะ นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ
แน่นอนว่าฮ่องเต้สกุลหลิ่วและเฉิงเฉียนต่างก็มีความกังวลเป็ น ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นอีกสองแคว้นที่เหลือมีกองกาลังทหาร ประจ าอยู่ชายแดนคอยจับจ้องมองมาเหมือนเสือที่พร ้อมตะครุบเหยื่อ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ราชวงศ์สกุลหลิ่วยังมีหยกลัญจกรสาม ชิ้นที่ตกอยู่ในมือของจ้าวฝูหยาง ไม่กลัวว่าจ้าวฝูหยางจะท าลายหยก ลัญจกร กลัวก็แต่ว่าจ้าวฝูหยางจะใช ้วิธีบนภูเขาท าลายให้เกิดความ เสียหาย ยกตัวอย่างเช่นเอาหยกลัญจกรพวกนั้นไปวางไว้ในสถานที่ ที่มีกลิ่นอายสกปรกชั่วร ้าย เมื่อเป็ นเช่นนี้หากนาโชคชะตาของแคว้น ไปเปรียบเทียบเป็ นคน ถ้าอย่างนั้นหยกลัญจกรที่เดิมที่ควรใช ้พิทักษ์ แคว้นก็จะกลายมาเป็ นฝี หนองชอนไชกระดูกหรือไม่ก็เอาหยก ลัญจกรไปหลอมเป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตัวเองทั้งหมด จ้าวฝู หยางและจวนอินอวินก็จะมีความเชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นสกุล หลิ่วและโชคชะตาของภูเขาสายน้าเหล่าเชื้อพระวงศ์สกุลหลิ่วก็ เป็ นได้แค่คนใบ้กินหวงเหลียนที่ต่อให้ขมก็พูดไม่ออกแล้ว
ทว่าหลายวันมานี้ท่านปู่ทวดมักจะพร่าพูดประโยคหนึ่งซ้าไปซ้า มา
“รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กลับบอกไม่ถูกว่า ผิดพลาดตรงไหน”
แม้จะไม่ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก แต่นี่เป็ นครั้งแรกที่จางไฉ่ฉิน สัมผัสได้ถึงความแก่ชรา กลิ่นอายวีรบุรุษถดถอยสู่ความเสื่อมจาก บนร่างของท่านปู่ทวด
ในตระกูลของนาง จางไฉ่ฉินและยังมีผู้ฝึกตนอายุน้อยอย่างพวก จางอวี่เจี่ยว แต่ละคนต่างก็ให้การสนับสนุนในการตัดสินใจที่ ผิดพลาดซึ่งชักนาให้ทางตระกูลได้รับความเสียหายลึกถึงกระดูกของ ท่านปู่ทวดกันแทบทุกคน
อย่างจางอวี่เจี่ยวนั้น เขารู ้สึกว่าความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวก็ คือขอบเขตของตนไม่สูงมากพอ
กลับเป็ นผู้เฒ่าในศาลบรรพชนที่ลาดับอาวุโสต่ากว่าจางฉงหนึ่ง ถึงสองขั้นที่ไม่พอใจต่อเรื่องนี้อย่างมาก ทั้งสองฝ่ ายเป็ นน้าบ่อที่ไม่ยุ่ง กับน้าคลองก็ดีอยู่แล้ว จะไปหาเรื่องจ้าวฝูหยางแห่งภูเขาเหอฮวาน ท าไมกัน?
เป็ นเทพเขียนพสุธาที่ต่อให้ผู้อื่นอิจฉาแค่ไหนก็มิอาจไขว่คว้า ได้มาครองเหมือนกัน ก็มีการแบ่งระหว่าง “เด็ก หนุ่มฉกรรจ์และคน แก่” อยู่เหมือนกัน จางฉงนั้นถือว่าเป็ นคนแก่ในบรรดาเซียนดิน
สร ้างโอสถมาสามร ้อยกว่าปีแล้ว จิตวิญญาณเริ่มเข้าสู่สภาวะเสื่อม โทรมแม้จะไม่ถึงขั้นจิตวิญญาณสายไหวดั่งตะเกียงน้ามันที่แห้งขอด ทว่าหากจางฉงยังมิอาจฝ่ าทะลุขอบเขตได้ภายในหกสิบปี ก็จะต้องมี จุดจบที่ต้อง “จากไปตามอายุขัย” แล้ว
เพียงแต่ว่าจางฉงปลงตกแล้ว พูดถึงแค่ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ไม่ได้ลงมือเตรียมการเรื่อง “เติมน้ามันต่ออายุ” กลับกันยังขอให้คนรู ้จักช่วยหาซื้อไม้ยักษ์ของเขตอวี่จางหงโจวต้า หลีมาเตรียมทาเป็ นโลงศพไว้แต่เนิ่นๆ แล้วด้วย
ทุกวันนี้จางฉงยังค่อนข้างภาคภูมิใจต่อการค้าขายครั้งนี้ บอกว่า ตัวเองมีแววตาที่ดีเยี่ยม ทั้งยังลงมือได้อย่างรวดเร็ว หากช ้าไปกว่านี้ อีกสักสองสามปี รอกระทั่งต้าหลีจัดตั้งศูนย์ตัดต้นไม้ขึ้นมาแล้ว อย่า ว่าแต่ผู้ฝึกตนโอสถทองที่แก่จนฟันร่วงแล้วอย่างเขาเลย ต่อให้เจ้า เป็ นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็อย่าหวังว่าจะซื้อไม้ของเขตอวี้จางมาได้ แม้แต่ต้นเดียว
ทว่าเฉิงเจินเหรินที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่มกลับเป็ นเซียนดินอายุ น้อยคนหนึ่ง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงคอขวดของโอสถทอง คล าไปเจอ ธรณีประตูของขอบเขตก่อก าเนิดแล้ว ว่ากันว่าได้เริ่มลงมือ เตรียมการเกี่ยวกับเรื่องของการปิดด่าน บุกเบิกถ้าสถิตที่เป็ นพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมใหม่เอี่ยมแล้ว ด้วยเรื่องนี้คลังสมบัติของพรรคจิน แชวต้องใช ้จ่ายไปมาก แม้กระทั่งตัวเลือกคนที่จะมาช่วยคุ้มครอง ตอนปิดด่านก็ยังเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่ใช่จางฉงคือบรรพ
จารย์ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งของสานักโองการเทพ แต่กลับไม่ใช่ จางฉง
แค่รอให้ศึกกับภูเขาเหอฮวานครั้งนี้ยุติลง งานพิธีสวมกวานของ รัชทายาทแคว้นชิงซิ่งสิ้นสุด เฉิงเฉียนก็จะปิดด่าน สถานที่เลือกเป็ น พื้นที่มงคลชิงถานของสานักโองการเทพ
ผู้ที่ฝึกบาเพ็ญตนบนภูเขา ก่อกาเนิด บินทะยาน ผู้ฝึกตนสอง ขอบเขตนี้ถูกเรียกอย่างหยอกล้อว่าตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี ส่วนใหญ่ แล้วมักจะมอบความรู ้สึกถึงกลิ่นอายความตายที่เข้มข้นให้กับผู้อื่น เสื่อมถอยแก่ชราลงไปทุกปี
นอกจากนี้อีกสามขอบเขตอย่างถ้าสถิต โอสถทองและขอบเขต หยกดิบ ขอแค่ไม่ใช่คนที่ไร ้ความหวังจะฝ่ าทะลุขอบเขตอย่างจางฉง ช่วงเริ่มต้นของการเลื่อนขอบเขตก็มักจะฉายประกายเฉียบคมมาก ที่สุดเสมอ
เพราะผู้ฝึกตนสามขอบเขตนี้มักคิดจะขยับรุดหน้าไปอีกขั้นให้ ได้ในรวดเดียว
นี่จึงเป็ นเหตุให้เป็ นผู้ฝึกตนโอสถทองเหมือนกัน จางฉงกับเฉิง เฉียนและจ้าวฝูหยางถึงได้มีสภาพจิตใจในการฝึกตนที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
จางฉงพลันเอ่ยว่า “เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ถึงเวลาก็ค่อย ท านายอีกที ถือเสียว่าเป็ นการกอดขาพระเมื่อจวนตัวก็แล้วกัน”
ผู้เฒ่าหยิบกระดองเต่าหลายชิ้นออกมาจากชายแขนเสื้อ คือเต่า จิ๋วเล่ยจากแม่น้าหยวนเจียงที่นักดูนรลักษณ์ศาสตร ์ของแจกันสมบัติ ทวีปปรารถนาจะได้ครอบครองแม้ในยามหลับฝัน และเวลานี้เอง เฉิงเฉียนก็กล่าวว่า “พวกชีซ่งมาถึงแล้ว”
จ่างฉงได้แต่เก็บกระดองเต่า เรื่องของการทานายมีข้อห้ามมาก เกินไปจริงๆ
เพียงไม่นานก็มีคนห้าคนขึ้นภูเขามาถึงตรงนี้ มีคนแปลกหน้าแค่ คนเดียว ก็คือเด็กสาวผิวด าเกรียม นางสะพายร่มกระดาษน้ามันไว้ บนหลังเอียงๆ อีกฝั่งสะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้ าย
เฉิงเฉียนมองสบตากับจางฉง เห็นได้ชัดว่าเซียนดินโอสถทอง สองคนนี้ต่างก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนบนร่าง ของหลวี่โม่
กลับเป็ นชีซึ่งที่เป็ นอาจารย์ของนางซึ่งเนื่องจากเป็ นผู้ฝึ กยุทธ เต็มตัวจึงยังสังเกตไม่ได้ถึงการ “เป็ นเศรษฐีร่ารวย” ได้ผลัดรกเปลี่ยน กระดูกของลูกศิษย์คนนี้
ชีซ่งช่วยแนะนาตัวคนของทั้งสองฝ่ ายให้เด็กสาวได้รู ้จัก เจ้า ประมุขเฉิงแห่งพรรคจินแชว เจ้าประมุขสกุลจางเขตเทียนเฉา เซียน กระบี่จางไฉ่ฉิน หนีชิงผู้ฝึกลมปราณแห่งเมืองเฟิ่งเล่อภูเขาเหอฮวาน
หนีชิงไม่ได้มีความรู ้สึกเลื่อมใสชีซึ่งที่เป็ นผู้ร่วมเดินทางเหมือน เงยหน้ามองภูเขาสูงเท่าใดนัก แม้ว่าอีกฝ่ ายจะเป็ นปรมาจารย์ใหญ่
วิถีวรยุทธขอบเขตร่างทองก็ตาม เพราะถึงอย่างไรอยู่คนละสาย อาชีพก็เหมือนมีหนึ่งภูเขากางกั้น
แต่เมื่อนางเผชิญหน้ากับเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นชิงซิ่ง เจ้า ประมุขผู้เฒ่าสกุลจางเขตเทียนเฉาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม หนีชิงกลับอด ตื่นเต้นไม่ได้ สองหมัดกาเชือกที่ร ้อยห่อสัมภาระเอาไว้แน่น