กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1021.5 เพียงแค่มองก็รู้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
บทที่ 1021.5 เพียงแค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด
ทางฝั่งของกรมกลาโหมมีความเห็นต่างอย่างยิ่งสาหรับการส่ง กาลังทหารในครั้งนี้พวกเขาเป็ นฝ่ ายละทิ้งภูเขาเหอฮวาน ต่างก็ไม่ เห็นด้วย
รองเจ้ากรมกลาโหมเขียนประโยคหนึ่งไว้บนฎีกาบอกว่าได้ ครอบครองพื้นที่หนึ่งชุ่นก็คือราชาของพื้นที่หนึ่งชุ่น ได้ครอบครอง พื้นที่หนึ่งฉื่อก็คือราชาของพื้นที่หนึ่งฉื่อ
“ค าพังเพยบอกไว้ว่าแม้ครอบครัวจะมีคนมากมาย แต่การ จัดการอยู่ที่คนคนเดียวหลักการเหตุผลข้อนี้ ความยากและความง่าย ในเรื่องนี้ เจ้าควรจะเข้าใจเสียแต่เนิ่นๆ”
ฮ่องเต้กระแอมสองสามที ก่อนจะยกหลังมือขึ้นปิดปาก เงียบไป พักใหญ่ รอกระทั่งลมหายใจสงบแล้วถึงได้หยิบฎีกาฉบับหนึ่งบนโต๊ะ ขึ้นมา เงยหน้าเอ่ยว่า “หวังว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ลมปราณแห่ง ฟ้ าดินสะอาดบริสุทธิ์ คนมีความสามารถได้ในสิ่งที่ปรารถนาได้ด้วย มือของเจ้า”
ยอดเขาโพโม่
พวกโจวชิวกับหลิวเถี่ยออกไปจากเมืองเพิ่งเล่ออย่างเงียบเชียบ มารอฟังข่าวอยู่ที่นี่
นางมองก้อนหินทั้งหลายที่อยู่บนพื้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู ้สึกว่าไม่ เหมือนก้อนหินปกติทั่วไปยอดฝี มือผู้บรรลุมรรคาบนภูเขามีวิชา อภินิหารที่สามารถขยุ้มดินให้กลายเป็ นภูเขา แล้วก็มีเวทคาถาโยน หินจัดวางค่ายกลเช่นกัน
มีคนหดย่อพื้นที่มาโผล่บนยอดเขา
กลุ่มของพวกโจวชิวโล่งอก คืออาจารย์เฉินที่ถอนเวทอา พรางตาออกแล้ว
เฉินผิงอันที่เดินทางมาจากสถานที่ที่อยู่ห่างไกลมากไม่ได้ อธิบายอะไร เพียงแค่ยิ้มเอ่ย ว่า “เจอกันอีกแล้วนะ”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังลู่เฉิน เขามีร่างแยกอยู่สองร่างจริงๆ รับ หน้าที่เป็ นดาวอาพรางสองดวงที่คอยช่วยประคับประคองค่ายกลเป่ย โต้วเจ็ดดารา คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้างอย่างลับๆ ต่อให้เจอ กับหายนะเป็ นตายที่พบเจอหน้าศัตรูแล้วต้องตัดสินสูงต่าในทันที ช่วยเหลือไม่ทันกาลจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับร่างแยกบางร่าง ยันต์ สองแผ่นนี้ก็จะเข้ามาเสริมตาแหน่งที่ว่างได้
ร่างแยกสองร่างนี้ เฉินผิงอันล้วนใช ้โฉมหน้าดั้งเดิม เพียงแต่ว่า แต่งกายไม่เหมือนกันเวลานี้เฉินผิงอันที่อยู่บนยอดเขาควรค่าแก่คา ว่ามาดแห่งแห่งเซียนอย่างยิ่ง สวมกวานสีทองบนศีรษะ สวมชุดคลุม อาคมผ้าโปร่งสีเขียว ในมือถือหลิงจือหยก สวมรองเท้าลายเมฆ
ไม่ใช่ว่า ‘เฉินผิงอัน” จงใจโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตัวเอง แต่เมื่อ ทาเช่นนี้ หากเขาต้องการจะอ าพรางตัวก็จะสามารถอ าพรางเรือน กายและลมปราณได้ทันที ท าให้ผู้ฝึ กตนก่อก าเนิดยากจะตามจับ ร่องรอยได้
นอกจากนี้ก็คือหากเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า สู้ไม่ได้ ก็จะเผ่น หนีได้เร็วเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ได้เจอกับ “อิ่นกวานหนุ่ม” ที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่ม ถึงอย่างไรก็ยังรู ้สึกตะขิดตะขวงแปลกๆ แม้จะบอกว่าผู้ฝึกปราณบน ภูเขาที่มีศาสตร ์คงความเยาว์มีอยู่มากมายไกลตัวหน่อยก็บรรพจารย์ ศาลลมหิมะที่เป็ นยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่แก่แล้วแต่รูปโฉมกลับ คืน ไปเป็ นเด็ก ใกล้หน่อยก็คือเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นแห่งแคว้นชิงซิ่ง และยังมีอาจารย์เฉินที่อยู่ตรงหน้านี้ซึ่งทาให้พวกโจวชิว หลิวเถี่ยรู ้สึก ชินตามากกว่า
เฉินผิงอันถาม “แม่นางโจว หลิวเปียวจ่าง พวกเจ้าคิดว่าจ้าวฝู หยางวางตัวอยู่ใน สังคมอย่างไร?”
แม้หลิวเถี่ยจะสงสัยว่าทาไมอิ่นกวานหนุ่มถึงถามเช่นนี้ แต่ กระนั้นก็ไม่ได้คิดมาก แค่ตอบไปตามจิตใต้ส านึกว่า “ภูเขาเหอฮวาน แห่งนี้ซุกซ่อนความสกปรกโสมม คือสถานที่สกปรกน่ารังเกียจ หาก ไม่มีสองภูเขาอย่างจุ้ยยวนและอูเถิงที่รวมกันเป็ นภูเขาเหอฮวาน พื้นที่พันลี้รอบด้านนี้ก็มิอาจรวบรวมภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถื่อนไว้ได้ มากมายขนาดนี้ จ้าวฝูหยางต้องเป็ นตัวการร ้ายอย่างแน่นอน เพียง
แต่…ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือคนเก่งคนหนึ่ง พูดถึงแค่หัวของกู้เฟิ่ งที่ ตอนนี้หล่นลงพื้นแล้ว ก่อนหน้านี้จ้าวฝูหยางให้อวี๋โหยวอี๋โยนไปไว้ ในลานบ้านของเมืองเล็ก เขายังรับปากด้วยว่าหลี่ถิงที่อยู่ศาลภูเขาอู เถิงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
เฉินผิงอันหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ขยับเคลื่อน สายตามองไปทางโจวชิว รอค าตอบจากนาง
โจวชิวตั้งใจใคร่ครวญคาพูดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบช ้าว่า “ไม่ ถือว่าเป็ นคนดีอะไรแต่ก็มิอาจพูดได้ว่าจ้าวฝูหยางคือพวกคนที่ชั่ว ร ้ายสุดโต่ง”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ความหมายของแม่นางโจวคือจะบอกว่าจ้าว ฝูหยางยังไม่ชั่วช ้าถึงขั้นที่ใครเห็นก็อยากฆ่าทิ้งหรือ?”
โจวชิวพลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เฉินผิงอันจึงเอ่ยต่ออีกว่า “หากข้าบอกว่าคืนนี้ภูเขาเหอฮวาน จัดงานเลี้ยงรับรองภูตจากจวนเซียนแห่งต่างๆ เพราะจ้าวฝูหยางคิด จะรวบแหกาจัดแขกทุกคนก่อนที่สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งและสกุลจาง เขตเทียนเฉาจะมาล้อมปราบปรามล่ะ?”
โจวชิวและหลิวเถี่ย รวมไปถึงวิญญาณวีรบุรุษหน่วยลาดตระเวน กลุ่มใหญ่ต่างก็หันมามองหน้ากันเอง
คนชั่วก็มีคนชั่วคอยจัดการ? ใช ้วิธีการของคนผู้นั้นมาทาลาย ตัวเขาเอง?
ผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทาได้จริงๆ
เฉินผิงอันถามอีกว่า “หากเปลี่ยนคากล่าวเสียใหม่ สมมติว่าเรื่อง นี้มีผลลัพธ ์แบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนจ้าวฝูหยางมาเป็ นเฉิงเฉียนที่เป็ น คนลงมือ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
โจวชิวส่ายหน้า หลิวเถี่ยก็เกาหัว
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง ข้า ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง พวกเจ้าไม่ต้องคิดเป็ นจริงเป็ นจัง”
หลิวเถี่ยพยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เรื่องที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ เขาที่เป็ นผู้ฝึกยุทธหยาบกระด้าง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจได้ จึงไม่คิดจะเปลืองสมองขบคิด
เฉินผิงอันคือใต้เท้าอิ่นกวานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เจ้า เป็ นคนคิดพิจารณาเรื่องพวกนี้ คิดดูแล้วก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว
แต่ละคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง คากล่าวนี้พูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็ นบัณฑิต พูดจาไม่คลุมเครือวกวน
โจวชิวรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เจ้าโง่หรือไร
แล้วหลิวเถี่ยก็โดนนางใช ้ศอกถองไปหนึ่งที
เฉินผิงอันหยิบยันต์ออกมาหนึ่งปี ก “ที่ข้ายังมียันต์เหลืออีก บางส่วน ถือเป็ นสายแยกของยันต์เทพเดินทางบนภูเขา สามารถช่วย ให้ทุกท่านเดินทางตอนกลางวันได้ และยังรับประกันได้ว่าจะคง
สติปัญญาเอาไว้ไม่ให้สลายไปไหน สามารถหวนกลับบ้านเกิดที่ต้า หลีได้อย่างปลอดภัย พวกเจ้าเดินทางไปเยือนชานเมืองหลวงของต้า หลีต้องใช ้ยันต์สามแผ่น เพื่อป้ องกันเรื่องไม่คาดฝันข้าจึงวาดยันต์ เพิ่มอีกเล็กน้อย ให้ถือไว้คนละห้าแผ่น ถือเสียว่าเป็ นการป้ องกันไว้ ก่อน”
โจวชิวมีจิตใจละเอียดรอบคอบ นางลองค านวณระยะทางต่อจาก นี้คร่าวๆ แล้วเอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน พวกเราแค่ต้องเดินไปให้ถึงลาน้า ใหญ่ก็จะปลอดภัยดีแล้ว ดังนั้นไม่ต้องถึงคนละห้าแผ่นหรอก อย่าง มากสองแผ่นก็พอแล้ว”
ขอแค่ไปถึงชายแดนของต้าหลีก็ย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าและเหล่าขุนนางในราชส านักของโลกมืดอย่างพวกขุนนาง บุ๋นบู๊ เทพอภิบาลเมืองจากแต่ละฝ่ ายมาคอยรับตัวพาพวกเขากลับ บ้านเกิด
ในเมื่อความปรารถนาของที่นี่สาเร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว เทพภูเขาห ลี่ถิงและผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจกู้เฟิ่งต่างก็ถูกตัดหัว อันที่จริงขอแค่มี ยันต์พอให้พวกเขาประคองสติปัญญาที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ ไม่ ถึงขั้นกลายเป็ นผีร ้ายที่สูญเสียจิตสานึกหรือถูกพายุลมกรดของฟ้ า ดินพัดเป่าจิตวิญญาณที่เหลืออยู่จนแหลกสลาย ถ้าอย่างนั้นพวกเขา ก็สามารถเปิ ดเผยสถานะของตัวเองระหว่างทาง ในชายแดนของ แคว้นมากมายทางทิศใต้ของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป จะยังมีใครที่ กล้าขัดขวางการข้ามแดนขึ้นเหนือของพวกเขาอีก?
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เชื่อข้าเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่าเรื่อง อะไรก็ควรเว้นที่ว่างเหลือไว้บ้าง จะคิดเป็ นขั้นเป็ นตอนร ้อยเรียงต่อกัน เกินไปนักไม่ได้ หากยันต์เหลือ ระหว่างที่พวกเจ้ากลับบ้านเกิดก็จะ ได้ไม่ต้องรีบร ้อนเดินทาง เดินให้ช ้าหน่อยได้ ชมทัศนียภาพของโลก ที่สงบสุขระหว่างทางไปให้มาก”
ยันต์นี้มีชื่อว่ายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี ระดับขั้นสูงมาก ถูก บันทึกไว้ในหน้าหลังๆ ของ “มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาด’ หาย สาบสูญจากใต้หล้าไพศาลไปนานแล้ว เป็ นทั้งยันต์ใหญ่ แล้วก็เป็ น ยันต์ “เก่า” แผ่นหนึ่งด้วย
ครั้งแรกสุดที่เฉินผิงอันได้เห็นยันต์นี้ของจริงก็ตอนที่ได้มาจาก มือของหลี่เป่าเงิน เป็ นยันต์กระดาษสีทอง ด้านหน้าและด้านหลังล้วน วาดตัวอักษรสีแดง ตรงกลางของยันต์วาดเป็ นวงกลม หน้าหลังจึง เหมือนมีดวงตะวันจันทราสองดวง แต่ละดวงมีแม่ทัพเทพสวมเสื้อ เกราะสีดากับเสื้อเกราะสีขาว
แก่นแท้อันมหัศจรรย์ของยันต์นี้อยู่ที่สองคาว่า “ร่างจริง” ตาม คาอธิบายที่หลี่ซีเซิ่งเขียนเอาไว้ มันสามารถเชื่อมโยงกับร่างเดิมของ เทพท่องทิวาราตรีได้
ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับค าว่า “ส่งตรงถึงโอรสสวรรค์” ในวงการ ขุนนาง หรือก็คือการถวายฎีกาลับของขุนนางในท้องถิ่นจะสามารถ ส่งตรงไปวางบนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้ได้เลย
วิธีการอัญเชิญเทพ สั่งการเทพของพรรคยันต์ทั่วไปของลัทธิ เต๋า ต่อให้ระดับยันต์ของเจ้าจะสูงแค่ไหนก็ไม่มีทางได้ประสิทธิภาพที่ ยอดเยี่ยมเช่นนี้แน่นอน
โจวชิวกับหลิวเถี่ยรับยันต์ปึกนั้นมาแล้วแจกจ่ายออกไป
ดูเหมือนว่าโจวชิวจะวางสถานะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพลง ชั่วคราว นางยอบกายคารวะอิ่นกวานหนุ่มอย่างแช่มช ้อย
พวกคนที่เคยเรียนหนังสือในโรงเรียนชนบทหรือไม่ก็ในส านัก ศึกษาของทางการมาบ้างต่างก็ไม่กุมหมัดอ าลา กลับกันยังประสาน มือคารวะ แต่พอยืดตัวขึ้น แต่ละคนกลับหัวเราะดังลั่น รู ้สึกขัดเขินกัน อยู่บ้าง
อยู่ต่างบ้านต่างเมืองเหมือนกัน บนยอดเขาแห่งหนึ่ง คนและผี อ าลากันและกัน
หลังจากที่เรือนกายของอิ่นกวานหนุ่มจากไปไกลอย่างเงียบ เชียบแล้ว หลิวเถี่ยถึงได้ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “โจวชิว อาจารย์เฉินเป็ น อย่างไร สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นเลยใช่ไหม? เจ้าไม่รู ้สึกอะไรบ้าง หรือ? หืม?”
“ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยชอบใครมาก่อนเลย”
ผีสาวส่ายหน้า สุดท้ายคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ ค่อยมาชดเชยเอาแล้วกัน”
เหนือทะเลเมฆ เรือข้ามฟากลักษณะประหลาดลาหนึ่งพุ่งทะยาน ว่องไวดุจสายฟ้ าคล้ายท่อนไม้ที่ลอดทะลวงความว่างเปล่า เจ้าของเรือลานี้คือนักพรตหญิงห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่มีฉายา ว่า “ต้งถิง” บรรพจารย์เซียงจวิน เจ้าต าหนักหลิงเฟยคนปัจจุบัน แน่นอนว่านางเคารพคาสั่งจากอาจารย์ของอาจารย์จึงพาเวินจื่ อซื่ออกมาจากอารามจินเซียนด้วยกัน
ส่วนทางฝั่งของพรรคจินแชวก็มีแค่เจ้ายอดเขาชิงจิ้ง ผู้ฝึกตน โอสถทองที่มีรูปโฉมเป็ นหญิงชรานามว่าสิงจื่อเท่านั้น
หนึ่งหยกดิบ สองโอสถทอง นั่งโดยสารเรือข้ามฟากเซียนฉาซึ่ง ว่องไวราวสายฟ้ าแลบลานี้มุ่งหน้าเดินทางมายังภูเขาเหอฮวาน
เซียงจวินไม่ได้บอกให้พวกเขารู ้ว่าเดินทางมาครั้งนี้ด้วยเรื่องอัน ใด ต้องการจะมาพบใคร
นางหลับตาทาสมาธิ มอบเรื่องของการถ่อเรือให้ศิษย์หลานเป็ น คนท า
สิงจื่อไม่กล้ารบกวนการหลอมลมปราณของบรรพจารย์เซียง จวิน จึงใช ้เสียงในใจถามเวินจื่อซี่ว่า “เวินซ่างเซียน ความเร็วของเรือ เซียนฉาลานี้ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าเรือหลิวเสียเลยกระมัง?
นี่ทาให้หญิงชราได้เปิดโลกกว้างจริงๆ ความเร็วในการทะยาน ลมเร็วยิ่งกว่าเรือข้ามฟากลาไหนๆ สมกับที่เคยได้ยินมาว่าโดยสาร เซียนฉา ว่องไวดุจบินจริงๆ เสียด้วย
ได้ยินคาเรียกขานอย่างให้ความเคารพซึ่งมีน้าหนักมากคานี้ ต่อ ให้เป็ นคนที่หน้าหนาอย่างเวินจื่อซี่ก็ยังหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้
ในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิงใต้หล้ามืดสลัว ช่าง เซียนคือค าเรียกขานเฉพาะของเทียนจวินลัทธิเต๋าเท่านั้น
ขุนเขาสายน้าไกลพันหมื่นลี้ ไปกลับเหมือนห่างแค่หนึ่งก้าว ขี่ เมฆขาวทะยานถึงดินแดนแห่งเทพเจ้า หนึ่งวันกราบไหว้จักรพรรดิ อวี้หวงสามครั้ง
“เมื่อเทียบกับเรือหลิวเสียในตานานแล้วยังห่างชั้นกันไกลนัก”
เขาส่ายหน้า “แต่บรรพจารย์เฉาของพวกเรามีเรือก้วนเยว่ฉาอยู่ ลาหนึ่งที่เจ้าลัทธิลู่มอบให้ เรือหลิวเสียก็ยังไล่ตามไม่ทัน”
หญิงชราพลันเดาะลิ้นจุ๊ปากไม่หยุด
เวินจื่อซี่เอ่ย “เจ้ายอดเขาสิง เรียกฉายาข้าก็ได้ ข้ามีฉายาว่า “ถู่ เกิ่ง”
หญิงชราอึ้งงันไร ้คาพูด นึกว่าตัวเองฟังผิดไป
เวินจื่อซี่ยิ้มเอ่ย “ฟังไม่ผิดหรอก ก็คือถู่เกิ่ง (คันดิน คันนา) ที่ สหายสิงคิดนั่นแหละ”
ฉายานี้เวินจื่อซี่ตั้งเอง ปีนั้นอาจารย์โน้มน้าวเขาไม่เป็ นผลจึงได้ แต่ยอมตอบตกลงเดิมทีเจินเหรินผู้เฒ่าคิดอยากจะตั้งฉายาให้ลูก ศิษย์ที่รักคนนี้ว่า ‘อวิ๋นเม่า’
หญิงชราเงียบไปอีกครั้ง ช่างเป็ นคนประหลาดจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มาจากตาหนักห ลิงเฟย
ถึงอย่างไรสิงจื่อก็เป็ นผู้ฝึ กตนโอสถทองแล้ว แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึ ก ยุทธเต็มตัว แต่ก็มองเห็นภาพบรรยากาศของปรมาจารย์บนร่างของ เวินจื่อซี่ได้ ลมปราณที่แท้จริงเข้าสู่อวัยวะภายในปณิธานหมัด ไหลเวียนไปทั่วร่าง
นี่ก็คงจะเป็ นวิธีที่ผู้ฝึกยุทธใช ้หลอมเรือนกายกระมัง
เวินจื่อซี่ถาม “สหายสิงเคยเจอเจิ้งเฉียนกับตาตัวเองมาก่อน หรือไม่?”
หญิงชราเอ่ยอย่างเหนียมอาย “ข้ายังไม่เคยไปเยือนเมืองหลวง ส ารองต้าหลีเลย”
เวินจื่อซี่พยักหน้า ไม่คิดอะไรมาก ตนเองก็ไม่เคยไปเยือนสนาม รบของลาน้าใหญ่และจวนอ๋องแห่งเมืองลั่วจิงเหมือนกัน
สิงจื่อถามอย่างระมัดระวังว่า “นอกจากเวินซ่างเซียนจะพิสูจน์ มรรคาบินทะยานแล้วยังตั้งใจเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธด้วย หรือ?”
เวินจื่อซี่ยิ้มกว้าง “ตาราหมัดกล่าวไว้ว่า จิตขยับเนื้อบิน ทั้งร่าง ล้วนเป็ นหมัด และสองค าว่า “เนื้อบิน” นี้ก็บังเอิญมีความหมายในชั้น ของการบินทะยานของการฝึกเซียนพอดี นี่แสดงให้เห็นว่าการเรียน วิชาหมัดและการฝึกตนไม่แบ่งแยกกัน”
เวินจื่อซี่ผู้มีพรสวรรค์ของลัทธิเต๋าที่เป็ นที่ยอมรับของทวีปแห่ง หนึ่ง ขาดอีกแค่นิดเดียวตอนนั้นก็สามารถเลื่อนติดอันดับตัวสารอง คนรุ่นเยาว์สิบคนของแจกันสมบัติทวีปได้แล้วส่งหมัดไปยังทะเลเมฆที่ อยู่ด้านข้างของเรือเซียนฉาง่ายๆ หนึ่งที พลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรียน วิชาหมัดฝึกวรยุทธมีอะไรยากกัน หนึ่งตั้งหนึ่งนอนต่อยใต้หล้า”
เซียงจวินลืมตาขึ้นแล้วเปิดปากตาหนิ “พูดจาสามหาว!”
เวินจื่อซี่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดูท่าอยู่ในตาหนักหลิงเฟยเขาคง จะเป็ นนักพรตที่เกียจคร้านและไร้ความรับผิดชอบมานานแล้ว โดน ค าต าหนิจากเจ้าต าหนัก ชายหนุ่มไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าหวาดกลัว กลับกันยังหัวเราะร่า “ถึงอย่างไรก็สู้ปรมาจารย์ใหญ่พวกนั้นไม่ได้อยู่ ดี ยังจะไม่ให้ข้าพูดโอ้อวดหมัดของตัวเองบ้างเลยหรือ?”
เซียงจวินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นับแต่โบราณมา ผู้ที่ฝึกบาเพ็ญ ตนมีมากมายดุจขนวัว ผู้ที่บรรลุมรรคาดุจขนหงส์เขากิเลน เป็ นสัจ
ธรรมที่แท้จริง แล้วก็เป็ นคาทานายของการเรียนวรยุทธ อย่างเจ้านี่ ช่างไม่เหมาะสมนัก นานวันเข้าก็มีแต่จะเผาผลาญคุณสมบัติของ ตัวเองให้เสียเปล่า วันใดเจอกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้ง เจ้าก็มีแต่จะต้องเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง”
คนหนุ่มทอดถอนใจ แน่นอนว่าไม่กล้าโต้เถียงต่อหน้าเจ้า ต าหนัก ได้แต่นินทาในใจเท่านั้น
บรรพจารย์เซียงจวินและอาจารย์ของตนก็มีท่าทีที่ไม่ต่างกัน เท่าไร มักจะชอบพูดค าพูดเดิมๆ ซ้าไปซ้ามา พวกเจ้าไม่ยอมรับ หาก วันใดได้พบเจอกับท่านบรรพบุรุษเจ้าลัทธิขึ้นมา เกรงว่าพวกเจ้าก็คง จะรู ้เองว่า ที่แท้พวกเจ้าต่างหากที่ผิด
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าท าไม เวินจื่อซี่ถึงมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งมาโดย ตลอด บางทีอาจเป็ นลางสังหรณ์ที่ผิด แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่บรรพ จารย์เซียงจวินลงจากภูเขามา จิตแห่งมรรคาก็ไม่มั่นคง ตื่นเต้นอย่าง มาก?
อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ต้องเจอกับใคร เจอกับเรื่องอะไรที่ สามารถทาให้นางตื่นเต้นตึงเครียดได้ถึงขนาดนี้?
ต้องรู ้ว่าเจ้าตาหนักที่เป็ นผู้ฝึ กตนห้าขอบเขตบนผู้นี้ยังเป็ น นักพรตรุ่นศิษย์หลานของเจ้าลัทธิลู่แห่งนครหนันหัวด้วยนะ!
……
บนยอดเขาโพโม่ หลังจากที่พวกโจวชิวเดินทางขึ้นเหนือ เฉิน ผิงอันก็เผยร่างอีกครั้งเพียงแต่ข้างกายมีลู่เฉินเพิ่มมาด้วย
เจ้าลัทธิลู่นั่งยองอยู่บนพื้น มองก้อนหินทั้งหลายแล้วเงยหน้าถาม ว่า “คิดอย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฟ้ าดินภูเขาสายน้าและบุคคล เพียง แค่มองก็รู ้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด มิใช่สิ่งที่พวกเราจะกล่าวถึงได้”