กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1022.2 แม้กระทั่งท่านก็ยังสงสัยในตัวเอง
บทที่ 1022.2 แม้กระทั่งท่านก็ยังสงสัยในตัวเอง
คนทั้งสองพากันเงียบงันไป ลู่เฉินมีสีหน้าปั้นยาก ปัดมือเหมือน ไล่แมลงวัน คล้ายต้องการขับไล่พยับหมอกที่อยู่ในใจทิ้งไป ถามชวน คุยว่า “ไม่อยากถามหน่อยหรือว่าเป็ นใคร?”
ที่แท้ตอนแรกก็มีจ้าวฝูหยางแห่งภูเขาเหอฮวานที่ซ่อน ภาพเหมือนของเจ้าลัทธิลู่เอาไว้ สร ้างกวานเต๋าดอกบัวซึ่งเป็ นการ กระทาที่ล้าเส้นขึ้นมา คิดหวังจากใจจริงว่าสักวันหนึ่งจะสามารถ อาศัยสถานะของนักพรตที่ได้รับธรรมโองการจากสายของนครหนัน หัวป๋ ายอวี้จิงเดินท่องไปทั่วใต้หล้า
ต่อมาก็มีเฉิงเฉียนเจ้าประมุขพรรคจินแชวคนปัจจุบันที่เกิดจิต สังหารต่อจ้าวฝูหยางเพราะเรื่องเล็กสองเรื่องนี้ เช่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โพล่งประโยคหนึ่งตอนอยู่ข้างกายเจ้าประมุขเฒ่าของสกุลจางเขต เทียนเฉาว่า “ผู้ที่ไร ้ความสามารถนี้สวมชุดนี้ มีโทษสมควรตาย
ผินเต้าต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้วนะ
นี่ถือว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียงหรือไม่? ไม่มีเหตุผล ไม่ควร เลย ผินเต้าอยู่นอกบ้าน แต่ไหนแต่ไรก็ชอบผูกบุญสัมพันธ ์กับผู้คน ไปทั่ว วางตัวอย่างมีคุณธรรมและเที่ยงธรรม
เฉินผิงอันส่ายหน้า กลับกันยังถามถึงยันต์ที่ลู่เฉินเอาออกมา ก่อนหน้านี้ “ยันต์นี้มีชื่อหรือไม่?”
ลู่เฉินเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนี้ให้ชื่อว่า “เจอกันใหม่คราวหน้า” ไปก่อนชั่วคราว ตรงกันข้ามกับยิงธนูออกไป แล้วไม่มีลูกศรใดที่หวนกลับมา อันที่จริงให้ชื่อว่า ‘ยาแก้ความเสียใจ” ก็เป็ นชื่อที่ไม่เลวเหมือนกัน”
ลู่เฉินยิ้มถาม “หากรู ้แต่แรกว่าจ้าวฝูหยางจะทาเช่นนี้ เจ้าจะพา
ร่างจริงมาที่นี่หรือไม่?” เฉินผิงอันพยักหน้า |
ลู่เฉินรู ้เรื่องนี้ดีแก่ใจ มีข้อสงสัยบางอย่างที่รบกวนเฉินผิงอันมา นานมากแล้ว น่าเสียดายที่ผ่านไปนานหลายปี ขนาดนี้ก็ยังไม่มี คาตอบใดที่อาจารย์สามารถโน้มน้าวตัวเองก่อน แล้วค่อยไปโน้มน้าว ลูกศิษย์ได้เสียที ดังนั้นก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงได้ถามคาถามนั้นต่อ โจวชิวและหลิวเถี่ย หวังว่าจะเปลี่ยนมุมมองในการไขปัญหา
เรื่องเดียวกัน มีขั้นตอนแบบเดียวกันและผลลัพธ ์เดียวกัน คนลง มือเป็ นคนละคน จะมีความต่างแบบใด
น่าเสียดายที่ชายหยาบกระด้างอย่างหลิวเถี่ยตอบไม่ตรงคาถาม ส่วนโจวชิวก็มีเรื่องให้ต้องกังวลจึงไม่ยินดีจะบอกความคิดที่แท้จริง ของตัวเองออกมา
ลู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “คนผู้หนึ่งที่ในใจไม่แข็งแกร่งมากพอ มักจะ ย้อนทบทวนตัวเองบ่อยๆ ปฏิเสธตัวเอง มีแต่จะทาให้ยิ่งอ่อนแอมาก กว่าเดิม”
“เป็ นคนต้องรู ้จักพอ ทาสิ่งต่างๆ โดยตระหนักรู ้ข้อบกพร่องของ ตัวเอง เพียงแค่นี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบน้าเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่มีชีวิต อยู่เคียงข้างกันมานานหลายปีลูกนั้นออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก เอ่ยด้วย น้าเสียงเฉยเมยว่า “เริ่มคลายข้อสงสัยในใจไปได้บ้างแล้ว”
ลู่เฉินหันหน้ามามอง เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าเรือนกายสูงเพรียว บุคลิกมีสง่าสดชื่นสวมกวานสีทอง สวมชุดผ้าโปร่งสีเขียว ในมือถือห ลิงจือหยกขาว สวมรองเท้าลายเมฆ
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มรองเท้าสานสะพายกระบี่ในจวนเฝิ่นหวาน แล้ว ต่อให้ไม่พูดถึงรูปโฉม แค่บุคลิกของคนทั้งสองก็แตกต่างราวกับ คนละคนกันแล้ว
คากล่าวที่ว่าเปลี่ยนรกผลัดกระดูก แรกเริ่มสุดเป็ นภาษาของ ลัทธิเต๋า เอามาใช ้กับพวกเขาก็เข้ากับสถานการณ์อย่างยิ่ง
ร่างแยกทุกร่างของเฉินผิงอันล้วนมีความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้น่าจะเป็ น “รูปโฉมดั้งเดิม” ของผู้ ฝึกตนคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็ นเซียนดินหากตอนที่ยังเป็ นเด็กเครื่อง กระเบื้องแห่งชะตาชีวิตไม่ถูกทุบแตก หรือออกมาจากถ้าสวรรค์หลีจู แต่เนิ่นๆ ถูกจวนเซียนหรือส านักบางแห่งรับตัวไปเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของศาลบรรพจารย์ หรือแค่รอให้ฟ้ าอานวยมีการเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงก็จะลุกผงาดขึ้นมาได้ตามสถานการณ์ คว้า
โชควาสนาในการฝึกตนมาครอง การฝึกตนราบรื่นตลอดเส้นทาง ค่อยๆ สลัดกลิ่นอายดินโคลนทิ้งไป เปลี่ยนมามีกลิ่นอายแห่งมรรคา เต็มทั่วร่าง
ส่วนคนสะพายกระบี่ที่เรือนกายผอมบางผู้นั้นน่าจะเป็ นเด็กหนุ่ม ตรอกหนีผิงตอนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินซื้อภูเขา อาศัยวิชาหมัดเล่มหนึ่ง เดินเข้าห้องของการเรียนหมัด ปณิธานหมัดมาอยู่บนร่างแล้วก็ได้ เดินไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธที่บริสุทธิ์สายหนึ่ง หลังออก จากบ้านเกิดก็ท่องไปในยุทธภพ บางทีอาจเข้าร่วมกองทัพเหมือน จอมยุทธเคราดกบางคนพเนจรอยู่ไม่เป็ นที่เป็ นทาง ก่อนจะเป็ นดั่ง ใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่ราก แล้วก็อาจจะเอาอย่างผู้อาวุโสซ่งบางคนที่ สะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้แต่เนิ่นๆ วันหนึ่งเลือกจะล้างมือในอ่างทองคา (เปรียบเปรยว่าถอยออกจากวงการ) เลี้ยงหลานอยู่บ้านในช่วงบั้น ปลาย
ส่วนปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ถือไม้เท้าเดินป่ าเดินขึ้นเขา ไปดูก้อนเมฆล่องลอยอยู่ในวัดซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของอวี๋โจวตอน นี้ บางทีอาจเป็ นเมล็ดพันธ ์บัณฑิตที่ทั้งไม่ได้ฝึกตนแล้วก็ไม่ได้ฝึกวร ยุทธ เลื่อนขั้นในวงการขุนนางต้าหลี บางทีอาจเจริญก้าวหน้าใน หน้าที่การงาน ได้สวมชุดผ้าแพรกลับคืนสู่บ้านเกิด สร ้างเกียรติยศ ให้กับวงศ์ตระกูล แล้วก็อาจจะทาตามปณิธานไม่ได้ บ้างก็ถูกลดขั้น บ้างก็ต้องลาออกจากการเป็ นขุนนาง ปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษ ชมบุป ผาชมดวงจันทร ์
เนื่องจากติดขัดที่ขอบเขตก่อกาเนิดและพื้นฐานของกระดาษ ยันต์ในเวลานี้ เฉินผิงอันจึงเป็ นเหมือนสตรีที่มีฝีมือแต่ไร ้วัตถุดิบให้ ปรุงอาหาร ดังนั้นร่างแยกเจ็ดร่างที่สร ้างขึ้นมา ไม่ว่าจะขอบเขตของ ผู้ฝึกตนหรือของผู้ฝึกยุทธก็ล้วนไม่สูง
กลับเป็ นหนึ่งใน “เฉินผิงอัน” สองคนที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ในที่ลับซึ่งยืนอยู่ข้างกายลู่เฉินเวลานี้ที่ถือว่าตัดใจยอมลงทุนได้ ใช ้ กระดาษเขียวที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดวาดเป็ นยันต์ ดังนั้นถึงได้สร ้าง โครงกระดูกของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งขึ้นมา เชื่อว่าเฉิน ผิงอันอีกคนหนึ่งก็น่าจะเป็ นเซียนดินโอสถทองเหมือนกัน หากลู่เฉิน เดาไม่ผิดจะต้องมีรูปโฉมกายาล่าสันอย่างแน่นอน ทาให้คนที่มอง ปราดๆ รู ้สึกว่าเขาเป็ นพวกคนบุ่มบ่ามมุทะลุที่ใช ้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็ นผู้ฝึกลมปราณที่ได้ครอบครองกระบี่บินหลาย เล่ม ย้อนกลับมามองเทพเซียนในภูเขาที่แค่มองก็เห็นมาดแห่งเซียน เต็มเปี่ยมผู้นี้ หากมีใครรู ้สึกว่าเรือนกายของเขาอ่อนแอ พยายามจะ เข้าประชิดตัวเพื่อเข่นฆ่าเขาก็มีแต่ต้องเตาคว่า (เปรียบเปรยว่าโชค ร ้าย ล้มเหลว) แล้ว
บางทีในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขา การกระทาที่ระมัดระวัง รอบคอบนี้ของเฉินผิงอันล้วนเป็ นลูกไม้ที่น่าขา
บางทีผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่มองความจริงออก นอกจากผู้ฝึกตน ที่จะมีความขัดแย้งบนมหามรรคากับเฉินผิงอันอย่างอู๋โจวที่ถือว่าเป็ น กรณียกเว้นแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็ นขอบเขตบินทะยานคนใดก็ตาม
จะมีสักกี่คนที่ไม่เห็น “อิ่นกวาน” “หนุ่ม” ซึ่งได้แกะสลักตัวอักษรลง บนหัวก าแพงเมืองอยู่ในสายตา
ยศอิ่นกวานนี้มีน้าหนักมาก โดยเฉพาะคาว่า “หนุ่ม” ต่อท้ายที่ น่ากลัวยิ่งกว่า
ก็เหมือนในศึกภูเขาทัวเยว่ ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขา แพ้ชนะได้ ตัดสินกันอย่างชัดเจนฝุ่ นคละคลุ้งหล่นร่วงกลับสู่พื้น ปี ศาจใหญ่ หยวนซงที่เฝ้ าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่อา พรางตัวอย่างลึกล้าผู้นี้ถูกตัดหัว ในใจย่อมมีความไม่ยินยอมอย่าง เลี่ยงไม่ได้ คงรู ้สึกว่าเฉินผิงอันอาศัยขอบเขตที่ได้มาเปล่าๆ แล้วยัง อาศัยกระบี่ยาวกับความเป็ นเทพที่บริสุทธิ์ส่วนนั้น ทาให้เขาคว้าชัย ชนะไปได้อย่างไม่สมเกียรติ
ตอนนั้นเฉินผิงอันแค่เอ่ยประโยคที่เป็ นความจริงประโยคเดียวก็ ท าให้ลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ยอมแพ้ทั้ง กายและใจได้แล้ว
ความหมายคร่าวๆ ก็คือหากเฉินผิงอันมีอายุขัยในการฝึ กตน ยาวนานเช่นเขา การถามกระบี่ครั้งนั้น เขาไม่มีทางมองเห็นตัวของ เฉินผิงอันด้วยซ้า
และเวลานี้เอง ท่ามกลางม่านราตรีมืดดา จ้าวฝูหยางแห่งจวน อินอวินก็พลันเผยกายธรรมใหญ่โตโอฬาร ยืนตระหง่านอยู่เหนือ
ศาลภูเขาจุ้ยยวน เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เฉิงเฉียน จางฉง พวกเจ้า อย่าได้รังแกกันมากเกินไป!”
วางแผนอย่างระมัดระวังทุกก้าวย่างจนมาถึงวันนี้ แต่จ้าวฝูหยา งกลับไม่รู ้เลยว่าคิดคานวณมานับพันนับหมื่นครั้ง ในยามที่เขาปิด ด่านก าลังจะหลอมภูเขาอย่างเป็ นทางการกลับต้องมาค้นพบด้วย ความตะลึงพรึงเพริดว่าสองภูเขาอย่างจุ้ยยวนและอูเถิงจะแน่นิ่งไม่ ขยับเหมือนแผ่นเหล็ก
ทางฝั่งหน้าผาหินที่ห่างไปไกล เจินเหรินเจ้าประมุขพรรคจินแชว และเจ้าประมุขสกุลจางเขตเทียนเฉารู ้สึกเพียงว่าค าด่าของจ้าวฝู่ จวิน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ หากเปลี่ยน มาเป็ นพวกเขาเกรงว่าก็คงต้องเสียกิริยาเช่นนี้เหมือนกัน
ลู่เฉินหัวเราะร่วน “ฝ่ ายหนึ่งด่าได้อย่างมีเหตุมีผล อีกฝ่ ายหนึ่ง ถูกด่าอย่างไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมเท่าใดนัก”
เรือเซียนฉาลาหนึ่งอาพรางร่องรอยอยู่ในทะเลเมฆ บรรพจารย์ เซียงจวินนาพาเวินจื่อซี่และหญิงชราร่ายเวทหดย่อพื้นที่มายังหน้า ประตูภูเขาของภูเขาเหอฮวาน
เวินจื่อซี่มองต้นจามจุรีที่มีแมลงเบียดเสียดกันยั้วเยี้ย ก่อนจะเงย หน้ามองไปยังกายธรรมที่โกรธเป็ นฟืนเป็ นไฟอยู่บนยอดเขาของจ้าว ฝูหยางแล้วยิ้มเอ่ย “นี่กาลังเล่นอะไรกันอยู่”
บรรพจารย์เซียงจวินไม่ได้บอกให้พวกเขารู ้ถึงจุดประสงค์ในการ มาเยือนที่นี่ แล้วก็ไม่ได้เลือกที่จะทะยานลม แค่เดินเท้าขึ้นเขาไป เท่านั้น
นักบัญชีอายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ที่โต๊ะ มองเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ สามคนที่รูปโฉมล้วนไม่ธรรมดา นักบัญชีรู ้สึกหวาดเกรง ฟันกระทบ กันดังกึกๆ ถามค าถามอะไรไม่ออก
เวินจื่อซี่ปล่อยปณิธานหมัดบนร่างออกไปเล็กน้อย บนเส้นทาง ภูเขาก็มีเสียงไม้ไผ่ระเบิดดังเป็ นระลอกตลอดทาง ทั้งยังคอยเหลือบ มองไปทางยอดเขาเป็ นระยะ ถามชวนคุยไปด้วยว่า “บรรพจารย์เซียง จวิน ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนอิสระโอสถทองที่ชื่อเสียงย่าแย่ผู้นี้ก็ก่อกรรม ทาชั่วมามากแล้ว ไม่สู้สังหารเขาไปเสียเลย?”
บรรพจารย์เซียงจวินเงียบไม่ตอบ พยายามสร ้างความมั่นคง ให้กับจิตแห่งมรรคาของตัวเองอย่างสุดก าลัง
แค่คิดว่าท่านบรรพบุรุษที่ในอดีตแค่เคยมองผ่านภาพเหมือนซึ่ง แขวนอยู่ในศาลบรรพจารย์ของอารามหลิงเฟยเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ เขาอาจจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งในภูเขา นางก็อดตื่นเต้นไม่ได้
จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงจดจาได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่นางเป็ น เด็ก หลังจากกลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดแล้ว ครั้งแรกที่เฉาหรงผู้เป็ น อาจารย์พานางไปกราบภาพเหมือนของบรรพจารย์ในศาลบรรพ
จารย์ ท่าทีเคร่งขรึมจริงจังยามที่อาจารย์จุดธูปคารวะภาพเหมือนนั้น ไม่ต่างจากการเคารพบูชาเทพเจ้าเลย
แต่ก็มีความเป็ นไปได้ว่าอาจารย์ปู่แค่ออกคาสั่งผ่านอาจารย์ของ นาง บอกให้นางพาเวินจื่อซี่มาที่นี่ บางทีเจ้าลัทธิท่านนั้นอาจอยู่ไกล สุดขอบฟ้ า แค่ใช ้วิชาอภินิหารมองสถานที่แห่งนี้ผ่านฝ่ามือ?
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ใช ้เสียงในใจเตือนคนทั้งสองที่อยู่ ด้านหลังว่า “ไปถึงจวนเฝิ่นหวานก่อนค่อยว่ากัน”
หญิงชรายิ่งกระวนกระวาย ไม่รู ้ว่าทาไมบรรพจารย์สานักเบื้อง บนท่านนี้ถึงต้องเลือกมาเยือนที่นี่ด้วย
แต่สิงจื่อที่เป็ นเจ้ายอดเขาชิงจิ้งคิดไปคิดมาแล้ว อารามจินเซียน ของบ้านตนถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ไม่มีความเกี่ยวพันด้าน ผลประโยชน์กับจ้าวฝูหยางเจ้าภูเขาของสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ใน เมื่อเป็ นเช่นนี้ ตัวตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียง ขึ้นภูเขาไปแล้วได้ เจอกับจ้าวฝูหยางก็แค่ตอบโต้ไปตามสถานการณ์ จะท าตัว ลุกลี้ลุกลนให้มีพิรุธไม่ได้
จ้าวฝูหยางก้มหน้าลงมอง อันดับแรกก็ทั้งกังวลทั้งตกใจ จาหญิง ชราที่มาจากสายอารามจินเซียนได้ บวกกับกวานเต๋าที่อยู่บนศีรษะ ของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น เพียงไม่นานจ้าวฝูหยางก็ตัดสินใจได้แล้ว ลังเลเพียงเล็กน้อยก็เก็บกายธรรมกลับมา สวมชุดคลุมเต๋า สวม กวานดอกบัวที่เก็บซ่อนไว้นานหลายปีชิ้นนั้น เพียงแต่ไม่นานก็ถอด
กวานเต๋ออก แค่ออกมาพบเจอผู้คนด้วยการแต่งกายในรูปแบบการ แต่งตัวของนักพรตที่ได้รับธรรมโองการจากสายอารามจินเซียน พรรคจินแซวเท่านั้น เขารีบมาที่เส้นทางภูเขา คารวะตามขนบลัทธิ เต๋า เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “จ้าวฝูหยางศิษย์ทรยศสายอารามจินเซียน คารวะบรรพจารย์เซียงจวินแห่งสานักเบื้องบน เวินเซียนซือ คารวะ เจ้ายอดเขาสิง”
บรรพจารย์เซียงจวินขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจ
มิน่าเล่าบรรพจารย์ลู่ถึงได้ให้ตนมาที่ภูเขาเหอฮวาน เพราะหวัง จะให้ช่วยจ้าวฝูหยางหลุดพ้นจากวงล้อมน่ะหรือ?
เรื่องมาถึงขั้นนี้ สิงจื่อก็ได้แต่รีบอธิบายให้บรรพจารย์เซียงจวิน ฟัง บอกว่าในอดีตจ้าวฝูหยางเคยเป็ นลูกศิษย์ฝ่ ายนอกของพรรคจิน แชวจริง อีกทั้งยังเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดในทางส่วนตัวของอาจารย์ลุง ท่านหนึ่งด้วย เพียงแต่ว่ามีผู้ฝึกตนของยอดเขาฉุยชิงขัดขวาง ทา เรื่องชาติกาเนิดของจ้าวฝูหยางให้เป็ นเรื่องใหญ่ จ้าวฝูหยางไม่อยาก ให้ชื่อเสียงบนภูเขาของอาจารย์ลุงต้องมัวหมอง ด้วยความโมโหถึง ได้ออกมาจากพรรคจินแชว
บรรพจารย์เซียงจวินพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียง พูดว่า “พวกเจ้าทั้งหลายร่ายเวทอาพรางตากันก่อน แล้วไปคุยกันที่ จวน”
จากนั้นนางก็ให้จ้าวฝูหยางไปเอารายชื่อผู้ร่วมงานพิธีมา
ต่อให้จ้าวฝูหยางจะร ้อนใจราวไฟลนก็ยังไม่เปิดเผยออกมาทางสี หน้า เขาไปเอาสมุดเล่มหนึ่งจากนักบัญชีที่ตีนเขา แล้วย้อนกลับมาที่ เส้นทางภูเขาอีกครั้ง ก้มหัวยื่นประคองส่งให้ด้วยสองมือ
ระหว่างที่ไปกลับ จ้าวฝูหยางก็คาดเดาเอาว่าการที่เจ้าบ้านอย่าง ตนมิอาจล้อมภูเขาได้ส าเร็จ คงไม่ใช่ว่านักพรตหญิงเจ้าต าหนัก ลัทธิเต๋ท่านนี้เล่นตุกติกหรอกกระมัง? ต้องการเตือนตนว่าอย่าได้ก่อ ความวุ่นวายใหญ่โต? อย่าได้ทาร ้ายกันและกันกับเฉิงเฉียนซึ่งเป็ น ลูกศิษย์ของภูเขาเบื้องล่างตาหนักหลิงเฟยเหมือนกัน จนเป็ นการ “ท าลายมิตรภาพของคนร่วมส านัก’ กันเปล่าๆ?
บรรพจารย์เซียงจวินเปิดอ่านรายชื่อผู้ที่มาร่วมงานอย่างว่องไว นางจงใจเลือกองศาในการถือสมุด รอกระทั่งเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย จิตแห่งมรรคาของนางก็พลันสั่นสะเทือน
ปิดหน้าสมุดลงอย่างรวดเร็ว นางถอนหายใจเบาๆ ในใจหนึ่งที ทว่าสายตากลับเร่าร ้อนขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
จริงดังคาด! แถวสุดท้ายเขียนชื่อของแขกไว้สามคน เฉินเหริน เจิ้งเฉียน นักพรตสู่เฉิน
จากเนื้อหาที่เขียนไว้ในสมุด ของขวัญร่วมแสดงความยินดีคือ…. เงินเกล็ดหิมะคนละสองเหรียญ?
ไม่เสียแรงที่เป็ นบรรพจารย์ลู่ของบ้านตน ชอบลงมาเที่ยวเล่นใน โลกมนุษย์จริงเสียด้วย
ก็แค่ไม่รู ้ว่าเฉิงเหรินกับเจิ้งเฉียนนี้เป็ นเทพเจ้ามาจากฝ่ายใด?
คงไม่ใช่ปรมาจารย์หญิงที่ใช ้นามแฝงว่าเจิ้งเฉียน เผยเฉียนแห่ง ภูเขาลั่วพั่วหรอกกระมัง?
แล้วถ้าใช ้หลักการเดียวกัน เฉินเหรินก็คือนามแฝงของอิ่นกวาน หนุ่มผู้นั้น?
เพียงแต่ว่าแค่ครู่เดียวนักพรตหญิงห้าขอบเขตบนก็เผยสีหน้า เลื่อนลอยไปเล็กน้อย นางก้มหน้าลงมองอีกครั้ง ในรายชื่อคนที่มา ร่วมงานเหลือแค่ “นักพรตสู่เฉิน” คนเดียวเท่านั้นแล้ว
บรรพจารย์เซียงจวินที่ถูกดึงความทรงจาบางส่วนออกไม่รู ้ตัว แม้แต่น้อย นางเพียงเก็บสมุดเล่มนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเงียบๆ เอ่ย ว่า “เรื่องที่คืนนี้พวกเราสามคนมาที่นี่ จ้าวฝู่ จวินไม่จ าเป็ นต้องบอก กล่าวแก่คนอื่น”
จ้าวฝูหยางก้มหน้ารับคาสั่ง บอกว่าไม่จาเป็ น แต่แท้จริงแล้วคือ ไม่ควร
พวกเขาเข้าไปในจวนเฝิ่นหวานแล้ว บรรพจารย์เซียงจวินก็ให้ จ้าวฝูหยางไปท าธุระของตัวเอง สุดท้ายตอนที่นางหยุดยืนนิ่งก็แค่ กวาดตามองไปรอบหนึ่ง รู ้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพียงแค่เพราะนางไม่ได้ พบบรรพจารย์ลู่ ก็จริงนะ หากบรรพจารย์ลู่ไม่อยากจะเผยตัวจริงๆ ต่อให้อีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงข้ามนางก็ไม่รู ้จักเขา
เวลานี้นางรู ้สึกแค่ว่าแทบทุกคนที่อยู่ในห้องโถงจัดเลี้ยงทั้งหลาย อาจเป็ นบรรพจารย์ลู่ได้ทั้งหมด
จ้าวฝูหยางกลับไปที่ศาลบรรพชน อวี๋ฉุนจือคนรักของเขาจิตใจ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ล้อมภูเขาไม่สาเร็จก็ไม่เท่ากับว่ายืนนิ่งเฉยรอ ความตายหรอกหรือ? พวกอวี๋เจิ้น จ้าวแยนก็ไม่รู ้ว่าควรท าอย่างไร ได้แต่มองหน้ากันโดยที่พูดอะไรไม่ออก
บรรพจารย์เซียงจวินขบคิดเล็กน้อยก็เลือกห้องด้านข้างที่ ค่อนข้างห่างไกล พาเวินจื่อซี่และสิงจื่อไปนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง โต๊ะ ข้างๆ มีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่คล้ายจะเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใครนั่งอยู่ ข้างกันคือหญิงสาวที่มัดผมทรงกลม ใบหน้าตกกระ ผีโครงกระดูกที่ อยู่ในรูปลักษณ์ของปัญญาชนสวมชุดคลุมนกกระสา รวมไปถึง… หลวงจีนหัวโล้นที่หน้าตาถือว่าคมคายได้อย่างถูไถ
บนยอดเขามีเรื่องเล่าลือลับๆ เรื่องหนึ่งบอกว่าเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ า ยอวี้จิงมีความเกี่ยวพันกับเจินเหรินกระดูกขาว คงไม่ใช่ว่าโครง กระดูกจากสุสานโต๊ะข้างๆ ที่มองดูเหมือนขอบเขตต่าตื้นผู้นี้ก็คือการ บอกเป็ นนัยอย่างลับๆ จากบรรพจารย์หรอกกระมัง?
บรรพจารย์เซียงจวินอดไม่ไหวมองประเมินเขาอยู่หลายที ปัญญาชนสวมชุดคลุมนกกระสาคลี่ยิ้มบางๆ ผงกศีรษะให้กับผู้ฝึก ตนหญิงแปลกหน้าคนนี้ บรรพจารย์เซียงจวินยิ่งคลางแคลงไม่แน่ใจ มากกว่าเดิม คงไม่ใช่ว่าคนผู้นี้คือคนที่นางคิดจริงๆ หรอกนะ?
หญิงชรานั่งตัวตรงอย่างสารวม คาดเดาถึงการกระทาในครั้งนี้ ของบรรพจารย์เซียงจวินอย่างระมัดระวัง เวินจื่อซี่นั่งลงแล้วก็ยิ่งฉงน สนเท่ห์ รวมเสียงให้เป็ นเส้นสอบถามอย่างลับๆ ว่า “บรรพจารย์เซียง จวิน ท่านคิดจะท าอะไรหรือ?”
อันที่จริงตอนนี้บรรพจารย์เซียงจวินก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน นางเอา แต่หมกมุ่นคาดเดาว่าปัญญาชนสวมชุดคลุมนกกระสาใช่หรือไม่ใช่ จึงเพียงแค่ตอบรับอย่างขอไปทีว่า “ข้าย่อมมีแผนการของตัวเอง พวกเจ้าแค่กินดื่มไปก็พอ”
นางลังเลอยู่นาน ก่อนจะปลุกความกล้าใช ้เสียงในใจสอบถามผี แห่งสุสานที่ตรงเอวห้อยทั้งตราทัพทั้งหยกประดับโดยพยายามให้ น้าเสียงสงบนิ่งมั่นคงมากที่สุด “ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
เจ้าจวนป๋ ายค้นพบว่าตัวเองถึงกับถูกผู้ฝึกตนหญิงที่รูปโฉมอ่อน เยาว์งดงามคนหนึ่งเป็ นฝ่ ายชวนคุย จึงคิดแค่ว่าถึงคราวที่โชคมา เยือนตนแล้ว ในใจพลันคันคะเยอ แต่ถึงอย่างไรก็ถือตนเป็ นบัณฑิตที่ เคยอ่านต าราอริยะปราชญ์มาก่อนอยู่เสมอ ชินกับการวางมาดแล้ว จึงกระแอมสองสามที นึกถึงคาคุยโวที่เมื่อครู่นักพรตลู่เพิ่งจะโอ้อวด ให้ฟังไป ดูเหมือนว่าจะเอาสิ่งที่เพิ่งเรียนรู ้มาใช ้ได้พอดีจึงพูดกับผู้ฝึก ตนหญิงไปอย่างส่งเดชว่า “พบเจอกันโดยบังเอิญ ไยต้องถามถึงชื่อ แซ่ นั่งตรงข้ามกับสุรายังสงสัยว่าอยู่ในความฝัน แม้กระทั่งท่านก็ยัง สงสัยในตัวเอง”