กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1023.2 ภูเขาและสายน้าได้กลับมาพบกันใหม่
เผยเฉียนตอบ “ความสัมพันธ ์ระหว่างภูเขาเหอฮวานกับราช สานักทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงเช่นแคว้นชิงซิ่ง จะดีหรือไม่ดี เป็ นน้าบ่อ ที่ไม่ยุ่งกับน้าคลอง ยอมรับฮ่องเต้บ้านนอกอย่างจ้าวฝูหยาง หรือน้า หั่นหันอาวุธเข้าใส่กัน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วตัวตัดสินก็คือกอง กาลังของเฉิงเฉียนกับจ้าวฝูหยางที่ผลัดกันขึ้นผลัดกันลง ผู้ฝึกตน โอสถทองสองคนที่คุณสมบัติดีที่สุด ถูกกาหนดมาแล้วว่าผลสาเร็จ ในอนาคตจะสูงที่สุด ไม่ว่าใครที่ได้เลื่อนเป็ นขอบเขตก่อก าเนิดก่อน ก็ไม่มีทางทาให้เกิดสถานการณ์ชะงักค้างอย่างในเวลานี้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ก็เหมือนทะเลสาบซูเจี่ยนในปีนั้น หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วผู้ ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวได้หายตัวไปนานหลายปี ผู้คนพากันพูดไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าหลิวเหล่าเฉิงตายอยู่ใน พื้นที่ลับของสู่โบราณที่มีคราบร่างเซียนกระบี่อยู่มากมายไปนานแล้ว แล้วก็มีคนที่บอกว่าหลิวเหล่าเฉิงเปลี่ยนแปลงรูปโฉมใหม่ไปอยู่ใน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อยู่ในตาแหน่งสูงของสานักแห่งหนึ่ง จึง ตัดขาดความสัมพันธ ์กับชีวิตผู้ฝึกตนอิสระในอดีตไปแล้ว ถึงได้มอบ โอกาสในการช่วงชิงตาแหน่งผู้ครองทะเลสาบซูเจี่ยนให้กับหลิวจื้อ เม่าในภายหลัง แล้วอีกฝ่ ายยังมีลูกศิษย์ที่รับมาใหม่อย่างกู้ช่านและ
เจียวน้าที่พลังการสู้รบเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนก่อก าเนิด อาศัยความ บ้าระห่ากาเริบเสิบสานของลูกศิษย์คนเล็กและการเปิดฉากเข่นฆ่า ของเจียวน้าข่มขวัญเหล่าผู้ฝึ กตนอิสระของทั้งทะเลสาบไปได้และ หลิวจื้อเม่าก็ได้ลุกผงาดขึ้นมาเพราะเหตุนี้ หาไม่แล้วลาพังแค่จ้งซู่ แห่งเกาะหวงหลีซิ่ง เป็ นก่อก าเนิดเหมือนกันคนเดียว บวกกับดึงเจ้า เกาะคนอื่นๆ มาเป็ นพันธมิตรอีกสองสามคนก็มากพอจะท าให้สกัด คงคาเจินจวินเจอกับอุปสรรคอย่างหนักหน่วงได้แล้ว
หรือพูดไปไกลกว่านั้น ในอดีตฝ่ ายที่มีพื้นที่เขตอิทธิพลใหญ่ กว่า ยกตัวอย่างเช่นตู้เม่าแห่งส านักใบถงของใบถงทวีป คือผู้ฝึกตน ขอบเขตบินทะยานเพียงหนึ่งเดียว ตอนนั้นสวินยวนแห่งส านักกุย หยกยังเป็ นแค่เซียนเหริน จึงท าให้สถานการณ์บนภูเขาของใบถง ทวีปมั่นคงอย่างมาก
ต่อให้เจอกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แผ่นดินของหนึ่งทวีปจมดิ่ง ภูเขาสายน้าปริแตกพังภินท์ทว่ารอกระทั่งสงครามปิดฉากลง ลมและ น้าหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง สานักใบถงได้รับความเสียหายถึง ต้นกาเนิด จาต้องปิดภูเขาเพื่อฟื้นฟูตัวเอง ส่วนทางทิศใต้ที่เนื่องจาก ยังมีส านักกุยหยกอยู่ เพียงไม่นานก็กลับคืนสู่ระบบเดิมอีกครั้ง จวน เซียนและพรรคแห่งใหม่ก็แค่ถือโอกาสเข้ามาชดเชยตาแหน่งที่ขาด ไป
ก็เหมือนขวดใบเก่าที่บรรจุเหล้าใหม่
ย้อนกลับมามองทางทิศเหนือ ส านักใบถงสูญเสียอ านาจในการ ตัดสินใจไป เหล่าผู้กล้าบนภูเขาพากันลุกผงาด ทั้งสามารถพูดได้ว่า เกิดความวุ่นวายโกลาหล แล้วก็พูดได้ว่าเปี่ ยมไปด้วยพลังชีวิต เหลือล้น อารามจินติ่งเป็ นผู้นาขบวน ทาให้เกิดสัญญาแห่งท่าเรือใบ ท้อขึ้นมา
รอกระทั่งสานักกระบี่ชิงผิงสานักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วโผล่ ขึ้นมาบนโลก เพียงไม่นานก็ยุติสถานการณ์นี้ลง อาศัยพันธมิตรใหม่ มาขุดเจาะลาน้าใหญ่ เพิ่มความมั่นคงให้กับสถานการณ์ครั้งใหม่
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ เป็ นไปได้หรือไม่ว่า สมมติว่าเฉิง เฉียนไม่บีบคั้นคนเขาถึงขนาดนั้น ให้เวลาจ้าวฝูหยางอีกสักหน่อยก็ จะสามารถเปลี่ยนอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานที่เต็มไปด้วยมลพิษ สกปรกให้กลายมาเป็ นอย่างพรรคห้าเกาะของเจิงเย่ได้? ปรับพื้นที่ คับแคบและอันตรายให้ราบเรียบ เปิดเส้นทางให้ภูเขาและแม่น้าโล่ง โปร่ง ทาให้สถานที่แห่งนี้และอากาศสะอาดบริสุทธิ์รอบด้านเป็ น เหมือนจุดพักม้าที่ผู้คนสัญจรไปมาหากันได้ ไอสกปรกชั่วร ้ายเปลี่ยน จากเข้มข้นมาเป็ นอ่อนจาง การเพิ่มและลดของหยินหยางในพื้นที่ เปลี่ยนจากวุ่นวายมาเป็ นนิ่งสงบ ลมพัดโชยสดชื่น สถานที่ที่คนและ ผีพักอาศัยร่วมกันสงบสุขไร ้เรื่องราว แล้วภูเขาเหอฮวานค่อยอาศัย สิ่งนี้มาทาให้ได้รับการยอมรับจากสานักศึกษากวานหู จากนั้นก็จะ กลายมาเป็ นพื้นที่พิสูจน์มรรคาของจ้าวฝูหยาง เป็ นสถานที่ที่มังกร ลุกผงาด คือที่ตั้งแห่งรากฐานของสานักในอนาคต?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “บางทีนี่อาจจะเป็ นเส้นทางที่ดีที่สุด แล้ว มีความเป็ นไปได้อยู่แน่นอน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ทว่านับตั้งแต่นาทีที่ข้ารับปากจางไฉ่ ฉินและหยางหงโปแห่งหอชิงฝูว่าจะเข้าร่วมงานพิธีสวมกวานของรัช ทายาทแคว้นชิงซิ่ง ฮ่องเต้สกุลหลิ่ว เฉิงเฉียนเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น และสกุลจางเขตเทียนเฉาก็ไม่ปล่อยให้จ้าวฝูหยางและภูเขาเหอฮวาน ได้ปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว นี่จึงทาให้ความเป็ นไปได้ที่ ดีที่สุดนี้หายไปอย่างที่มองไม่เห็นด้วย”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันถาม “ในเมื่อมีเหตุก่อนหน้าและผลตามหลัง ถ้าอย่าง นั้นอาจารย์ใช่ตัวการร ้ายที่ทาลายความเป็ นไปได้นี้ แล้วก็ต้องโทษ ตัวเองเพราะเรื่องนี้หรือไม่?”
เผยเฉียนอัดอั้นยิ่งนัก ไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าว่า “สมมติว่าไม่จาเป็ นต้องโทษตัวเองใน เรื่องนี้ ก็จะไม่ต้องคนอื่นได้เหมือนกันใช่หรือไม่ หรือสมมติว่าสมควร จะต้องโทษตัวเอง ในใจมีความละอาย ก็จะสามารถโทษคนอื่นได้แล้ว หรือไม่?”
เผยเฉียนเกาแก้ม ยิ่งลาบากใจมากกว่าเดิม
แต่เพียงไม่นานนางก็ปล่อยวางได้ เดี๋ยวคราวหน้าจะเอาปัญหาที่ ชวนปวดหัวพวกนี้ลองเปลี่ยนวิธีพูดไปถามเฉาฉิงหล่างดู แล้วลองฟัง ดูก่อนว่าเขาจะตอบอย่างไร
เฉินผิงอันถึงกล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าสามารถลอบมองภาพใน ทะเลสาบหัวใจของคนอื่นได้คือศาสตร ์อย่างหนึ่ง ศาสตร ์นี้ตัวมันเอง ไม่มีการแบ่งแยกดีร ้าย หากสามารถใช ้ศาสตร ์นี้ได้อย่างเหมาะสมก็ คือประพฤติตนในทางที่ถูกต้อง สิ่งชั่วร ้ายทั้งปวงจะดับสูญไปเอง”
เผยเฉียนพยักหน้า
ในช่วงเวลาที่ถ่านดาน้อยสามารถหลบอยู่ในการปกป้ องคุ้มครอง ของตนได้ เขาก็มักจะกลัวว่านางจะเรียนรู ้ในสิ่งที่ไม่ดีไป ภายหลังเมื่อ นางสามารถเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้เพียงล าพังแล้วก็กังวลอีกว่า วิถีทางโลกจะไม่ดี
“เต๋ามอบภาพลักษณ์ สวรรค์มอบรูปกาย สวรรค์มอบให้แต่ไม่ ยอมรับไว้กลับจะถูกลงทัณฑ์”
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “แล้วนับประสาอะไรกับที่คา โบราณก็บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า คนเที่ยงตรงทาเรื่องชั่วร ้าย เรื่องชั่ว ร ้ายก็กลายเป็ นเรื่องถูกต้องได้ คนชั่วร ้ายทาเรื่องเที่ยงตรง เรื่อง เที่ยงตรงก็กลายเป็ นเรื่องชั่วร ้ายได้”
เฉินผิงอันก่นด่าอย่างอดไม่ไหว “ผายลมเจ้าน่ะสิ”
ลู่เฉินที่คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างอาจารย์และศิษย์คู่นี้อยู่ ตลอดรีบดื่มเหล้าหนึ่งอีก อาศัยสิ่งนี้มาปลุกความกล้า กระดกเหล้า ในจอกดื่มหมดแล้วถึงจะกล้าพยักหน้าแรงๆ พูดต่อด้วยใบหน้า ประดับยิ้มน้อยๆ “ใช่แล้วๆ เป็ นผินเต้าที่ประมาทไป หลักการเหตุผล เดียวกัน โน้มน้าวจ้าวฝูหยางโน้มน้าวเฉิงเฉียนได้ โน้มน้าวให้คน หนึ่งเป็ นคนดี โน้มน้าวให้อีกคนหนึ่งรู ้จักละเว้นคนอื่นในส่วนที่ละเว้น ได้ แต่หากเอามาโน้มน้าวแม่นางเผยกลับใช ้ไม่ได้แล้ว นับแต่โบราณ มามีเพียงความเป็ นไปได้ที่จะขอพรไว้สูงแต่เป็ นคนระดับสอง ไหนเลย จะมีเหตุผลที่ขอพรไว้ระดับสองแต่เป็ นคนระดับสูง”
ก็เหมือนเวลาหนึ่งชุ่นทองคาหนึ่งชุ่น หลักการเหตุผลนี้จะต่างไป ได้อย่างไร โน้มน้าวพวกเมล็ดพันธ ์บัณฑิตที่ไม่ต้องเป็ นกังวลเรื่อง การกินอยู่ แน่นอนว่าเหมาะสม แต่เอามาโน้มน้าวชาวไร่ชาวนาที่ ทางานหลังสู้ฟ้ าหน้าสู้ดินกลับจะตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่ายืนพูดไม่ปวด เอว
ลู่เฉินรินเหล้าหนึ่งจอก พูดกับตัวเองว่า “มิน่าเล่า มิน่าเล่า มิน่าเล่าพวกเราต่างก็ต้องขอพรระดับสูง เลือกให้หลักการเหตุผลใน ใจตัวเองยืนอยู่ในตาแหน่งสูง ตามหาสถานที่ที่ปลอดภัย เป็ นจุดที่ จิตใจเลื่อมใสใฝ่หา เห็นคนอื่นปฏิบัติดีแล้วก็ควรทาตาม”
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อของข้ากับอาจารย์ลุงฉีต่างก็ใส่ใจ จิตใจคนและความดีเลวของทุกคนในวิถีทางโลกใบนี้ เจ้าลัทธิลู่มี คุณธรรมชื่อเสียงสูงส่งมานานแล้ว ดั่งเรือกลวงที่ล่องไปไม่ถูกผูกมัด
มีอิสระเสรี ยังจะต้องใส่ใจผู้คน เรื่องราวทางโลกและความรุ่งเรือง ความเสื่อมโทรมของใต้หล้าอีกหรือ?”
ลู่เฉินคล้ายจะใจฝ่ ออยู่บ้าง “ลัทธิเต๋ากับศาสนาเต๋ายังมีความ ต่างกันอยู่บ้าง”
เผยเฉียนกล่าว “เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย”
นักพรตหนุ่มที่เพิ่งจะดื่มเหล้าเข้าปากคล้ายจะสาลักเพราะคาพูด ประโยคนี้ของเผยเฉียน เขารีบเงยหน้ายกมือปิดปาก พูดเสียงอู้อี้ว่า “เรื่องของการฝึกตน ไม่ว่าจะเรียนหมัดหรือฝึกลมปราณ อันที่จริงก็ ไม่ได้ต่างกันเท่าไร พูดไปแล้วก็หนีไม่พ้นค าว่า “ฝึ กอบรมตัวเอง ซ่อมแซมเย็บปะส่วนที่ขาด”
“ในตารามีคาถามและคาตอบอยู่ข้อหนึ่ง ถามว่าหากบิดามารดา ก าลังตกทุกข์ได้ยากหากขโมยเป็ นคนช่วยบิดามารดาข้าไว้ ข้าจะ ซาบซึ้งหรือไม่? ตอบว่านี่คือความกรุณาที่ยากจะพานพบ ไยจะไม่ ซาบซึ้งเล่า? นอกตาราก็มีการถามตอบอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อชาบซึ้ง จะ ตอบแทนอย่างไร?”
“ข้าและเจ้าคือกิ่งไม้ที่เชื่อมโยงถึงกัน ข้าและเจ้ามาจากร่าง เดียวกัน”
คากล่าวสามอย่างนี้ของลู่เฉิน มองดูเหมือนไม่มีความเกี่ยวข้อง กันเลย พูดถึงเรื่องของการฝึกตน พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้นและ
ความถูกต้องชอบธรรม อาศัยความสัมพันธ ์ระหว่างข้าและเจ้ามาพูด ถึงความสัมพันธ ์ระหว่างข้าและฟ้ าดิน
แน่นอนว่าสามารถเข้าใจได้ด้วยว่าลู่เฉินเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิง ก าลังอธิบายอย่างหยาบๆ ว่าท าไมผู้ฝึกตนบาเพ็ญตนต้องเดินขึ้นเขา ชี้บอกเส้นทางสาหรับเดินขึ้นเขา รวมไปถึงทัศนียภาพที่จะได้พบเห็น เมื่อเดินไปถึงยอดเขา
แล้วก็สามารถเข้าใจได้ว่าลู่เฉินเอ่ยอ้างตามเส้นสายเส้นที่เฉินผิง อันถามเผยเฉียนแล้วท าการ “เขียนค าวิจารณ์และให้เชิงอรรถ ขยาย ออกไป ทั้งเป็ นการอธิบายให้กับการกระทาของเฉินผิงอันที่ทะเลสาบ ซูเจี่ยน แล้วก็ยิ่งเป็ นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองอีกขั้นหนึ่ง เผยเฉียน หากปีนั้นไม่มีข้าลู่เฉินช่วยผูกด้ายแดงให้กับอาจารย์พ่อ ของเจ้าอยู่ในเมืองเล็ก เฉินผิงอันก็ไม่มีทางเป็ นเฉินผิงอันอย่างในทุก วันนี้ แล้วพวกเจ้าจะเป็ นอาจารย์และศิษย์กันได้อย่างไร? คืนนี้พวก เจ้าจะมานั่งกันอยู่ที่นี่ได้หรือ? ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ หากเจ้าคิดจะแก้แค้น ให้กับชุยเฉิงแห่งเรือนไม้ไผ่ก็ควรจะต้องตอบแทนบุญคุณข้าลู่เฉิน ก่อนหรือไม่?
เฉินผิงอันหัวเราะ อยู่ร่วมกับลู่เฉินจะบอกว่ายากก็ยาก จะบอกว่า ง่ายก็ยิ่งกว่าง่าย ในอดีตตอนที่เขาเป็ นเด็กเคยขบคิดจนได้เคล็ดลับ ข้อหนึ่งมา สรุปรวมเป็ นประโยคว่า “ความจริงแปดคา” นั่นก็คือเจ้า พูดเรื่องของเจ้า ข้าทาเรื่องของข้า หนึ่งเพราะเฉินผิงอันไม่รู ้สึกว่าลู่ เฉินจงใจก่อกวนจิตแห่งมรรคาของเผยเฉียน ลู่เฉินยังไม่ต่าช ้าถึง
ขนาดนั้น อีกอย่างคาพูดที่มองดูเหมือนมีความหมายลึกซึ้งประดุจ หลุมไร ้กันพวกนี้ หากลู่เฉินพูดกับเฉาฉิงหล่าง น่าจะก่อให้เกิดคลื่น ถาโถมในจิตแห่งมรรคาของเฉาฉิงหล่างได้ระลอกใหญ่ แต่พูดคุย เรื่องพวกนี้กับเผยเฉียนกลับไม่เจ็บไม่คันแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันก็ ยังเปลี่ยนเรื่องพูด เป็ นการแพร่งพรายความลับส่วนหนึ่งให้ลูกศิษย์รู ้ “ยอดเขาประหลาดที่เจ้าเคยไปเยือน อันที่จริงตั้งอยู่ในดาวอิ๋งฮว่อน อกฟ้ า คนประหลาดที่พบเจอ ผู้อาวุโสที่ลงจากภูเขามาพร ้อมกับเจ้า เขาก็คือปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารที่มีความผิดติดตัวจึงถูกขัง อยู่ในดาวอิ๋งฮว่อนานนับหมื่นปี”
เผยเขียนตกตะลึงอย่างหนัก คนประหลาดบนยอดเขาที่ดู ค่อนข้างเป็ นมิตรในความทรงจ าของนางถึงกับเป็ นปฐมบรรพบุรุษ สานักการทหารที่หายตัวไปนานหมื่นปีคนนั้น? เล่าลือกันว่าเขาคือ คนที่ถูกผู้คนร่วมกันสังหาร?
ไหนพูดกันว่ามรรคกถาของปฐมบรรพบุรุษส านักการทหารสูงส่ง อย่างมาก และนิสัยก็ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์มากอย่างไรเล่า?
แม้จะบอกว่าการขึ้นเขาและลงเขาของนางครั้งนั้นเป็ นไปอย่าง แปลกประหลาด เวลาที่เผยเฉียนได้อยู่ร่วมกับอีกฝ่ ายไม่ถือว่ามาก แต่นางกลับรู ้สึกว่าอีกฝ่ ายเป็ นคนที่พูดง่ายอย่างมาก ไม่ดุร ้ายเลยสัก นิด
เพียงแต่ว่าปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารมีความเกี่ยวข้องอะไร กับเส้นทางการเรียนวรยุทธ ท าไมเขาถึงได้ไปปักหลักอยู่บนยอดเขา
สูงสุดของวิถีวรยุทธที่ดูเหมือนว่าจะเป็ นภูเขาสูงซึ่งจาแลงจากมหา มรรคา?
นี่ก็คือการสืบทอดของสายเรือนไม้ไผ่แล้ว ชุยเฉิงสอนหมัด ป้ อน หมัดให้กับเฉินผิงอันมาจนถึงภายหลังที่สอนหมัดให้เผยเฉียน ผู้เฒ่า ไม่เคยชอบเล่าเรื่องลับนอกเหนือจากวิชาหมัดจริงๆ
ส่วนนิสัยของปฐมบรรพบุรุษส านักการทหารเป็ นอย่างไร หมัด หนักหรือไม่ หันอวี้ซู่เซียนเหรินแห่งสานักว่านเหยาที่โดนไปแค่ครึ่ง หมัดก็ตายแล้ว น่าจะเป็ นหลักฐานชั้นดี
เฉินผิงอันที่ใช ้ขอบเขตปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธปลายทาง มาต้านรับ “ครึ่งหมัด” ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดที่เหลืออยู่ก็มี สิทธิ์มีเสียงที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนกัน
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่จาเป็ นต้องรับครึ่งหมัดนี้ก็ได้ เพียงแต่ว่า ถ่านดาน้อยที่ตอนเด็กขี้ขลาดมากมาโดยตลอด มีครั้งหนึ่งที่หลังจาก ฝ่ าทะลุขอบเขตด้วยการเป็ นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เผยเฉีย นก็คล้ายจะฝันไปตื่นหนึ่ง นางฝันว่าอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งแล้วไปอยู่ ข้างกายของคนประหลาดที่จาใบหน้าไม่ได้ จาได้แค่ว่าเขาตัวสูงมาก นางใจกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็ นมาก่อน รู ้สึกเพียงว่าถึงอย่างไรก็อยู่ใน ความฝัน ยังต้องกลัวอะไร ระหว่างที่ลงจากภูเขาไปด้วยกัน ถ่านด า น้อยจึงเอาอย่างห่านขาวใหญ่ กระโดดปล่อยหมัดใส่คนประหลาดผู้ นั้นไม่หยุดพร ้อมส่งเสียงร ้องชื่อฮ่า ถามเขาซ้าๆ ว่ากลัวหรือไม่ กลัว หรือไม่…
น่าจะเป็ นเวลานั้นปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารถึงได้จดจา อาจารย์พ่อของแม่นางน้อยเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่ไม่ได้ เลื่อนเป็ นขอบเขตยอดเขาเสียที ทว่าลูกศิษย์กลับเป็ นครามที่เกิด จากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม จึงจดบัญชีนี้ลงบนหัวของเฉินผิงอัน
ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “โอ้โห ในที่สุดก็เอาอาหารจานหลักขึ้น โต๊ะแล้ว”
ตรงหน้าประตูภูเขา ฝูงแมลงยั้วเยี้ยน่าขยะแขยงที่ก่อนหน้านี้กรู เข้าหาต้นจามจุรีเหมือนน้าขึ้นพากันถอยร่นเหมือนน้าลง สิ่งที่เข้ามา แทนที่คือไอสีขาวท่ามกลางม่านราตรีลอยขึ้นจากล่างสู่บน หมอก ขาวประหลาดที่ทั้งไม่ใช่กลิ่นอายดินและไอสกปรกของบนภูเขาขุม นั้นพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วเมืองเฟิงเล่อตรงตีนเขา แล้วแผ่ขยายลาม มาปกคลุมทั่วทั้ง อาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน เห็นเพียงว่านอกจาก จวนอินอวินและจวนเฝิ่นหวานแล้วทุกหนทุกแห่งมีแต่ไอหมอกแผ่ คลุม อยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ยังยากจะแยกแยะได้ว่าใครเป็ นใคร นอกจากนี้ยังมีจุดแสงสีทองเป็ นกลุ่มๆ ที่สว่างจ้าขึ้นมาจากในศาล บรรพชนประจ าตระกูลบนภูเขาจุ้ยยวน แล้วทันใดนั้นจุดแสงที่ลอยอยู่ กลางอากาศก็พลันหล่นลงพื้น เหมือนลูกกลมเล็กๆ ที่กลิ้งไปบนพื้น ก่อนที่แสงสีทองจะมารวมกันจนมีขนาดใหญ่เหมือนวงล้อครั้นพลัน แตกกระจายสาดยิงออกไปเหมือนแสงรุ ้งแสงอรุโณทัย แสงสีทองที่ ร่วงลงมากับไอหมอกสีขาวที่ลอยขึ้นพุ่งรัดพัวพันเข้าด้วยกัน
ขณะเดียวกันฦจวินสองท่านของภูเขาเหอฮวานก็พร ้อมใจกัน ปรากฏตัวในที่สุด เป็ นผู้มาดาเนินงานเลี้ยงรับลูกเขยแต่งบุตรสาว ครั้งนี้ด้วยตัวเอง นี่ทาให้แขกทั้งหลายโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจาก อก หาไม่แล้วก็กังวลจริงๆ ว่าจ้าวฝูหยางจะมีเจตนาร ้าย
อวี๋ฉุนจือได้แอบถอนกระโจมเสน่หาของจวนเฝิ่นหวานออกอย่าง เงียบเชียบไปแล้ว นกขมิ้นที่บินรวดเร็วเหมือนกระสวยทอผ้าก็ถูกเก็บ กลับมาพร ้อมกันด้วย สุราราคาแพงหูฉี่มื้อนี้ถือว่าจ่ายเงินไปอย่าง เสียเปล่าแล้วจริงๆ
จ้าวฝูหยางมีสีหน้าเคร่งเครียด พอเปิดปากพูดก็บอกข่าวที่ย่าแย่ ที่สุดทันที “เพิ่งจะได้รับรายงานว่าสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งร่วมมือกับ ฮ่องเต้อีกสองพระองค์ที่อยู่ใกล้เคียง พร ้อมด้วยสกุลจางเขตเทียนเฉา แอบโยกย้ายกองก าลังกองทัพชายแดนของแต่ละแคว้นมารวมตัวกัน อย่างเงียบเชียบ คิดจะล้อมปราบภูเขาเหอฮวานในคืนนี้ เชื่อว่าเวลานี้ พวกเขาน่าจะก าลังเดินขบวนรบกันแล้ว”
“เพราะระหว่างทางมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าคอยช่วย เปิดทางให้ ไม่พูดถึงผู้ฝึกตนทาเนียบกลุ่มนั้น พูดถึงแค่กองทัพฝีมือ ดีสามกองของราชส านัก ความเร็วในการผลักดันรุดหน้าก็มิอาจดู แคลนได้ อย่างช ้าสุดพรุ่งนี้เช ้าก็จะมาโจมตีที่เมืองเฟิงเล่อตรงตีนเขา ก่อนหน้าที่จะเป็ นเช่นนั้น ถ้าสถิตและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของทุก ท่านที่โชคร ้ายขวางเส้นทางทั้งสามเส้น เกรงว่ามีแต่จะถูกพวกเขา ท าลายจนย่อยยับโดยไม่เปลืองแรงสักกะฝึก หากจะบอกว่าให้พวก
เจ้ารีบกลับไปควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่ตอนนี้ ทาก็ทาได้อยู่หรอก และข้าก็จะไม่ขัดขวางด้วย แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ออกจากภูเขาเหอฮ วานไปยังยอดเขาโพโม่ ได้พบกับเฉิงเฉียนและจางไฉ่ฉินแล้ว เพียงแต่ว่าเจรจากันไม่ส าเร็จ อีกฝ่ ายวางท่าชัดเจนว่าต้องการถอน รากถอนโคน ไม่คิดจะให้โอกาสกับใคร”