กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1024.
เวลานั้นนางยังเป็ นเด็กสาวไม่รู ้ประสา ปลายคางเล็กแหลม ดวงตากลมโต เมื่อเด็กสาวมองเห็นกวานเต๋าบนศีรษะของลู่เฉินก็ ซักไซ ้จะเอาผิดที่เขากระทาการล้าเส้นเกินฐานะให้จงได้
หากฉลาดหน่อยก็น่าจะเดาตัวตนและสาเหตุออก โง่หน่อย เกรง ว่าคงจะเก็บกลั้นเอาไว้ไม่แสดงออก ค่อยหาโอกาสไปแจ้งข่าวให้กับ ส านักและผู้อาวุโสทราบ
ในวิถีทางโลกที่ซับซ ้อน ความไร ้เดียงสาของมนุษย์ก็คือกระบี่ไร ้ ฝักเล่มหนึ่งที่ได้แต่แขวนไว้บนผนังที่มีชื่อว่าวัยเด็กหรือไม่ก็เยาว์วัย
บางทีในบางครั้งที่ได้หวนกลับไปยังบ้านเกิดแห่งใจ ก็ได้แค่มอง มันสองสามที มิอาจเอามันมาไว้ข้างกายได้ตลอดไป
ลู่เฉินพูดกึ่งยิ้มกิ่งบึ้ง “เฉาเทียนจวิน เจ้าไม่ใช่คนซื่อเลยนะ”
เฉาหรงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เดาออกว่าท าไมอาจารย์ถึงได้ สัพยอกตนเช่นนี้ ได้แต่บากหน้าเอ่ยว่า “ศิษย์น้องหญิงเฮ้อกังวลว่าจะ ถูกอาจารย์ตาหนิ ดังนั้นจึงขอร ้องให้ศิษย์ช่วยปิดบัง”
ที่แท้ก่อนที่จะออกเดินทาง เฮ้อเสี่ยวเหลียงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะยอมสละถ้าสวรรค์แห่งหนึ่ง บวกกับการที่นางขอบเขตถดถอย
เป็ นราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็ต้องขัดขวางการฝ่ าทะลุขอบเขตของป๋ า ยฉางให้จงได้
เพียงแต่เพราะป๋ ายฉางฝ่ าทะลุขอบเขตออกจากด่านมาเร็ว เกินไป ถึงได้ท าให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงทาการค้าขาดทุนซึ่งเรียกได้ว่า ยอมให้ตัวเองเสียหายหนึ่งพันเพื่อสังหารศัตรูแปดร ้อย สิ่งที่คาดหวัง กลายเป็ นความว่างเปล่า
ลู่เฉินเองก็คร ้านจะถือสาเรื่องนี้ เพียงเอ่ยว่า “คราวหน้าเจ้าไป บอกกับเซียงจวินสักค าว่าให้คืนสถานะในท าเนียบของต าหนักหลิง เฟยให้คนผู้นี้”
เฉาหรงก้มหน้ากุมมือคารวะ “น้อมรับคาสั่ง”
เฉินผิงอันออกมาจากยอดเขาโพโม่แล้วก็ตรงดิ่งกลับไปที่เดิม นั่นคือซากปรักโบราณแห่งหนึ่ง
ตระกูลเซียนสามารถเดินตามรอยของคนโบราณ
ก่อนหน้านี้ไล่ตามบันทึกในอักขรานุกรมท้องถิ่นเล่มหนึ่งมา แล้ว เฉินผิงอันก็เจอภูเขาลึกที่นับแต่โบราณมาก็ถูกชาวบ้านในท้องถิ่น มองเป็ นที่พักอาศัยของเซียนจริงๆ เพียงแต่ว่าศาลในภูเขาถูกทิ้งร ้าง ไปนานแล้ว ไม่มีควันธูปโชติช่วงหน้าประตูไม่จอแจเหมือนตลาด อย่างในประวัติศาสตร ์อีก ทว่าเฉินผิงอันกลับเจอต้น “สนเกล็ด น้าค้างแข็ง” ที่ถูกบันทึกไว้ในจารึกภูเขามหาสมุทรบทเสริมข้าง เส้นทางสายเก่าอยู่หลายต้น ต้นสนโบราณประเภทนี้สามารถ
รวบรวมจิตวิญญาณดวงจันทร ์ให้ไม่สลายไปไหน ต้นสนใต้แสง จันทร ์เป็ นสีเงินดุจสีหิมะระยิบระยับ
เฉินผิงอันมองต้นสนโบราณพวกนั้นแล้วพิจารณาถึงปัญหายาก สองข้อ ขอบเขตไม่มากพอ มิอาจร่ายวิชาจักรวาลในชายแขนเสื้อซึ่ง เป็ นวิชาอภินิหารของห้าขอบเขตบนได้อย่าว่าแต่วัตถุฟางชุ่นเลย ต่อ ให้เป็ นวัตถุจื่อชื่อก็ยังบรรจุต้นไม้โบราณประเภทนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น จะขนหรือไม่ขน จะขนอย่างไร?
หากจะให้แบกต้นสนบินทะยานไปท่ามกลางทะเลเมฆ ถึงอย่างไร ก็ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร
ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันเดินออกมาจากชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ นวดคลึงข้อมือ มองไปยังทิศไกลท่ามกลางม่านราตรี ดวงดาวอยู่ในระนาบสายตา ฟ้ าและดินผสานเป็ นหนึ่ง ราวกับว่าแค่ต้องควบม้าห้อทะยานก็จะไป ถึงสุดขอบฟ้ าได้แล้ว
เพราะไปเจอกับลู่เฉินที่ภูเขาเหอฮวาน เขาจึงเปิดอ่านตาราที่ เกี่ยวข้องอยู่ที่นี่ อย่างเช่นบทเจ็ดดวงดาวในต ารา “หลักส าคัญของ ห้าธาตุ” บทเรียนว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร ์บันทึกว่าด้วยดนตรีและ ปฏิทิน คัมภีร์ว่าด้วยพิธีกรรม-บทบัญญัติประจ าเดือน เป็ นต้น และยัง มี “เหอกวานจื่อ” กับ “แผนภูมิดวงดาว” ที่ยืมอ่านจากอารามหวงฮวา
ใบถงทวีป อันที่จริงเขาเคยอ่านหลายครั้ง แล้วก็ท่องจาได้ขึ้นใจมา นานแล้ว ก็แค่ทบทวนสิ่งเก่าเพื่อเรียนรู ้สิ่งใหม่เท่านั้น
เดินไปบนทางสายเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว เดินไปถึงบริเวณ ใกล้เคียงเรือนพักของพ่อครัวเฒ่า ได้ยินเสียงหัวเราะที่เป็ น เอกลักษณ์ประจาตัวของเฉินหลิงจวินกับเจิ้งต้าเฟิงแว่วๆ มาแต่ไกล เฉินผิงอันใช ้หัวเข่าคิดก็ยังรู ้ว่าพวกเขาท าอะไรกันอยู่ ก็คงดูบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้าน่ะสิ เดิมคิดจะหมุนกายจากไป แต่ลังเลอยู่ ชั่วครู่ เฉินผิงอันก็ยังเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เดินไปยังห้อง ด้านข้าง ทั้งสองห้องล้วนไม่ได้ปิ ดประตู เขายืนเอนกายพิงกรอบ ประตู สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นเพียงว่าบนโต๊ะในห้องมีวัตถุ วิเศษที่ใช ้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ากองกันเป็ นพะเนิน ตอนนี้ที่พวกเขากาลังดูกันอยู่คือม้วนภาพภูเขาสายน้าของจวน เซียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป มีเทพธิดาเรือนกายอรชร อ้อนแอ้นคนหนึ่งกาลังเดินเยื้องย่าง เจิ้งต้าเฟิงลูบปาก เอ่ยวิจารณ์ไป ประโยคหนึ่งว่า ดีดพิณส่งเดช! เฉินหลิงจวินเห็นสตรีผู้นั้นนั่งลงหน้า โต๊ะเครื่องแป้ งแล้วเริ่มรวบผม เด็กชายชุดเขียวก็หัวเราะหึหึ บอกว่า แค่มองนางรวบผม ข้าก็รู ้แล้วว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา…
เซียนเว่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วย คาพูดบางอย่างของพี่น้องต้าเฟิงและ สหายจิ้งชิงที่เมื่อก่อนฟังด้วยความมึนงงสงสัย ตอนนี้คนเฝ้ าประตูผู้นี้ แค่ฟังก็เข้าใจได้แล้ว
นี่จึงเป็ นเหตุให้เฉินหลิงจวินมักจะชมว่าเขาหัวไว
มีเพียงพ่อครัวเฒ่าที่นั่งอยู่ตรงจุดอื่นเพียงลาพัง กาลังดูบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้าของบัณฑิตที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวง แล้วตอนกลางคืนเข้าพักที่เรือนผี มือหนึ่งถือจานกับข้าว คือถั่ว เหลืองคั่ว พ่อครัวเฒ่าโยนถั่วเหลืองคั่วสองสามเม็ดใส่ปาก กาลังมอง เสื้อผ้าสีขาวและสีแดงสองชุดลอยวนอยู่กลางอากาศนอกหอเรือน แห่งหนึ่ง
พ่อครัวเฒ่าลุกขึ้นยืน คิดจะยกที่นั่งให้ เฉินผิงอันไม่อยากจะ รบกวนอารมณ์สุนทรีของพวกเขาจึงโบกมือแล้วเดินจากมา
ทางฝั่งของเส้นทางภูเขา เฉินยวนจียังคงฝึกหมัด ตอนนี้สายตา ที่นางมองเจ้าขุนเขาหนุ่มไม่เหมือนสายตาระแวงโจรมากเท่าเก่าแล้ว
เมื่อก่อนพอเฉินผิงอันคิดถึงเรื่องนี้ก็โมโห ในเรือนของพ่อครัว เฒ่ามีแต่พวกบ้ากามทั้งคนแก่ทั้งเด็ก ไม่มีใครเป็ นคนชื่อสักคน เจ้า ไม่ระแวดระวังป้ องกันพวกเขา แต่ดันมาระแวงวิญญูชนผู้เที่ยงตรง อย่างข้าเนี่ยนะ?
เดินขึ้นไปบนบันได นึกถึง “มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาด” ที่ห ลี่ซีเซิ่งมอบให้ขึ้นมาได้คือตาราบางๆ เล่มหนึ่งที่บันทึกยันต์ไว้แปดสิบ กว่าชนิด แบ่งออกเป็ นสามระดับคือบนกลางล่าง สอดคล้องกับสาม ขอบเขตบนกลางล่างของผู้ฝึกลมปราณ
ตอนนั้นระหว่างที่เจ้าลัทธิลู่มอบตบะขอบเขตสิบสี่ให้เฉินผิงอัน ยืมใช ้ชั่วคราว อิ่นกวานหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ ใช ้สิ่งของให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด” ระหว่างที่เดินทางท่องไปในภูเขาสายน้าของแจกัน สมบัติทวีป ฉวยโอกาสตอนที่ขอบเขตสูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก แล้วต้อง “เป็ นคนอยู่สูงมองลงต่า” วาดยันต์ระดับสูงที่อยู่ในหน้าท้ายๆ ของมหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาดด้วยจานวนที่มากน่าดูชม แต่ หลังจากนั้นมา ต่อให้เป็ นภายหลังที่ไปถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่ก็ไม่ เคยได้เอาออกมาใช ้ ยันต์สามร ้อยกว่าแผ่นจึงถูกเฉินผิงอัน “ผนึก ภูเขา” ใส่กล่องไม้ใบเล็กไว้ทั้งหมด เป็ นสมบัติกันกรุสมชื่ออย่าง แท้จริง
เฉินผิงอันมาที่หน้าประตูภูเขา นั่งลงข้างโต๊ะ
ขอบเขตสามารถยืมใช ้กันได้ แต่เรื่องของการวาดยันต์ด้วย ตัวเองยังต้องเผาผลาญปราณวิญญาณที่สะสมไว้ในร่างกายของ ตัวเอง การหายไปของปราณวิญญาณพวกนี้ก็คือ “เงินทุน” ของการ วาดยันต์สามร ้อยแผ่นนั้นแล้ว
ลองค านวณดู หากอิงตามราคาตลาดบนภูเขา หักลบปราณ วิญญาณเป็ นเงินเทพเซียน หากเฉินผิงอันเลือกที่จะขายยันต์ทั้ง กล่องนั้น เขาก็จะได้กาไรมาไม่น้อยเลย
เพียงแค่เพราะยันต์พวกนี้มีระดับสูง ระดับชั้นของตราผนึกปิ ด ภูเขาก็เหมือนเรือที่ลอยตามน้าขึ้นไปด้วย ตอนนั้นเฉินผิงอันคิดว่า ในเมื่อเป็ นขอบเขตหยกดิบแล้ว จะเลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่ น่าจะยากอะไร จึงขุดหลุมที่ไม่เล็กหลุมหนึ่งไว้ให้ตัวเอง ผลคือพอไป เยือนใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมารอบหนึ่ง ขอบเขตก็ถดถอยกลายเป็ น
ก่อกาเนิด จนถึงตอนนี้ก็ยังกลับคืนสู่หยกดิบไม่ได้ ความยากล าบาก ขมขืนนี้มีแต่ตัวเขาเองที่รู ้
ผู้ฝึ กลมปราณวาดและเรียกยันต์แผ่นหนึ่งออกมาก็คือข้อ พิถีพิถันในด้านการเปิดประตูและปิดประตู
ส่วนผู้ฝึกยุทธวาดยันต์ ความเร็วในการไหลหายไปของปราณ วิญญาณเหมือนน้าท่วมทะลักท านบ หลุดออกจากการควบคุมไป แล้วก็รั้งกลับคืนมาไม่ได้อีก
ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง แต่หากวันใดที่รู ้วิธีการที่ แท้จริงแล้ว เชื่อว่าต้องเป็ นทัศนียภาพอีกอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน
อวี๋โจว
ใช ้ชีวิตอยู่บนภูเขาโดยอาศัยไปพักแรมในวัด อาหารการกินจืด ชืดเรียบง่าย ผักมากเนื้อน้อย เต้าหู้ที่วัดบดเองก็รสชาติฝืดคอ กิน อาหารเจจืดๆ มานานหลายเดือน ไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมานานมากแล้ว ลูก ศิษย์ลัทธิขงจื๊อเคยคิดจะซื้อปลากลับมานึ่งกินเอง แม้จะเป็ นแขกแต่ การทาเช่นนี้ก็ถือว่าผิดศีล อีกทั้งย่อมต้องถูกพวกภิกษุในวัดแค้น เคือง จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้
ในภูเขาไร ้กระจก คิดจะมองเห็นตัวเองจึงเป็ นเรื่องยาก มีเพียงทุก วันเวลาคัดตัวอักษรเท่านั้นที่มองเห็นเส้นเอ็นบนหลังมือเริ่มปูดนูน ขึ้นมา
กระดาษในวัดทาขึ้นอย่างหยาบๆ ยามที่จรดพู่กันก็เหมือนลาแก่ แบกของหนักเดินขึ้นเขา ระหว่างที่หยุดพักจากการเขียน ลูกศิษย์ ลัทธิขงจื๊อสะบัดข้อมือ ใช ้นิ้วมือลูบเส้นผมตรงจอนหู คิดดูแล้วเส้น ผมก็น่าจะเป็ นสีเดียวกับเมฆขาวแล้วกระมัง
ยามราตรี ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจุดตะเกียงอ่านคัมภีร ์พุทธ มีเสียง กระดิ่งที่ห้อยใต้ชายคาอยู่เป็ นเพื่อน ดวงดาวบนฟ้ าอยู่ห่างจาก หลังคาไปไม่ไกล สามารถใช ้ไม้ไผ่สอยดาวดวงสองดวงมาแทนแสง เทียนได้
ยามเช ้าตรู่ เสียงระฆังดังกังวาน ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสวมเสื้อผ้า สวมรองเท้า เปิดประตูหน้าต่าง เมฆขาวก็ลอยทะลุเข้ามาอย่างที่มิ อาจสกัดขวาง เมฆหนาหนักดุจผ้าห่มนวม
ตัวคนเหมือนนั่งอยู่ในจักรวาลที่ยุ่งเหยิง ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้ว ทั้งห้า ในปากและจมูกเต็มไปด้วยไอเมฆขาว รมอวลอยู่ในปากใน จมูกเหมือนคนดื่มเหล้าเมามาย ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหัวเราะแผ่วกับ ตัวเอง คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีเหล้าเมฆาด้วย
ไอหมอกจางลงแล้ว เณรน้อยที่ยังไม่ได้บวชเป็ นพระของที่วัดก็จะ ยกกล่องอาหารมาให้ตรงเวลา ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของภิกษุ ลูก ศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็ นสีดอกเลา นั่งกินอาหารอยู่ ท่ามกลางเมฆหมอกเพียงล าพัง โจ๊กขาวชามใหญ่ กับข้าวอีกสอง จาน จานหนึ่งคือเต้าหู้หมัก อีกจานคือผักดองเค็ม บางครั้งลูกศิษย์ ลัทธิขงจื๊อก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นผีเสื้อหลากสีบินล้ออยู่ใต้ชายคา ก่อน
จะไปติดกับใยแมงมุมเก่า กระพือปีกสองข้างก็ยังบินออกไปไม่ได้ ลูก ศิษย์ลัทธิขงจื๊อจึงวางชามข้าวลง ลุกขึ้นยืน หยิบไม้ไผ่เก่าๆ ลาหนึ่งที่ ใช ้เป็ นไม้เท้าเดินป่ามาปัดหยากไย่ออกช่วยผีเสื้อ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ กลับไปนั่งที่โต๊ะ ระหว่างที่เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด เห็นใยแมงมุม ขาด ในใจก็เกิดคาถามข้อหนึ่ง คิดจะเอาไปถามหลวงจีนเจ้าอาวาส กินข้าวอิ่มแล้วก็ออกจากห้องไปเดินเล่น เดินไปตามชายคาอ่าน ‘กฎระเบียบในการรับศีล กฎระเบียบเคร่งครัด แต่บางครั้งก็มีคาผิด
วันนี้มีแขกสูงศักดิ์ขึ้นเขามาที่วัด พาบ่าวรับใช ้มาด้วยหลายสิบ คน คนที่เป็ นผู้นาอายุครึ่งร ้อยปี พูดจาสุภาพเป็ นทางการ ก้าวเดิน เนิบช ้ามีสง่าราศี มากไปด้วยบารมี ไม่เห็นเจ้าอาวาสออกมาต้อนรับ มีเพียงภิกษุที่ทาหน้าที่ต้อนรับแขกก้มหัวยิ้มแย้มพูดคุยด้วย พวกบ่าว รับใช ้ล้วนรออยู่ในห้องรับแขก เสียงหัวเราะครื้นเครงดังเป็ นระยะ แขก ผู้สูงศักดิ์เดินเที่ยวไปพร ้อมกับภิกษุที่ทาหน้าที่ต้อนรับแขก แล้วก็ หยุดเดิน เอาสองมือไพล่หลัง เพ่งตามองตัวอักษรของที่เขียน กฎระเบียบในการรับศีล แขกผู้สูงศักดิ์เงียบไปนาน ถามภิกษุที่ทา หน้าที่ ขอนรับแขกว่าตัวอักษรที่แกะสลักพวกนี้ทาจากทองแดงหรือ ชุบด้วยทอง?
หลังฝนตกท้องฟ้ าสดใส มักจะง่วงได้ง่าย ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเพิ่ง จะนอนกลางวันไปไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างตะโกนเรียกจาก เณรน้อยที่คุ้นเคยกันดี อาจารย์เฉิน อาจารย์ซาน ซานหลิงเซียนจวิ
นบงการให้เมฆห้าสีมารวมตัวกันอยู่ใต้ตัวอักษรหน้าผารวมเซียนอีก แล้ว งดงามน่าตะลึงอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเดินออกจากวัด ขึ้นเขาไปพร ้อมกับเณรน้อย ใช ้ไม้เท้าไม้ไผ่แหวกต้นไม้แห้งหรือไม่ก็กิ่งต้นสนที่ขวางบนเส้นทาง
มักจะมีปัญญาชนมาขุดเอารากไม้ไผ่แก่ไปท าเป็ นไม้เท้าเดินป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถาวัลย์โบราณในภูเขาที่มีอายุยาวนานที่หากเอา มาทาเป็ นไม้เท้าจะเป็ นที่ชื่นชอบของพวกขุนนางชั้นสูงที่มีอายุมาก แล้วอย่างมาก ราคาก็ไม่ธรรมดา
ภูเขาลูกนี้มียอดเขาหลายแห่ง มักจะมีเมฆหมอกโอบล้อมอยู่ เสมอ ไม่เปิ ดเผยหน้าตาให้มนุษย์ธรรมดาเห็นง่ายๆ ภูเขาสูงชัน อันตราย เส้นทางคดเคี้ยว วัดอยู่สูงในชั้นเมฆ
เงยหน้ามองยอดเขาทั้งหลาย เห็นไอหมอกลอยอ้อยอิ่ง ประหนึ่ง พูดคุยถามมรรคาต่อหน้า ดึงหูสั่งสอนอย่างจริงจัง
วัดที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาแห่งนี้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร ์ของแจกัน สมบัติทวีป แต่กระนั้นควันธูปก็ยังบางเบา วัดอีกหลายแห่งบนภูเขา ล้วนมีขนาดเล็กทั้งยังไร ้ชื่อเสียง ควันธูปจะน้อยแค่ไหน แค่คิดก็พอจะ รู ้ได้
ยอดเขาแห่งนี้มีวัดเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ใกล้ยอดเขา ตั้ง ตระหง่านเคียงข้างก้อนเมฆเพียงลาพัง อาคารสร ้างขึ้นอย่างเรียบง่าย
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อมาที่นี่พร ้อมกับเณรน้อยหลายครั้งแล้ว ผู้ที่มา ต้อนรับแขกไม่ใช่ภิกษุที่จาวัด แต่เป็ นเสียงหมาที่เห่าดังระงม
ภูเขาสูงสายลมก็เยือกเย็น ต่อให้เข้าสู่ช่วงดูร ้อนแล้ว ว่ากันว่า ภิกษุก็ยังสวมชุดผ้านวมกันอยู่ สี่ฤดูของทั้งปี ไม่จาเป็ นต้องใช ้พัด หากจะมีแขกมาหลบพักร ้อนที่นี่บ้างก็มักจะเป็ นช่วงเวลาที่อากาศ ร ้อนแผดเผาที่สุด
ในลานวัดมีสระน้าเล็กๆ อยู่สระหนึ่งลึกสองฉื่อ น้าท่วมก็ไม่ล้น ออก หน้าแล้งก็ไม่แห้งขอด น้านี้เหมือนพระพุทธรูปโบราณ ไม่มีทั้ง เสียงและกลิ่น ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเคยพิศดูโครงสร ้างหินอย่างละเอียด ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีน้าหยดออกจากภูเขาไหลมายังโลกมนุษย์เลย
ด้านข้างวัดโบราณที่หน้าผารวมเซียนที่สร ้างศาลาไว้หลังหนึ่ง
ทุกครั้งที่ปัญญาชนมาชมทะเลเมฆที่นี่จะต้องตั้งท่าประหลาด เสมอ นั่นคือเอามือซ ้ายท าเป็ นหมัดวางแนบไว้ข้างเอว
จากนั้นเณรน้อยก็จะได้ยินอีกฝ่ ายพูดถ้อยคาประหลาดยาวเป็ น พรวน พอเงี่ยหูตั้งใจฟังก็รู ้สึกเหมือนเป็ นบทสวดของลัทธิพุทธ เณร น้อยฟังออกแค่สองคาหัวกับท้าย ทั้งเหมือนเสียงระฆังโบราณดังอื้อ อึง แล้วก็คล้ายเสียงวัว ระหว่างนั้นเป็ นเสียงที่แผ่วเบามาก สุดท้ายก็ คือเสียงครืนดังลั่นเหมือนเสียงฟ้ าผ่า
เณรน้อยถามอย่างใคร่รู ้ว่านี่คืออะไร ปัญญาชนเพียงยิ้มไม่ยอม ตอบ พูดแค่ว่าวันหน้าหากมีวาสนาก็จะได้รู ้เอง