กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1024.1 วัยเด็กคือลิ่มที่ปักหมุด
โรงเรียนแห่งหนึ่งในหมู่บ้านชนบท มีอาจารย์สอนหนังสือนามว่า เฉินจี้กาลังชี้แนะท่าเดินวิชาหมัดให้กับลูกศิษย์
ตอนที่จ้าวซู่เซี่ยหยุดพัก อารมณ์ของเขาซับซ ้อนยิ่ง เพราะตอน กลางวัน อาจารย์เกือบจะถูกสตรีดุร ้ายคนหนึ่งที่บุกเข้ามาในโรงเรียน ข่วนหน้า
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยาม วิกาล อู๋ตีนักพรตที่ตั้งแผงดูดวงเข้าครัวทาอาหารมื้อดึกกินไปแล้วก็ เดินออกจากเรือนไปในยามราตรี ระหว่างทางเดินผ่านที่ว่าการ อาเภอฉางหนิง เห็นว่าศาลหยาเสินแห่งนั้นยังมีแสงไฟจุดสว่างไสว น่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นอีกแล้ว นักพรตเดินไปทางทิศเหนือ เดินอยู่ ในตรอกเก่าโทรมของอ าเภอหย่งเจีย คิดว่าจะไปหาเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เพื่อพูดคุยกันสักสองสามประโยค
ทางฝั่งของภูเขาไฉอวี้ เฉินจิ้วจือเค่อฝ่ ายนอกของพรรคกิ่งไผ่มา ปั้นเหยื่ออยู่ที่ริมน้าคิดจะตกปลาตอนกลางคืน ยอดฝีมือก็มักจะเป็ น เช่นนี้ แค่ต้องการคันเบ็ดหนึ่งคัน ม้านั่งหนึ่งตัวและข้องปลาหนึ่งใบ เท่านั้น ไม่มีทางพกของพะรุงพะรังมาตั้งวางเป็ นแผงเด็ดขาด
จวนเฝิ่นหวานในภูเขาเหอฮวาน เด็กหนุ่มที่ใช ้นามแฝงว่าเฉินเห รินสวมรองเท้าสานสะพายกระบี่ แต่แท้ที่จริงแล้วในฝักกระบี่ว่างเปล่า
ก าลังลังเลว่าควรจะให้ลูกศิษย์ประมือกับปรมาจารย์เวินที่สายตา ล่อกแล่กอยู่ไม่สุขผู้นั้นดีหรือไม่
ทางฝั่งของยอดเขาโพโม่ เฉินผิงอันที่แต่งกายเปี่ยมไปด้วยมาด แห่งเซียนได้ยินประโยคนั้นแล้วก็ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงยิ้มเอ่ย อ าลา คารวะตามขนบลัทธิเต๋ากับเฉาหรง
“หากเฉาเทียนจวินมีเวลาว่างก็ไปเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพัวได้ แค่ บอกล่วงหน้าสักค า จะต้องปัดกวาดเรือนรอต้อนรับท่านแน่นอน”
เฉาหรงไม่ได้บอกว่าตัวเองจะต้องไปเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แน่นอน เพียงแค่ยิ้มตอบกลับตามมารยาทว่า “ขอให้อู๋เลี่ยงเทียนจุน อ านวยพร”
ร่างของเฉินผิงอันกลายเป็ นสายรุ ้งพุ่งหายไปในเสี้ยววินาที ออกไปจากยอดโพโม่ทั้งอย่างนี้ เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตาก็ ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานแล้ว
ลู่เฉินกลับไปนั่งยองบนพื้นอีกครั้ง หยิบก้อนหินเล็กเก้าก้อนมา ก าไว้ในฝ่ ามือ เขย่ามือเบาๆ แล้วขว้างหินไปบนพื้นคล้ายการโยน กระดูกเสี่ยงทาย
แม้เฉาหรงจะบอกว่าตัวเองโง่เขลา ฝึกบ าเพ็ญตนมาสามพันปีก็ ยังตามหามหามรรคาแห่งการบินทะยานไม่เจอ เพียงแต่ค าพูดตาม มารยาทนี้ ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ทางที่ดีที่สุดคืออย่าไปเชื่อ
พูดถึงแค่วิชาค่ายกลยันต์ เฉาหรงก็มีมุมมองที่ยอดเยี่ยมอย่างถึง ที่สุด ไม่จาเป็ นต้องท ามุทราค านวณ ในใจก็ได้ค าตอบแล้ว
หูฟังเป็ นสิ่งลวง ตาเห็นจึงจะเป็ นของจริง อิ่นกวานหนุ่มที่มี ชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้ได้ก้าวเดินเข้าสู่ห้องของการเรียนสายยันต์ แล้ว พรสวรรค์ต้องไม่ต่าอย่างแน่นอน ส่วนจะสูงแค่ไหน เฉาหรงไม่ สนใจจะสืบเสาะหาคาตอบ ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเฉินผิงอัน ทั้งยังไม่ มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เฉาหรงย่อมไม่คิดจะสนใจ
“โชคดีที่เจ้าอดใจได้ไหว ไม่อนุมานชะตาชีวิตของเฉินผิงอันเอง โดยพลการ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเป็ นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกับลู่เสิน แล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยสัพยอกก่อน แล้วค่อยอธิบายว่า “ดาวเป่ยโต้วเจ็ดดวง บวกกับดาวช่วยเหลืออีกสองดวง เฉินผิงอันใช ้วิธีของยันต์สร ้างร่าง แยกขึ้นมาเก้าร่าง เฉินผิงอันคนเมื่อครู่นี้คือหนึ่งในสองดาวช่วยเหลือ ซ ้ายขวา มิอาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก หาไม่แล้วกระตุกผมเส้นเดียวจะ สะเทือนไปทั้งร่าง ค่ายกลทั้งค่ายจะวุ่นวายอลหม่าน”
เฉาหรงถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์สนิทกับเฉินผิงอันมาก หรือ?”
ส่วนวิธีการที่ใช ้ยันต์ร่างแยกมาสร ้างเป็ นค่ายกลนี้ของเฉินผิงอัน ยังไม่ถึงขั้นทาให้เทียนจวินลัทธิเต๋าคนหนึ่งตกตะลึงได้
จะว่าไปแล้วก็น่าสงสาร ลู่เฉินผู้เป็ นอาจารย์มาเยือนใต้หล้า ไพศาลอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดจะมาหาลูกศิษย์ผู้สืบทอดแห่ง อารามหลิงเฟยอย่างเฉาหรงเลยสักครั้ง
เกี่ยวกับข่าวลือระหว่างอาจารย์กับเฉินผิงอัน หลายปีมานี้ เฉา หรงย่อมได้ยินข่าวลือเล็กๆ บนยอดเขาของในทวีปมาไม่น้อย แล้ว นับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านั้นเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปได้เจอ กับศิษย์น้องหญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ได้ยินเรื่องวงในมาบ้างเหมือนกัน
ใบหน้าของลู่เฉินเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “สนิทก็สนิทอยู่หรอกแล้วก็พัวพันกันอย่างลึกล้า คือบัญชีเลอะเลือน บัญชีหนึ่ง”
สองมือประกบกัน เป่าลมเบาๆ ลู่เฉินเงยหน้ามองไปยังภูเขาเหอฮ วานอีกครั้ง ถามว่า “เฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็ นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เรื่องบางอย่างลู่เฉินคร ้านจะไปอนุมาน เขาคือนักพรตที่ยึดเต๋า เป็ นหลัก ไม่ใช่แม่ไก่แก่ที่คอยกางปี กปกป้ องลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่งเสีย เมื่อไหร่
เฉาหรงตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ไม่ นานป๋ ายฉางปิดด่านอย่างลับๆ ศิษย์น้องหญิงเฮ้อรู้ดีว่าบางทีอาจเป็ น กับดักที่จงใจเล่นงานนาง แต่กระนั้นก็ยังยืนกรานจะไปขัดขวาง ศิษย์ กับศิษย์พี่กู้จึงได้แต่เดิมพันตามนางไปด้วย ในทางลับยังมีเทียนจวิน เซี่ยสือคอยช่วยคุมหลังให้ เพียงแต่ตัวเขาติดขัดที่สถานะจึงไม่
สะดวกจะลงมือกับป๋ ายฉาง ได้แต่คอยคุมหลังให้อยู่ไกลๆ ป้ องกัน ไม่ให้ป๋ ายฉางลงมือสังหารศิษย์น้องหญิงเฮ้อ”
กู้ชิงซงที่มีฉายาว่า “เซียนฉา” ผู้นั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของลู่เฉินอย่าง ถูกต้องชอบธรรม ปีนั้นก็แค่เคยติดตามไปเป็ นคนถ่อเรือพาลู่เฉิน ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนเท่านั้น
เพียงแต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างพวกเฉาหรงต่างก็ยอมรับในตัว ศิษย์พี่ใหญ่ที่ “ทะเลาะไม่เคยแพ้ใคร เจอใครก็ไม่เคยขี้ขลาด” ผู้นี้
เทียนจวินเซี่ยสือคือผู้นาบนภูเขาของอุตรุกรุทวีปในนาม นอกจากส านักศึกษาลัทธิขงจื๊อแล้ว เขาก็สามารถควบคุมฟ้ าควบคุม ดิน
เทียนจวินลัทธิเต๋าที่ภูมิลาเนาอยู่ในตรอกเถาเย่ของถ้าสวรรค์หลี จูผู้นี้ สถานะและต าแหน่งล้วนพอๆ กับฉีเจินแห่งส านักโองการเทพ ของแจกันสมบัติทวีปในอดีต
ทว่าฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ไม่มีทางยอมรับใน สถานะลูกพี่ใหญ่แห่งสองวิถีขาวด าของตัวเองอย่างแน่นอน มักจะ ชอบพูดว่าในกระเป๋ าผินเต้ามีเงินแค่ไม่กี่แดงพูดจาแข็งกระด้างไม่ได้
คิดถึงสิ่งที่ประสบพบเจอจากเหตุการณ์ตั๊กแตนจับจักจั่น นก ขมิ้นรออยู่เบื้องหลังครั้งนั้น เฉาหรงก็อดหวาดผวาไม่ได้ จึงทามุทรา เงียบๆ สลายภาพลักษณ์ของผู้ฝึกกระบี่ป๋ ายฉางในใจตนให้เจือจาง ลง “ป๋ ายฉางปิดด่านเป็ นเรื่องจริง จริงแท้แน่นอน ก็แค่ความเร็วใน
การฝ่ าทะลุขอบเขตออกจากด่านเร็วจนทาให้คนเดาะลิ้น เรียกได้ว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งไม่เหมือนบินทะยานใหม่เอี่ยมที่ต้องทา ขอบเขตให้มั่นคงเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ศิษย์คิดว่าตัวเองประเมิน เซียนกระบี่ป๋ ายฉางไว้สูงพอแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังต่าเกินไป ถูกโจมตี จนรับมือไม่ทัน ศิษย์พี่กู้อาศัยการจัดวางค่ายกลขึ้นมากะทันหันชิง ต้านทานกระบี่แรกเอาไว้ได้ ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้ไปรักษา บาดแผลอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา ศิษย์รับกระบี่ที่สอง ศิษย์น้องหญิงเฮ้อฝืน รับกระบี่ที่สามไว้ได้ เพียงแต่ว่าถูกกระบี่หนึ่งฟันจนร่างกระเด็นไป กระแทกยอดเขาแห่งหนึ่งแตก โชคดีที่บาดเจ็บไม่หนัก ไม่รอให้ เชี่ยสือลงมือช่วยเหลือก็มีนักพรตคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองฉายาฉุนห ยางมาช่วยไว้ก่อน”
เฉาหรงพูดอย่างกระชับเรียบง่าย คนฟังก็คล้ายจะมีท่าทางผ่อน คลายสบายอารมณ์ แต่เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้กระทั่ง เซี่ยสือที่ยังไม่ได้ลงมือ คงไม่มีใครคิดว่าเป็ นเรื่องง่ายผ่อนคลาย แน่นอน อืม บางทีอาจต้องเว้นศิษย์พี่กู้ที่ชินกับเหตุการณ์ใหญ่ๆ แล้ว ไว้คนหนึ่ง
เพียงแต่เฉาหรงก็จาต้องยอมรับว่าศิษย์น้องหญิงอย่างเฮ้อเสี่ยว เหลียงมีโชควาสนาไม่น้อยเลยจริงๆ
ไม่พูดถึงพวกเขาหลายคนที่ร่วมมือกันเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็ยังไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย การ เดินทางครั้งนี้ของเฉาหรงก็ยิ่งเหมือนการปกป้ องมรรคาครั้งหนึ่ง
มากกว่า กรีฑาทัพอย่างไร ้สาเหตุย่อมมีความผิด เขาไม่มีเหตุผลที่จะ ลงมืออ ามหิตตัดสินเป็ นตายกับป๋ ายฉาง
ทั้งๆ ที่พวกเขาตกอยู่ในกับดักที่ป๋ ายฉางตั้งใจจัดวางเอาไว้แล้ว ศิษย์น้องหญิงเฮ้อกลับแค่โดนกระบี่ฟันทีเดียวก็ถอนตัวกลับออกมา ได้อย่างสมบูรณ์ นี่เป็ นวาสนาบนภูเขาที่เฉาหรงมิอาจจินตนาการได้ เลย
เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินคาดเดาได้ถึงผลลัพธ ์นี้อยู่แล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีปเป็ นแค่ชั้นวาง ดอกไม้อย่างนั้นหรือ? มีเหตุผลอย่างนี้เสียที่ไหน”
“เพื่อพิสูจน์มรรคาบินทะยาน ป๋ ายฉางมีความอดทนอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะทางลับหรือทางแจ้งก็ล้วนวางแผนไว้อย่างลึกล้ายาวไกล อย่างน้อยที่สุดก็ได้ปูทางไว้ให้ตัวเองสามเส้นพยายามที่จะรวมกันให้ เป็ นหนึ่งเดียว ลาบากมากเลยล่ะ”
“ยกตัวอย่างเช่นป๋ ายฉางยอมร่วมมือกับเถียนหว่านแห่งยอดเขา จูอวี๋ภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไม่เสียดาย ละโมบอยากครอบครอง โชคชะตาวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป อีกนิดเดียวก็เกือบจะท า ส าเร็จแล้ว”
“ปณิธานสูงส่งยาวไกล ก็แค่ว่านิสัยการกระท าบางอย่างตกเป็ น ที่ต้องสงสัยว่าไม่เลือกวิธีการ เหมือนผู้ฝึกตนอิสระเต็มตัวมากกว่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่จ าเป็ นต้องไปเปรียบเทียบเรื่องโชควาสนากับป๋ า
ยฉาง มีฐานะเป็ นเจ้าสานักของสานักแห่งหนึ่ง แต่ยังดึงดันจะปัดแข้ง ปัดขาอยู่กับป๋ ายฉาง ไม่ใช่การใช ้จุดอ่อนของตัวเองโจมตีจุดแข็ง ของผู้อื่นแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“อุตรกุรุทวีปแห่งนั้นขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ตามหลักแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสัก คน กู้ชิงซงเจ้าคนพูดจาไม่ใช ้สมองผู้นี้ ไม่ว่าอะไรก็ผ่อนคลายสบายๆ ไปเสียหมด ไม่ไปพูดถึงเขาแล้ว แต่เจ้าเฉาหรงไม่รู ้สึกว่าประหลาด บ้างหรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เซี่ยซือที่เป็ นผู้อาวุโสบนภูเขาและเป็ น งูเจ้าถิ่น ทาไมไม่คิดจะโน้มน้าวเจ้าส านักเฮ้อของพวกเราบ้าง?”
ลู่เฉินพูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะ “เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็แค่อยากจะถ่วง รั้งการเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานของป๋ ายฉาง ทางที่ดีที่สุดคือทา ร ้ายรากฐานของเขา ให้เขามิอาจเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานได้ ตลอดชีวิต หาไม่แล้วทั้งสองฝ่ ายต่างเป็ นบินทะยานก็ไม่มีทางสู้กันได้ แล้ว อย่างน้อยภายในเวลาแปดร้อยปีพันปี อยู่ในทวีปเดียวกัน ศัตรู คู่อาฆาตสองคนบนมหามรรคากลับท าได้แค่เบิกตากว้างมองกันเอง กระอักกระอ่วนจะตายไป”
“ป๋ ายฉางอยากให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ผ่านศึกนี้ขอบเขตถดถอย ขั้นสองขั้น สูญเสียโอกาสที่จะคว้าวาสนาใหญ่เทียมฟ้ าบางอย่างไป เดินช ้าไปก้าวหนึ่งแล้วทุกก้าวก็จะช ้าตามไปด้วย คิดว่าจะทาให้ชั่ว ชีวิตนี้ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงยากที่จะมองเห็นแผ่นหลังของเขาได้อีก เอาเป็ นว่าแต่ละฝ่ ายต่างก็กริ่งเกรงอีกฝ่ าย ต่างก็กาลังเดิมพันให้มี
เรื่องไม่คาดฝัน ให้ตัวเองเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชีวิต คนหนึ่ง เดิมพันว่าคุณสมบัติในการฝึกตนของป๋ ายฉางไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่มี ทางที่ปิดด่านแล้วจะออกจากด่านได้เลย อีกคนหนึ่งเดิมพันว่าโชค ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะมีโชควาสนาเทียม ฟ้ าไปตลอดบนเส้นทางของการฝึกตน ต้องมีช่วงเวลาที่ความโชคดี หันหลังให้นางบ้าง”
เฉาหรงถาม “นักพรตฉุนหยางท่านนี้บอกว่าเป็ นคนรู ้จักเก่าของ อาจารย์ เขายังเคยติดค้างน้าใจอาจารย์ครั้งหนึ่งด้วย”
ลู่เฉินกล่าว “ไม่ถือว่าติดค้างน้าใจ นักพรตฉุนหยางเคยท่องไป ในนครชิงชุ่ยกับเจินเหรินกระดูกขาว เขากับอาจารย์ของเจ้าถูก ชะตากันอย่างมาก”
ผู้ที่ฝึกบาเพ็ญตนเป็ นอมตะได้ เพราะพวกเขาไม่ทาในสิ่งที่คน ตายท า (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไร ้ความหมาย สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อ ชีวิต) เจินเหรินกระดูกขาวที่เป็ นหนึ่งใจเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉิน ไม่ต้อง สงสัยเลยว่ากระทาในสิ่งที่ตรงกันข้าม
นักพรต นักพรต คนเดินไปบนมหามรรคา มีผู้ฝึกบ าเพ็ญตน ผู้ ที่มีอายุขัยยืนยาวอายุขัยในการฝึกตนนานมากพอ มีชีวิตอยู่มานาน พอ ก็จะสามารถได้เห็นคนรุ่นหลังหลายคนเดินทีละก้าวไปจนถึงยอด เขา
ลู่เฉินยิ้มถาม “พวกเขาสองคนไม่ได้ต่อสู้กันฟ้ าถล่มดินทลาย แผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอนหรือ?”
เฉาหรงส าาหน้า “ป๋ ายฉางกับนักพรตฉุนหยางประลองเวทกระบี่ สูงต่ากันในพื้นที่ที่มีขนาดเท่าก้อนหินราบเรียบบนยอดเขาแห่งนี้”
“ถึงท้ายที่สุดยอดเขาแห่งนั้น จะพูดว่าปราณกระบี่เข้มข้นคล้าย น้าที่จับตัวเป็ นน้าแข็งก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย”
เฉาหรงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “นักพรตคนหนึ่งกับเซียนกระบี่คน หนึ่ง ใช ้เวทกระบี่ปะทะกับเวทกระบี่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็ นนักพรตที่ เอาชนะได้อย่างสมบูรณ์”
ลู่เฉินกลับไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลย
ป๋ ายฉางที่เพิ่งเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยาน หากเอาชนะหลวี่เห ยียนที่พิสูจน์มรคคามาได้สามพันปีแล้ว นั่นสิถึงจะเป็ นเรื่องแปลก
ฉุนหยางหลวี่เหยียน มิอาจพูดได้ว่าในอนาคตจะต้องได้เป็ นสิบผู้ กล้าแห่งใต้หล้าแน่นอน สาหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่กล้าตบอกรับรองอะไร
แต่ถอยไปหนึ่งก้าว หลวี่เหยียนได้เป็ นหนึ่งในตัวสารองกลับเป็ น เรื่องที่ไม่ต้องคิดเยอะแล้ว
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของอารามจินเซียน ปี นั้นเกิดเรื่องอะไร นางท าความผิดใหญ่หลวงถึงเพียงใดถึงได้ถูกเจ้า ตัดชื่อออก กลายเป็ นลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของอารามหลิงเฟย แล้ว
เหตุใดนางถึงคิดอยากแต่จะฟื้นคืนสถานะทาเนียบ? ไหนลองเล่าให้ ข้าฟังสิ”
เฉาหรงบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมา “ปี นั้นนางรีบร ้อน อยากจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนมากเกินไปจึงเลือกเดินไปยัง เส้นทางที่ชั่วร ้าย แอบปิ ดด่าน ผลคือจิตแห่งมรรคาหลุดจากการ ควบคุม ธาตุไฟเข้าแทรก ศิษย์สัมผัสได้ถึงลางนี้จึงได้แต่กระชากนาง ออกมาจากห้วงมายา หากลงมือช ้ากว่านี้แค่ก้าวเดียว นางก็จะถูก เทวบุตรมารฉวยโอกาสเข้าแทรกเป็ นนกพิราบที่ยึดรังนกกางเขน มี โทษสมควรตาย ขับไล่นางลงจากภูเขาก็ถือว่ามีเมตตาต่อนางแล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเวทนา “จาได้ว่าตอนที่เจ้าเลื่อนเป็ นขอบเขต เซียนเหริน ข้าเคยเดินออกมาจากภาพวาดของศาลบรรพจารย์ ภายหลังไปเดินเล่นในภูเขาก็ได้เจอกับนาง”
ระบบสืบทอดสายเต๋าของใต้หล้าไพศาลอย่างพวกอารามหลิง เฟย ภูเขาไท่ผิง ตอนที่นักพรตเลื่อนเป็ นเทียนจวินจะสามารถ อัญเชิญบรรพจารย์หนึ่งในสามเจ้าลัทธิของป๋ ายอวี้จิงมาได้
มีเวลาหนึ่งก้านธูป