กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1024.3 วัยเด็กคือลิ่มที่ปักหมุด
บนเส้นทางภูเขา ฝีเท้าของเณรน้อยดีมาก เดินขึ้นเขามาหลายลี้ แล้วลมหายใจก็ยังมั่นคง เขาถามชวนคุยว่า “อาจารย์เฉิน อะไรที่ เรียกว่าฝึกจิตใจให้สงบเป็ นกลาง”
ภิกษุของในวัดที่เดินลาดตระเวนภูเขาต่างก็พูดกันว่าในภูเขามี ซานจวินที่เรียกตัวเองว่าต้าฉง ฟันสูงเกินกว่าตัวคน ตัวก็ใหญ่ดั่งวัว เหมือนจะมีสติปัญญาจึงไม่เคยท าร ้ายคน
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ตักข้าวก็ตักข้าว ยาม ที่กินข้าวก็กินข้าวท่องคัมภีร ์ก็ท่องคัมภีร ์ ยามเคาะระฆังก็เคาะระฆัง ยามนอนก็นอน”
“อาจารย์เฉิน หลักการเหตุผลพวกนี้ ในตารามีบอกไว้ตั้งนาน แล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็บอกกับพวกเราเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็จะยกตัวอย่างของข้าเองก็แล้วกัน ยามที่ข้าพูดคุย กับเจ้าก็มีสภาพจิตใจเหมือนยามที่พูดคุยกับผู้อาวุโสอย่างพวกป๋ าย เหย่ ฝูลู่อวี๋เสวียน นี่เรียกว่าจิตใจสงบเป็ นกลาง แต่ว่าก็ท าได้ยากมาก หลายปีมานี้ข้าคอยขบคิดทบทวนปัญหาข้อนี้อยู่ตลอดเวลา”
“พวกเขาคือใคร บุคคลยิ่งใหญ่หรือ?”
“คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร ้ายกาจอย่างยิ่ง คือวีรบุรุษวิญญูชนที่คู่ควร แก่การเคารพยกย่อง”
เณรน้อยลูบหัวที่โล้นโล่ง “เข้าใจแล้ว ไม่ว่าอาจารย์เฉินจะมี หรือไม่มีเงิน ข้าก็ยังเคารพนับถือท่านเหมือนเดิม”
ปัญญาชนยิ้มอย่างชอบใจ “ดีมาก นี่เรียกว่ามีรากฐาน สติปัญญา”
เณรน้อยกล่าวอย่างเขินอาย “หากอย่างข้านี่เรียกว่ามีรากฐาน สติปัญญา ถ้าอย่างนั้นรากฐานสติปัญญาก็ไร ้ค่าเกินไปแล้ว”
ปัญญาชนยิ้มกล่าว “รากฐานสติปัญญาของมนุษย์ก็เหมือน อากาศในฟ้ าดินที่เจ้าเคยสูดเข้าไป มีค่าหรือไม่มีค่า อยู่ที่ว่าเจ้าจะ มองอย่างไร”
เณรน้อยลังเลไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ข้าขอร ้องอะไร ท่านสักเรื่องได้ไหม
อาจารย์เฉินวางมาดใหญ่โตอย่างมาก ยามคัดคัมภีร ์ก็คัด ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดที่ลายมือสวยมาก ภิกษุในวัดมาขอให้เขา เขียนอักษรหน้าพัดหรือกลอนคู่ให้ล้วนถูกปฎิเสธไปอย่างละมุน ละม่อม
ดูเหมือนปัญญาชนจะเดาความคิดของเณรน้อยออก จึงส่าย หน้ายิ้มกล่าว “เรื่องนี้อย่าพูดเลย”
เณรน้อยถอนหายใจ
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ไปที่วัดเล็ก แต่ตรงไปที่ศาลาริมหน้าผารวม เซียนโดยตรง มองกลุ่มเมฆกันไปพักหนึ่ง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็ตั้งท่า เอามือซ ้ายก าเป็ นหมัดวางไว้ข้างเอวอีกครั้ง ส่วนคาถาที่เขาท่องก็คือ คาถาผู่เสียนจินกังของสานักมี่จง ปฏิบัติตามพิธีการด้วยการนิมิต ภาพตรงหน้าให้เป็ นบัลลังก ์ธรรมดวงจันทร ์ล้อมรอบด้วยดอกบัวขาว อยู่ในทะเลเมฆ
มีคนแปลกหน้ามาที่ศาลา เณรน้อยรีบก้มหัวพนมมือไหว้
มองปัญญาชนลัทธิขงจื๊อที่ร่างผอมบาง จอนผมสองข้างเป็ นสี ดอกเลา ผอมราวนกกระเรียนป่า
หยวนฮว่าจิ้งถามอย่างกังขา “เป็ นเจ้า?”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อก็ถามด้วยน้าเสียงสงสัยเช่นเดียวกัน “เจ้า คือ?”
หยวนฮว่าจิ้งหัวเราะเสียงเย็น “เป็ นเจ้าจริงๆ ด้วย”
รูปโฉมบุคลิกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ หยวนฮว่าจิ้งเห็นทีไรก็หงุดหงิดทุกที
มิน่าเล่าในรายงานลับของกรมอาญาต้าหลี ตามหลักแล้วควรจะ ใช ้คาพูดที่เป็ นทางการและพิถีพิถันอย่างมาก แต่กลับสอดแทรก “คาพูดอย่างเป็ นกลาง” ที่รายงานไปตามความจริงมาไว้ไม่น้อย
มีคาวิจารณ์หนึ่งที่มาจากผู้ฝึกกระบี่ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ซึ่งทาให้หยวนฮว่าจิ้งอึ้งงันไปอย่างสิ้นเชิง พวกก่ายเยี่ยนที่กาลังนั่ง กินข้าวดื่มเหล้ากันอยู่ก็ยิ่งพ่นข้าวออกจากปาก
มองไกลๆ คืออาเหลียง มองใกล้ๆ คืออิ่นกวาน สมกับเป็ นสุนัข จริงๆ แต่ละคนสมกับเป็ นสุนัขยิ่งกว่ากัน
สาหรับเรื่องนี้หยวนฮว่าจิ้งไม่ค่อยเข้าใจนัก ตามหลักแล้วกาแพง เมืองปราณกระบี่น่าจะมีความรู ้สึกที่ดีต่อผู้ฝึกกระบี่และบัณฑิตต่าง ถิ่นสองคนนี้ถึงจะถูก ผลคือ “คาวิจารณ์” กลับย่าแย่ถึงขนาดนี้ แม้จะ บอกว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่การพูดหยอกกันอย่างไร้ย าเกรง ไม่เหลือที่ว่างเช่นนี้ ก็ยังทาให้คนที่ไม่เคยไปเยือนกาแพงเมืองปราณ กระบี่อย่างพวกเขารู้สึกตะลึงเป็ นทบทวีไม่ได้
ก็เหมือนอย่างราชครูชุยฉาน เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจะถูกใครพูดหยอกแบบนี้ได้
เฉินผิงอันเห็นว่าเขาจาตนได้ก็ใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ประมือกัน สองสามครั้งในเมืองหลวง ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้เรียกกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตที่เป็ นสมบัติกันกรุเล่มนั้นออกมา? ถึงอย่างไรก็เอาชนะ ไม่ได้ก็เลยเก็บซ่อนเอาไว้ หรือเป็ นเพราะไม่สะดวกจะให้มันเผยกาย บนโลก ยังมิอาจพาออกมาเห็นแสงสว่างได้ชั่วคราวกันล่ะ?”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบไม่ตอบ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็ นไร อยู่ใต้แสงตะวันใครบ้างไม่มีเงา”
หยวนฮว่าจิ้งยังคงไม่เปิดปากพูด ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังเดิน ขึ้นบันไดเข้ามาในศาลา
เณรน้อยคิดแล้วก็เอ่ยลาสหายคู่หนึ่งที่ดูจากท่าทางแล้วน่าจะมา เจอกันที่ต่างบ้านต่างเมือง ไปชมทัศนียภาพยังจุดอื่น
เฉินผิงอันใช ้สองมือยกชายชุดกว้าตัวยาวขึ้น ยกขานั่งไขว่ห้าง ตบหัวเข่า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่นี่ถือเป็ นคฤหาสน์หลบร ้อนอีกแห่งหนึ่ง ของเซียนกระบี่หยวนหรือ?”
แม้ว่าภูเขาลูกนี้จะเป็ นสถานที่ที่งดงาม แต่กลับไม่เคยมีสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งศาลเถื่อนในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยถูกจักรพรรดิ แต่งตั้งและจดลงบันทึก ภูเขาลูกนี้ก็เหมือนกับคน สมกับเป็ นผู้ สันโดษที่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอกจริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “เป็ นสถานที่ดีที่เหมาะกับการพักอาศัยอย่าง สงบผ่อนคลายอารมณ์จริงๆ มองออกว่าเซียนกระบี่หยวนมีความ สนใจที่จะอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ยากจน อุทิศตัวเองเพื่อศีลธรรม ไม่ ยินดียินร้ายในลาภยศ”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “เจ้าไม่ต้องพูดจาตามมารยาทที่ไม่มีความ จริงใจพวกนี้หรอก”
เฉินผิงอันร ้องเฮ้อหนึ่งที แล้วบ่นว่า “พูดจาตามมารยาทอะไร ข้า ถูกชะตากับเซียนกระบี่หยวนที่สุดแล้ว ระหว่างสหายพูดจาไม่ต้อง เกรงใจ ก็แค่กลับกันเท่านั้น”
หยวนฮว่าจิ้งสะอึกอึ้ง ก็จริงนะ ก่อนหน้านี้ในบรรดาเก้าคนของ แผนภูมิดินเมืองหลวงต้าหลีก็เป็ นเขาที่ไม่ถูกชะตากับเฉินผิงอันที่สุด
หยวนฮว่าจิ้งเก็บอารมณ์พลุ่งพล่านกลับคืนมา เอ่ยอย่างเฉยเมย ว่า “ในอดีตบังเอิญทะยานลมผ่านทางมาแล้วชอบความเงียบสงบของ ที่นี่ ทุกปีหากมีเวลาว่างข้าก็จะมาพักอยู่ที่นี่ช่วงระยะหนึ่ง พวกเราเก้า คนมิอาจบอกกล่าวสถานะแก่ใครได้ ไม่สะดวกจะเปิดเผยหน้าตา แต่ ละคนจึงมีสถานที่สาหรับผ่อนคลายอารมณ์คล้ายคลึงกันนี้ ปิดบังชื่อ แซ่เปลี่ยนแปลงรูปโฉม เวลาไม่มีเรื่องอะไรก็จะเปลี่ยนสถานะ ยกตัวอย่างเช่นก่ายเยี่ยนที่เปิดโรงเตี้ยมตระกูลเซียนอยู่ในเมืองหลวง ลู่ฮุยเป็ นมือปราบอยู่ในอาเภอแห่งหนึ่ง หันโจ้วจิ่วเปิ ดร ้านอยู่ใน อาเภอชื่อเซี่ยน ตัวเองเป็ นเจ้าของร ้านขายชาอยู่แถวชายแดน และ ยังมีคนที่รับเงินเดือนของต าแหน่งผู้แก้ไขเรียบเรียงตัวอักษรในส านัก เลขาธิการ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ยืดและหดได้อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกตนจะเอา แต่ปล่อยให้เส้นเอ็นหัวใจขึงเกร็งไม่ได้”
หยวนฮว่าจิ้งถาม “เจ้ามาทาอะไรที่นี่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การาบจิตใจที่เตลิดดุจวานร”
แม้หยวนฮว่าจิ้งจะอยู่ไกลเกินกว่าเรียกว่าเป็ นสหายได้ แต่ต่อให้ ไม่ใช่สหาย ก็ยังสามารถพูดคุยกันได้
กว่าเฉินผิงอันจะลงจากภูเขากลับไปที่วัดตีนเขาก็เป็ นช่วง กลางดึกแล้ว เขาฝนหมึกบนที่พัก คลี่กางกระดาษเขียนอักษร ประโยคหนึ่งว่า
อยู่ไกลห่างจากความฝันทุกอย่างที่กลับตาลปัตร
ยอดเขาโพโม่
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่จงใจพูดให้ลี้ลับ ประโยคที่บอกว่า ตาเห็นเป็ นของจริง หูฟังเป็ นเท็จก็น่าจะถือว่าไม่ผิดแล้ว”
สะบัดข้อมือแล้ว ลู่เฉินก็กล่าวต่ออีกว่า “ความสัมพันธ ์ระหว่าง มนุษย์พลิกกลับได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ ามือ ความเป็ นความตายในโลก ประหนึ่งล้อรถ”
ระหว่างที่พูด ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งทีก็มีลมเย็นขุมหนึ่งพัดโชยผ่าน หว่างคิ้วของเทียนจวินลัทธิเต๋า
หลังจากนั้นเฉาหรงก็เหมือนได้ “เบิกเนตร” สายตาของเขาไล่ ตามการมองเห็นในวันวานของลู่เฉินผู้เป็ นอาจารย์ไป จึงมองเห็น ม้วนภาพแห่งกาลเวลาเก่าภาพหนึ่งอย่างชัดเจน
ทิวทัศน์เก่าที่คุ้นเคย เฉาหรงจาต้องมองทิวทัศน์นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะต่อให้หลับตาก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าสิ่งที่พบเจอในความฝันก็อาศัยดวงตาในการมองกันล่ะ?
เฉาหรงนั่งขัดสมาธิ ฝ่ ามือสองข้างหงายขึ้นด้านบนวางไว้ ตรงหน้าท้อง คิดเสียว่าเป็ นการพิศมรรคาครั้งหนึ่ง
นักพรตหนุ่มก้มตัวผลักรถเข็นไม้สองล้อ บนถนนดินที่เต็มไป ด้วยหลุมบ่อเกิดเสียงล้อครูดถนนดังกุกกัก ก่อนรถเข็นจะถูกเขา ผลักหายเข้าไปในตรอกเก่าโทรมที่มืดสลัว
นักพรตพึมพ าไปตลอดทางว่า “ขอพระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครอง พระโพธิสัตว์โปรดแสดงปาฏิหาริย์
แล้วไปหยุดอยู่หน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง นักพรตเคาะประตูตะโกน เรียก ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานผิวด าร่างผอมแห้งก็ยอม มาเปิดประตูในที่สุด
หลังจากนั้นก็เป็ นการพูดคุยกัน
เด็กหนุ่มบอกว่าตัวเองความจ าดี
จากคาอธิบายในภายหลังของเฉินผิงอันครานั้น ก็คือไม่ว่าของ อะไรที่เขาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วก็มักจะจดจาได้ง่ายยิ่งกว่าฟังจากค า ของคนอื่น
ลู่เฉินในปัจจุบันยิ้มพลางพยักหน้าเอ่ยคล้ายกาลังทาการอธิบาย คาศัพท์ภาษาโบราณ “ตรงจุดนี้ต้องระวัง คาว่า “ยิ่งกว่า” คานี้ เด็ก หนุ่มใช ้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากแล้ว”
ส่วนความจ าจะดีแค่ไหน นักพรตบอกให้เด็กหนุ่ มช่วย ยกตัวอย่างให้ฟัง เด็กหนุ่มจึงบอกว่าที่บ้านเกิดแห่งนี้ การเผาเครื่องกระเบื้องมี ขั้นตอนของการขึ้นรูป มีทักษะอย่างหนึ่งเรียกว่ามีดกระโดด เคล็ดลับนี้มีธรณีประตูไม่ต่า ในบรรดาเตาเผามังกรหลายแห่ง ของเมืองเล็ก ฝีมือของอาจารย์เหยาก็ดีที่สุด
แต่ตอนที่เขาเพิ่งเป็ นคนงานของเตาเผา แค่มองรอบเดียวก็จา รายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว
เฉาหรงดูมาถึงตรงนี้ ลู่เฉิน “ฟัง” มาถึงตรงนี้ก็เปิดปากเอ่ยต่อว่า “ก็เหมือนอย่างระบบสืบทอดมากมายของป๋ ายอวี้จิง การสืบทอดวิชา สายฟ้ ามีเยอะมาก ห้านครสิบสองหอเรือนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ เวทอสนีทั้งสิ้น แต่ยังติ่งซึ่งผู้คนยอมรับว่าคุณสมบัติด้านวิชาอสนี ของเขาดีที่สุด แสดงทักษะชั้นยอดที่เป็ นฝีมือกันกรุออกมา จากนั้นก็ มีนักพรตเด็กคนหนึ่งยังไม่ได้รับธรรมโองการมองไกลๆ ไปไม่กี่ทีก็ บอกว่าตัวเองเห็นชัดเจนแล้ว สามารถท าตาม “รูปลักษณ์ภายนอก” ได้เหมือนทั้งหมด เฉาหรง เจ้าคิดว่าคุณสมบัติในการฝึ กตนของ นักพรตเด็กคนนี้เป็ นอย่างไร?”
เฉาหรงเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ดีเยี่ยม ดีอย่างน่าตะลึงพรึงเพริด มากพอจะเรียกว่าโดดเด่นเกินใคร”
ผังติ่งเจ้านครหลิงเป่ ามีฉายาว่า “ซวีซิน” นักพรตเฒ่าได้รับคา ขนานนามว่าเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งด้านเวทอสนีของใต้หล้ามืดสลัว
ลู่เฉินกล่าว “ทักษะเช่นนี้ หากพูดในเรื่องที่ไกลตัวหน่อยก็ สามารถเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าเป็ นการตัดแบ่งอย่างหนึ่ง และมันก็เป็ น หนึ่งในเวทกระบี่ที่เฉินผิงอันในทุกวันนี้สร ้างสรรค์ขึ้นมาเอง”
“ทว่าตอนนั้น นี่เรียกว่ามีใจแต่ไร ้กาลัง ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิง อันพูดเอง เขามองเห็นทุกรายละเอียดของช่างเหยาอย่างชัดเจน แล้ว ก็เห็นทุกความผิดพลาดของตัวเองในทุกขั้นตอน ยิ่งผิดมากเท่าไรก็ ยิ่งร ้อนใจ ยิ่งรีบร ้อนก็ยิ่งทาความผิดมากเท่านั้น”
หมู่บ้านแห่งเดียวกัน คนยากจนสองคนที่ไม่มีเงินเหมือนกัน คน หนึ่งคือชายยากจนที่ไม่รู ้จักตัวอักษรสักตัว อีกคนหนึ่งคือซิ่วไฉแร ้น แค้นที่เคยอ่านตารามาแค่ไม่กี่เล่ม ความเข้าใจที่ทั้งสองมีต่อความ ทุกข์ยากขมขื่น ความลึกตื้น ความกว้างแคบ ความสั้นยาว ก็ล้วนไม่ เหมือนกัน
อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน
รู ้ว่าทาไม แต่กลับไม่รู ้ว่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร บางทีนี่ ต่างหากจึงจะเป็ นต้นตอของความทุกข์ยากขมขื่น
อันที่จริงนี่ก็เป็ นปมของปัญหามากมายของบัณฑิตเหมือนกัน
สิ่งที่ในใจรู ้คือเส้นทางสายหนึ่ง ทว่าสิ่งที่สองเท้าเดินผ่านคือ เส้นทางอีกสายหนึ่ง
ในเมื่อสิ่งที่รู ้และสิ่งที่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน สืบสาวไปถึงต้นกาเนิด แล้วก็เพราะใจและร่างกายไม่เป็ นหนึ่งเดียวกัน ตัวอยู่ที่นี่ แต่ใจอยู่ที่ อื่น
นั่นจึงเป็ นเหตุให้ยิ่งเป็ นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนรอบคอบมาก เท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดเหมือนถูกฉีกกระชากหัวใจมากเท่านั้น
คาพูดที่พูดผิด เรื่องราวที่ทาผิด ความรู ้สึกเสียใจภายหลัง เส้นทางที่ได้แต่มองมิอาจเดินผ่านข้างกายเส้นนั้นยืดขยายยาวเป็ น เส้นเส้นหนึ่ง ทาให้คนไม่อยากมองย้อนกลับไป ไม่กล้าหันกลับไปดู
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปีนั้นข้าเข็นรถเข็น ตามหาบ้านคนที่จะรับ ตัวแม่นางน้อยซึ่งเป็ นเผือกร ้อนลวกมือที่สุดในใต้หล้าคนนี้ไป อันที่ จริงเฉินผิงอันไม่ต้องเปิ ดประตูก็ได้ แค่แสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยินก็พอ เพียงแต่พอเขาได้ยินเสียงเคาะประตู วิเคราะห์ได้ว่าเป็ นเสียงของผิน เต้าแน่ใจว่าคือนักพรตที่ตั้งแผงดูดวงข้างทาง ก็ยังยอมมาเปิดประตู ให้”
“ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยคาว่า ‘แต่ว่า” จากนั้นก็ไม่มีประโยคถัด มาอีก ไม่เคยอ่านต าราน้าหมึกในท้องมีน้อย ความคิดในหัวมีมาก ความคิดในใจมากมายแต่กลับพูดออกจากปากไม่ได้ พูดออกมาแล้ว อาจใช ้ถ้อยคาที่ไม่สมกับความตั้งใจ ก็สู้ไม่พูดดีกว่า”
เฉาหรงยิ้มเอ่ย “เรื่องยากอันดับหนึ่งในชีวิตคน ก็คือการพูดจา”
“ดังนั้นข้าจึงรับช่วงเอ่ยประโยคนั้นต่อ “แต่ว่า” มือและเท้ากลับ ตามความคิดไม่ทัน”
ตอนนั้นได้ยินประโยคนี้ของลู่เฉิน เด็กหนุ่มรองเท้าสานที่บนร่าง แผ่กลิ่นอายอึมครึมเหมือนคนแก่ดวงตาถึงกับเป็ นประกายวาบ
และสิ่งที่เฉาหรงมองเห็น หรือควรจะพูดว่าเด็กหนุ่มยากจนใน สายตาของอาจารย์ตอนนั้น บรรยากาศทั้งร่างของเขาพลัน แปรเปลี่ยนไป
ประหนึ่งภาพวาดที่เดิมทีมีแค่สองสีคือขาวกับดา แต่แล้วจู่ๆ กลับ กลายเป็ นภาพสีสันสดใสที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย