กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1024.4 วัยเด็กคือลิ่มที่ปักหมุด
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “เฉินผิงอันเหมือนได้ เจอคนรู ้ใจคนหนึ่ง”
จากนั้นลู่เฉินก็ยกตัวอย่างอีกข้อว่า “ยิ่งเหมือนคนที่กระหายน้า เพราะผืนนาหัวใจแห้งขอด ได้เจอกับคนข้างทางที่ในมือถือกระบวย ตักน้าไว้พอดี”
ท่ามกลางม้วนภาพแห่งกาลเวลานี้ เด็กหนุ่มได้ทยอยเอ่ยอีกสอง ประโยค ฟังไม่เข้าใจแต่จาเนื้อหาส่วนใหญ่ได้แล้ว อันที่จริงแค่มอง รอบเดียวก็จารายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว
ลู่เฉินกล่าว “ด้านหน้าใช ้ค าว่า ‘ส่วนใหญ่” คือค ากล่าวแบบ ภาพรวม รอกระทั่งข้าอธิบายสถานการณ์ของร่างกายหนิงเหยาให้ ฟัง เขาเชื่อแล้ว ดังนั้นตอนหลังจึงใช ้คาว่า “ทั้งหมด”
“เจ้าต้องรู ้ว่าเฉินผิงอันเป็ นคนที่ระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง เป็ น คนที่ชอบปฏิเสธตัวเองอย่างมาก”
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อเขาพูดคาว่า “ทั้งหมด” ก็จะต้องมีความมั่นใจว่า จะต้องท าได้จริงแน่นอน”
“นี่ก็คือสภาพจิตใจของเฉินผิงอันในเวลานั้น เพราะสงสัยในโลก ใบนี้ จึงกลับกลายเป็ นว่าเมื่อเจอฟางช่วยชีวิตไม่กี่เส้นก็คว้าจับไว้ไม่ ยอมปล่อย”
เฉาหรงกล่าว “นี่ดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนคนหลายคน ก็เพราะว่า สงสัยถึงได้ยิ่งไม่เชื่อเลือกที่จะปฏิเสธ”
“ปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธคนอื่น ก็เหมือนคนที่ตบหน้าตัวเอง”
ลู่เฉินพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ใต้หล้านี้มีสักกี่คนที่ชอบตบบ้องหูตัวเอง กินอิ่มว่างงานก็เลยหาเรื่องยากลาบากใส่ตัว?”
“นอกจากนี้เจ้ายังพลาดรายละเอียดอีกข้อหนึ่งไป จุดเชื่อมโยง ของสองประโยคนี้ของเฉินผิงอันน่าสนใจอย่างยิ่ง ในนี้มี…สะพานแห่ง หนึ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ทั้งยังเป็ นธรรมชาติอย่างมาก สามารถอธิบาย ได้ว่าเป็ นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน มาจากลางสังหรณ์ของเฉิน ผิงอันเอง นักพรตบนโลกล้วนเป็ นหมอกันแทบทุกคน จึงเข้าใจดีว่า “การตระหนักรู ้” และ “ความรู ้สึก” ของคนคนหนึ่งสาคัญมากแค่ไหน สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว การตระหนักรู ้และความรู ้สึกก็คือการรับ สัมผัสอันเฉียบไวอย่างหนึ่งที่ฟ้ าดินเล็กร่างกายของผู้ฝึกตนมีต่อฟ้ า ดินใหญ่ที่อยู่ข้างนอก”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “อาศัยแค่ข้อนี้ เฉินผิงอันก็คู่ควรกับคา เรียกขานว่าวัตถุดิบอันยอดเยี่ยมแล้ว”
คาว่าวัตถุดิบอันยอดเยี่ยมนี้ก็หมายถึงคุณสมบัติของการเป็ น เซียนดินในยุคบรรพกาล
เฉาหรงพยักหน้า
ลู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ดูเหมือนว่าพวกเราต่างก็ท าลาย แนวโน้มของความดีงามทุกอย่างทิ้งไป”
เฉาหรงถาม “ศึกตรีจตุของลัทธิขงจื้อ อาจารย์เอนเอียงเข้าหาเห วินเซิ่งหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มรับ
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มองดูเหมือนนักพรตเอ่ยประโยค หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแต่บางทีคนที่เป็ นอาจารย์ผู้นั้นอาจจะไม่มีความคิด ที่จะนาพาเฉินผิงอันเดินเข้าประตูไปเลยด้วยซ้า
เฉาหรงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าปั้นยาก
ลู่เฉินพยักหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็ นการกระทาโดย เจตนา จิตใจซับซ้อนยากจะคาดเดา จิตสังหารพลุ่งพล่าน”
เด็กหนุ่มกลับบอกว่าตัวเองไม่อาจเทียบลูกศิษย์ทั่วไปได้ ยิ่งมิ อาจเทียบกับหลิวเสี้ยนหยางได้ ดังนั้นจึงไม่แปลก
เฉาหรงกล่าว “อารมณ์ที่สงบนิ่ง”
ลู่เฉินเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าแอบบอกเขาเป็ นนัยอย่างลับๆ ว่า ไม่สู้ใช ้การปฏิเสธคนอื่นมายอมรับตัวเอง แต่เขากลับใช ้การปฏิเสธ ตัวเองมายอมรับคนอื่น”
“ข้าปลอบเขาว่า ค าว่า ‘จิตใจสงบ” หาได้ยากยิ่ง อย่าได้ดูแคลน ตัวเอง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “สุดท้ายคงเป็ นเพราะเฉินผิงอันรู ้สึกว่าคุยกันถูก คอ ถึงได้พูดเยอะขึ้นเขาถึงกับยกตัวอย่างให้ข้าฟังบอกว่า คนสอง คนต่างยืนในจุดที่น้าลึกกับน้าตื้น ต่างก็จับปลาได้ทั้งคู่ แล้วค่อยถาม ข้าว่าสองคนนี้ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ ตอนนั้นข้าเกือบหลุดปาก โพล่งย้อนถามเขาออกไป หากคนสองคนยืนค้อมเอวจับปลาก็ดี กระโจนลงน้าลึกไปก็ช่าง ผลคือจับได้ปลาตัวเดียวกัน ยังจะ เหมือนกันหรือไม่เหมือนกัน”
เฉาหรงนิ่งคิดไปพักหนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัย “อาจารย์ ศิษย์มี ค าถาม”
ลู่เฉินเดาความคิดของเขาออก จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เข้าใจเลยสักนิด ใช่ไหมว่าทาไมเวลาที่เฉินผิงอันอยู่กับเพื่อนรักอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ถึงไม่มีความรู ้สึกอิจฉาเลยแม้แต่น้อย?”
เฉาหรงพยักหน้า
ลู่เฉินเท้าคางด้วยมือข้างเดียว นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ลัทธิพุทธมีคา กล่าวว่าวางเตียงบนเตียง แน่นอนว่าเป็ นความหมายในทางที่ไม่ดี หากถามว่าจะหาพระพุทธเจ้าได้จากที่ใด? ก็ยิ่งไม่ควรวางหัวบนหัว”
“ถ้าอย่างนั้นหากก่อสร ้างหอสูงขึ้นมาบนพื้นที่ราบ ต้องการมอง ให้ไกลถึงพันลี้ต้องขึ้นไปบนชั้นสูงอีกหนึ่งชั้น ก็ต้องใช ้สภาพจิตใจ อย่างหนึ่งทาลายสภาพจิตใจอีกอย่างหนึ่งหรือ?”
“ระวัง คือค ากริยา ประกอบจากค าว่าเล็กและค าว่าใจ (ค าว่าระวัง ภาษาจีนอ่านว่าเสี่ยวซิน เสี่ยวแปลว่าเล็ก ซินแปลว่าใจ) หากบรรลุสู่ จุดสูงสุดก็ไม่ใช่เรือนใจของลัทธิเต๋าหรอกหรือ”
“หรือยกตัวอย่างเช่นการสร้างจิงกวน โครงกระดูกทับซ้อนกันสูง เป็ นภูเขา คนมีชีวิตยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุด มีแค่ตัวเองที่ยืนอยู่ ทว่าคน ผู้นี้กลับไม่ได้ฆ่าคน แต่ฆ่าตัวเอง ฆ่าโจรในใจไปนับไม่ถ้วน”
เฉาหรงถามอย่างระมัดระวัง “ท าไมอาจารย์ถึงต้องสนใจเฉินผิง อันขนาดนี้?”
ลู่เฉิ นสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “เคยมีความคิดที่ จินตนาการบรรเจิดเลิศล้าอย่างหนึ่ง คงไม่เล่าให้เจ้าฟังแล้ว กลัวว่า จะทาให้เจ้าตกใจ จิตแห่งมรรคาแหลกสลายคาที่”
“หาวัตถุอ้างอิงที่เหมาะสมสักอย่างหนึ่งให้เจอ ยากถึงเพียงใด?”
“เจ้าหาข้าลู่เฉิน ต้องไม่ได้แน่ ลู่เฉินหาศิษย์พี่สองคนของตัวเอง หรือหาฉีจิ้งชุน ก็ไม่ได้เหมือนกัน”
ลู่เฉินเอ่ยเนิบช ้าว่า “ผู้ที่รู ้แจ้งแล้ว มิมีสิ่งใดทาร ้ายเขาได้ และตัว เขาเองก็จะไม่ท าร ้ายสิ่งใด”
เฉาหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อเข้าสู่ใจกลางก็สามารถ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้นับไม่ถ้วน”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “การพิศมรรคาครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเปล่า”
ดูเหมือนอาจารย์จะเก็บม้วนภาพแห่งกาลเวลานั้นไปแล้ว สิ่งที่ เฉาหรงเห็นในเวลานี้จึงเป็ นทัศนียภาพเดิมของฟ้ าดินในที่แห่งนี้
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน “เฉาหรง เจ้าเองก็ฝึกวิชายันต์ควบคู่ไปด้วย รู ้สึก ว่าเฉินผิงอันยอมเสี่ยงอันตราย ทาเรื่องที่ยุ่งยากซับซ ้อน แบ่งดวงจิต ออกมามากมายขนาดนี้ มีความหมายตรงใด?”
เฉาหรงกล่าว “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางชั้นปราณโชติช่วง ต้องพิศมองภูเขาสายน้าให้ถ้วนทั่ว”
ลู่เฉินพยักหน้าก่อนแล้วค่อยส่ายหน้า “นี่คือหนึ่งในเหตุผล เท่านั้น แต่กลับเป็ นเหตุผลรองลงมาแล้ว”
เงียบไปครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็หันหน้ามายิ้มเอ่ย “ตอนนั้นที่บอกให้เจ้า พิสูจน์มรรคาด้วยเส้นทางแห่งการบินทะยานท่ามกลางเมฆเรืองรอง เป็ นข้าที่จงใจหลอกเจ้า หาไม่แล้วด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของ เจ้า เส้นทางในการพิสูจน์มรรคาบินทะยานมีได้มากมาย มีเพียง เส้นทางนี้ที่เจ้าถูกลิขิตมาแล้วว่าจะเดินผ่านไปไม่ได้”
เฉาหรงไม่ได้ตกใจสักเท่าไร แล้วก็ไม่มีความเดือดดาลแม้แต่ น้อย เพียงแค่สงสัยไม่เข้าใจว่าอาจารย์มีเจตนาอะไร จึงเอ่ยเสียงเบา ว่า “ขออาจารย์โปรดชี้แนะด้วย”
ลู่เฉินกล่าว “เฉาหรง ต้องเริ่มสงสัยจากจุดที่ไม่สงสัยจึงจะเป็ น ความสงสัยที่แท้จริง”
ลู่เฉินยื่นมือออกมาทานิ้วต่างพู่กัน วาดอักษรค าว่า “สงสัย” อยู่ กลางอากาศ จากนั้นก็เขียนคาศัพท์และคาสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับคา ว่าสงสัยยาวเป็ นพรวน
มนุษย์ธรรมดาบนโลก หากจ้องเพ่งตัวอักษรใดอักษรหนึ่งนานๆ หลับตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ง่ายที่จะจาตัวอักษรนี้ไม่ได้
ลู่เฉินถอนหายใจ อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “ลัทธิพุทธ กล่าวว่าความโลภความโกรธ ความหลง ความหยิ่งยโสและความ สงสัย คือห้าพิษแห่งจิตใจ เป็ นตัวที่ผลักดันให้กระทาความชั่ว ขัดต่อ การฝึกตน”
เฉาหรงพยักหน้า “ไม่กาจัดจิตทั้งห้า คาว่าเข้าฌานก็คือฌานที่ ชั่วร ้าย วิชาอภินิหารที่ฝึกฝนก็ไม่ใช่วิชาที่ถูกต้องเที่ยงตรง จิตมาร ของผู้ที่ฝึกตนเกิดขึ้นก็เพราะเหตุนี้”
จุดมุ่งหมายของสามลัทธิ ในหลายๆ เรื่องแม้ว่าวิธีการพูดและ ถ้อยคาที่เลือกใช ้จะไม่เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วส่วนต่างๆ กลับ เชื่อมโยงถึงกัน
เฉาหรงพลันเข้าใจเรื่องหนึ่ง ยากจะปกปิดสีหน้าประหลาดใจ เอาไว้ได้ ถามว่า “อาจารย์ หรือว่าเฉินผิงอันใช ้วิชาของลัทธิเต๋าใน การสร ้างค่ายกล ขณะเดียวกันก็ใช ้วิธีการของลัทธิพุทธมาก าจัดจิต ทั้งห้า? เป็ นทั้งการทาหน้าที่ของตัวเอง ต่างคนต่างฝึกตน แล้วก็เป็ น การช่วยปกป้ องมรรคาให้กับตัวเองด้วย?”
ลู่เฉินพยักหน้า “นี่ต่างหากจึงจะเป็ นความตั้งใจที่แท้จริงของเขา ซุกซ่อนไว้ได้ลึกล้ายิ่งดังนั้นตอนนั้นที่ข้าปรากฏตัวที่ภูเขาไฉอวี้ พรรคกิ่งไผ่ เขาถึงได้อารมณ์แปรปรวน โมโหผิดปกติ”
“ไม่ได้กังวลว่าข้าจะทาอะไร หรือไปทาให้เขาเสียเรื่อง เป็ นแค่ อารมณ์ปกติทั่วไปของมนุษย์ กลัวว่าคนอื่นจะมองไปเห็นสิ่งที่เขาซุก ซ่อนเอาไว้ เมื่อถูกเปิดโปงแล้วจึงอับอายจนพานเป็ นความโกรธ”
“โชคดีที่เฉินผิงอันที่ข้าพบเจอคนแรกคือเฉินจิ้วจือเค่อฝ่ ายนอก ของพรรคกิ่งไผ่ ไม่ใช่เฉินเหรินเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ที่นี่ หรือ ใครอีกคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นไอ้หมอนี่ต้องแตกหักกับข้าแน่!”
ลู่เฉินถาม “เจ้าลองเดาดูสิว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในภูเขาเหอฮวาน คือจิตอย่างไหน?”
เฉาหรงกล่าว “ในเมื่อปัญหาใหญ่ของเด็กหนุ่มคือความหยิ่งยโส หรือจะเป็ นความโกรธ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ผิดแล้ว คือความสงสัย ดังนั้นในฝักกระบี่ที่ สะพายไว้จึงว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด”
“ในอาณาเขตของอวี๋โจวมีวัดโบราณของนิกายวินัยอยู่แห่งหนึ่ง ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่าต้องฝึกศีล สมาธิและปัญญา ท าลายความโลภ ความโกรธและความหลง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ปัญญาชนลัทธิขงจื้อคนหนึ่งอยู่ในวัดนิกายวินัย ของต้าหลี นอกจากจะคัดคัมภีร ์ลัทธิพุทธแล้วยังฝึ กวิชาอสนีของ ลัทธิเต๋าด้วย เจ้าคิดว่าจิตที่เขาต้องทาลาย คือจิตใด?”
เฉาหรงกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็ นความโลภ”
ลู่เฉินพยักหน้า “ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า เต๋า สร ้างภาพลักษณ์สวรรค์สร ้างรูปร่าง การคัดลอกภูเขาสายน้าจะต้อง คว้าจับภูเขาสายน้านอกภาพวาดให้ได้เสียก่อน สิ่งที่คว้าจับก็คือ จิตใจที่แล่นเตลิดดุจม้าพยศดุจวานร คือจิตมาร”
“เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาที่อยู่ในภูเขาลั่วพั่ว อิ่นกวานคนสุดท้าย ของก าแพงเมืองปราณกระบี่ การเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง ครั้งหนึ่ง มีบารมีถึงเพียงใด ผลคือเขากลับวิ่งไปเป็ นจือเค่อฝ่ ายนอก ให้กับพรรคกิ่งไผ่ภูเขาไฉอวี้ที่เป็ นแค่ภูเขาใต้อาณัติของภูเขาตะวัน เที่ยง ทั้งยังอยู่ห่างภูเขาตะวันเที่ยงไม่ไกล นี่เป็ นความ….หยิ่งทระนง ถึงเพียงใด?”
เฉาหรงเงียบงันไร้ค าพูดไปนานพักใหญ่ สุดท้ายก็อดไม่ไหวถาม ว่า “ร่างจริงของเฉินผิงอันอยู่ที่ใด?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “อยู่ในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลมากแห่งหนึ่ง ทา หน้าที่เป็ นอาจารย์สอน หนังสือเมื่อเก็บรวบรวมร่างแยกทั้งหมดและ วิชาอภินิหารกลับคืนมาก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป”
เฉาหรงซื้อใบ้ไปทันที
สมองของเจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้เป็ นอะไรไป?
“นอกจากนี้การทาเช่นนี้ของเฉินผิงอันก็เป็ นการฝึกกระบี่ด้วย เขาต้องการขัดเกลากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม สร ้างสามพัน โลกธาตุขนาดเล็กขึ้นมา แต่เรื่องนี้เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป อย่าได้ เอาไปแพร่งพรายข้างนอก เฉินผิงอันค่อนข้างจะเคารพเจ้า ไม่น่าจะ ฟันเจ้า แต่เขาสนิทกับข้ามาก คงไม่มีทางเกรงใจข้าแน่”
ลู่เฉินยิ้มถาม “เฉาหรง ยังรู ้สึกว่าการกระทานี้ของเฉินผิงอันได้ ไม่คุ้มเสียอยู่ไหม?”
ค่ายกลเจ็ดดาวแห่งหนึ่ง เจ็ดสาแดงสองอาพราง ร่างแยกทั้งหมด เก้าร่าง
นี่ต้องใช ้ยันต์ทั้งหมดเก้าแผ่น สองแผ่นในนั้นยังเป็ นยันต์สีเขียว ที่ล้าค่าหายากอย่างยิ่ง เป็ นของล้าค่าที่ไม่ว่าจะวิญญูชนสานักศึกษา ของลัทธิขงจื๊อ เจินจวินลัทธิเต๋าหรืออรหันต์ของลัทธิพุทธคนใดก็ ล้วนต้องเอามาใช ้อย่างระมัดระวัง และยันต์ร่างแยกพวกนี้หากเรียก ออกมาแล้ว การไหลหายไปของปราณวิญญาณสามารถชดเชยได้
แต่กระดาษยันต์กลับจะถูกเผาผลาญ จึงมีเวลาจ ากัด เว้นเสียจากว่า ท าการปิดประตูผนึกภูเขาให้กับมัน
เฉาหรงถอนหายใจยาวเหยียด “ไม่เสียแรงที่เป็ นบุคคลซึ่ง สามารถใช ้สถานะของคนต่างถิ่นมาเป็ นอิ่นกวานได้”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “นี่ถือว่าร ้ายกาจแล้วหรือ? อันที่จริงเฉินผิงอันยังมี วิธีการฝึ กตนอีกชั้นหนึ่ง คือ “หกศาสตร ์” ที่สืบทอดมาจาก ปรมาจารย์มหาปราชญ์ รวมไปถึงประโยคที่ว่า “คุณธรรมของ ปราชญ์มีสามประการ” ร่างแยกทั้งเก้าต่างก็ไม่ได้อยู่เฉย หากเจ้า สนใจก็สามารถลองเดาดูได้ว่าแต่ละคนมีหน้าที่อย่างไร ข้าไม่แพร่ง พรายความลับให้เจ้ารู ้แล้ว”
เฉาหรงส่ายหน้า “ศิษย์คงไม่สิ้นเปลืองความคิดจิตใจกับเรื่องนี้ แล้ว”
อย่างมากวันหน้าได้เจอกับเฉินผิงอันก็แค่ต้องเดินอ้อมไปอีกทาง เป็ นพอ หากหนีไม่พ้น อย่างมากก็ชวนคุยสองสามประโยค อย่างเช่น ว่าวันนี้อากาศไม่เลว
ลู่เฉินกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็ นการฝึกตนนี่นะ ง่ายขนาดนั้นเสียที่ ไหน วันหน้าอาจมีบทกวีหรือวลีที่ว่าอาจารย์เล่าขานเรื่องของตัวเอง บทนาขึ้นต้นว่า…”
วัยเด็กทางบ้านยากจน ตั้งใจเล่าเรียน อายุสิบสี่ฝึกหมัด อายุสิบ ห้าเรียนเวทกระบี่